[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊ก ที่ 07 ตุลาคม 2559 14:40:27



หัวข้อ: The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 6 มารวิชัย อภิสัมโพธิกถา
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 07 ตุลาคม 2559 14:40:27
(http://www.dhammatalks.net/images/vimuttisukha/a20.jpg)

ปริเฉทที่ 6 มารวิชัย อภิสัมโพธิกถา
(พระมหาบุรุษทรงปรารภถึงการชนะมารและการตรัสรู้)

ณ กาลครั้งนั้น มีคฤหบดีใจบุญและมั่งมีคนหนึ่งซึ่งสมบูรณ์ไปด้วยปศุสัตว์ อาศัยอยู่ที่ริมแม่น้ำ ณ หมู่บ้านซึ่งมีนามว่าเสนานิตามนามแห่งครอบครัวของเขา

บุรุษผู้นั้นดำรงชีพอยู่ด้วยความสุขสวัสดิ์และสันติภาพ คู่เคียงกับภรรยาของตน นามว่า สุชาตา (สุชาดา) สตรีผู้งามยิ่งกว่าสตรีอื่นๆ ผู้มีตาดำขำคมแห่งทุ่งนั้น นางเป็นคนอ่อนหวานและซื่อตรงเรียบๆ และน่ารัก จรรยาของนางสุขุม นางมีวาจาอ่อนหวานและดวงหน้ายิ้มแย้ม สิริรวมความก็คือ นางเป็นไข่มุกแห่งสตรีทั้งปวง ดังนั้นนางก็อยู่เย็นเป็นสุขโดยฐานที่เป็นผู้ปฏิบัติสามีของนาง ณ บ้านอันสุขสงบ สถานซึ่งเป็นแบบอินเดียแท้ นางมีทุกข์แต่อย่างเดียว คือการไม่มีบุตรชายสักคนหนึ่งมาเกิดเป็นขวัญแห่งความสุขให้แก่การอยู่กินกับ สามีของนาง

อนึ่งนางได้บนบานแก่พระนางลักษมี (เป็นพระเจ้าแห่งความมั่งมีและความเจริญ เป็นมเหสีของพระวิษณุ) มากมายหลายครั้งโดยมิได้รับผลและมากมายหลายราตรี เมื่อเดือนเพ็ญนางเดินฉวัดเฉวียน 9 ครั้งๆ ละ 9 รอบ โดยรอบลิงคัม (ศิลารูปกรวยเป็นเครื่องหมายของอำนาจศักดิ์สิทธิ์ เมื่อบนบานแล้วจะได้รับผลสมปรารถนา ศิวลึงค์) มีข้าว พวงมะลิและน้ำหอมเป็นเครื่องสังเวยเพื่อขอให้บุตรชาย นอกจากนี้นางสุชาตายังบนแก่เทพารักษ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งป่าอีกว่า ถ้าความต้องการของนางถึงซึ่งสัมฤทธิผลแล้ว นางจะถวายพระกระยาหารอันมีรสโอชาและดีเลิศใส่ถาดทอง ใต้พฤกษชาติของเทพารักษ์นั้น เพื่อริมโอษฐ์แห่งทวยเทวาทั้งหลายได้ดูดดื่มรสอาหารนั้นอย่างอิ่มเอิบ ความต้องการของนางคราวนี้นับว่าได้อย่างสมหวัง เพราะบุตรชายที่น่ารักคนหนึ่งได้มาเกิดกับนางซึ่งบัดนี้อายุได้ 3 เดือนแล้ว

ฉะนั้นเพื่อแก้บน นางจึงไปสู่ศาลเทพารักษ์ โดยมือข้างหนึ่งถือสไบแดงเข้มซึ่งปกคลุมบุตรอันเป็นดวงแก้วแห่งหัวใจของนาง ส่วนอีกข้างหนึ่งนางประจงถือถาดและจานซึ่งบรรจุอาหารอันมีรสโอชาประณีต สำหรับถวายหมู่เทวา

แต่นางระถาซึ่งได้รับใช้ให้ไปกวาดพื้นที่และพันด้ายสีแดงเข้ม ณ ต้นไม้ได้กลับมาหานางพลางออกอุทานว่า “โอ! นายเจ้าขา! จงดูเอาเถิด พระเจ้าแห่งป่าได้มาสำแดงตนให้ปรากฏแล้ว ท่านนั่งอยู่ที่นั่น พระหัตถ์พาดเหนือพระชานุ จงดูเถิด! รัศมีรุ่งโรจน์รอบพระนลาฏของพระองค์ พระองค์ช่างมีสง่าและศักดานุภาพ ในดวงพระเนตรอันวิเศษของพระองค์เสียนี่กระไร เป็นเอกลาภยิ่งแล้วที่ได้มาพบพระเจ้าดังนี้”

ดังนั้นฝ่ายนางสุชาตาเมื่อคิดว่าพระองค์เป็นเชื้อวงศ์ของพระผู้เป็นเจ้า นางจึงน้อมกายลงด้วยอาการอันสั่นเทิ้ม จูบพื้นธรณีแล้วก้มหน้าอันยิ้มแย้มของนางลง กล่าวว่า “ข้าขอประณตน้อมองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ประทับอยู่ใต้ต้นไม้นี้ และเป็นผู้โปรดประทานความสุขสวัสดิ์ซึ่งได้มีแก่ข้าพเจ้า ณ ที่นี้ ขอพระองค์จงโปรดรับของถวายอันเล็กน้อยของข้าพเจ้า คือจานน้ำนมขาวเหมือนหิมะ หรืองาช้างซึ่งแกะสลักมาใหม่เอี่ยมนี้เถิด” ว่าแล้วนางก็วางอาหารซึ่งบรรจุในจานทองแล้วรินน้ำมันอัตตาร์ซึ่งเป็นน้ำมัน เกสรแห่งดอกกุหลาบที่นางใส่ขวดเจียระไนลงยังพระหัตถ์ของพระมหาบุรุษ แล้วพระองค์ก็เสวยของที่ถวายโดยมิได้ตรัสอะไรเลยจนคำเดียว

ส่วนนางมารดาผู้ปลาบปลื้มยินดีก็หลีกไปอยู่เสียห่างจากพระองค์ ด้วยความเคารพ ก็แลธรรมชาติรสแห่งอาหารในจานนั้นเองวิเศษยิ่งจนพระองค์รู้สึกว่ามีพระกำลัง และยังพระชนมชีพให้กลับคืนมาสู่พระองค์ ประดุจดังว่าราตรีกาลแลทิวากาลซึ่งพระองค์พยายามอดพระกระยาหารนั้น เป็นแต่เพียงสุบินนิมิตสำหรับพระองค์เท่านั้นประดุจว่า พระวิญญาณของพระองค์ฟื้นดีขึ้นพร้อมกันกับพระวรกายแล้วเคลื่อนไหวตนได้ใหม่ อีก เหมือนนกตัวหนึ่งซึ่งเหนื่อยแล้วด้วยการบินเหนือทะเลทรายอันไม่มีที่สิ้นสุด มีความยินดีที่ได้พบแม่น้ำแห่งหนึ่งแล้วได้ชำระล้างคอและศีรษะของตนซึ่งเต็ม ไปด้วยฝุ่น

ฝ่ายนางสุชาดาเมื่อแลเห็นพระวรพักตร์อันทรงเกียรติของพระองค์ นางมีความเคารพพระองค์มากยิ่งขึ้นจึงทูลถามพระองค์ด้วยเสียงอันค่อยๆ ว่า “พระองค์เป็นเทพเจ้าจริงหรือ และของถวายของข้าพเจ้าเป็นที่พึงพอพระทัยของพระองค์แล้วหรือยัง?” พระมหาบุรุษจึงตรัสถามไปว่า “อาหารอย่างไรซึ่งสูเจ้านำมาให้ตูข้า” “พระผู้มีบุญ” นางสุชาดาทูลตอบ “ข้าพเจ้าได้เลี้ยงแม่โคไว้รีดนม 60 ตัว และด้วยน้ำนมของแม่โคทั้ง 60 ตัวนี้ ข้าพเจ้าใช้เลี้ยงแม่โคอื่นอีก 50 ตัว และน้ำนมของแม่โคทั้ง 50 ตัวนี้ ข้าพเจ้าเลี้ยงแม่โคอีก 25 ตัว น้ำนมของแม่โค 25 ตัว ข้าพเจ้านำไปเลี้ยงแม่โคอื่นอีก 12 ตัว”

“ในที่สุดน้ำนมของแม่โค 12 ตัวนี้ข้าพเจ้าใช้เลี้ยงแม่โคที่งามยิ่งและเป็นโคที่ดีกว่าโคอื่นๆ ทั้งฝูงอีก 6 ตัว น้ำนมซึ่งข้าพเจ้าได้มาโดยทำนองนี้ ข้าพเจ้าต้มด้วยหม้อเงินกับแก่นจันทร์และเครื่องเทศอันละเอียด ข้าพเจ้าเติมข้าวซึ่งได้มาจากการเก็บเกี่ยวที่เลือกเฟ้น และปลูกในท้องนาอันไถคราดอย่างประณีตและซึ่งเมล็ดทุกๆ เมล็ดได้เลือกแล้วแม้นเหมือนไข่มุก”

“ดังนี้แหละที่ข้าพเจ้าได้ทำด้วยน้ำใจอันกตัญญู เพราะข้าพเจ้าได้บนบานไว้ว่า ถ้าข้าพเจ้าได้บุตรชายมาเกิดแก่ข้าพเจ้าแล้วจะถวายเครื่องสังเวยเพื่อเป็น พยานแห่งความปลาบปลื้มยินดีของข้าพเจ้าที่ใต้ต้นไม้ของพระองค์ และบัดนี้ก็ได้บุตรชายแล้ว ในชั่วชีวิตของข้าพเจ้าจึงประสบแต่ความสุข”

