หัวข้อ: ธรรมนูญชีวิต ของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 28 กันยายน 2559 09:58:44 (http://www.secret-thai.com/wp-content/uploads/2016/08/%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1-1-790x500.jpg)
ธรรมนูญชีวิต ของ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เรื่อง ภัทรภี พุทธวัณณ ภาพ หนังสือ “วิถีแห่งปราชญ์ (ฉบับสมบูรณ์)” ภาพประกอบ รุจิกร ธงชัยขาวสอาด เมื่อเอ่ยนาม “พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)” หรือที่รู้จักกันในนามปากกา “ป.อ. ปยุตฺโต” คำจำกัดความที่ถูกหยิบยกมาอธิบายนั้นคงหลากหลายกันไป ไม่ว่าจะเป็น… - พระสงฆ์ผู้สามารถสอบได้นักธรรมเอกและเปรียญธรรม 9 ประโยคตั้งแต่ยังเป็นสามเณร - พระนักวิชาการ นักคิด นักเขียนงานทางวิชาการเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก รวมถึงงานชิ้นโบแดงที่ได้รับการยอมรับว่าทรงคุณค่ายิ่งอย่าง“พุทธธรรม” และ “ธรรมนูญชีวิต” จากผลงานจำนวนกว่า 100 เล่ม - เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม - ศาสตราจารย์พิเศษ ประจำมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย - คนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลการศึกษาเพื่อสันติภาพจากองค์การยูเนสโก(UNESCO Prize for Peace Education) ฯลฯ ด้วยข้อมูลเพียงส่วนหนึ่งจากทั้งหมดก็คงเพียงพอและไม่ถือเป็นการเกินเลยเมื่อสื่อหลายแขนงได้ให้คำจำกัดความที่สามารถสรุปความเป็นตัวท่านได้อย่างตรงจุดและครอบคลุมว่า “ปราชญ์แห่งพระพุทธศาสนา” ผู้ซึ่งมีวิถีแห่งปราชญ์ที่น่าทึ่งและควรค่าแก่การเคารพยกย่อง…นับตั้งแต่จุดกำเนิดเมื่อกว่า 7 ทศวรรษก่อนหน้านี้ (http://www.secret-thai.com/wp-content/uploads/2016/08/20140410_093646.jpg) ชาติภูมิ ย้อนกลับไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2481 ณ บ้านใกล้ริมฝั่งแม่น้ำท่าจีนฝั่งตะวันออก (แม่น้ำสุพรรณบุรีในปัจจุบัน) บริเวณตลาดศรีประจันต์อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ลูกคนที่หกของครอบครัวอารยางกูรได้ถือกำเนิดขึ้น หลังจากที่มีลูกผู้ชายมาแล้ว5 คน และลูกสาวอีก 1 คนซึ่งเสียชีวิตไปเมื่ออายุเพียง 1 ขวบเท่านั้น โดย นายสำราญและ นางชุนกี ผู้เป็นคุณพ่อคุณแม่ได้ตั้งชื่อให้สมาชิกใหม่ผู้นี้ว่า “ประยุทธ์” ถึงแม้ว่าเด็กชายประยุทธ์จะเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะมั่นคงจากกิจการมากมายไม่ว่าจะเป็นธุรกิจค้าขายผ้าแพร ผ้าไหมขายของชำ และโรงสีไฟขนาดกลางซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ แต่เส้นทางชีวิตของเขาก็ต้องพบกับบททดสอบอันหนักหนาสาหัสมาตั้งแต่เล็ก ด้วยวัยเพียงไม่ถึงขวบ เด็กชายประยุทธ์ก็ล้มป่วยด้วยโรคทางเดินอาหารมีอาการท้องร่วงอย่างรุนแรงจนแทบจะเสียชีวิต และแม้ว่าจะได้รับการรักษาจนกระทั่งหายดี