[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊ก ที่ 26 กันยายน 2559 21:17:37



หัวข้อ: “2555 อันธพาลกลับใจ” เรื่องจริงของอดีตวายร้าย อันธพาลป่วนเมือง
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 26 กันยายน 2559 21:17:37

(http://www.secret-thai.com/wp-content/uploads/2016/09/kkkkkkkkkk-790x500.jpg)

“2555 อันธพาลกลับใจ” เรื่องจริงของอดีตวายร้าย อันธพาลป่วนเมือง


เมื่อปี 2549 ชีวิตของผม (เป้ย - ฤทธิพันธุ์  วิจิตรพร) วนเวียนอยู่กับยาบ้า กาว กัญชา  แถมยังชกต่อย  ตีรันฟันแทงเที่ยวกลางคืน เมาเหล้า ซิ่งมอเตอร์ไซค์เป็นกิจวัตร และที่แน่ๆ ผมเคยเข้าไปสัมผัสรสชาติของคุกตารางมาแล้วถึง 2 ครั้ง!

ในอดีตคนอื่นมองว่าผมคือวายร้าย เด็กแว้น อันธพาลป่วนเมือง แต่ในสายตาของวัยรุ่นในแก๊ง  ผมคือ “ลูกพี่” ผมคือ“เป้ยหน้ามง” หัวหน้าสายเอราวัณ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาขาของกลุ่มเอ็นดีอาร์ (NDR) หรือ แก๊งซามูไร ที่ในอดีตใครๆ ต่างรู้จักและเกรงขามกันทั่วเมืองเชียงใหม่


เรียนหนังสือไปทำไม

จุดเปลี่ยนในชีวิตของผมเริ่มต้นขึ้นเมื่อผมตัดสินใจบอกพ่อกับแม่ว่า “ผมไม่อยากเรียนหนังสืออีกต่อไปแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร” ครอบครัวของผมมีฐานะค่อนข้างดี  พ่อทำธุรกิจรีสอร์ต แม่เปิดร้านอาหารและร้านขายอัญมณี  แม้ท่านทั้งสองจะเลิกรากันไปแล้วก็จริง แต่เรื่องนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ในชีวิตของผม

ช่วงเรียนมัธยมต้น ผมเรียนโรงเรียนที่มีชื่อเสียงของเมืองเชียงใหม่ ผมเป็นเด็กดี ได้รับรางวัลเรียนดีและมารยาทดีด้วยซ้ำ แต่นั่นลึกๆ แล้วเป็นการกระทำที่เก็บกดของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เพราะผมไม่รู้ว่าตัวเองจะเรียนไปเพื่ออะไร ยิ่งพ่อแม่บังคับให้เรียนพิเศษหนักเข้าๆ ใจผมก็ต่อต้าน เครียด กดดันฯลฯ ผมรู้ว่าผมเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูล พ่อแม่ทำธุรกิจก็อยากให้ผมเจริญรอยตาม แต่ผมคิดว่า คนเป็นพ่อเป็นแม่ถ้ารักลูกจริง ก็ต้องรักเพราะเขาเป็นลูก ไม่ใช่รักเพราะเขาทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ และในตอนนั้นความคิดอันรุนแรงของผมคือ พ่อแม่ไม่รักและไม่เข้าใจผม นั่นเอง

หลังเรียนจบมัธยมต้น ตอนแรกผมโดนพ่อแม่บังคับให้เรียนต่อที่โรงเรียนเดิม แต่เรียนได้แค่สองอาทิตย์ ผมก็คิดหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองโดนไล่ออกจากโรงเรียน ด้วยการนำไม้บรรทัดเหล็กมาฝนให้คมแล้วพันด้วยผ้า หวังใช้เป็นอาวุธก่อกวนเด็กในโรงเรียนแค่ใครมองหน้า ผมก็ชี้หน้าท้าต่อยตีด้วย ในที่สุดก็ได้ออกจากโรงเรียนนี้ไปเรียนที่อื่นสมใจ!
 

โดนกระหน่ำยิง หวิดตาย!!

หลังลาออกจากโรงเรียนชื่อดัง ผมก็ไปเรียนต่อที่โรงเรียนสายอาชีพ คราวนี้ผมได้ฝึกวิชาเตะต่อย ตีรันฟันแทงอย่างเต็มที่เที่ยวกลางคืน ขับรถมอเตอร์ไซค์ซิ่ง จนที่สุดหลังจากย้ายที่เรียนไปมาถึง 6 โรงเรียน ผมก็เรียนไม่จบ และกลับมาตั้งแก๊งของตัวเองในชื่อว่า “เอราวัณ”

โดยนิสัยส่วนตัวผมเป็นคนใจสู้มาแต่ไหนแต่ไร จึงได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้า ตอนขึ้น ม.4  ผมเคยเอาชนะเพื่อนนักเรียน30 คนมาแล้ว เรื่องราวของผมเลยกลายเป็นที่ร่ำลือ  หลายคนยกให้ผมเป็น “ผู้คุมโรงเรียน” เลยทีเดียว เมื่อออกจากชีวิตนักเรียน  ผมก็กลายเป็นนักเลงเต็มรูปแบบ บางช่วงก็ออกจากบ้านมาอยู่หอพัก มั่วสุมกับกลุ่มแก๊งเสพสารเสพติด  ทั้งยาบ้า กาวกัญชา และเมื่อลูกน้องมีปัญหาโดนชกต่อย  ทะเลาะวิวาทกับใครผมกับลูกน้องคนอื่นๆ ก็จะต้องพากันยกพวกไป “เอาคืน”

ความจริงแล้วตัวผมเองไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกับใครโดยตรง แต่ด้วยความที่เป็นหัวหน้า แก๊งอื่นๆ จึงรู้สึกเขม่นและพาน “เหม็นหน้า” ผม ทำให้ผมโดนหมายหัวและถูก “ตามเก็บ”มาตลอด

คืนวันลอยกระทงปีหนึ่ง พวกของผมเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกับอีกแก๊งแถวสะพานเหล็กในตัวเมืองเชียงใหม่ เรายกพวกกว่าร้อยคนสู้ตะลุมบอนกัน ระหว่างต่อสู้ มีการเตะต่อยฟันแทง และจับคู่อริทิ้งลงน้ำจนถึงกับจมน้ำตายไป 2 คนหลังจากเหตุการณ์คลี่คลายลงแล้ว ผมกับเพื่อนขับรถไปเติมน้ำมันที่ปั๊มแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นคู่อริกำลังอยู่ในปั๊มเดียวกัน พวกมันไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไร ชี้หน้าแล้วปาระเบิดใส่พวกผมทันที แรงระเบิดในครั้งนั้นทำให้ลูกน้องของผม 2 - 3 คนบาดเจ็บสาหัสจนต้องเข้าห้องไอซียู แต่เหตุการณ์ไม่จบแค่นั้น เพราะเมื่อมันเห็นว่าผมยังไม่ตาย ก็ขับรถไล่ตามมาไม่ยอมลดละ พร้อมกับหยิบปืนขึ้นมาไล่ยิงผมอีก 3 นัดแต่เดชะบุญ ทันทีที่สิ้นเสียงปืนรถผมล้มลงกลางสี่แยกพอดีพวกมันเข้าใจไปว่าผมโดนยิงตายไปแล้วจึงขับรถหนีไป ส่วนอีกเหตุการณ์  ผมโดนจ่อยิงจากคู่อริถึง 3 คน แต่มีคนช่วยปัดปืนไว้ทันผมจึงรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด!!

นั่นคือเหตุการณ์เฉียดตายสองครั้งในชีวิตที่ทำให้ผมได้ลิ้มรสความกลัวเป็นครั้งแรก แต่ก็ยังไม่ทำให้ผมกลัวมากเท่ากับตอนที่ผมต้องไปเป็นขอทาน ดมกาว และติดคุก!

(http://www.secret-thai.com/wp-content/uploads/2016/09/MG_0291.jpg)

ขอทาน ดมกาว เข้าคุก!!