พระมหาบุรุษจึงค่อยๆ เปิดผ้าคลุมสีแดงเข้มออกและเอาพระหัตถ์ของพระองค์ซึ่งช่วยโลกให้พ้นจากทุกข์ วางลงบนศีรษะเด็ก แล้วตรัสว่า “ขอความสุขของสูเจ้าจงยืนนาน และบุตรของสูเจ้าจงมีความเจริญในชีวิตเถิด เพราะสูเจ้าได้ช่วยตูข้าซึ่งไม่ใช่เป็นเทพเจ้าแต่เป็นญาติคนหนึ่งของสูเจ้า เดิมทีก็เป็นเจ้าองค์หนึ่งและบัดนี้เป็นผู้เดินทางเพื่อแสวงหาความสว่างซึ่ง ส่องให้เห็นไม่ทราบว่า ณ ที่ใด ทั้งกลางคืนและกลางวัน และเป็นแสงสว่างซึ่งส่องความมืดที่มนุษย์เกลือกกลั้วอยู่ด้วยมลทิน ทำอย่างไรมนุษย์จึงจะรู้จักความสว่างนั้น ตูข้าคงแสวงหาความสว่างนี้ได้ ความสว่างอันนี้ได้มาส่องอยู่ที่ตาของตูข้าอย่างรุ่งโรจน์และอย่างน่าหวัง แล้วในขณะที่เนื้ออันอ่อนแอของตูข้ากำลังตายไป แต่น้องสาวผู้ใจบุญ เนื้อหนังนั้นกลับได้รับความช่วยเหลือจากอาหารอันบริสุทธิ์ซึ่งได้รับมาจาก สัตว์หลายต่อหลายทอดเพื่อให้ได้มีแรงซึ่งประทังชีพดุจเดียวกับชีวิตได้ดำรง ต่อๆ มาเป็นหลายทอด เพื่อให้มีสภาพสูงขึ้นกลายเป็นสุขยิ่งขึ้น แล้วก็หาความสุขโดยล้างเสียซึ่งบาปแต่ก็เพียงที่มีชีวิตอย่างเดียวนั้น สูเจ้าเห็นว่าเป็นความสุขโดยล้างเสียซึ่งบาปแต่ก็เพียงที่มีชีวิตอย่างเดียว นั้น สูเจ้าเห็นว่าเป็นความสุขเพียงพอแล้วหรือ ความเป็นอยู่และความรักอาจเป็นการพอเพียงแล้วหรือ?”

นาง สุชาดาทูลว่า “พระองค์ผู้ทรงพระคุณธรรม ดวงกมลของข้าพเจ้านี้เล็กและหยาดฝนอันเล็กน้อยซึ่งชุ่มโชกทุ่งแต่เพียงน้อย แต่หยาดย้อยมาเต็มกลีบแห่งดอกเบญจมาศ เป็นการพอแล้วที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าดวงอาทิตย์แห่งชีวิตส่องสว่างแก่สามี ข้าพเจ้าให้อยู่โดยผาสุกและกระทำความแย้มสรวลให้แก่บุตรชายของข้าพเจ้า อีกทั้งได้ส่งเสริมความสุขเสน่หาในเคหสถานของข้าพเจ้าให้มีอยู่เป็นนิตย์ ทุกวันเดือนปีอันเป็นชีวิตของข้าพเจ้าได้ผ่านมาพร้อมด้วยการซึ่งข้าพเจ้าได้ ปฏิบัติการเรือนแล้วโดยเต็มที่ พออรุโณทัยไขแสงแดงเรื่อ ข้าพเจ้าก็ตื่นขึ้นเพื่อสวดมนต์บุชาพระเจ้าทั้งปวงและถวายธัญญาหาร อีกทั้งบำรุงรักษาต้นตุลสี(กะเพรา) แล้วก็แบ่งงานเป็นภาระให้แก่สาวใช้ของข้าพเจ้าทำ

ใน เวลากลางวันสามีของข้าพเจ้าเกยศีรษะเหนือตักของข้าพเจ้าแล้วหลับไหลไปในความ ฝันอันสันติสุข โดยได้รับความรำเพยแห่งลมของพัดที่ปัดโบก และเมื่อรับประทานอาหาร ณ สนธยาการอันสงบเงียบ ข้าพเจ้าก็อยู่ใกล้เธอและบำเรอขนมแก่เธอ ครั้นแล้วเหล่าดาราทั้งหลายก็เปล่งรัศมีแจ่มจรัสเพื่อสุขนิทรา ภายหลังที่ได้สวดมนต์ ณ วิหารแล้วสนทนากับมิตรสหายแล้ว

ฉะนี้ แหละข้าพเจ้าจะไร้ความสุขอย่างไรได้ เมื่ออุดมด้วยพรและได้บุตรชายมากำนัลให้แก่สามีของข้าพเจ้า คือบุตรชายซึ่งมืออันน้อยจะนำวิญญาณของเธอไปสู่สวรรค์ เมื่อกาลจำเป็นเพราะคัมภีร์แจ้งไว้ว่า เมื่อบุคคลใดปลูกต้นไม้เพื่อให้คนเดินทางได้อาศัยร่มและขุดบ่อสำหรับสาธารณ ชนแล้ว มีบุตรมาบังเกิดแก่บุคคลผู้นั้น เมื่อมรณะไปแล้วก็จะได้รับความสุข

ดัง นั้นข้าพเจ้าจึงเชื่อตามซึ่งคัมภีร์แจ้งไว้นั้นโดยน้ำใสใจจริงทีเดียว เพราะเหตุว่าข้าพเจ้าอ่อนรู้กว่าปราชญ์ผู้มีบุญทั้งปวงในสมัยโบราณ ผู้ซึ่งทำการติดต่อกับเทพเจ้าทั้งหลายและรู้จักความสำราญและธรรมรสกับหนทาง แห่งบุญกุศลและความสุขสันติภาพ

ฉะนั้นข้าพเจ้านึกว่า ความดีย่อมบังเกิดจากการกระทำดี และความชั่วมาจากการกระทำชั่วอย่าง แน่นอน สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่า ณ ที่ใดและเวลาใด เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าผลไม้ซึ่งมีประโยชน์ย่อมขึ้นจากเผ่าพันธุ์อันบริสุทธิ์ และสิ่งที่ขื่นขมย่อมขึ้นจากพันธุ์ซึ่งมีพิษ ข้าพเจ้าเห็นว่า ความชั่ว ย่อมยังผลให้บังเกิดความแค้นเคือง และความอ่อนโยนกระทำให้เกิดความไมตรี กับความพยายามกระทำให้บังเกิดความสงบสุขในชั่วชีวิตของเรา ครั้นเมื่อยามความตายได้มาถึง เราจะไม่มีความสุขเหมือนอย่างบัดนี้ทีเดียวหรือ บางทีจะสุขยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ

เพราะ เหตุว่า แม้นแต่ข้าวเมล็ดเดียวยังทำให้บังเกิดกอเขียวประดับต้นดุจเมล็ดไข่มุก 50 เมล็ดได้ และดอกดาราแห่งต้นจำปาขาวและสีทองยังซ่อนอยู่ในพุ่มไม้เล็กๆ สีหม่นๆ ปราศจากความสวย ข้าแต่พระองค์! ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าข้าพเจ้าอาจผจญความแร้นแค้นซึ่งจะสังหารความอ่อนน้อม พยายามและซึ่งจะทำให้หน้าต้องคลุกละอองฝุ่นได้ หากบุตรชายของข้าพเจ้าถึงซึ่งมรณะก่อนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเข้าใจว่าดวงใจของข้าพเจ้าคงขาดสะบั้น ทั้งข้าพเจ้าหวังใจจะให้ขาดสะบั้นเสียด้วย เมื่อดังนั้นข้าพเจ้าก็คงจะกอดบุตรซึ่งมรณะแล้วก็จะไปสู่โลกซึ่งเหล่านาง ภริยาผู้กตัญญูทั้งหลายไปเพื่อตั้งหน้าคอยสามีของข้าพเจ้า แต่ถ้าหากว่า ความตายได้มาเรียกเสนานิผู้เป็นสามีของข้าพเจ้าก่อน ข้าพเจ้าจะขึ้นเหนือกองฟืน ตระกองศีรษะของเธอไว้บนตักของข้าพเจ้าดุจดังปฏิบัติมาแล้วเป็นนิจนิรันดร์ แล้วข้าพเจ้าจะทำใจยินดีในเมื่อเชื้อไฟได้ดุจกองฟืนเป็นเปลวเพลิงรุ่งโรจน์ ขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วมีควันอันหนาทึบ หมุนเวียนอบอ้าวจนหายใจไม่ออก เพราะตามด้วยลักษณะแห่งพฤติการณ์ดังนี้ ความรักของนางนั้นก็จะทำให้วิญญาณแห่งสามีของตนดำรงอยู่ได้ถึงล้านปีบน เบื้องสวรรค์ สำหรับเส้นผมเส้นหนึ่งๆ แห่งศีรษะของตน เพราะเหตุนี้เองพระองค์ผู้มีบุญในชีวิตของข้าพเจ้าจึงมีความสุข แม้ข้าพเจ้าจะไม่ลืมว่าชีวิตของคนอื่นเศร้าโศกยากจนอ่อนแอและแร้นแค้นซึ่ง เทพเจ้าทั้งหลายย่อมสงสาร