โรคร้ายนั้นก็ยังทิ้งร่องรอยเอาไว้ในร่างกายของเด็กน้อย จนกลายเป็นคนที่มีสภาพร่างกายไม่แข็งแรง ป่วยกระเสาะกระแสะจนเกือบตลอดชีวิต ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงเวลาหลังจากที่หายป่วยจากอาการท้องร่วงไม่นานนักนางชุนกีก็พลันล้มป่วยด้วยโรคเนื้องอกที่ต่อมไทรอยด์ ส่งผลให้ต้องถูกส่งไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งอยู่ไกลจากบ้านเกิดนับร้อยกิโลเมตร ทั้งยังต้องพักรักษาตัวอีกเป็นเวลาหลายเดือน ส่งผลให้ลูกน้อยจำหน้าแม่ไม่ได้ จนต้องสร้างความคุ้นเคยกันใหม่อีกครั้ง เด็กชายประยุทธ์เติบโตมาโดยได้รับการอบรมจากคุณพ่ออย่างใกล้ชิด และได้รับอุปนิสัยที่ดีงามมาจากแม่ ขณะเดียวกันเขาก็มีความเป็นผู้นำ มีเหตุมีผล รักความยุติธรรม เคร่งครัดในระเบียบวินัย และใฝ่ศึกษาเป็นอย่างมาก ซึ่งทั้งหมดถือเป็นจุดเด่นของเขาตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งยังยิ่งเด่นชัดขึ้นเมื่อเริ่มเจริญวัย นอกจากนั้นด้วยความที่คุณพ่อเป็นคนมีความคิดก้าวหน้า เนื่องจากเคยบรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระสงฆ์ ทั้งยังสอบได้เปรียญธรรม5 ประโยค ท่านจึงให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาและสนับสนุนลูก ๆ ทุกคนในด้านนี้อย่างเต็มที่ และลูกชายคนนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผู้เป็นพ่อต้องผิดหวังหรือกังวลใจใด ๆเพราะเด็กชายประยุทธ์เป็นเด็กที่เรียนเก่งหาตัวจับยาก หลังจากที่เรียนจบระดับประถมศึกษาจากโรงเรียนประชาบาลชัยศรี-ประชาราษฎร์ คุณพ่อสำราญก็ได้พาลูกตัวน้อยไปเรียนต่อระดับมัธยมในพระนคร(กรุงเทพฯในปัจจุบัน) ที่โรงเรียนวัดปทุมคงคา โดยคุณพ่อได้ฝากให้ลูกชายพักอยู่กับพี่ ๆ ที่วัดพระพิเรนทร์ ซึ่งขณะนั้นพระศรีขันธโสภิต เป็นเจ้าอาวาส (ภายหลังได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระเทพคุณาธาร) หลังจากต้องจากบ้านมาเรียนในเมืองหลวงได้ไม่นาน เด็กชายประยุทธ์ก็ได้รับทุนเรียนดีจากกระทรวงศึกษาธิการจนถึงชั้นมัธยมศึกษาต้น นอกจากใฝ่เรียนแล้ว เขายังชอบนำความรู้มาถ่ายทอดต่อให้น้อง ๆ โดยทุกครั้งที่กลับบ้านเกิดในช่วงปิดเทอม เขาก็จะชวนน้อง ๆ มาเล่นสอนหนังสือกัน โดยใช้พื้นที่และอุปกรณ์ของโรงเรียนบำรุงวุฒิราษฎร์ที่ในเวลานั้นไม่มีผู้ใช้งานแล้ว (โรงเรียนบำรุงวุฒิราษฎร์เป็นโรงเรียนมัธยมแห่งแรกของอำเภอศรีประจันต์ ซึ่งคุณพ่อสำราญได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้เด็ก ๆ ที่พ่อแม่ไม่มีกำลังส่งไปเรียนต่อพระนคร ได้มีโอกาสเรียนในระดับมัธยมก่อนจะปิดตัวลงเมื่อมีโรงเรียนมัธยมแห่งใหม่ขึ้นมา) อย่างไรก็ดี การ “เล่น” สอนหนังสือของเด็กชายประยุทธ์ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมาเป็นการเรียนการสอนแบบจริงจัง โดยเขาจะนำความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาถ่ายทอดให้กับน้อง ๆ รวมถึงเด็ก ๆ ในละแวกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ จริยธรรมประวัติศาสตร์ วรรณคดี ไปจนถึงการเล่นละคร ซึ่งคุณครูประยุทธ์ของบรรดาลูกศิษย์ตัวน้อยเป็นผู้เขียนบท ผู้กำกับ พร้อมทั้งร่วมแสดงด้วยเสร็จสรรพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสามก๊ก ตอน โจโฉแตกทัพเรือ ซึ่งเขารับบทขงเบ้ง หรือเรื่อง รามเกียรติ์ ในบทท้าวมาลีวราช เป็นต้น ขณะเดียวกันเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นเด็กชายประยุทธ์ก็เริ่มให้ความสนใจในศาสตร์อีกแขนงหนึ่งซึ่งยังคงติดตัวมาโดยตลอดนั่นคือเรื่องของเครื่องใช้ไฟฟ้า หลังจากที่มีความรู้เรื่องไฟฟ้าบ้างเล็กน้อย เขาก็เริ่มนำไฟฉายที่เสียมารื้อซ่อมใหม่ และได้ลองดัดแปลงตะเกียงลานให้ใช้งานได้นานขึ้น จนภายหลังเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เขาเคยกล่าวว่า เขาคงจะเป็นนักประดิษฐ์ไปแล้ว หากชีวิตไม่ได้ก้าวไปสู่อีกเส้นทางหนึ่งเสียก่อน…นั่นคือเส้นทางธรรม (ขอขอบคุณ : คุณบุปผา คณิตกุลสำหรับข้อมูลด้าน “ชาติภูมิ”) (http://www.secret-thai.com/wp-content/uploads/2016/08/20140410_092911.jpg) บนเส้นทางธรรม ชีวิตของเด็กชายประยุทธ์ที่กำลังโลดแล่นไปบนเส้นทางการศึกษาต้องมีอันหยุดชะงักลง เมื่ออาการท้องร่วงได้กลับมากำเริบอย่างหนัก ประกอบกับร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง มีอาการเจ็บป่วยเรื่อยมา ด้วยสุขภาพที่ไม่สมบูรณ์ คุณพ่อกับพี่ชายจึงได้เสนอแนะและสนับสนุนให้ลูกชายคนเล็กก้าวไปอยู่ในเพศบรรพชิต เพราะเห็นว่าน่าจะเอื้ออำนวยต่อการศึกษาได้มากกว่า ด้วยเหตุนี้เด็กชายวัยเพียง 13 ปีคนนี้จึงได้บรรพชาเป็นสามเณร และก้าวเข้าสู่ทางธรรมอย่างเต็มตัว ตั้งแต่วันที่ 10พฤษภาคม พ.ศ. 2494 ณ วัดบางกร่าง ที่บ้านเกิด และย้ายไปอยู่ที่วัดปราสาททองอำเภอเมืองฯ จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม รวมทั้งได้ฝึกวิปัสสนากรรมฐานในอีกหนึ่งปีต่อมา ก่อนจะจำพรรษาที่วัดพระพิเรนทร์ กรุงเทพมหานคร จนสอบได้นักธรรมเอก นับเป็นสามเณรรูปที่ 4 ในสมัยรัตนโกสินทร์ และเป็นรูปที่ 2 ในรัชกาลปัจจุบันที่สามารถสอบเปรียญธรรม 9 ประโยคได้ นอกเหนือจากการสนับสนุนของคุณพ่อและครอบครัว แรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้สามเณรน้อยสามารถดำเนินชีวิตใต้ร่มกาสาวพัสตร์ได้ยาวนานทั้งที่ยังอยู่ในวัยแรกรุ่นนั้น ก็เนื่องจากการได้อ่านนวนิยายอิงธรรมะของ อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ใต้ร่มกาสาวพัสตร์, กองทัพธรรม หรือ อาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก จึงทำให้รู้สึกอยากเป็นส่วนหนึ่งของการเผยแผ่พระพุทธศาสนา หลังจากนั้นท่านจึงได้อุปสมบทสมความตั้งใจ โดยเป็นนาคหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ 24กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ณ พัทธสีมาวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มี