ใครที่รู้จักผม รู้ดีว่าผมไม่ใช่คนเลวร้ายหรือไร้จิตสำนึกเพียงแต่หลายสิ่งหลายอย่างที่ผมทำคือ “การทดลอง” ผมไม่มีจุดยืนในชีวิต ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตเพื่ออะไร ผมคิดว่า  เราต้องกล้าเลือกทางให้ตัวเองและทางที่ผมเลือกก็เป็นทางผิดๆ แต่ทั้งที่ในใจรู้ว่าผิด ผมกลับคิดว่า  ถ้าได้เรียนรู้สิ่งที่ผิด ผมจะได้เข้าใจเด็กคนอื่นๆ ที่ทำผิดมากขึ้น ตอนอายุ 17 ปีเป็นช่วงที่พีคที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ผมเป็นหัวหน้าแก๊ง และหนีออกจากบ้านมาอยู่หอพักจนแม่ต้องขับรถตามหาด้วยความเป็นห่วงสุดชีวิต เพราะไม่แน่ใจว่าลูกชายต้องประสบกับชะตากรรมอย่างไร ตอนนั้นชีวิตของผมเหมือนไหลไปตามน้ำ เข้าไปมั่วสุมอยู่กับคนเช่นไรผมก็กลายเป็นคนแบบนั้น และบางครั้งก็เข้าไปข้องเกี่ยวกับอาชญากรของสังคมโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

แต่อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้เป็นคนเลวโดยสันดาน ในชีวิตของผม  สิ่งที่ผมเกลียดมากที่สุดคือ การถูกดูถูกเหยียดหยาม ครั้งหนึ่งผมจึงทดลองทำในสิ่งที่ชีวิตนี้ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้

ผมลองไปเป็นขอทาน! เพราะอยากเรียนรู้ชีวิต อยากรู้ว่าผมจะทนสายตาดูถูกเหยียดหยามของคนอื่นได้แค่ไหน ผมไปคุ้ยหาขวดแก้วมาจากถังขยะ แล้วไปนั่งขอทานบนสะพานลอยวัยรุ่นที่เดินผ่านไปมาชี้ชวนกันให้หันมามองผม บางคนหัวเราะส่วนพ่อแม่บางคนก็พยายามดึงลูกให้เดินห่างจากผมให้มากที่สุดวันนั้นผมได้เงินมา 30 บาท จึงนำไปซื้อข้าวกับแกงหน่อไม้มาหนึ่งถุง ผมนั่งลงเปิบข้าวที่ได้จากการขอทาน และเชื่อไหมว่าอาหารมื้อนั้นเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิต ผมกินข้าวหมดไม่เหลือแม้แต่เม็ดเดียว รู้สึกสำนึกในบุญคุณของข้าวปลาอาหารเป็นที่สุด ที่ผ่านมาผมได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี เลือกกินแต่อาหารที่ชอบ กินข้าวไม่เคยหมดจาน ยิ่งถ้าจานข้าวมีมดมาไต่นิดเดียว  ผมก็ไม่ยอมกินแล้ว แต่ครั้งนั้นผมได้รู้ว่าชีวิตก็แค่นี้ ถ้าเราไม่เลือกกิน เราก็ไม่ต้องกลัวอดตาย และตัวเราก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย แค่มีข้าวกินก็มีความสุขแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ผมดันเกิดความคิดแผลงๆ ว่า ในเมื่อเป็นขอทานแล้วก็ต้องทำตัว “ตกต่ำให้ถึงที่สุด” จึงนำกาวมาดมด้วย โชคร้ายตำรวจเห็นเข้าพอดี จึงจับตัวผมส่งโรงพัก แล้วส่งต่อไปยังสถานพินิจ แต่วันเดียวแม่ก็ไปประกันตัวออกมาความจริงผมคิดมาก่อนหน้านี้แล้วว่า อาจได้เข้าไปอยู่ในห้องขังและคิดว่านี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตที่ผมอยากเรียนรู้ จึงไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเลย
 

นรกบนดิน

แต่เหตุการณ์ครั้งต่อมานี่เองที่ทำให้ผมกลัวจนจับจิตจับใจ และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำผิดอีกเลย!!

