[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ห้องสมุด => ข้อความที่เริ่มโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 19:39:26



หัวข้อ: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 19:39:26
เงิน

ผมจะทยอยนำมาลงให้ได้อ่านกัน

อยากรู้เรื่องของเงิน  ต้องติดตามอ่านกันครับ


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 19:40:10
ปัจจุบันนี้ คงไม่มีใครที่จะปฎิเสธเรื่องของ "เงิน" ได้ เพราะเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันของคนเป็นจำนวนมาก ลองอ่านกันดูนะครับ

ที่มา พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
http://board.palungjit.com/showthrea...22445&page=883 (http://board.palungjit.com/showthrea...22445&page=883)
และ
"พระวังหน้า ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้....."
http://www.agalico.com/board/showthr...t=8477&page=32 (http://www.agalico.com/board/showthr...t=8477&page=32)


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 19:40:38
ที่มา พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
http://board.palungjit.com/showthrea...22445&page=883 (http://board.palungjit.com/showthrea...22445&page=883)
และ
"พระวังหน้า ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้....."
http://www.agalico.com/board/showthr...t=8477&page=32 (http://www.agalico.com/board/showthr...t=8477&page=32)

ที่มา พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....
และ
"พระวังหน้า ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้....."
http://www.agalico.com/board/showthr...t=8477&page=32 (http://www.agalico.com/board/showthr...t=8477&page=32)

เรื่องของการเงินและการธนาคาร เป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นใคร เราจึงควรที่จะเรียนรู้ และรู้เท่าทันกับเรื่องต่างๆที่เป็นเรื่องการเงินหรือการธนาคาร อีกทั้งกลโกงของเหล่ามิจฉาชีพที่นับวันจะพัฒนามากขึ้นไปเรื่อยๆ เพิ่มความซับซ้อนมากตามเทคโนโลยี จนบางครั้งบางคนตามเหล่ามิจฉาชีพไม่ทัน ผมจึงได้นำเรื่องราวต่างๆที่เคยประสบพบเห็นและได้เจอ นำมาเล่าสู่กันฟังครับ

เรามาว่ากันเรื่องของบัญชีออมทรัพย์ ,บัญชีกระแสรายวัน และบัญชีฝากประจำกันก่อน
บัญชีออมทรัพย์ เป็นบัญชีที่ธนาคารเปิดให้กับผู้ที่มีความต้องการฝากและถอนเงิน โดยมีบัตรเอทีเอ็มเป็นสิ่งที่สามารถถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มจากบัญชีของตนเอง หรือการโอนเงินทางอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง อัตราดอกเบี้ยของบัญชีออมทรัพย์เป็นบัญชีที่ให้อัตราดอกเบี้ยน้อย
บัญชีกระแสรายวัน เป็นบัญชีที่ธนาคารเปิดให้กับผู้ที่มีความต้องการใช้ในธุรกิจของตนเอง มีการสั่งจ่ายเงิน(ถอนเงิน)ในบัญชีกระแสรายวันได้หลายทาง เช่น การจ่ายเช็ค ,การถอนเงินจากบัตรเอทีเอ็ม หรือการโอนเงินทางอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง อัตราดอกเบี้ยของบัญชีกระแสรายวัน ธนาคารไม่จ่ายดอกเบี้ยให้
บัญชีฝากประจำ เป็นบัญชีที่ธนาคารเปิดให้กับผู้ที่ต้องการออมเงิน โดยมีระยะเวลาต่างๆ เช่น การฝาก 3 เดือน , 6 เดือน , 12 เดือน , 24 เดือน เป็นต้น อัตราดอกเบี้ยของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารแต่ละแห่งเป็นผู้ที่กำหนดเองว่า จะให้อัตราดอกเบี้ยจำนวนเท่าไร แต่โดยปกติหากการฝากเงินในบัญชีเงินฝากประจำ ถ้าระยะเวลาที่น้อย จะได้อัตราดอกเบี้ยน้อยว่า การฝากที่ใช้ระยะเวลาที่มากกว่า ส่วนการถอนเงินเมื่อครบกำหนดที่ระบุไว้( เช่น 3 เดือน , 6 เดือน , 12 เดือน , 24 เดือน) ผู้ฝากเงินย่อมมีสิทธิที่สามารถถอนเงินจากบัญชีนั้นๆได้ โดยถอนเงินที่ทำการธนาคาร แต่ถ้าหากว่าบัญชีเงินฝากประจำที่มีกำหนดระยะเวลามากกว่า 3 เดือน เช่น ระยะเวลา 12 เดือน แต่หากเจ้าของบัญชีมีความต้องการที่จะใช้เงินก่อน สามารถถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำนั้นๆได้ แต่ว่าอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารต้องจ่ายให้กับผู้ฝากเงินนั้น จะได้เป็นอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์