สมเด็จ-พระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จ-พระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภโณ)เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับฉายาว่า “ปยุตฺโต” แปลว่า “ผู้เพียรประกอบแล้ว” หลังจากนั้นพระปยุตฺโตก็เพียรศึกษาอย่างจริงจัง จนกระทั่งได้รับปริญญาพุทธศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 จากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ก่อนหน้าที่ชีวิตบนเส้นทางธรรมของท่านจะเจริญก้าวหน้าเรื่อยมานับจากนั้น (http://www.dhammajak.net/board/files/_10_881.jpg) ธรรมนิพนธ์ นับจากที่พระพรหมคุณาภรณ์(สมณศักดิ์ในปัจจุบัน) เริ่มเข้าสู่ร่มกา-สาวพัสตร์ ท่านก็ได้เรียนจนจบปริญญา จากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จากนั้นท่านก็ได้เริ่มต้นงานสอนในแผนกบาลีเตรียมอุดมศึกษา และยังได้เป็นอาจารย์สอนในชั้นปริญญาตรี สาขาพุทธศาสตรบัณฑิต ของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยอีกด้วย ในขณะเดียวกันท่านยังมีงานบรรยายในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ และได้เข้าร่วมสัมมนาทางวิชาการกับนักวิชาการและปัญญาชนร่วมสมัยอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังได้รับอาราธนาไปบรรยายทางวิชาการด้านพุทธศาสนาในต่างประเทศอีกด้วย รวมถึงได้เดินทางร่วมคณะไปกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยวอุปเสโณ) และ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) นับเป็นย่างก้าวแรก ๆ ของการเผยแผ่พุทธศาสนาไทยในต่างแดน ที่ต่อมาได้พัฒนาเป็นโครงการพระธรรมทูตในปัจจุบัน นอกจากนั้นพระพรหมคุณาภรณ์ก็ยังมีงานเผยแผ่พุทธศาสนาผ่านการแสดงธรรมและการเขียนหนังสือนับร้อยเล่ม ซึ่งล้วนเป็นที่ยกย่องทั้งในประเทศและทั่วโลกว่าเป็นผลงานชั้นเยี่ยมที่ทรงคุณค่าอย่างอเนกอนันต์ ในที่นี้ Secret จะขอนำแนวคิดและแนวทางคำสอนของท่านเกี่ยวกับเรื่องราวร่วมสมัยที่น่าสนใจมาสรุปสั้น ๆ และเรียบเรียงเพื่อให้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น ดังนี้ ชีวิตและการทำงาน งานนั้นไม่ใช่เป็นตัวเรา และก็ไม่ใช่เป็นของเราจริง แต่งานถือเป็นกิจกรรมของชีวิต เป็นกิจกรรมของสังคม เป็นสิ่งที่ชีวิตของเราเข้าไปสัมพันธ์เกี่ยวข้อง แล้วก็ต้องผ่านกันไปในที่สุด งานนั้นเราไม่สามารถทำให้สมบูรณ์ได้แท้จริง เพราะล้วนขึ้นกับสิ่งอื่น เช่น ปัจจัยแวดล้อม กาลเทศะความเปลี่ยนแปลงของสังคม และเป็นสิ่งที่คนอื่นจะต้องมารับช่วงทำกันต่อไป ต่างกับชีวิตของเราแต่ละคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้สมบูรณ์ได้ด้วยการปฏิบัติงานอย่างถูกต้องเมื่อเราปฏิบัติต่องานหรือทำงานอย่างถูกต้องมีทีท่าของจิตใจต่องานถูกต้องแล้ว ชีวิตจะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์ในตัวในแต่ละขณะภาวะที่ชีวิต