ครั้งนั้น หลังจากแม่ไปประกันตัวมาจากสถานพินิจ ผมคิดอยากจะทำความดีให้สมกับที่ต้องเข้าไปอยู่ในคุก จึงคิดว่าน่าจะเริ่มต้นจากการสลายร้านขายกาวที่มีอยู่ 2 ร้านให้หมดไปร้านแรกยอมปิดกิจการไปแต่โดยดี เพราะผมไปบอกให้ลูกสาวเจ้าของร้านรู้ ลูกสาวจึงขอร้องให้พ่อแม่เลิก ส่วนอีกร้านผมใช้วิธีเขียนจดหมายไปบอกเขาว่า สิ่งที่เขาทำส่งผลกระทบต่อสมองของเด็กอย่างไร หลังจากนั้น ผมอยากรู้ว่าร้านที่สองเชื่อในสิ่งที่ผมบอกหรือไม่ ผมจึงลองไปซื้อกาวที่ร้านนี้ ปรากฏว่าเขายังขายอยู่เหมือนเดิม ครั้งนั้นเมื่อผมซื้อกาวมาแล้ว ผมก็คิดว่า “ไหนๆ ซื้อมาแล้ว ก็ลองดมหน่อยดีกว่า” ผมจึงไปนั่งดมกาวอยู่แถวกาดเชิงดอยคนเดียว บังเอิญตำรวจมาพบเข้า ผมเลยโดนจับเป็นครั้งที่สอง ต้องนอนที่โรงพักสองคืน วันที่สามก็ถูกส่งตัวไปเรือนจำใหญ่ของจังหวัด

ที่นี่เป็นที่ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต เมื่อเข้าไปถึง ผมถูกรับน้องด้วยลูกเตะจากผู้ต้องขังคนอื่น และตอนเดินเรียงแถวเข้าไปในคุก ผู้คุมสั่งให้ผมถอดเสื้อผ้าต่อหน้าคนอื่น ไม่เหลือแม้แต่กางเกงใน ตอนนั้นผมอายมาก หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ใส่ถุงมือเตรียมจะล้วงก้นเพื่อตรวจหายาเสพติดที่ซ่อนไว้ ผมเห็นอย่างนั้นก็กลัวมาก จึงใช้วิธีหลบเลี่ยงไปอยู่ในกลุ่มของนักโทษที่รอตัดผม ผมรอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็ต้องมาทำกิจกรรม “ซ่อม” ต่อเหมือนคนอื่นๆ ด้วยการวิดพื้น 200 ครั้งลุกนั่ง 200 ครั้งจนร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเต็มทน

แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ สภาพของห้องขังของที่นี่ที่ทำให้ผมรู้สึกหดหู่มาก เพราะทั้งแคบ เหม็น สกปรกสุดๆ และหากเผลอไปโดนตัวใครเข้า ก็จะโดนกระทืบอย่างรุนแรง แววตาของนักโทษแต่ละคนก็เหมือนไม่ใช่มนุษย์ ผมรู้สึกเหมือนกำลังตกนรกทั้งเป็นเลยก็ว่าได้

ครั้งนั้นผมสัญญากับตัวเองว่า ถ้าออกไปจากที่นี่ได้ ผมจะทำแต่ความดี ผมจะไม่ยอมมาอยู่ที่นี่อีกแล้ว ผมเข้าไปในคุกตอนเช้า ตอนบ่ายแม่ก็มาประกันตัวออกไป แต่แค่เวลาไม่กี่ชั่วโมง ผมกลับรู้สึกว่ามันยาวนานนับปีเลยทีเดียว!