แต่ ส่วนข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าพยายามปฏิบัติในสิ่งซึ่งเห็นว่าดี โดยความพึงพอใจและข้าพเจ้าดำรงชีพอยู่ในความเคารพต่อพระบัญญัติโดยหวังว่า สิ่งซึ่งถึงจะมาและจะต้องมาถึงตนในภายภาคหน้านั้นคงจะเป็นสิ่งที่ดี พระมหาบุรุษจึงตรัสว่า “สูเจ้าให้ความรู้แก่ครูทั้งหลาย คำชี้แจงอันง่ายๆ ของสูเจ้าปราดเปรื่องยิ่งกว่าวิทยาอันหนึ่ง จงยินดีในความโง่ของสูเจ้าเถิด เมื่อสูเจ้าได้รู้ทางแห่งความยุติธรรม และหน้าที่อันควรแก่ตนดังนี้แล้ว จงเจริญเหมือนดอกไม้ โดยให้ความร่มรื่นแก่บุตรของตน ภายใต้ความร่มเย็นของสูเจ้า แสงสว่างที่แรงกล้ายิ่งแห่งความจริงไม่เหมาะแก่ใบอันอ่อนละมุนซึ่งต้องคลี่ ออก ณ ภายใต้ดวงอาทิตย์ดวงอื่น และจะงอกเงยผลิตดอกออกผลในภายภาคชีวิตอื่น สูเจ้าซึ่งได้นับถือตูข้าๆ ก็นับถือสูเจ้าซึ่งมีใจดีอย่างวิเศษ สูเจ้าซึ่งรู้จักหนทางได้โดยไม่รู้สึกเลย เช่น นางนกพิราบซึ่งถูกความปฏิพัทธ์พาให้กลับคืนยังรังของตน สูเจ้าแสดงให้เห็นว่า เหตุใดจึงมีความหวังไว้สำหรับมนุษย์ และให้เห็นว่าวัฏสงสารแห่งชีวิตนั้นเกี่ยวกับเจตนาของบุคคลอย่างไร ความสงบสันติภาพจงมีแก่สูเจ้า และบำเพ็ญความสุขให้แก่สูเจ้าเถิด ให้ตูข้าได้บรรลุถึงซึ่งผลสำเร็จดังความปรารถนาแล้วของสูเจ้าด้วย ผู้ซึ่งสูเจ้ามาตรหมายว่าเป็นเทพเจ้าพระองค์หนึ่ง ขอวิงวอนให้สูเจ้าเอาใจช่วย ให้ความหวังนี้สำเร็จผลด้วย”

“ขอ พระองค์จงได้สำเร็จกิจของพระองค์เถิด”นางว่าพลางมองบุตรของตนด้วยความรัก ซึ่งยื่นมือไปสู่พระมหาบุรุษเหมือนหนึ่งเคารพต่อพระองค์และซึ่งบางทีจะรู้ เหมือนอย่างเด็กทั้งปวงที่รู้ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงซึ่งเราไม่อาจรู้ได้ ฝ่ายพระองค์ทรงลุกขึ้นเพราะมีพระกำลังขึ้นโดยอาหารอันบริสุทธิ์ที่พระองค์ ทรงเสวยแล้วก็เสด็จไปสู่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง คือต้นโพธิ์(ไม่รู้ร่วงโรยและคงจะอยู่ประหนึ่งว่าเป็นศรีแห่งโลกเสมอไป) คงเป็นบัญญัติแห่งโชคชะตา ความจริงจะมาเผยให้ปรากฏแก่พระมหาบุรุษ ณ ภายใต้ร่มโพธิ์นั้น บัดนี้องค์พระมหาบุรุษทรงทราบสิ่งนี้แล้ว อนึ่งพระองค์ย่างก้าวเสด็จไปทุกๆก้าว แสดงสง่าและความมั่นคง จนถึงต้นไม้แห่งธรรมวิทยาราศี โอ! มนุษย์โลกทั้งหลาย! จงปลาบปลื้มยินดีเถิด พระมหาบุรุษเสด็จมา ณ ภายใต้ต้นไม้นั้นแล้ว เมื่อพระองค์ทรงดำเนินถึงเงาร่มอันกว้างใหญ่ ภายใต้กิ่งก้านสาขาซึ่งแม้นเหมือนระเบียบอันมีต้นไม้เป็นเสาตั้งค้ำอยู่ และใต้พุ่มไม้อันเขียวชอุ่มสดใส แม่พระธรณีซึ่งรู้ในพระคุณธรรมก็บูชาพระองค์ด้วยการทำให้หญ้าอ่อนเขียวละมุน ละไม งอกขึ้นใต้พระบาทของพระองค์ พร้อมทั้งดอกซึ่งมีรสสุคนธ์

ฝ่าย กิ่งก้านของต้นโพธิ์นั้นก็น้อมลงมาเหมือนหนึ่งเป็นร่มกั้นพระองค์ กระแสพระพายอันสดชื่นหอมหวนด้วยกลิ่นแห่งดอกบัวโชยมาจากแม่น้ำ โดยบารมีแห่งเทพผู้เป็นเจ้าแห่งสินธุ ดวงตาอันกว้างอย่างตื่นตกใจแห่งสรรพสัตว์ซึ่งอาศัยป่า เช่น เสือดาว หมูป่าและเนื้อทรายซึ่งต่างล้วนแต่มีความสงบสุข ณ เย็นวันนี้จะจากถ้ำหรือพุ่มไม้ก็ดี ก็ได้ประสบพบพระวรพักตร์อันมีสิริของพระองค์ เหล่างูซึ่งมีพิษเลื้อยออกจากรูอันเยือกเย็นของตนแล้วก็ก้มเศียรเพื่อเป็น การเคารพพระองค์ เหล่าผีเสื้อสีต่างๆ ก็โบกปีกสีฟ้าสีเขียวหรือเหลือบเพื่อโบกพัดพระองค์ เหยี่ยวตัวร้ายปล่อยอาหารของตนทิ้งเสีย พลางออกเสียงร้อง หนูลายกระโดดไปมา ณ กิ่งไม้เพื่อดูพระองค์ นกซึ่งขยันคูขับอยู่ ณ ริมรังซึ่งไกวแกว่ง กิ้งก่าวิ่ง นกดุเหว่าขับร้องด้วยเสียงเสนาะของตน นกพิราบร่อนรอบบริเวณจนแม้แต่สัตว์เลื้อยคลานก็รู้สำนึกและเบิกบานใจ เสียงของแผ่นดินและสวรรค์ร้องซร้องสาธุการเป็นเสียงเดียวกัน

เป็น ทำนองว่า “ท่านผู้มีศักดิ์แลผู้เป็นปิยมิตร! พระองค์ผู้ช่วยทุกข์โดยความรักโลก! พระองค์ซึ่งชนะแล้วซึ่งความโกรธและความเย่อหยิ่ง ความอยาก ความกลัวและความสงสัย พระองค์ซึ่งบำเพ็ญพระองค์เพื่อประโยชน์แก่คนทุกคนและสัตว์โลกทั้งปวง จงไปยังต้นไม้นั้นเถิด สัตว์โลกอันเศร้าโศกขออวยพรแก่พระองค์ พระองค์ผู้เป็นพระพุทธเจ้าซึ่งจะบรรเทาทุกข์ของโลกจงเสด็จไปเถิด พระองค์ผู้ทรงศักดาและน่าเคารพบูชา จงบรรลุความมีชัยครั้งที่สุดสำหรับข้าพเจ้าทั้งหลาย พระราชาและผู้เป็นจักรพรรดิอันใหญ่ยิ่ง กาลเวลาของพระองค์มาถึงแล้ว นี้แหละราตรีกาลซึ่งมนุษย์หลายศตวรรษได้รอคอย”

(http://www.dhammatalks.net/images/vimuttisukha/a21.jpg)

“ดัง นั้นแล้วก็ถึงซึ่งราตรีกาล ในเวลาเดียวกับที่พระมหาบุรุษประทับนั่งใต้ต้นไม้ แต่เจ้าแห่งราตรีคือมารซึ่งรู้ว่าพระองค์ประทับอยู่ในที่นั้นเพื่อจะได้ช่วย มนุษย์ เมื่อกาลเวลาได้มาถึงซึ่งพระองค์จะต้องค้นหาความจริงเพื่อช่วยเพื่อช่วยโลก ให้พ้นทุกข์ก็ออกคำสั่งแก่บรรดาเจ้าแห่งความชั่วทั้งปวงทันที บรรดาปิศาจทั้งปวงซึ่งเป็นศัตรูของความดีและความสว่างจึงออกจากขุมนรกอันลึก แล้วชุมนุมกัน คือ อรติ ตฤษณะ ราคะ กับบริวารคือความโลภหลง ความเกลียดชัง ความโง่เขลา ความไม่ประมาณกับอีกเหล่าสาขาแห่งความแห่งความมืดมนอนธการและความกลัวทั้ง หลายเหล่านี้ ล้วนเกลียดพระมหาบุรุษและพยายามทำให้พระองค์หวั่นไหวพระทัยและไม่มีใครเลยจน แม้ผู้เป็นจอมปราชญ์ไม่รู้ว่าปิศาจเหล่านี้ใช้วิธีใดผจญกับพระมหาบุรุษในคืน วันนั้นเพื่อกำจัดความจริงให้ห่างเสียจากพระองค์ บางทีในท่ามกลางความหวั่นไหวของพายุ กองทัพปิศาจก็กระทำให้อสุนีบาตกัมปนาทหวาดหวั่นทั่วทั้งเวหา