งาน และธรรม ประสานกลมกลืนเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว แยกได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับที่หนึ่ง การทำงานที่ชีวิตจิตใจกลมกลืนเข้าไปในงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พร้อมทั้งมีความสุขพร้อมอยู่ในตัว แต่กระนั้นลึกลงไปในจิตใจก็ยังมีความยึดติดถือมั่นในงานที่ทำ ถือเป็นการแฝงเอาเชื้อแห่งความทุกข์ซ่อนไว้ลึกภายใน ส่วนในอีกระดับหนึ่ง ความประสานกลมกลืนของชีวิตจิตใจกับงานที่ทำ พร้อมไปด้วยความรู้เท่าทันตามความเป็นจริงในธรรมชาติของชีวิตและการงานที่เป็นไปตามเหตุปัจจัยโดยไม่ต้องอยาก ไม่ต้องยึดถือสำคัญมั่นหมายให้นอกเหนือหรือเกินไปจากการกระทำตามเหตุผลด้วยความตั้งใจและเพียรพยายามอย่างจริงจัง เรียกได้ว่าชีวิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับงาน แต่เป็นอิสระอยู่เหนืองานนั่นเอง เรียบเรียงจาก งานเพื่อความสุขและแก่นสารของชีวิต, บริษัทสหธรรมิก จำกัด, พิมพ์ครั้งที่ 2 2537, หน้า 66 - 67 และ 68 - 69 (http://www.dhammajak.net/board/files/_22_131.jpg) การศึกษา การพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เป็นความหมายที่แท้ของการศาสนา…การศึกษานั้นเป็นทั้งตัวการพัฒนาและเป็นเครื่องมือสำหรับพัฒนา คือเป็นการพัฒนาตัวบุคคลขึ้นไป โดยพัฒนาตัวคนทั้งคนหรือชีวิตทั้งชีวิต เมื่อผู้เรียนมีการศึกษาแล้วก็จะเอาคุณสมบัติที่ตัวมีซึ่งเกิดจากการศึกษาไปเป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิตและสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ จุดมุ่งหมายของการศึกษาก็เพื่อพัฒนาครอบคลุมทั้ง 4 ด้าน คือ 1. พัฒนากาย โดยนอกจากจะพัฒนาร่างกายให้มีสุขภาพดีแล้ว ในทางพุทธศาสนายังหมายรวมถึงการพัฒนาความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ดีงาม ด้วยการพัฒนากายที่เรียกว่า กายภาวนา 2. พัฒนาศีล หรือพัฒนาการทางสังคม ซึ่งเรียกเป็นศัพท์ทางพระว่า ศีลภาวนา 3. พัฒนาจิต หรือจิตตภาวนาเพื่อให้พร้อมสมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ 3 ด้านคือ คุณภาพจิต สมรรถภาพจิต และสุขภาพจิต 4. พัฒนาปัญญา เรียกว่า ปัญญาภาวนา แบ่งได้เป็น - ปัญญาขั้นแรก คือ ปัญญาที่เป็นความรู้ความเข้าใจในศิลปวิทยาการ - ปัญญาขั้นสอง คือ การรับรู้เรียนรู้อย่างถูกต้อง - ปัญญาขั้นสาม คือ การคิด การวินิจฉัยด้วยการใช้ปัญญาโดยบริสุทธิ์ใจ - ปัญญาขั้นสี่ คือ ปัญญาที่รู้เข้าใจถึงสาระแห่งความเป็นไปของโลกและชีวิต - ปัญญาขั้นห้า คือ ปัญญาที่รู้เท่าทันธรรมดาของสังขาร คือโลกและชีวิต เรียบเรียงจาก - การศึกษาที่สากลบนฐานแห่งภูมิปัญญาไทยโครงการตำราและเอกสารทางวิชาการคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2532, หน้า 70 - 71 - การศึกษา : เครื่องมือพัฒนาที่ยังต้องพัฒนา, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, พิมพ์ครั้งที่ 