การฝากเงินในบัญชีออมทรัพย์และบัญชีฝากประจำ จะมีอีกเรื่องที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องคือ การเสียภาษีเงินได้ของกรมสรรพากร บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ หากได้ดอกเบี้ยเกิน 20,000 บาทต่อปี จะต้องเสียภาษี 15 % ส่วนบัญชีเงินฝากประจำ ไม่ว่าจะได้ดอกเบี้ยเงินฝากจำนวนเท่าไร ต้องเสียภาษี 15 % เสมอ ภาษีที่ผู้ฝากเงิน(บัญชีเงินฝากประจำ) เสียให้กับกรมสรรพากร สามารถนำไปหักลดหย่อนในการยื่นแบบการเสียภาษีประจำปีได้

นอกเหนือจากบัญชีเงินฝากทั้ง 3 ประเภทแล้ว ยังมีบัญชีอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นบัญชีที่หลายๆคนชอบ และอีกหลายๆคนไม่ชอบ นั่นก็คือบัญชีเงินกู้
บัญชีเงินกู้จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ก็คือ
1.บัญชีเงินกู้ประจำ
2.บัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี
3.บัญชีเงินกู้อื่นๆ

สำหรับบัญชีเงินกู้นั้น เมื่อเอ่ยคำว่า “กู้เงิน” ต้องมีสิ่งหนึ่งตามมา นั่นก็คือ “ดอกเบี้ย” ดอกเบี้ยจะแบ่งเป็น 4 ประเภท คือ “MOR (Minimum Overdraft Rate) ” , “MLR” (Minimum Loan Rate) , “MRR” (Minimum Retail Rate) และประเภทสุดท้าย (ที่ใครๆไม่ต้องการ)คือ อัตราดอกเบี้ยผิดนัด

สำหรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ “MOR (Minimum Overdraft Rate) ” เป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับบัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ “MLR” (Minimum Loan Rate) , “MRR” (Minimum Retail Rate) เป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับบัญชีเงินกู้ประจำ หรือบัญชีเงินกู้อื่นๆ

อัตราดอกเบี้ยทั้งสามประเภท เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ลอยตัว ไม่ใช่ล่องลอยไปในอากาศ แต่เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารสามารถปรับขึ้นหรือลง ตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศและการบริหารของธนาคารนั้นๆ


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 19:42:49
ผมมาอธิบายต่อสำหรับบัญชีเงินกู้ประเภทต่างๆนะครับ

1.บัญชีเงินกู้ประจำ เป็นบัญชีที่ธนาคารให้กู้เงินเพื่อใช้สำหรับการกู้ซื้อที่อยู่อาศัย (แม้บางครั้ง ผู้กู้จะไม่ได้ซื้อไว้เพื่ออยู่อาศัยเอง แต่อาจจะเป็นการให้บุคคลอื่นเช่าก็มี) อัตราดอกเบี้ยก็จะแตกต่างกันในแต่ละธนาคาร จะใช้ประเภทของอัตราดอกเบี้ยอยู่ 2 ลักษณะคือ “MLR” (Minimum Loan Rate) หรือ “MRR” (Minimum Retail Rate) แล้วแต่ แต่ละธนาคารเป็นผู้ที่กำหนด