อีก ทั้งทำให้ฟ้าแลบแปลบตาเหมือนดังหอกคดกริชซึ่งจะขัดทำลายฟ้าสีแดงเข้มให้แหลก ลาญ บางทีโดยอุบายและคำพูดอันไพเราะ ปิศาจเหล่านั้นก็กระทำให้ปรากฏรูปซึ่งงามอย่างมารยาขึ้น ณ ท่ามกลางแห่งใบไม้อันแน่นิ่งและให้บังเกิดสำเนียงเสียงขับร้องอันยั่วยวนและ เสียงเย็นเยือกแห่งความเสน่หา บางทีก็ล่อลวงพระองค์โดยถวายอำนาจด้วยอุบายอันเย้ยหยัน ปิศาจเหล่านั้นก็แสดงแก่พระองค์ให้ปรากฏเป็นว่าความจริงนั้นไม่มีค่า ประโยชน์อะไร แต่บรรดาการต่อสู้ทั้งนี้จะเป็นอาการซึ่งปรากฏออกมาอย่างซึ่งแลเห็นได้จริง ก็ดี หรือพระมหาบุรุษ พระองค์ทรงต่อสู้วิญญาณอันชั่วร้ายเหล่านั้นอยู่ ในพระทัยอันลึกซึ้งของพระองค์ก็ดี เชิญท่านพิจารณาดูเถิด ข้าพเจ้าจะกล่าวตามที่จารึกไว้ในคัมภีร์โบราณเท่านั้นเอง

บาป อันอุกฤษฏ์ 10 อย่างก็มาถึง คือ มิตรอันศักดานุภาพของมาร หมู่เทวดาแห่งความชั่วตัวแรก คืออัตตวาทะ ผู้เป็นบาปแห่งการเห็นแก่ตัวเองซึ่งพอใจแต่ชมหน้าของตนเองดังดูรูปในกระจก อยู่ในโลกร้องว่า “อาตมา” และอยากได้ยินโลกกล่าวว่า “อาตมา” และอยากเห็นสิ่งทั้งหลายวอดวายลงด้วยในเมื่อตนตกทุกข์ยาก “ถ้าสูเจ้าเป็นพุทธะ”มันกล่าว “จงปล่อยคลำทางในความมืดเถิด เป็นการพอเพียงแล้วที่สูเจ้าเป็นผู้ที่ไม่เปลี่ยนแปลง จงลุกขึ้นเถิดแล้วรับความสุขจากข้าพเจ้าทั้งหลายซึ่งจะไม่ต้องผจญความ เปลี่ยนแปลง ความรำคาญและการต่อสู้นั้นเถิด” แต่พระมหาบุรุษตรัสตอบว่า “ความยุติธรรมของเจ้านั้นน่าเกลียดน่าชัง ความไม่ยุติธรรมเป็นของอัปรีย์ จงไปล่อลวงผู้อื่นที่เห็นแก่ตัวของตนเองนั้นเถิด”

ครั้น แล้วเจ้าตัวสงสัยระแวง คือตัวบาปมุสาอันน่าชังก็มากระซิบที่พระโสตแห่งพระมหาบุรุษว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่ความฝัน และสิ่งที่เหลวไหลก็คือวิทยาแห่งความทะเยอทะยานในสิ่งเหล่านั้น สูเจ้าพยายามหาสิ่งที่เป็นแต่เพียงเงาเท่านั้น จงลุกขึ้นเถิดแล้วไปเสียจากที่นี้ ไม่มีผลอะไรดียิ่งไปกว่า ไม่ปรารถนาหรือการเฉยต่อสิ่งต่างๆ ไม่มีอะไรมาช่วยมนุษย์ได้เลย และมนุษย์ก็ไม่สามารถบังคับล้อเวียนวนซึ่งหมุนเสมอให้หยุดได้”

แต่พระมหาบุรุษของเราตรัสตอบว่า “เจ้าไม่มีธุระที่ต้องมาเกี่ยวข้องกับเรา วิจิกิจฉา (ความสงสัยหรือระแวง) เจ้าโกหก! เจ้าผู้ซึ่งเป็นศัตรูอันร้ายยิ่งของมนุษย์” ในลำดับที่ 3 เจ้าตัวบาปซึ่งเป็นมูลอำนาจของความเชื่อถืออย่างโง่เขลา คือ สีลัพพตปรามาสซึ่งเป็นแม่มดซึ่งในบางประเทศได้รับความห้อมล้อมเชื่อถือจากคน ซื่ออย่างเต็มตัว แต่ซึ่งกระทำกลมารยาอยู่เป็นเนืองนิตย์เพื่อล่อลวงวิญญาณด้วยให้เซ่นสรวงและ บนบานต่างๆ โดยถือลูกกุญแจสำหรับปิดนรกเปิดสวรรค์อยู่ในมือของมัน “สูเจ้ามีความกล้าหาญอยู่หรือ” มันว่า “ลองทำลายคัมภีร์ต่างๆ ของเรา และจงลองล้มพระเจ้าของเราเสียสิ จงทำให้โบสถ์ไม่มีคนเข้า แล้วจงทำลายบัญญัติซึ่งสั่งสอนนักบวชและอุ้มชูพระราชอาณาจักรนั้นให้ได้สัก หน่อยเถิด”



หัวข้อ: Re: The Light of Asia ประทีปแห่งทวีปเอเชีย : ปริเฉทที่ 6 มารวิชัย อภิสัมโพธิกถา
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 07 ตุลาคม 2559 14:42:03
 (http://www.dhammatalks.net/images/vimuttisukha/a23.jpg)


พระ พุทธเจ้าจึงตรัสว่า “สิ่งที่เจ้าขอให้เราทำลายนั้น เป็นแต่เพียงรูปการที่ใช้ได้ชั่วคราวเท่านั้น แต่ความจริงนั้นเป็นสิ่งที่ถาวรยืนนาน จงกลับไปสู่ความมืดของเจ้าเถิด”

ครั้น แล้วเจ้าตัวล่อลวงบรมเจ้าเล่ห์ก็เดินเข้ามาอีกอย่างไว้ภูมิคือกามาเจ้าแห่ง ความอยากซึ่งมีอำนาจจนกระทั่งเทพเจ้าทั้งหลาย เจ้าแห่งความหลง ราชาธิปไตยแห่งราชอาณาจักรของความสนุกรื่นเริง มันเดินมาพลางหัวเราะ ภายใต้ต้นไม้ถือธนูทองคำประดับด้วยดอกไม้สีแดงและลูกศรแห่งความอยากซึ่งปลาย เป็นเปลวไฟอันกล้า 5 เปลว สำหรับให้ทิ่มแทงหัวใจซึ่งมันพุ่งไปถูกอย่างร้ายแรงเสียยิ่งกว่าหอกที่ใส่ยา พิษ และโดยรอบของมันก็มีภาพที่งามเพริศพริ้งในดวงตา และริมฝีปากลออเอี่ยมเยี่ยมยอดซึ่งร้องเพลงเป็นบทบาทอันยียวนชวนสวาทอันเป็น บทเยินยอความเสน่หาประสานกันกับเสียงดนตรีอันไพเราะจากเครื่องดนตรีซึ่งแล ไม่เห็น ก็มาถึง ณ ที่อันวิเวกวังเวงนี้อีก

แต่ ละอย่างล้วนประกอบด้วยความกำหนัด จนราตรีกาลมีอาการเสมือนหนึ่งว่าสงบเสงี่ยมเพื่อฟังมัน และเหล่าดาราและดวงจันทร์เหมือนจะไม่โคจรต่อไปในระหว่างที่มันขับร้องบทบาท ความยั่วยวนเพื่อล่อลวงให้เสียพิธีของพระมหาบุรุษและทูลแก่พระองค์ว่า “ผู้ซึ่งจะต้องตาย จะหาอะไรให้ดีเลิศกว่าความต้องการของตนในไตรโลกอันกว้างใหญ่ซึ่งมีความสวย งามและกลิ่นสุคนธ์ยวนยั่วไม่ได้แล้วและไตรโลกนี้จะไม่มีอะไรดีกว่าดอกกุหลาบ ซึ่งเป็นพลอยทับทิมแห่งความเสน่หา เปล่าไม่มีอะไรเลยที่จะมีค่าเกินกว่าความสำราญชื่นบานด้วยรูปกายซึ่งมา ยั่วยวนแก่จักษุประสาทให้ปรากฏหนทางและกามแห่งบุคคลที่ต้องรักซึ่งเป็นความ กลมกล่อมอย่างไม่มีที่บกพร่อง แม้จะมีความรู้สึกระหว่างวิญญาณกับวิญญาณก็ดี ความกลมกล่อมอันยั่วยวนก็กระทำความกำหนัดให้แก่โลหิตของเรา และความเจตนาของเรารู้สึกบูชาและต้องการโดยรู้ว่านั่นแหละที่ดีกว่าอะไรทั้ง หมด เป็นสวรรค์อันแท้จริงซึ่งมนุษย์ที่จะต้องตายจะได้รับความสุข เช่นเดียวกันกับเทพเจ้าผู้สร้าง และผู้เป็นใหญ่ เป็นของขวัญที่ดีกว่าของขวัญทั้งปวงซึ่งผลัดเปลี่ยนให้ใหม่อยู่เสมอและซึ่ง มีค่าดีพอที่จะยอมลำบากตั้งพันอย่างเพื่อให้เป็นผลสำเร็จ เพราะใครบ้างที่ได้รับความทรมาน เมื่อแขนอันละมุนละไมมาสวมกอด และเมื่อตลอดชีวิตของเราก็มีแต่ความสุขเป็นเอก และโลกทั้งมวลดำรงเพื่อเป็นความกระสันอันแรงกล้าสำหรับตน”

