หัวข้อ: กลอนดอกสร้อย "รำพึงในป่าช้า" เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 03 เมษายน 2560 20:00:38 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/43602187310655_DSC_0013.jpg) หลุมฝังศพ ณ เมืองเซอร์แมท (Zermatt) สวิตเซอร์แลนด์ ถ่ายภาพ : กิมเล้ง - logation ประกอบเรื่องอยู่ไกลถึงต่างประเทศค่ะ เพราะหาภาพป่าช้าในเมืองไทยค่อนข้างยาก กลอนดอกสร้อย "รำพึงในป่าช้า" จากภาษาอังกฤษซึ่งท่านเสฐียรโกเศศ แปลให้ ข้าพเจ้า (นาคะประทีป) ได้แต่งดัดแปลงให้เข้าธรรมเนียมไทยบ้าง กถามุข ดังได้ยินมา สมัยหนึ่ง ผู้มีชื่อต้องการความวิเวก เข้าไปนั่งอยู่ ณ ที่สงัดในวัดชนบท
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/35327390746937_DSC02266.jpg) ภาพจาก : ตำบลเขาทอง อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/36921200777093_DSC_0595.jpg) บรรยากาศยามค่ำคืน วัดขุนอินทประมูล ตำบลอินทประมูล อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/89385641945732_DSC01930.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/88875707031952__MG_9238.JPG) ภาพจาก : วัดพนมยงค์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
โปรดติดตามตอนต่อไป หัวข้อ: Re: กลอนดอกสร้อย "รำพึงในป่าช้า" เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 16 ตุลาคม 2560 13:13:37 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/21912823534674_DSC_0409.JPG) พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย ทุ่งมะขามหย่อง ตำบลบ้านใหม่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/18830473596850_DSC_0449.JPG)
---------------------------- หัวข้อ: Re: กลอนดอกสร้อย "รำพึงในป่าช้า" เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 16 ตุลาคม 2560 14:49:55 (https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcT-9fmkfRdDFoMe1AGm0nPuCcX9dx4z-A3z4rEhyFbL9_NhWfnSdw)
กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า เรื่องนี้ท่านผู้ประพันธ์ (พระยาอุปกิตศิลปสาร) ได้บอกไว้ดังนี้ “...ท่านเสฐียรโกเศศแปลให้ ข้าพเจ้าได้แต่งตัดแปลงให้เข้ากับธรรมเนียมไทยบ้าง” เมื่อท่านผู้ประพันธ์บอกไว้ดังนี้ เราคงใคร่จะทราบว่าเรื่องเดิมคือเรื่องอะไร เรื่องเดิมเป็นโคลงภาษาอังกฤษชื่อ Elegy Written in a Country Churchyard ผู้แต่งเป็นกวีชื่อ โธมาส เกรย์ (Thomas Gray) การอ่านกลอนดอกสร้อยเรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องรู้ไปถึงต้นเรื่องเดิมในภาษาอังกฤษ รู้เฉพาะเรื่องเป็นดอกสร้อยนี้ ก็เป็นการเพียงพอแล้ว กลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้านี้ เป็นที่ติดอกติดใจของผู้อ่าน เป็นกลอนดอกสร้อยดีที่สุดเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะบทแรกที่ว่า “วังเอ๋ยวังเวง หง่างเหง่งย่ำค่ำระฆังขาน” นั้น เพียงแต่อ่านครั้งเดียว เราก็อาจจำได้ทันที เพราะข้อความสั้นๆ นั้นจับความรู้สึก ถ้อยคำที่ใช้ก็เป็นคำสามัญๆ ที่ทำให้เราอ่านแล้วรู้สึกนึกเห็นภาพและได้ยินเสียง ในกถามุข คือคำนำของเรื่องนี้ ผู้ประพันธ์ได้บอกให้เรารู้ว่า มีใครคนหนึ่งไปนั่งอยู่ที่เงียบในป่าช้าในวัดชนบทแห่งหนึ่ง ที่ป่าช้านั้นแม้จะมีหลุมศพอยู่มาก แต่เป็นที่ร่มรื่นน่าสบาย ขณะนั้นเป็นเวลาพลบ ชาวนานำวัวควายกลับบ้าน คนๆ นั้นได้นั่งอยู่จนพระจันทร์ขึ้น เมื่อได้อยู่ในที่สงบสงัด ได้เห็นชาวนาและวัวควายของเขาเดินกลับบ้านอย่างเหนื่อยอ่อน ได้เห็นตะวันลับไป พระจันทร์ขึ้น เห็นนกกลับเข้ารัง เห็นหลุมศพอันเยือกเย็นเงียบเหงา