2.บัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี เป็นบัญชีที่บุคคลที่ทำธุรกิจต่างๆ ใช้กันโดยบัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีจะเป็นบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน บัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นบัญชีที่ใช้สำหรับการหมุนเวียนในธุรกิจ โดยผู้ที่มีบัญชีประเภทนี้ ต้องนำโฉนดที่ดิน(จะมีสิ่งปลูกสร้างด้วนหรือไม่ ก็ไม่เป็นไร) หรือนำบัญชีเงินฝากประจำ มาเป็นหลักประกันเงินกู้ประเภทนี้ หรือในบางครั้งก็จะเป็นผู้มีอำนาจลงนามของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นผู้ค้ำประกันส่วนตัวเต็มวงเงินก็มี บัญชีเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีนี้ จะใช้อัตราดอกเบี้ย คือ “MOR (Minimum Overdraft Rate)

3.บัญชีเงินกู้อื่นๆ เช่น การมีวงเงินหนังสือค้ำประกัน ,การมีวงเงินการเปิด LC และTR , วงเงินกู้สินเชื่อส่วนบุคคล ,บัตรเครดิต สำหรับบัญชีเงินกู้ในกลุ่มนี้ ผมขออธิบายเฉพาะเรื่องของวงเงินกู้สินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิตในช่วงต่อๆไป แต่เรื่องของวงเงินกู้ในประเภทอื่นๆ เป็นเรื่องเฉพาะ ผมไม่ขออธิบายครับ

สิ่งต่างๆที่ผมได้นำมาเล่าให้ฟังนี้ หลายๆท่านคงทราบกันดีแล้ว แต่ผมนำมาเกริ่นเรื่องราวที่จะบอกกันต่อๆไป และเผื่อท่านใดที่ไม่ทราบ จะได้ทราบกัน

มาว่ากันต่อ

เรื่องของการนำเอกสาร(ของตนเอง) นำไปเปิดบัญชีกับธนาคาร เช่นบัตรประชาชน เวลาที่เราจะเซ็นชื่อเพื่อรับรองสำเนาถูกต้องนั้น เราควรที่จะเขียนลงบนสำเนาบัตรประชาชนว่า ใช้เพื่อเปิดบัญชี(ออมทรัพย์หรือกระแสรายวันหรือฝากประจำ) กับธนาคาร.....เท่านั้น และควรเขียนลงบนรูปสำเนาบัตรประชาชนด้วย

เรื่องของบัญชีธนาคารต่างๆที่เปิดไว้ เราควรจดประเภทของบัญชี ,เลขที่บัญชี ,ธนาคาร-สาขา และหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อกับสาขาที่เราเปิดบัญชีไว้ อีกทั้งหมายเลขโทรศัทพ์ที่สามารถติดต่อกับธนาคารกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน(เช่นบัตรเอทีเอ็มหาย)ไว้

ไม่ว่าจะเป็นบัญชีออมทรัพย์ หรือบัญชีเงินฝากประจำ เราไม่ควรจะนิ่งนอนใจ ควรที่จะไปปรับสมุดบัญชีเงินฝากทุกๆครั้งที่มีโอกาส หรืออย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เนื่องจากบางครั้งเราถอนเงิน ก็ไม่ได้ไปถอนเงินที่ทำการของธนาคาร แต่ถอนกับตุ้เอทีเอ็ม หรือการโอนเงินผ่านระบบอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง เพื่อที่จะได้ตรวจสอบการเงินของตนเองให้ถูกต้องตลอดเวลา

คงมีคำถาม ถามว่า ทำไมจึงต้องปรับสมุดบัญชีเงินฝากให้เป็นปัจจุบัน คำตอบผมจะมาบอกต่อๆไป ติดตามกันนะครับ


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 19:43:26
ปัจจุบันนี้ โลกเราพัฒนาไปไกล เรื่องของการฝากเงิน ,การถอนเงิน ,การโอนเงิน สามารถกระทำได้ในสถานที่ต่างๆ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องไปที่ทำการสาขาของธนาคาร คือเรื่องของ “อินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง” การสมัครใช้บริการอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง ก็ไม่ได้ยากอะไร

