[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน => ข้อความที่เริ่มโดย: ใบบุญ ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 19:56:47



หัวข้อ: หลวงปู่จันทร์ จันทโชติ วัดนางหนู จ.ลพบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 19:56:47

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/36821336630317_view_resizing_images_1_.jpg)

หลวงปู่จันทร์ จันทโชติ
พระเกจิวัดนางหนู จังหวัดลพบุรี

“หลวงปู่จันทร์ จันทโชติ” หรือ “หลวงปู่จันทร์ วัดนางหนู จ.ลพบุรี” พระเกจิอาจารย์ชื่อดังสมัยสงครามอินโดจีนต่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นที่กล่าวขวัญและเลื่อมใสศรัทธาสืบมาจนถึงปัจจุบันของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวเมืองลพบุรี

มีนามเดิมชื่อ จัน หรือ จันทร์ สุดสาย เป็นชาวลพบุรีโดยกำเนิด เกิดเมื่อปี พ.ศ.2395 ที่บ้านบางพุทโธ ต.ตลุง อ.เมือง จ.ลพบุรี

ในวัยหนุ่มเป็นคนพูดจริงทำจริงและเจ้าชู้ จนได้สาวงามแห่งบางพุทโธ 2 ศรีพี่น้องเป็นภรรยา ชื่อ นางสินและนางทรัพย์ มีบุตรด้วยกันรวม 4 คน

กล่าวกันว่า ร่ำเรียนวิทยาคมต่างๆ จากปู่ซึ่งเป็นจอมขมังเวท ทั้งยังชอบกินว่านและอาบว่าน เพื่อให้ผิวกายคงทนต่อศาสตราวุธต่างๆ และด้วยความมีใจนักเลง เป็นเหตุให้เกิดมีเรื่องราวกับคู่อริถึงขนาดทำร้ายกันจนถึงชีวิต ต้องหลบหนีอาญาจากบ้านเมืองไป

ซึ่งในระหว่างนั้นเอง ท่านมีโอกาสร่ำเรียนวิทยาคมจากพระเกจิอาจารย์และฆราวาสผู้ทรงพุทธาคมมากมาย หากแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นท่านใดบ้าง เมื่อพ้นอายุความในช่วงวัยกลางคน ท่านจึงหวนสู่ภูมิลำเนา ณ บางพุทโธ และตัดสินใจเข้าสู่ ร่มกาสาวพัสตร์ อุปสมบท ณ วัดบัว โดยมีพระสังฆภารวาหะมุนี (หลวงพ่อเนียม) วัดเสาธงทอง พระเกจิชื่อดังยุคนั้น เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายา “จันทโชติ”

ดำรงสมณเพศเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาตลอดอายุขัย

ขณะที่จำพรรษาอยู่ ณ วัดบัว ท่านสังเกตว่า “วัดนางหนู” วัดเก่าแก่สมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามนั้น มีสภาพชำรุด ทรุดโทรมมาก จนเกือบจะเป็นวัดร้างและไม่มี พระภิกษุ-สามเณรจำพรรษา ท่านจึงขอย้ายไป จำพรรษาที่วัดนางหนู บูรณปฏิสังขรณ์ ตลอดจนสร้างเสนาสนะต่างๆ

ครั้นเมื่อชาวบ้านได้เห็นถึงความมุ่งมั่นก็เริ่มศรัทธามาร่วมแรงร่วมใจกัน จนวัดนางหนูมีความถาวรเป็นปึกแผ่นและเจริญรุ่งเรือง ต่อมาได้มีการสังคายนาชื่อวัดให้ถูกต้อง ตามทำเนียบสงฆ์ ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “วัดมุกสิกกาวาส”

เพื่อตอบแทนน้ำใจญาติโยมที่สละทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์ในการร่วมกันปฏิสังขรณ์วัดครั้งนั้น หลวงปู่จันทร์ จึงสร้างวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังมากมาย อาทิ ตะกรุดไม้ไผ่ ตะกรุดไม้ลวก ตะกรุดสังวาล เสื้อยันต์ ผ้ายันต์ สีผึ้ง รูปถ่ายอัดกระจก สายคาดเอว พระเครื่องเนื้อผงพิมพ์ต่างๆ เป็นต้น

เล่ากันว่า เมื่อครั้งสงครามอินโดจีน ประมาณปี พ.ศ.2484 ทหารหน่วยต่างๆ ต่างมุ่งสู่วัดนางหนู เพื่อขอวัตถุมงคลจากหลวงปู่จันทร์ เป็นจำนวนมาก พร้อมสละทรัพย์หรือปัจจัยให้ท่านนำไปสร้างถาวรวัตถุต่างๆ เงินทำบุญนั้นมากขนาดสร้างโบสถ์หลังใหม่ได้ทีเดียว

หลังจากนั้นไม่นาน หลวงปู่จันทร์ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสดูแลปกครองวัดนางหนูสืบมา และชื่อเสียงของท่านก็โด่งดังไปทั่วภาคกลางในฐานะพระเกจิอาจารย์ผู้มีวิทยาอาคมเข้มขลัง เป็นอีกหนึ่งพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในช่วงสงครามอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา ได้รับนิมนต์เข้านั่งปรกในพิธีพุทธาภิเษกสำคัญ อาทิ พิธีพุทธาภิเษก ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธ เมื่อปี พ.ศ.2481 และพิธีปลุกเสก ?พระพุทธชินราชอินโดจีน? ณ วัดสุทัศน์ เมื่อปี พ.ศ.2485

ในบั้นปลายชีวิต ท่านสร้างวัดบางพุทโธ หรือวัดชนะสงคราม จนสำเร็จลุล่วง นัยว่าเป็นการล้างบาปที่ท่านได้เคยก่อไว้ในอดีต

มรณภาพในปี พ.ศ.2490 สิริอายุ 97 ปี ก่อนละสังขารได้เรียกพระครูพิพัฒน บุญญาธร ศิษย์เอกของท่านมาสั่งเสีย และท่านได้ครองจีวรพาดผ้าสังฆาฏิอย่างรัดกุม เข้านิโรธสมาบัติจากไปอย่างสงบ


อริยะโลกที่ 6