คนผู้นั้นก็เกิดความรู้สึกนึกคิดขึ้นในใจ แล้วเขียนความรู้สึกในใจนั้นออกมาสู่กันฟัง ตามเรื่องเดิม นายโธมาส เกรย์ ได้เขียนโคลงภาษาอังกฤษเรื่องนี้ขึ้นตามความรู้สึกตอนที่เขาได้ไปนั่งโดดเดียวในป่าช้า เวลาจวนพลบจริงๆ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องแสดงอารมณ์ความรู้สึก เมื่อเราได้พบปะเหตุการณ์อะไรที่ประทับใจ เช่นเมื่อเห็นอะไรที่น่าเกลียดน่ากลัว น่าสงสารเวทนา หรือไปอยู่ในสถานที่สงบสงัด ก็ต้องมีความนึกคิดอะไรเกิดขึ้นในใจ ความนึกคิดนั้นบางทีก็ลึกซึ้งหรือเกิดเป็นคติธรรมขึ้น ทำให้ตนเองแลเห็นข้อเท็จจริงของชีวิต บางคนโดยเฉพาะกวี เมื่อเกิดความรู้สึกดังนี้ ก็มักจะแสดงออกมาให้ผู้อื่นรู้ โดยแต่งเป็นกาพย์กลอน คนอื่นที่อ่านกาพย์กลอนนั้น ก็พลอยเกิดความรู้สึกตามไปด้วย ถ้าความรู้สึกนึกคิดและกาพย์กลอนที่กวีแต่งนั้นดี ลึกซึ้งไพเราะ เป็นที่นิยมของผู้อ่าน กาพย์กลอนนั้นก็นับว่าเป็นวรรณคดี เช่นเรื่องกลอนดอกสร้อยรำพึงในป่าช้า นี้ (https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRf9e3Tu6a5BH2qhcOMC3xKtRfC5-FgIETy579nsUL9JYb3rrh7Tg) ลักษณะของดอกสร้อย กลอนดอกสร้อยเดิมเป็นกลอนขับร้องเช่นเดียวกับกลอนสักวา แต่งเป็นเรื่องโต้ตอบระหว่างหญิงชาย แต่ก่อนเป็นการเล่นที่นิยมกันมาก ในเวลาที่มีการรื่นเริงสนุกสนานกัน จะเป็นที่บ้าน ตามวัดหรือตามลำน้ำ เวลามีการทอดกฐินก็มักมีการเล่นสักวาหรือดอกสร้อย ลักษณะการเล่นดอกสร้อยนั้น มักเป็นการว่าโต้ตอบกันระหว่างฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง เช่นตัวอย่างต่อไปนี้
จะเห็นว่าต้องยกหัวข้อขึ้นว่าก่อน เช่น นอนเอ๋ยนอนวัน – น้ำเอ๋ยน้ำคำ หรือ มดเอ๋ยมดแดง – โรงเอ๋ยโรงเรียน ฯลฯ แล้วแต่งต่อไปให้ได้ ๔ คำกลอนเป็นจบบท ไม่ต้องลง เอย ส่วนฝ่ายที่จะแต่งตอบต้องหาคำมารับสัมผัสกับบทก่อน อย่างเช่นตัวอย่างนั้น บทแรกส่งด้วยคำว่า “มา” บทตอบคือบทหญิง ก็ต้องแต่งหาคำมารับสัมผัสกับ “มา” คือ “โอชา” มาในปัจจุบันการแต่งบทดอกสร้อยมีระเบียบเช่นเดียวกับสักวา คือว่า แต่งบทหนึ่งสี่คำกลอน แล้วลงท้ายด้วยคำว่า “เอย” แบบสัมผัสเหมือนกับกลอนสุภาพ ดังนี้
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/30128365548120__3585_3621_3629_3609_.gif) ๐ = หนึ่งคำหนึ่งพยางค์ เช่น อย่า ใจ ให้ ครอบ ครอง นับเป็นหนึ่งพยางค์ หนึ่งคำ แต่ สกุล ปวัตติ์ กษัตริย์ ประเสริฐ สมัย ถึงแม้จะเป็นสองพยางค์ คือออกเสียงสองครั้ง ก็อนุโลมเป็นคำเดียวได้ จะเห็นว่าดอกสร้อยบทหนึ่งบรรจุคำประมาณ ๖๐ คำ ถ้าไม่นับคำขึ้นต้นก็มี ๕๖ คำ กวีต้องบรรจุความลงให้รัดกุมใน ๕๖ คำนี้ ต้องมีแง่คิดและคารมดี บทดอกสร้อยจึงจะจับใจชวนฟัง การแต่งอย่างดาดๆ เช่น จะแต่งว่า ดอกเอ๋ยดอกบัว แล้วพูดว่าดอกบัวสีอะไร ใช้ทำอะไร ดังนี้ก็ไม่มีอะไรชวนคิด บทดอกสร้อยที่นับว่าดีนั้น ควรจะประกอบด้วยคำที่ใช้ที่ให้ความหมายดี สัมผัสดี คารมและแง่คิดดี บทดอกสร้อยรำพึงในป่าช้านี้ นับว่าถึงพร้อมด้วยคุณลักษณะทั้งสามประการนั้น ประวัติพระยาอุปกิตศิลปสาร อำมาตย์เอก พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) เป็นอาจารย์ภาษาไทยผู้แต่งตำราไวยากรณ์ไทย ๔ เล่ม คือ อักขรวิธี วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ อันเป็นตำราไวยากรณ์ไทยบริบูรณ์ที่สุดเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๒ ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๘๔ ท่านได้แต่งเรื่องที่เป็นคำประพันธ์ไว้หลายเรื่อง เช่น คำฉันท์ยอเกียรติชาวนครราชสีมา และสงครามภารตะคำกลอน เป็นต้น โดยที่ท่านเป็นอาจารย์ภาษาไทย เป็นมหาเปรียญ เรื่องที่ท่านแต่งจึงมีระเบียบถูกต้องตามหลักภาษา ควรถือเป็นแบบฉบับได้ |