อีกทั้งการโอนเงินก็สามารถโอนเงินผ่านต่างธนาคารได้อีกด้วย นับว่าเป็นการเพิ่มความสดวกให้กับผู้ใช้บริการกับธนาคาร เพียงแต่ผู้ที่ขอใช้บริการมีคอมพิวเตอร์และติดตั้งการใช้อินเตอร์เน็ต เท่านี้เองก็สามารถใช้บริการอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้งได้แล้ว
เรื่องของการใช้บริการนี้ เราเองต้องมีการตรวจสอบบัญชีอย่างสม่ำเสมอ ในทุกๆบัญชีและทุกๆธนาคาร นี่เป็นเรื่องนึงที่ต้องปรับสมุดบัญชีอยู่บ่อยๆและให้เป็นปัจจุบัน

สิ่งที่สำคัญอีกประการก็คือ เรื่องรหัสผ่าน การเก็บรหัสผ่านไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง หากมีผู้ที่ไม่ประสงค์ดี แฮกเข้าเครื่อง อย่างนี้เสร็จแน่นอน ถ้าจะเขียน(เพื่อกันลืม) ก็ต้องรู้ว่า เราจดไว้ที่ไหน จดอย่างไร(ให้เป็นสัญลักษณ์ที่เรารู้คนเดียว) และควรเปลี่ยนรหัสผ่านบ่อยๆ เพื่อป้องกันผู้อื่นล่วงรู้ในรหัสผ่านของตนเอง

ส่วนบัญชีกระแสรายวัน ที่ทุกๆธนาคารจะไม่มีสมุดบัญชีให้ แต่จะเบิกเงินต้องเบิกผ่านเช็คส่วนบุคคล (ปัจจุบันราคาเช็คส่วนบุคคล ใบละ 15 บาท) เมื่อถึงสิ้นเดือน ธนาคารจะออกรายการทางบัญชีหรือStatement ให้กับลูกค้า ดังนั้น ควรตรวจสอบการจ่ายเช็คกับรายการทางบัญชีที่ธนาคารออกมาให้ถูกต้องตรงกัน หากมีข้อผิดพลาด ควรที่จะไปตรวจสอบกับธนาคาร ส่วนเรื่องการจ่ายเงินตามเช็ค(ส่วนบุคคล) หากมีเงินในบัญชีไม่พอจ่าย หรือด้วยเหตุอื่นๆ ธนาคารจะคิดค่าปรับ(จากผู้สั่งจ่ายหรือเจ้าของบัญชี) ขั้นต่ำ 300 บาท หรือ 0.20ของจำนวนเงินหน้าเช็ค