หรือถ้าจะผูกเป็นกลอนก็คงมีเนื้อความว่า:-

“มนุษย์ผู้เวียนวนวัฏสงสาร
จะต้องการอะไรยิ่งไปกว่า
ต้องการเห็นแต่ความงามนัยน์ตา
ต้องการกลิ่นสุคนธาที่ยวนใจ
กลิ่นกุหลาบซาบซ่านฆานประสาท
กลิ่นใดอาจเทียมเทียบเปรียบเท่าได้
เป็นกลิ่นซึ่งพึงหน่วงดวงหทัย
ให้ใฝ่ในเสน่หากามารมณ์
ความสำราญบานใจไม่มีค่า
เท่าเห็นกายาหญิงไร้สิ่งห่ม
เพราะได้เห็นรูปโฉมน่าโลมชม
ด้วยความกลมกล่อมสะอางอย่างยียวน
ความกลมกล่อมย่อมนำความกำหนัด
เร้ามนัสเร้าตัณหาพาปั่นป่วน
เร้าโลหิตเร้ากระสันให้รัญจวน
ทั้งสิ้นล้วนเร้าใจให้เฟื่องฟู
ฤทธิเร้าเตือนเหมือนได้ไปสวรรค์
คือภพชั้นที่พระเจ้าอยากเข้าสู่
ก็เหตุใดโคดมบรมครู
จึงไม่รู้ทางไปที่คล้ายกัน
กลับมานั่งทรกรรมทนลำบาก
เว้นเสียจากเร้าใจให้กระสัน
หรือสุขกามารมณ์ไม่สมกัน
กับสวรรค์สุขซึ่งจะพึงดล
ใครเดือดร้อนเพราะกรนารีกอด
สำออยออดให้สุขทุกขุมขน
สุขเช่นนี้ควรใฝ่หาใส่ตน
ทั้งสากลภพหล้าหาง่ายเอย”

นี่ แหละคือเพลงที่มันขับร้องพร้อมด้วยมืออันแสนงอน ตาอันเปล่งปลั่งไปด้วยเปลวแห่งเสน่ห์ และความยิ้มแย้มยียวนและเมื่อเวลาเต้นรำเพื่อยั่วตัณหามันก็หุ้มกายของมัน แต่เพียงครึ่งตะโพก และอวัยวะอ่อนนุ่มของมันดุจดังดอกไม้ตูมครึ่งเดียวที่เผยให้เห็นสี แต่ยังซ่อนเกสรในของมันอยู่ฉะนั้น ไม่มีความงามใดเลยที่มายั่วยวนความกระสันให้ปรากฏแก่จักษุประสาทเท่ากับความ งามของเหล่านางฟ้อนรำในที่มืดซึ่งขยับเขยื้อนมาใกล้กับต้นไม้ ถ้าดูทีละคน ตาคนดูล้วนแต่จะเห็นงามเยี่ยงยิ่งกว่านางที่เห็นแล้วก่อน พลางรำพันว่า “โอ้! พระมหาสิทธัตถะ! ข้าพเจ้ามาหาพระองค์ จงลิ้มรสจากปากของข้าพเจ้าและจงทดลองดูความเป็นสาวของข้าพเจ้าว่าน่าพิศวาส หรือไม่”

ครั้น แล้วเมื่อไม่มีอะไรเลยที่อาจกระทบกระเทือนดวงพระหทัยของพระมหาบุรุษของเรา ได้แล้ว เจ้าตัวกามก็กวัดแกว่งธนูวิเศษของตน และทันใดนั้นหมู่นางฟ้อนก็หลีกออก แล้วมีภาพนางหนึ่งมาปรากฏขึ้นอีก งามยิ่งและเพริศพริ้งยิ่งกว่านางทั้งปวงเดินเข้ามา โดยให้ปรากฏเป็นภาพของพระนางศรียโสธรา ดวงเนตรซึ่งเอิบอาบไปด้วยน้ำอัสสุชล แสดงให้ปรากฏว่ามีความพิสมัยอย่างสุดสวาท แขนทั้งสองที่เหยียดยื่นให้ไปยังพระองค์ แสดงว่าระทมทุกข์แสนสาหัส และด้วยศัพท์สำเนียงอันละห้อยโหนหวน ภาพอันงามนั้นก็เรียกพระนามของพระองค์และสะอื้นว่า “ทูลกระหม่อมเจ้าขา! หม่อมฉันจะตายเพราะพระองค์ทอดทิ้งนี้แล้ว สวรรค์อะไรเล่าซึ่งทรงเห็นว่าเทียมเท่ากับสวรรค์ซึ่งได้ประสพด้วยกัน ณ ริมแม่น้ำโรหิณีอันใสสะอาด ในราชสำนักเกษมศานต์ซึ่งตั้งแต่หลายปีอันร้ายกาจ หม่อมฉันต้องวิโยคโศกาเพราะพระองค์เสด็จกลับเสียเถิด”

“พระ สิทธัตถะเสด็จกลับเสีย! หรือมิฉะนั้นอย่างน้อยจงจุมพิตริมพระโอษฐ์ของหม่อมฉันเสียใหม่ และได้ทรงโปรดให้หม่อมฉันอิงแอบแนบกาย ณ พระอุระของพระองค์อีกครั้งหนึ่งเถิด แล้วความฝันอันหาผลมิได้ก็จะสิ้นสูญไป จงทอดพระเนตรเถิด หม่อมฉันมิใช่ผู้ซึ่งพระองค์เสน่หาดอกหรือ!” แต่พระมหาบุรุษตรัสว่า “โดยความรักอันละมุนละม่อมแก่ผู้ซึ่งเจ้าปลอมตัวมา ทำให้เหมือนเขาซึ่งเป็นมารยาอันเป็นแต่เพียงเงาแห่งความงามและความเสน่ห์ดัง นี้นั้น อุบายของเจ้าหาบังเกิดผลอะไรมิได้เลย เราไม่แช่งเจ้า เจ้าซึ่งทำเป็นรูปทรงอันมีค่ายิ่ง แม้เจ้าจะเป็นเหมือนอย่างอาการทั้งปวงซึ่งปรากฏอยู่เหนือพื้นธรณีนี้ก็ดี จงกลับกายของเจ้าไปสู่ที่สว่างเวิ้งเสียใหม่เถิด” ครั้นแล้วก็มีเสียงก้องขึ้นในป่า และหมู่กายอันวิไลลักษณ์ทั้งมวลก็ค่อยๆ อันตรธานไปพร้อมกับธงแห่งเปลวไฟซึ่งลอยลิ่ว และชายเสื้อซึ่งจางหายไปในอากาศ

ต่อ มา ภายใต้ฟ้าอันขมุกขมัว และในเมื่อมีศัพท์สำเนียงเสียงพายุฝนโบกพัดเริ่มซัดมา เจ้าตัวบาปตัวที่ร้ายกาจยิ่งซึ่งเป็นกองระวังหลังแห่งเจ้าตัวบาปทั้ง 10 ก็มีอีก ตัวบาปที่ 1 คือ ปฏิฆะ เจ้าพยาบาท มีงูพันรอบอกของมันซึ่งดูดน้ำนมอันมีจากนมยานของมัน และขู่ฟ่อระคนกับเสียงด่าแช่งอย่างแดกดัน มันกระทำความรำคาญให้แก่องค์ผู้มีบุญได้ไม่มากมายอะไร เพราะด้วยดวงพระเนตรอันสงบของพระองค์กระทำให้ริมฝีปากอันขมขื่นของมันอ่อนลง และทำให้งูดำต้องบิดตัวของมันแล้วหดเขี้ยวของมันเสีย

ครั้น แล้วรูปราคะ เจ้าตัณหาในทางประเวณี ตัวบาปอันลามกใคร่ด้วยความคลั่งในความสังวาส เป็นความสำราญทำให้ลืมเสียซึ่งความดำรงชีพ ต่อจากมันก็มีเจ้าตัณหาแห่งความใคร่มีชื่อเสียง คืออรูปราคะ ซึ่งโดยอาการกิริยาอันสุขุมของมันล่อให้คนดีกลายเป็นคนเสีย เป็นที่เกิดแห่งความกลั่นกล้า แห่งการสงครามและความเหนื่อย

ต่อ จากนั้นก็มาโน เจ้าความหยิ่ง เจ้าปิศาจแห่งความจองหอง แล้วก็เจ้าตัวรักตนเองนามว่า อุทธัจจะ แล้วเจ้าตัวโง่ซึ่งห้อมล้อมไปด้วยสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์บินอันน่าเกลียด สารเลว ไม่สมประกอบอย่างคางคกและค้างคาวก็มาถึงซึ่งเป็นที่เกิดแห่งความกลัว

และความอยุติธรรมนามว่า อวิทยา (หมายความว่าความโง่เขลา ความเผลอ เห็นสิ่งที่ไม่ถาวร) ตัวแม่มดอันน่าเกลียดชังซึ่งเมื่อมันปรากฏมานั้น กระทำให้ราตรีกาลมืดยิ่งไปอีก และภูเขาก็สนั่นหวั่นไหวด้วยอานุภาพของมัน พายุร้ายคะนองลำพองพัดและเมฆก็กระจายละลายเป็นฝนตกลงมาอย่างห่าใหญ่ ดวงดาราตกจากฟ้า แผ่นดินไหวเหมือนกับว่าถูกไฟจี้ ณ แผลซึ่งเหวอะหวะ