4 2536, หน้า 95 - 105 ความรัก ความรักในความหมายที่แท้คือ การอยากเห็นเขาเป็นสุข เหมือนอย่างพ่อแม่รักลูก ก็คืออยากเห็นลูกเป็นสุข แต่ยังมีความรักอีกแบบหนึ่งคือ ความรักที่อยากได้เขามาทำให้ตัวเป็นสุข อย่างนี้ไม่ใช่รักจริงแต่เป็นความรักเทียม ซึ่งก็คือราคะ ดังนั้นจึงสามารถแบ่งความรักได้ 2 ประเภท คือ 1. ความรักที่อยากได้เขามาทำให้ตัวเราเป็นสุข ความรักแบบนี้อาจจะทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ หรือต้องมีการแย่งชิงกัน 2. ความรักที่อยากเห็นเขามีความสุขพออยากเห็นคนที่เรารักเป็นสุขก็อยากทำให้เขาเป็นสุข พอทำให้เขาเป็นสุขได้เราก็เป็นสุขด้วย เหมือนพ่อแม่อยากเห็นลูกมีความสุขพอทำให้ลูกเป็นสุขได้ ตัวเองก็เป็นสุขด้วยจึงเป็นความรักที่พร้อมจะให้และสุขด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ความรักที่แท้จริงและควรน้อมนำเข้าสู่ชีวิตจึงเป็นความรักประเภทที่สอง ซึ่งมุ่งเน้นการให้ เป็นความรักที่พร้อมพรั่งด้วยหลักธรรมทั้ง 4 ประการ คือสัจจะ ทมะ ขันติ และจาคะ เรียบเรียงจาก - ความจริงเกี่ยวกับความรัก ความโกรธและความเมตตา เล่ม 2, สำนักพิมพ์สบายะ, พิมพ์ครั้งที่ 1 2549 - คู่มือชีวิต, พิมพ์ครั้งที่ 14 พฤษภาคม 2550, หน้า 91 ประชาธิปไตย หลักธรรมทุกอย่างในพระพุทธศาสนานั้นถือเป็นหลักประชาธิปไตย เนื่องจากเป็นเรื่องของการพัฒนาคนให้มีคุณภาพและให้รู้จักปกครองตนเองได้ แต่จะต้องมองให้ถูกแง่และปฏิบัติตามให้ถูก หลักธรรมนั้นมีไว้ให้ทุกคนปฏิบัติ และจะต้องมองหลักธรรมโดยมีความรับผิดชอบของตนเอง ไม่ใช่เรียกร้องจากผู้อื่น ด้วยเหตุนี้หลักธรรมจึงทำให้เกิดประชาธิปไตยเช่น คาระ แปลว่า ความเคารพ หมายถึงการมองเห็นคุณค่าและความสำคัญของผู้อื่น รวมถึงความคิดของเขา อันเป็นหลักสำคัญของประชาธิปไตยนั่นเอง การปกครองที่ดีจะเกิดขึ้นได้เมื่อเจ้าของอำนาจสูงสุดมีธรรมาธิปไตยฉะนั้นระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดอยู่ในมือประชาชน ประชาชนจึงต้องมีความรับผิดชอบที่จะทำตนให้เป็นธรรมาธิปไตย คือถือธรรมเป็นใหญ่ โดยแบ่งได้เป็น 2 ระดับ คือ ขั้นต้น ได้แก่หลักการ กฎเกณฑ์ กติกาต่าง ๆอันชอบธรรมที่ได้ตกลงกันไว้ และขั้นสูงขึ้นไป รวมถึงความจริงความถูกต้องดีงาม และประโยชน์สุขที่เหนือกว่าขั้นต้นขึ้นไปจนสุดขีดแห่งปัญญาจะมองเห็นได้ เมื่อประชาชนถือธรรมเป็นใหญ่ ใช้ปัญญา ไม่เอาแต่ใจหรือตามใจกิเลส ไม่ใช้อำนาจตามอำเภอใจ ก็จะส่งผลให้สามารถปกครองตนเองได้ และเมื่อบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากประชาชนหรือใช้อำนาจในนามประชาชน คือผู้แทนและนักการเมืองทั้งหลายเป็นธรรมาธิปไตยด้วยแล้วประชาธิปไตยก็จะสามารถไปได้ดี สังคมก็จะเป็นปกติสุข ไม่มีการเบียดเบียนข่มเหง เอารัดเอาเปรียบกัน เรียบเรียงจาก - พุทธศาสนากับสังคมไทย, มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2526, หน้า 