เรื่องต่อมาเป็นเรื่อง “บัตรประชาชน” ทุกๆท่านคงเคยได้รับรู้เรื่องที่ผู้ไม่ประสงค์ดีนำสำเนาบัตรประชาชนของผู้เคราะห์ร้าย ไปใช้ในเรื่องต่างๆ เช่น การไปซื้อโทรศัพท์ก็ดี ,การไปสมัครบัตรเครดิตก็ดี แต่ยังมีอีกเรื่องก็คือ มีผู้ไม่ประสงค์ดีนำสำเนาบัตรประชาชน ไปให้กลุ่มที่รับทำบัตรประชาชนปลอม แล้วนำไปเปิดบัญชีธนาคาร เพื่อวัตถุประสงค์(ร้าย)ต่างๆ เช่น การหลอกลวงให้ผู้เคราะห์ร้ายโอนเงินเข้าบัญชี หรือ การเปิดบัญชีธนาคาร แล้วเปิดใช้บริการอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้ง ซึ่งจะใช้บัญชีที่เปิดขึ้นใหม่ ผูกกับบัญชีที่มีเงินมากๆ วิธีนี้ผู้ไม่ประสงค์ดี ต้องได้บัตรประชาชนปลอม ที่ข้อมูลบนบัตรประชาชนเหมือนกับข้อมูลบนบัตรประชาชนของผู้ที่มีเงินมากๆ เพียงแต่รูปในบัตรประชาชน(ปลอม) จะเป็นของผู้ไม่ประสงค์ดีเท่านั้น นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ต้องปรับสมุดบัญชีอยู่บ่อยๆและให้เป็นปัจจุบัน จากสาเหตุของอินเตอร์เน็ตแบงค์กิ้งนี้ มีกรณีตัวอย่างมาแล้ว ผู้เคราะห์ร้ายสูญเสียเงินไปหลายล้านบาท กว่าจะแจ้งความดำเนินคดี กว่าที่ตำรวจและธนาคารจะตรวจสอบ จนธนาคารคืนเงินให้(ต้องเป็นกรณีที่ธนาคารผิดเท่านั้น หากพิสูจน์ได้ว่า ผู้เคราะห์ร้ายประมาทเลินเล่อหรือผิดเอง ก็ไม่ได้รับเงินคืน) ก็ใช้ระยะเวลาหลายๆเดือน บางกรณีเป็นปีก็มี ดังนั้นเวลาที่ท่านนำสำเนาบัตรประชาชนไปใช้ประกอบการกู้ยืมเงิน หรือการซื้อโทรศัพท์ หรือในเรื่องต่างๆ ท่านต้องเขียนบนสำเนา(บนรูปสำเนาบัตรประชาชนจริงๆ)ว่า ท่านใช้เพื่ออะไร เช่น ใช้ในการซื้อโทรศัพท์ยี่ห้อ....ที่ศูนย์บริการ.......เท่านั้น หรือใช้ในการเปิดบัญชีออมทรัพย์ที่ธนาคาร...เท่านั้น เป็นต้น
มาว่ากันต่ออีกเรื่อง มีผู้ประสงค์ร้ายแต่ไม่ประสงค์ดี ได้มาขอกู้เงินเพื่อซื้อที่ดินเปล่ากับธนาคาร ซึ่งเอกสารต่างๆไม่ว่าจะเป็นบัตรประชาชนตัวจริง ,สำเนาทะเบียนบ้านตัวจริง ,รายการทางบัญชี(หรือstatement)ตัวจริงที่มีตราของอีกธนาคารประทับพร้อมกับลายเซ็นของผู้มีอำนาจลงนาม ,หนังสือรับรองรายได้จากบริษัทตัวจริง ซึ่งธนาคารได้อนุมัติวงเงินกู้ไปจำนวน 3,000,000 บาท เดือนแรกผู้ประสงค์ร้ายแต่ไม่ประสงค์ดีผ่อนตามปกติ เดือนที่สองก็หยุดผ่อน และเดือนต่อๆไปก็ไม่ผ่อนอีกเลย ธนาคารจึงฟ้องร้องกับผู้ประสงค์ร้ายแต่ไม่ประสงค์ดีรายนี้ ตอนที่ทนายความยื่นจดหมายทวงถามไป ผลปรากฏว่า ผู้เคราะห์ร้ายรีบมาที่ธนาคารทันที และแจ้งว่าตนเองไม่ได้กู้เงินกับธนาคารนี้ พร้อมทั้งแสดงเอกสารคือบัตรประชาชนตัวจริงและสำเนาทะเบียนบ้านตัวจริง เมื่อธนาคารได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบว่า เอกสารต่างๆที่ผู้ประสงค์ร้ายแต่ไม่ประสงค์ดี นำมากู้เงินนั้น เป็นเอกสารปลอมทั้งหมด แต่กว่าจะตรวจสอบเรียบร้อยก็ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือน ผู้เคราะห์ร้ายก็ต้องเสียทั้งเงิน(ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปติดต่อกับหน่วยงานต่างๆ อีกทั้งค่าใช้จ่ายส่วนตัว และค่าเดินทาง) และเสียเวลาการทำงานอีก

ว่ากันต่อในเรื่องของโทรศัพท์ หากมีผู้ที่โทรศัพท์มาเพื่อชักชวนให้เราสมัครไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต ,สินเชื่อบุคคล หรือสิทธิในการใช้บริการต่างๆ ฯลฯ เราควรที่จะต้องจดรายละเอียดไว้ว่า มีใครโทร.มา โทร.มาวันไหน เวลากี่โมง เบอร์ที่ผู้โทร.มาเบอร์โทร.อะไร สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่เราเองสามารถตรวจสอบกลับไปได้ว่า บุคคลนั้นมีจริงหรือไม่ บริษัทนั้นมีจริงหรือไม่ และสิ่งที่สำคัญที่สุด จะต้องไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวไปโดยเด็ดขาด หรือการโทรศัพท์มาแจ้งเรื่องต่างๆ และให้ไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็ม ขอให้รู้ไว้ว่า เป็นกลโกงของเหล่ามิจฉาชีพร้อยเปอร์เซ็น โปรดย้ำกับตัวเองว่า อย่าโลภ ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ไม่มีอะไรที่ได้มาโดยง่าย สำคัญที่สุดคือย้ำและเตือนตนเองไว้เสมอ