ท้อง ฟ้าซึ่งวับแวบไปด้วยสายฟ้า แลบกระพือเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง เสียงร้องอันน่าอนาถ และเสียงหมาเห่าหอน หน้าตาอันเหี้ยมโหดดูถมึงทึง และหน้าผากอันกว้างใหญ่น่าสะพรึงกลัวและผึ่งผายคือ หมู่เจ้าแห่งนรกซึ่งมาจากใต้บาดาลและนำบริวารของมันมาเพื่อล่อลวงพระศาสดา จารย์ แต่พระองค์หาได้กังวลด้วยไม่

พระองค์ ยังคงประทับด้วยพระวรลักษณ์อันบริสุทธิ์ของพระองค์อยู่ เพราะพระองค์มีคุณธรรมอันบริสุทธิ์ของพระองค์เป็นเครื่องป้องกัน ดุจดังอันที่แข็งแรงบริสุทธิ์พร้อมด้วยประตูและป้อมปราการ และพฤกษชาติอันศักดิ์สิทธิ์ คือต้นโพธิ์นั้นก็ไม่ไหวติงด้วยอำนาจแห่งพายุ ทั้งใบก็แวววับอย่างปกติดุจในยามราตรีกาลซึ่งสว่างไสวไปด้วยแสงของดวงจันทร์ คราเมื่อไม่มีลมเฉื่อยแม้แต่น้อย มากระทำให้หยาดน้ำค้างตกลงมา เพราะความอึงมี่เหล่านี้คะนองลำพองลั่นอยู่นอกเขตเงาแห่งกิ่งใบทั้งมวลของ ต้นโพธิ์นั้น

ครั้น กาลกำหนดระยะที่ 3 แผ่นดินก็สงบเงียบ ฝูงปิศาจวายร้ายทั้งปวงก็หนีไปสิ้น และลมเฉื่อยก็พัดมาทางภายใต้ดวงจันทร์ซึ่งฉายแสงอยู่สลัวๆ ครั้นแล้วพระมหาบุรุษก็บรรลุซึ่งบุพเพนิวาสานุสติญาณ พระองค์ทรงแลเห็นทางแห่งความเป็นอยู่ในโลก ทุกๆ โลกซึ่งไกลยิ่งและยิ่งไกลๆ ออกไปอีก โดยอาศัยรัศมีซึ่งส่องเหมือนมนุษยชาติ และทรงระลึกชาติของพระองค์ที่ได้ล่วงแล้วมาในทุกๆ พิภพว่า มีจำนวนห้าร้อยห้าสิบชาติประดุจคนเดินทางซึ่งกำลังพักเหนื่อยอยู่บนยอดเขา กำลังมองดูมรรคาขรุขระซึ่งตนได้เดินมาตามแนวหน้าผาเหวและป่าสุมทุมซึ่งเมื่อ อยู่แต่ไกลก็คล้ายเช่นจุดดำหรือตามหนอง น้ำใสจนดูเห็นเป็นสีเขียวและที่ลุ่มที่ต่ำซึ่งเขาได้เดินมาจนเหนื่อย เหนื่อยที่สุด

ยอด เขาอันน่าสยดสยองซึ่งเท้าของเขาแทบจะลื่นล้ม และต่ำลงมาก็มีหญ้าซึ่งผึ่งแดด แก่ง ถ้ำและบึง และไกลออกไปอย่างลิบลับสายตาก็คือทุ่งซึ่งเขาได้ออกมา เพื่อให้ถึงขอบฟ้าอันเขียวอ่อนเหล่านี้ฉันใด ฝ่ายพระมหาบุรุษก็ทรงชมลำดับแห่งความเกิดต่อๆ มาของพระองค์ฉันนั้น

นับ ตั้งแต่ทุ่งต่ำซึ่งชีวิตไม่ถาวรจนกระทั่งถึงความสูงที่ยิ่งสูงๆ ขึ้นไป อันเป็นที่ซึ่งความดีอันใหญ่ทั้ง 10 ประการ รอคอยคนเดินทางเพื่อนำไปสู่สวรรค์ พะรมหาบุรุษยังเห็นอีกว่า ความเกิดใหม่ทุกๆ กำเนิดนั้น ย่อมรับผลซึ่งกำเนิดในชาติก่อนได้พูนเพาะมาแล้วนั้นอย่างไร อย่างไรซึ่งเมื่อชีวิตชะงักไปทีหนึ่ง(คือตายไปครั้งหนึ่งแล้ว) ก็ดำเนินไปใหม่อีก โดยสงวนผลได้และรับผิดชอบในเรื่องความเสียหายที่มีมาแล้วแต่ปางก่อนนั้น และในชั่วชีวิตทุกๆ กำเนิด ความดีย่อมเป็นมูลให้ดียิ่งขึ้นอีก และความชั่วก็เป็นมูลแห่งความชั่วใหม่อีก อย่างไร เพราะความตายนั้นเป็นเพียงประหนึ่งว่างบยอดบัญชีเป็นลูกหนี้หรือเป็นเจ้า หนี้ครั้งหนึ่งเท่านั้น และโดยการคำนวณซึ่งไม่มีคลาดเคลื่อน ยอดยกไปแห่งความประพฤติดีและความประพฤติชั่วก็ตราไว้ในตัวเอง โดยถูกต้องแน่นอนไม่ผิดแม้แต่น้อย เพื่อนับคำนวณสำหรับกำเนิดใหม่ที่เริ่มตั้งต้นอีกซึ่งประกอบด้วยความคิดและ ความประพฤติที่ล่วงมาแล้ว การต่อสู้และชัยชนะความจำอย่างเผินๆ และร่องรอยแห่งชีวิตหลายชาติซึ่งเหือดหายไปแล้ว

(http://www.dhammatalks.net/images/vimuttisukha/a22.jpg)

และ เมื่อจวนจะถึงซึ่งความตรัสรู้ ในเวลาเที่ยงคืนพระองค์ก็บรรลุซึ่งอภิชญาณ (ทิพพจักษุญาณ) คือความเล็งเห็นแลเห็นอันรุ่งโรจน์เกี่ยวด้วยโลกนี้ และโลกที่สูงๆ ซึ่งสุดที่จะระบุนามและเกี่ยวกับระเบียบต่างๆ ซึ่งเกี่ยวกับดวงดารา พระอาทิตย์และโลกทั้งหลายซึ่งเหลือที่จะคณนา อันโคจรไปด้วยความสม่ำเสมออย่างวิเศษเป็นหมู่เดียวกัน แม้จะอยู่ห่างกันก็ดี แต่ก็จัดว่าเป็นหมู่เป็นพวกเดียวกันทั้งมวล ซึ่งแม้ว่าอยู่ห่างกัน ไม่ติดต่อกันก็ดี โลกทั้งหลายซึ่งเปรียบเป็นเกาะเงินอยู่ในลูกคลื่นซัดกลิ้งไปตามกระแสแห่ง ความเปลี่ยนแปลงมิรู้สิ้นสุด

พระองค์ ทรงเห็นบรรดาดาวแห่งแสงสว่างซึ่งมีอำนาจสัมพันธ์อันมองไม่เห็น หน่วงเหนี่ยวหมู่ดาวน้อยอื่นๆ และซึ่งต้องอนุโลมหมุนรอบโลกอื่นที่มีอานุภาพยิ่งกว่าตนซึ่งโลกเหล่านั้นเอง ก็เป็นบริวารของดาวอื่นๆ ที่ไกลยิ่งไปอีก ประหนึ่งว่าดาวดวงหนึ่งย่อมส่องแสงอันเป็นประทีปแห่งชีวิตไปให้อีกดวงหนึ่ง ไม่รู้สิ้นสุด นี่แหละคือสิ่งที่ปรากฏในความเพ่งเล็งของพระองค์ และพระองค์ยังเห็นจักรราศีใหญ่และจักรราศีของโลกทุกโลก อีกทั้งการคณนากัลป์ (กัลป์เป็นวันหนึ่งของพราหมณ์ ซึ่งเท่ากับ 4,230 ล้านปี สิ้นกัลป์หนึ่ง พิภพก็จะสูญไป) และมหากัลป์ของโลกเหล่านั้นอันเป็นพิกัดอัตรากาลเวลาซึ่งไม่มีผู้ใดเลยอาจ คาดถึงได้ (แม้แต่ผู้ใดซึ่งอาจนับน้ำแห่งแม่คงคาให้เป็นหยดๆ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงทะเลก็ดี) และซึ่งแสดงกำหนดกาลเวลาซึ่งโลกทั้งหลายเจริญและอันตรธานไป ซึ่งในระหว่างนั้นเหล่าโลกที่อยู่ในท้องฟ้านี้ก็ดำรงชีพอยู่ด้วยความ รุ่งโรจน์ ครั้นแล้วก็มืดมัว และหายไปสักวารแล้วสักวารเล่า