ครั้งนั้นผมเดินยิ้มออกจากคุก เดินเข้าไปหาแม่ และรู้สึก ดีใจจริงๆ เป็นครั้งแรกของชีวิต แม่ให้กำลังใจว่า เรามา“เริ่มต้นกันใหม่นะลูก” และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของผมก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกวันนี้ผมเป็นหนึ่งในแกนนำกลุ่ม NDR ซึ่งย่อมาจาก โน  ดรักส์ รูเลอร์ (No Drugs Ruler)  หมายถึง กลุ่มวัยรุ่นที่มีกฎว่า ไม่ใช้ยาเสพติด ไม่พกพาอาวุธ  ฯลฯ และชักชวนวัยรุ่นในจังหวัดเชียงใหม่มาทำความดี  ปัจจุบันได้กลายเป็น โครงการเครือข่าย NDR ที่มี คุณยายแอ๊ว -ลัดดาวัลย์ ชัยนิลพันธุ์ ซึ่งเป็นคุณยายของแกนนำ NDR คนหนึ่งเข้ามาเป็นหัวหน้าดูแลเด็กวัยรุ่น ช่วยประนีประนอมหาทางออกให้เวลาแก๊งไหนทะเลาะกัน โดยเครือข่ายนี้มีประมาณ 33 แก๊ง มีทั้งหมดประมาณ 5,000 คน  แก๊งของผมก็เป็นสายหนึ่งในนั้น เราชักชวนให้วัยรุ่นเข้าค่ายทำกิจกรรมลดความรุนแรง ทาสีให้กับวัด ปลูกต้นไม้ เยี่ยมบ้านพักคนชรา ฯลฯ

(http://www.secret-thai.com/wp-content/uploads/2016/09/MG_0189.jpg)

นอกจากนั้น ครั้งหนึ่งแม่เคยพาผมไปหาคุณตาวัย 90 กว่าท่านหนึ่ง ท่านรู้เรื่องราวของผมทุกอย่างโดยที่ผมไม่ต้องบอกผมรู้สึกเคารพนับถือท่าน ท่านสอนให้ผมนั่งสมาธิ ซึ่งเปลี่ยนชีวิตผมให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ผมจึงนำน้องๆ ในแก๊งมานั่งสมาธิกับท่าน รวมทั้งชวนน้องๆ ให้ไปนั่งสมาธิที่บ้านของผมด้วย บางครั้งก็ชวนไปไหว้พระสวดมนต์ที่วัด แรกๆ  ใครๆเห็นก็กลัวพวกเรา เพราะเห็นรอยสักกับทรงผมแล้วคิดว่าเด็กพวกนี้ไม่น่าจะเข้าวัดมาไหว้พระ แต่เราก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า วัยรุ่นเป็นวัยที่มีพลังและสามารถนำพลังของเราไปทำสิ่งดีๆ ได้

จากการทำงานของผมและเพื่อนๆ ทำให้ผมได้รับรางวัลเยาวชนดีเด่น คนดีศรีเชียงใหม่ และ คนดีศรีแผ่นดินรวมทั้งได้รับการคัดเลือกเข้าร่วม โครงการทูตความดีแห่งประเทศไทย (ปี 2) (D Ambassador Season II)  แนวคิดImagine Thailand! “เปลี่ยนอนาคตประเทศไทยด้วยหัวใจเยาวชน”  ซึ่งปีนี้หัวข้อหลักเป็นเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชันทุกรูปแบบ

สำหรับตัวผม ผมได้ทำกิจกรรม “โครงการทูตความดีจังหวัดเชียงใหม่” โดยชวนวัยรุ่นที่เป็นเด็กเรียนและเด็กแก๊งมารวมกลุ่มกันทำกิจกรรม เช่น ให้นักเรียนของสภานักเรียนจากแต่ละโรงเรียนมาอบรมเป็นทูตความดี ร่วมมือกันทำสื่อวิทยุตีแผ่เรื่องความดีของคนเมืองเหนือ รวมถึงทำละครเวทีและเล่านิทานเพื่อให้เด็กประถมเกรงกลัวต่อบาป

เดี๋ยวนี้ผมรู้แล้วว่านรกบนดินนั้นเป็นอย่างไร และผมจะไม่มีวันหวนกลับไปเดินทางเดิมอีกเด็ดขาด  คนเราทำผิดพลาดกันได้ แต่เมื่อรู้ว่าผิดแล้วต้องคิดแก้ตัวใหม่…ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นใหม่อย่างแน่นอน

จาก http://www.secret-thai.com/article/14765/2555-truestory/ (http://www.secret-thai.com/article/14765/2555-truestory/)