เรื่องต่อมาเป็นเรื่องบัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต การเก็บรักษาควรมีความระมัดระวังให้มากๆ คงมีคนสงสัยว่า ปกติบัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรเดบิต หรือบัตรเครดิต ก็ต้องเก็บรักษาอย่างดีอยู่แล้ว ต้องเก็บไว้ในกระเป๋าเงิน เรื่องแค่นี้ไม่น่าจะมาบอกกัน แต่ผมจะบอกว่า เคยมีกรณีที่เกิดขึ้นมาแล้ว ลองดูนะครับ
กรณีที่ว่านี้เป็นอย่างนี้ มีผู้หญิงคนนึง(เป็นผู้ชายก็ได้) เวลาไปทำงานก็นำกระเป๋าถือซึ่งในกระเป๋าถือใส่กระเป๋าเงิน (ใส่กันซับซ้อนเหลือเกิน) ไว้ในล็อกเกอร์ของบริษัท(เป็นประจำ) มีอยู่วันนึง ได้นำบัตรเครดิตไปซื้อสินค้า ปรากฏว่า ทางห้างสรรพสินค้าไม่รับบัตรเครดิต และแจ้งว่า บัตรเครดิตหมดอายุ ผู้หญิงท่านนี้ ก็นำบัตรเครดิตมาดู ปรากฏว่า บัตรเครดิตที่ตนเองนำออกมาเพื่อใช้ซื้อสินค้านั้น ไม่ใช่บัตรของตนเอง เนื่องจากชื่อที่ปรากฏบนบัตรเป็นชื่อของใครก็ไม่รู้ พอกลับไปถึงบ้านก็ไปตรวจสอบที่บ้านว่า บัตรเครดิตของตนเองอยู่ที่ไหน และทำไมจึงมีบัตรเครดิตของคนอื่นมาอยู่ในกระเป๋าของตน ผลปรากฏว่า ที่บ้านไม่มีใครรู้เรื่อง จึงได้โทรศัพท์ไปที่บริษัทบัตรเครดิต และสอบถามถึงบัตรเครดิตของตนเอง ปรากฏว่ามีการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไปเป็นแสนบาท ผู้หญิงคนนี้ตกใจ (ไม่รู้ว่าเป็นลมหรือเปล่าครับ) จึงแจ้งว่า เขาไม่ได้ใช้ และขออายัดบัตรเครดิตใบนั้น ซึ่งการตรวจสอบต่อมาพบว่า มีพนักงานในบริษัทเดียวกัน แอบสับเปลี่ยนบัตรเครดิตของผู้เคราะห์ร้ายไป จึงมีการแจ้งความดำเนินคดี ณ ปัจจุบัน ผมไม่ทราบเรื่องราวต่อ รู้แต่ว่า ผู้หญิงคนนี้ยกเลิกบัตรเครดิตทุกใบครับ