พระองค์ รำพึงพิจารณาด้วยความลึกสุขุมและยอดแห่งความสุขุม รวมใจความว่าอย่างละเอียดลออ โดยเพ็งเล็งไปจนถึงเวหาอันเขียวซึ่งไม่มีขอบเขตและลักษณะของบรรดาโลกต่างๆ และสมัยความเป็นไปประกอบด้วยอาการแห่งโลกทั้งปวงนั้น พระองค์ก็ทรงเห็นว่าอยู่ในกฎแห่งความเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น ทั้งนี้โดยความสงบอยู่ในพุทธกิจอขงพระองค์ซึ่งต้องการให้ความมืดแปรมาสู่ ความสว่าง และความตายมาสู่ความดำรงชีพซึ่งทำให้ที่ว่างเปล่ากลับเปี่ยมเต็ม ให้รูปกายแก่สิ่งซึ่งยังไม่มีรูปกาย เปลี่ยนความดีให้เป็นความดียิ่งขึ้น และความดียิ่งให้เป็นดีเต็มที่ โดย ระเบียบซึ่งสำแดงโดยตนเองที่ไม่มีผู้ใดตั้งและไม่มีผู้ใดคัดค้าน เพราะระเบียบนั้นอยู่เหนือพระเจ้าทั้งหลาย ทั้งไม่แปรปรวน สุดที่จะพรรณนาและใหญ่ยิ่ง เป็นอำนาจซึ่งสร้าง ทำลาย และสร้างขึ้นใหม่อีก เป็นผู้ครองสิ่งทั้งปวงตามกฎแห่งความดีซึ่งสำเร็จลงเป็นความงาม ความจริงและคุณประโยชน์จนมีผลว่า ถ้าใครได้รับใช้อำนาจนั้นแล้วก็ได้ดี ใครขัดขวางก็ได้ชั่วฉะนั้น

ตัว บุ้งก็ทำดีแล้วที่ได้อนุโลมตนให้เป็นไปตามธรรมชาติ เหยี่ยวก็ทำดีแล้วในการที่ตนได้นำอาหารสดอันชุ่มไปด้วยเลือดไปให้ลูกของมัน หยาดน้ำค้างและดาวก็มีแสงอย่างเดียวกัน และมีส่วนร่วมงานของโลกอยู่ด้วยกัน ฝ่ายมนุษย์ซึ่งมีชีวิตสำหรับตาย ก็ตายสำหรับเหตุผลที่ดี หากว่าตนได้ยึดเอาความประพฤติซึ่งไม่มีตำหนิไว้เป็นเครื่องจูงนำตน กับยึดเอาเจตนาอันเที่ยงแท้สำหรับไม่เพียงแต่ช่วยอย่างเดียว แต่สำหรับยักย้ายสัตว์โลกทั้งปวงให้พ้นจากความแปรปรวน ทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่ทรมานอยู่ด้วยความดำรงตัวตน นี่แหละสิ่งซึ่งพระมหาบุรุษของเราเห็นในระหว่างที่จวนจะถึงซึ่งความตรัสรู้ ตอนเที่ยงคืน

แต่ครั้นถึงคราวที่ จวนจะถึงซึ่งความตรัสรู้ในลำดับที่ 4 พระองค์ ก็ทรงทราบความลับแห่งความเศร้าโศก (บรรลุอาสวักขยญาณ)ซึ่งเป็นอุปสรรคแก่กฎโดยอาศัยความชั่ว ดุจดังควันและขี้แร่ซึ่งทำให้ไฟของช่างทองดับไป ครั้นแล้วทุกขสัจองค์ที่ 1 แห่งความจริงอันสุขุมก็ประจักษ์แก่พระองค์ พระองค์ทรงเห็นว่าทุกข์เป็นเงาแห่งชีวิตซึ่งเปลี่ยนที่ไปด้วยกัน และซึ่งเราอาจพ้นเสียได้ก็โดยพ้นจากความเป็นอยู่โดยตรง และฐานะทั้งปวงของตน คือ ความเกิด ความเติบโต ความเสื่อม ความรัก ความแค้น ความบันเทิง ความทรมานตัวตนและความประพฤติ ไม่มีสิ่งซ่อนอยู่ในสภาพแห่งความพึงใจเหล่านี้ได้

หาก ผู้นั้นไม่มีวิทยาซึ่งอาจนำให้รู้ในเล่ห์กลของมันได้ แต่ผู้ใดซึ่งรู้จักอวิทยา มายา อบายมุข เหยียดมันให้เสียห่าง ไม่ริรักชีวิตต่อไป แต่ก็พยายามจนได้บรรลุถึงซึ่งความรอดพ้นไปได้ ตาของผู้นั้นย่อมเฉียบแหลม เขาย่อมเห็นว่ามายาเป็นอบายมุข เป็นมูลแห่งสังขาร (ความน้อมไปทางเลวทราม) และวิญญาณ(จิต)ซึ่งบังเกิดนามรูป(รูปกาย) โดยเฉพาะซึ่งทำให้บุคคลผู้ประกอบด้วยความรู้สึกต่างๆ อันปราศจากเครื่องป้องกัน ความหยั่งรู้เป็นเหมือนหนึ่งกระจกเงาที่ตั้งรับรูปภายนอกทุกอย่างซึ่งผ่าน สัมผัสกับใจตน ครั้นเมื่อเป็นดังนั้นแล้ว เวทนา(ชีวิตแห่งความรู้สึก) ก็เติบโตขึ้นพร้อมด้วยความปลื้มอันผิดและโทษอันร้ายกาจ แต่ซึ่งจะเป็นทุกข์หรือสุขก็ตาม ก็ยังส่อให้เกิดตฤษณา (ความอยาก) คือความกระหายซึ่งทำให้ผู้มีชีวิตดื่มคลื่นเค็มอันน่าลุ่มหลง อันเป็นกระแสซึ่งตนซึ่งตนกำลังล่องลอยอยู่และลูกคลื่นนั้นได้แก่ความสนุก รื่นเริง ความเย่อหยิ่ง ความมั่งมี เดชานุภาพ การมีชื่อเสียง การมีอำนาจเหนือสิ่งอื่น การชิงชัย ความรักและอาหารอันโอชา เครื่องนุ่งห่มสวยงาม วังอันมโหฬาร ความทะนงตนในการเกิดตัณหาในทางประเวณีและการต่อสู้ ซึ่งบางทีก็ละมุนละม่อมแต่บางทีก็ขื่นขม

ดัง นี้ความกระหายของชีวิตก็ดูดดื่มเครื่องดื่มซึ่งทวีความกระหายขึ้นอีก แต่คนดีย่อมตัดตฤษณาให้หลุดไปจากวิญญาณของตน และไม่หล่อเลี้ยงญาณวิถีของตนด้วยสภาพอันผิดนั้นเลย ย่อมทำให้จิตใจอันไม่แปรปรวนของตนเคยชินในความไม่ต้องการ ในการไม่ต่อสู้ ไม่ทำลาย โดยพยายามอดกลั้นความทุกข์ร้อนทั้งปวงซึ่งเนื่องจากการที่ตนกระทำผิดมาแล้ว แต่ปางก่อน ทั้งย่อมพยายามอดกลั้นความกระหายอยาก เหตุราคะตัณหาทั้งปวง

เมื่อ ดังนี้แล้ว ผลที่สุดอันบริบูรณ์ของชีวิตคือกรรม กรรมซึ่งเป็นผลนอกของวิญญาณ กรรมซึ่งได้รับผลจากความประพฤติและความคิดซึ่งล่วงมาแล้วของตน กรรมซึ่งเป็นผลที่ตนได้กอบโกยมาเป็นเวลานาน อันเนื่องจากความสัมพันธ์แห่งเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดเห็นได้ก็กลายเป็น บริสุทธิ์และปราศจากบาป ครั้นแล้วตนก็ไม่ต้องการหารูปกายและที่พำนักอันใดอันหนึ่ง หรือมิฉะนั้นจะมีรูปกายใหม่อีกโดยความเกิดใหม่ของตน ในวิถีซึ่งทุกขเวทนาของตนก็ย่อมบรรเทาเบาลงจนอันตรธานสิ้นไป

ครั้นแล้วก็บรรลุถึงซึ่งปลายที่สุดแห่งมรรคา รอดตนพ้นจากความหลงในโลกและจากสกันธัส (ของ ติดแห่งรูปกายมีอยู่ 5 คือ 1.อาการที่แลเห็นทั้งปวง 2. ความรู้สึก 3. การแตะต้องและความพิจารณา 4. นิสัยทางใจและความประพฤติ 5.ความคิด ของเหล่านี้ล้วนแต่ไม่แน่นอนทั้งสิ้น) แห่ง เลือดเนื้อได้ทำลายแล้วซึ่งอุปทาน ไม่จำเป็นต้องไปหมุนเวียนในวัฏสงสารอีกต่อไป ได้ถึงแล้วซึ่งความตื่นและวามารู้สึกตนเหมือนคนละเมอ ซึ่งมีผู้ปลุกให้สมฤดีในที่สุด เมื่อได้บรรลุถึงซึ่งความเป็นใหญ่ยิ่งกว่าราชาทั้งปวง สันติสุขเกษมศานต์กว่าเทพเจ้าทั้งหลาย แล้วก็รู้สึกว่าได้สิ้นแล้วซึ่งความเกิดอันธการ

ครั้น แล้วตนก็จะย่างเข้าสู่ความเป็นไปอย่างใหม่อีก คือความเป็นไปซึ่งไม่ใช่มีชีวิต แต่สงบไม่รู้หาย สำราญเกษมศานต์สุดที่จะพรรณนา คือถึงแล้วซึ่งนิรวาณ (นิพพาน) ความสงบซึ่งไม่มีบาปและปราศจากความมัวหมอง ความที่เปลี่ยนแปลงซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป

ใน ทันใดนั้น อรุโณทัยก็ไขแสงแจ้งความสว่างแห่งความมีชัยของพระพุทธเจ้า อัคคีแห่งทิวาวารอันรุ่งโรจน์โชตนาการส่องแสงมาแล้วในเมฆสีดำแห่งราตรีกาล ณ เบื้องบุรพาทิศ ดาวกัลปพฤกษ์ซึ่งลอยเด่นอย่างแจ่มจรัสค่อยๆ จางลง ในเมื่อแสงหลัวๆ สีกุหลาบซึ่งค่อยๆ ส่องสว่างแจ้งขึ้นเสมอมาทำลายสีเทาให้อันตรธานไปจากท้องฟ้าไกล