10 - 11 - การสร้างสรรค์ประชาธิปไตย, ศาสตราจารย์มารุต บุนนาค ประธานรัฐสภา, พิมพ์ครั้งที่ 7 2537, หน้า 67 - 69 และ 114 - 115 ความสุข ความสุขในทางพุทธศาสนาสามารถแบ่งออกเป็น 5 ขั้น คือ ขั้นที่ 1 ความสุขจากการเสพวัตถุหรือสิ่งบำรุงบำเรอภายนอกที่นำมาปรนเปรอตา หู จมูก ลิ้น กายของเรา ขั้นที่ 2 ความสุขขั้นนี้เกิดขึ้นได้เมื่อเจริญคุณธรรม เช่น มีเมตตากรุณามีศรัทธา ขั้นที่ 3 ความสุขจากการดำเนินชีวิตได้ถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติ ไม่หลงอยู่ในโลกของสมมุติ ขั้นที่ 4 ความสุขจากความสามารถปรุงแต่ง เช่น ปรุงแต่งความคิด ทำให้สร้างสิ่งประดิษฐ์ เกิดเป็นเทคโนโลยีต่าง ๆ ขั้นที่ 5 ความสุขเหนือการปรุงแต่งคืออยู่ด้วยปัญญาที่รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต การเข้าถึงความจริงด้วยปัญญาที่เห็นแจ้ง ทำให้วางจิตวางใจ ลงตัวสนิทสบายกับทุกสิ่งทุกอย่างอย่างผู้เจนจบชีวิต พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า คนเราสามารถหาความสุขที่ประณีตกว่าการบำเรอตา หู จมูก ลิ้น กาย ท่านเรียกความสุขแบบนั้นว่าเป็นความสุขที่ประณีตขึ้น มีลักษณะสำคัญคือ เป็นอิสระ มนุษย์จะมีความสุขได้โดยลำพังในใจและไม่ต้องขึ้นกับวัตถุภายนอก หมายความว่า แม้วัตถุภายนอกไม่มีอยู่ เราก็มีความสุขได้ข้อสำคัญคือ มันเป็นความสุขพื้นฐานที่จะทำให้การแสวงหาหรือการเสพความสุขภายนอกเป็นไปอย่างพอดี อยู่ในขอบเขตที่สมดุล ทำให้มีความสุขแท้จริง และไม่เบียดเบียนกันทางสังคม คนที่ทำให้จิตใจตัวเองมีความสุขได้ทั้งทางจิตและทางปัญญา จะมีความสงบในใจตนเองและมีความสุขได้อย่างที่เรียกว่ามีสมาธิ หรือมีความสุขจากการรู้เท่าทันและเข้าใจความจริงของสิ่งทั้งหลายเป็นความสุขทางปัญญาเนื่องจากเห็นแจ้งความจริง ถือเป็นความสุขภายในของบุคคล ถ้าคนเรามีความสุขแบบนี้เป็นรากฐานแล้ว การหาความสุขทางวัตถุมาบำเรอตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็จะมีความรู้จักประมาณหรือมีขอบเขต คนที่อยู่ในโลกด้วยความรู้ความเข้าใจโลกและชีวิตตามความเป็นจริง วางจิตลงตัวพอดี เรียกได้ว่าเป็นจิตอุเบกขาส่งผลให้มีความสุขอยู่ประจำตัวตลอดเวลาเป็นสุขที่เต็มอิ่มอยู่ข้างใน ไม่ต้องหาจากข้างนอก และเป็นผู้มีชีวิตที่พร้อมจะทำเพื่อผู้อื่นได้อย่างเต็มที่ เพราะไม่ต้องห่วงกังวลถึงความสุขของตนและไม่มีอะไรที่จะต้องทำเพื่อตัวเองอีกต่อไป เรียบเรียงจาก - คู่มือชีวิต, พิมพ์ครั้งที่ 14 พฤษภาคม 2550, หน้า 140 – 150 - ข้อคิดชีวิตทวนกระแส, ทุนส่งเสริมพุทธธรรม, พิมพ์ครั้งที่ 4 2536, หน้า 8 – 10 Secret Box คนเราเรียนรู้ได้มากจากปัญหา ได้ศึกษาจากความทุกข์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) จาก http://www.secret-thai.com/article/inspiration-story/13233/9082559/ (http://www.secret-thai.com/article/inspiration-story/13233/9082559/) |