ส่วนอีกท่านเป็นผู้ชาย ท่านนี้เวลาไปที่ทำงาน มักจะนำกระเป๋าเงินใส่ไว้ในลิ้นชักที่โต๊ะทำงาน(และไม่ได้ล็อกลิ้นชักเสมอ) ในห้องที่ทำงานนั้น มีคนอยู่กันประมาณ 8 คน และโต๊ะก็อยู่ติดๆกัน มีอยู่วันนึง ในช่วงบ่าย ผู้ชายคนนี้ได้นำบัตรเอทีเอ็มไปกดเงิน (สงสัยว่าเงินในกระเป๋าเริ่มจะหมดหรือตอนเย็นจะไปเที่ยว) ผลก็คือ เครื่องเอทีเอ็มบอกว่า เงินในบัญชีไม่พอจ่าย ทั้งๆที่ผู้ชายท่านนี้มีเงินในบัญชีหลักหลายหมื่นบาท จึงนำสมุดบัญชีไปตรวจสอบที่ธนาคาร ผลปรากฏว่า มีการถอนเงินจากบัญชีออกไปประมาณ 5 ครั้ง จนหมดบัญชี ผู้ชายท่านนี้จึงได้แจ้งกับธนาคารว่า เขาไม่เคยไปกดเงินเลย ทำไมมีการถอนเงินจากบัญชีไปได้ ธนาคารโกงเขา ทางธนาคารจึงได้ตรวจสอบการถอนเงิน(และตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ที่ตู้เอทีเอ็ม) ปรากฏว่า มีผู้หญิงมาถอนเงิน ทางธนาคารจึงได้เชิญผู้ชายท่านนี้ไปดูว่า ผู้หญิงที่มาถอนเงินนี้ เป็นใคร เมื่อผู้ชายคนนี้ได้เห็นแล้วก็ตกใจ เนื่องจากผู้หญิงที่มาถอนเงินเป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทกับตนเอง ผู้ชายคนนี้จึงกลับไป เหตุการณ์ที่หลังจากนี้ก็ไม่ได้รับทราบอีก


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 19:44:18
อีกเรื่องก็คือ บัตรเครดิต เรื่องนี้จริงๆสามารถเขียนหนังสือได้เป็นเล่มๆ เพราะมีเหตุเกิดขึ้นอยู่มากมาย แต่เรื่องที่ผมจะนำมาเล่าให้ฟัง จะขอเล่าเพิ่มอีกสัก 2 เรื่องก็คือ ปัจจุบันนี้ มีเครื่องที่สามารถเก็บข้อมูลหลังบัตรเครดิต ที่มีขนาดเล็ก(ไม่เกินฝ่ามือ) ซึ่งเวลาที่ใช้บัตรเครดิต เราต้องใช้สายตาติดตามไปตลอด และให้รู้ว่า บัตรเครดิตของเรา ไปไหนบ้าง หรือทางที่ดีและเป็นไปได้ เดินตามไปเลยครับ จะได้สบายใจ เรื่องต่อมาก็คือ การใช้บัตรเครดิตในบางเรื่อง เช่น อาจจะมีกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดี หลอกลวงในเรื่องต่างๆ เช่นการขอข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลบัตรเครดิต และมีการขอรหัส 3 ตัวหลังสุด รหัส 3 ตัวหลังสุดนี้แหละสำคัญ เพราะเป็นรหัสการตัดบัญชี เช่น บัตรเครดิตเลขที่ 1234 5678 9012 3456 789 ตัวเลข 789 หลังสุดนี้แหละครับ สำคัญมากๆ ต้องระวังอย่าให้ใครทราบ ก็อย่างที่ผมบอกไว้แล้วว่า การใช้บัตรเครดิต ต้องดูด้วยว่า บัตรเราไปไหนบ้าง เกิดผู้ถือบัตรเราไป แอบไปก๊อบข้อมูล (ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลลงบนเครื่องเก็บข้อมูลหรือการจดรายละเอียดของเลขบัตรเครดิต) เราจะได้ทราบและป้องกันตนเองไว้ครับ

บทความนี้เขียนโดย sithiphong
สงวนลิขสิทธิ์ ห้ามนำบทความนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนไปหาผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ยกเว้นเพื่อการศึกษาเท่านั้น


รวมฮิตเบอร์โทรแจ้งอายัดบัตรเอทีเอ็ม-บัตรเครดิตหาย (ปี พ.ศ.2550)
ที่มา Fwd mail ครับ



รวบรวมทุกแบงค์ไว้หมด
It's useful for you.