เหล่า ภูเขาซึ่งเหมือนเงาย่อมให้ประสบมหาสุริโยทัยก่อนกาลซึ่งโลกตื่นแล้ว ภูเขาเหล่านั้นก็มียอดดาดไปด้วยแสงทอง ลมพัดเฉื่อยฉิวแห่งเวลาเช้าซึ่งโชยมาเหนือปวงบุปผชาติ กระทำให้บุปผชาติเหล่านี้แย้มกลีบอันอ่อนละมุนออกทีละกลีบ แสงช่วงโชติซึ่งเขยื้อนเคลื่อนมาอย่างรวดเร็ว ฉายลงมาเหนือบรรดาหญ้าอันสัมผัสด้วยหยาดของน้ำค้างซึ่งถูกเปลี่ยนเป็นสีใส แวววับ ประดุจอัสสุชลของราตรีกาล เดียรดาษพื้นธรณีด้วยรัศมีแจ่มจรัส

กระทำ ให้เมฆซึ่งมีขอบเขตเป็นสีทองแล้วจางไปประดับความเปล่งปลั่งให้แก่ใบของต้น ตาลซึ่งน้อมลงประหนึ่งว่าถวายบังคมพวยพุ่งสีทองลงมาเหนือป่าโปร่ง วิถีของแสงพุ่งไปทางมาดุจคฑาวิเศษดังลำน้ำประหนึ่งว่ากำลังไหลหลั่งไปด้วย เม็ดพลอย ทับทิม ส่องลอดเข้าไปในพุ่มไม้ สู่ดวงตาของนางเนื้อทรายและประดุจบอกนางเนื้อทรายเหล่านั้นว่า “สว่างแล้ว” ฉายไปในรังของนกน้อยซึ่งนอนหดศีรษะอยู่ภายใต้ปีก พลางกระซิบว่า “หนูเอ๋ย จงชมดูแสงะวันเถิด” ครั้นแล้วนกทั้งปวงก็เริ่มกู่ก้องร้องขับ นกดุเหว่าร้องทำนองขลุ่ย นกกางเขนร้องสรรเสริญ นกปรอดร้องทำนองว่า “เวลาเช้า เวลาเช้า” นกคีรีบูนร้องพลางบินหาน้ำผึ้ง ก่อนที่แมลงผึ้งจะออกจากรัง การ้องกาๆ นกแก้วร้องเสียงแจ้ว นกค้อนทองสีเขียวเคาะไม้ นกขุนทองร้องอยู่บนกิ่งไม้ซึ่งมีใบหนา นกพิราบขู่ขับทำนองความรักซึ่งยืนยงตลอดชีพ แสงสว่างนี้คือแสงสว่างแห่งบารมีซึ่งเป็นพระคุณธรรมอันประเสริฐยิ่งที่ฉาย ความสันติสุข หาเสมอเหมือนมิได้มาสู่ที่อาศัยอยู่แห่งมนุษย์ทั้งหลาย ผู้ร้ายซึ่งหมายทำการฆาตกรรมก็เก็บซ่อนมีดของตน ขโมยก็ทิ้งสิ่งของที่ไปขโมยได้มา พวกธนาคารและพวกให้แลกเงินก็ชำระเงินโดยถูกต้องไม่มีโกง

บรรดา ผู้มีใจร้ายทั้งปวงกลับกลายเป็นคนดีขึ้น คนดีกลายเป็นคนดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ก็เพราะรัศมีแห่งพระพุทธบารมีได้ส่องมาแล้ว ณ เบื้องบนแผ่นดินนั้นเอง ปวงราชาซึ่งทำสงครามต่างก็ผ่อนผันกัน คนเจ็บลุกขึ้นด้วยความยิ้มแย้มเหนือเตียงป่วยของตน คนเจ็บที่มีอาการร่อแร่อยู่แล้วยังยิ้มขึ้นได้ เพราะเข้าใจว่าอรุโณทัยที่ไขแสงมาใหม่นี้ได้กำเนิดมาจากแหล่งที่ไกลเบื้อง บุรพทิศ ฝ่ายพระทัยของพระนางศรียโสธราซึ่งโศกเศร้าเฝ้าอยู่เคียงข้างพระแท่นของพระสิ ทธัตถะก็กลายเป็นปลาบปลื้มไปด้วยความสุขสำราญขึ้นทันทีและดูประหนึ่งว่า พระทัยของพระนางนั้นได้นึกว่าความรักของพระนางไม่ผิดแล้ว ดังนั้นความเศร้าโศกของพระนางจึงอันตรธานไป เพราะความปลาบปลื้มยินดีในโลกได้รับความสุขโดยไม่รู้เพราะเหตุใด จนถึงกับบรรดาเปรตและภูตผีปิศาจซึ่งไม่มีรูปกายต่างเปล่งระเบ็งเสียงขับร้อง ก้องมาเหนือทะเลทรายซึ่งว่างเวิ้งเพราะชื่นชมยินดีด้วยความมีชัยขององค์พระ พุทธเจ้า

ฝ่าย เทพยดาบนฟ้าก็ร้องว่า “สำเร็จแล้ว! สำเร็จแล้ว!” พวกนักบวชทั้งปวงสนทนากับทวยประชาชนซึ่งประหลาดใจพลางชมรัศมีแจ่มจรัสซึ่ง โชติช่วงอยู่บนเวหาแล้วว่า “ต้องมีอะไรที่มีมหิทธานุภาพบังเกิดขึ้นแล้ว” ส่วนในทุ่งหญ้าและป่าหลวง ปวงสัตว์ทั้งหลายก็เป็นมิตรไมตรีกันหมดในวันนั้น เนื้อทรายลายเป็นจุด เล็มหญ้าอยู่ข้างพยัคฆีที่กำลังให้ลูกกินนมโดยปราศจากความเกรงกลัว เสือดาวกินน้ำในหนองอยู่เคียงข้างนางเก้ง กระต่ายป่าวิ่งไปมาข้างเบื้องล่างก้อนศิลาซึ่งนกอินทรีที่กำลังไซ้ขนด้วยปาก อันน่ากลัวจับอยู่ งูซึ่งมีหนังเหลือบผิงแดดและหดเขี้ยวอันมีพิษลง เหยี่ยวซึ่งเป็นสัตว์โฉบเฉี่ยวปล่อยให้ปล่อยให้นกเล็กๆ ทำรังด้วยสันติสุข นกกินปลาทำตาเหม่อเพ้อฝันอยู่ใกล้ปลาที่ว่ายวนเวียนอยู่ใกล้ๆ นกกินผีเสื้อไม่ไล่จับผีเสื้อสีแดงเข้ม สีเขียวหรือสีเหลืองซึ่งเป็นฝูงๆ อยู่รอบที่ๆ นกนั้นเกาะอยู่

นี่ แหละคือ พระวิญญาณของพระพุทธเจ้าได้ทรงบันดาลให้มนุษย์และสัตว์ทั้งปวงมีความรู้สึก ในเมื่อพระองค์ทรงสมาธิญาณพิจารณาอยู่ใต้ต้นโพธิ์จนได้บรรลุถึงความมีชัย เพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งปวง และได้รับแล้วซึ่งแสงสว่างแห่งประทีปซึ่งสว่างกว่าแสงสว่างของดวงอาทิตย์

ใน ที่สุดเมื่อทรงประกอบแล้วซึ่งพระรัศมี พระสำราญและพระกำลังเข้มแข็ง พระองค์จึงทรงลุกขึ้นภายใต้ต้นโพธิ์นั้นและเปล่งพระ สุรเสียงของพระองค์ออกพระโอษฐ์ มีพระดำรัสสำหรับให้เป็นที่ได้ยิน ได้เข้าใจได้ทุกกาลสมัยและทุกโลกว่าดังนี้:-

“เรา ได้ดำรงชีวิตของเรามาประสบกับความเป็นไปทั้งปวง เพื่อค้นคว้าหาให้รู้ว่าใครเป็นผู้สร้างห้วงแห่งกังวลให้แก่ความรู้สึกต่างๆ ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน ได้ผจญกับความยากลำบากมาแทบไม่สิ้นสุด”

“แต่ บัดนี้เจ้าเอ๋ย เจ้าผู้สร้างห้วงหรือห่วงนั้น เจ้านั่นแล เรารู้จักเจ้าแล้ว เจ้าจะสร้างกำแพงซึ่งมีความทรมานอยู่ภายในนั้นไม่ได้อีกแล้ว เจ้าจะเผยอหัวออกอุบายของเจ้ามิได้แล้ว และเจ้าจะลงรากเหนือดินเหนียวนี้มิได้อีกแล้ว เรือนของเจ้าถูกทำลาย และขื่ออันสำคัญหักสะบั้นลงแล้ว คือมายานั่นแหละที่ได้สร้างเรือนนี้ขึ้น”

“ตั้งแต่นี้ไป เราจะเดินไม่หยุด เพื่อให้บรรลุถึงซึ่งการที่ช่วยให้สัตว์โลกพ้นทุกข์ได้

จาก http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/light_of_asia/06.html (http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/light_of_asia/06.html)

http://www.dhammatalks.net/Articles/Life_of_the_Buddha_in_Pictures.htm (http://www.dhammatalks.net/Articles/Life_of_the_Buddha_in_Pictures.htm)