ธนาคาร  บัตรเอทีเอ็ม ( ATM)  บัตรเครดิต (Cradit Card) 
ธนาคารกรุงเทพ
 1333 , 0-2645-5555
 0-2638-4455
 
ธนาคารกรุงไทย
 1551, 0-2665-5443
 0-2665-5000
 
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
 1572 , 0-2296-2001-5
 0-2646-3000
 
ธนาคารกสิกรไทย
 0-2888-8888
 0-2888-8888
 
ธนาคารทหารไทย
 1558
 1558
 
ธนาคารธนชาต
 1589
 1589
 
ธนาคารไทยพาณิชย์
 0-2777-7777
 0-2777-7777
 
ธนาคารกสิกรไทย
 0-2888-8888
 0-2888-8888
 
ธนาคารยูโอบี รัตนสิน
 1580 , 0-2661-2600
 1580 , 0-2661-2600
 
ธนคารอาคารสงเคราะห์
 0-2202-2000
 
 
ธนาคารเอเชีย
 1585 , 0-2285-1555
 1585 , 0-2285-1555
 
ธนาคาร ไทยธนาคาร
 0-2626-7777
 0-2626-7777
 
ธนาคารนครหลวงไทย
 0-2208-5000
 0-2221-3565
, 0-2225-4925
 
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
 0-2729-8807-11
 
 
ธนาคารแสตนดาร์ด ชาเตอร์ นครธน
 
 1595
 
ซิตี้แบงก์ ประเทศไทย (City Bank)
 
 1588 , 0-2232-2484
 
ฮ่องกงเซี่ยงไฮ้ ( HSBC)
 1590
 1590
 
อเมริกัน เอ็กซ์เพรส
(American Express)
 
 0-2273-5544
 
ไดเนอร์สคลับ ( Diners Club)
 
 0-2238-3660
 
อิออน
 
 0-2665 0111
 
เซทเทเลม
 
 0-2667-3655
 
เพาเวอร์บาย
 
 0-2627-8208
 
บัตรเครดิตไทยแอร์เอเชีย
 
 0-2797-3399
 
แคปิตอล โอเค
 
 0-2793-3333
 
เซ็นทรัลการ์ด
 
 0-2627-8111
 
อีซี่ บาย
 
 0-2695-0000
 
บิ๊กซี การ์ด
 
 0-2667-3684
 


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 19:45:42
ระวังถูกหลอก
ระวังถูกหลอก

ปัจจุบันสถาบันการเงินมีการให้บริการทางการเงินหลายรูปแบบ ให้ผู้ใช้บริการได้เลือกใช้ตามความต้องการ อย่างไรก็ดี มีผู้ทุจริต อาศัยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ใช้บริการทางการเงิน โดยใช้กลโกงต่าง ๆ ในการหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินหรือทำผลิตภัณฑ์ทางการเงินปลอม โดยที่ผู้ใช้บริการที่เป็นเจ้าของไม่รู้ตัว ดังนั้น ผู้ใช้บริการทางการเงิน ควรเพิ่มความระมัดระวัง ดังนี้



กลโกงบัตรเครดิต
กลโกงการปลอมแปลง E-mail และ Website สถาบันการเงินปลอม
กลโกงสินเชื่อส่วนบุคคล
การล่อลวงข้อมูลลูกค้าจากกลุ่มมิจฉาชีพ
การแอบอ้างชื่อธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อล่อลวงให้หลงเชื่อและทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ
ระวังกับดักเงินกู้นอกระบบ
เชิญชมวิดิทัศน์ ระวังการกู้เงินนอกระบบ
โทรศัพท์หลอกลวงแอบอ้างชื่อ ธปท.

ธนาคารแห่งประเทศไทย

ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 19:45:59
กลโกงบัตรเครดิต

ปัจจุบันพบกลโกงบัตรเครดิตในประเทศไทยหลายวิธี ได้แก่
1. การใช้อุปกรณ์อ่านข้อมูลจากแถบแม่เหล็ก (เครื่อง Skimmer) คัดลอกข้อมูลส่วนตัวที่บันทึกในแถบแม่เหล็กบนบัตรเครดิต แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปทำบัตรปลอม
และนำบัตรปลอมนั้นไปซื้อสินค้าหรือบริการ ทั้งนี้ ปัจจุบันสถาบันการเงินอยู่ระหว่างการเปลี่ยนรูปแบบของบัตรเครดิตจากการเก็บข้อมูลในแถบแม่เหล็ก
มาเป็นการใช้ชิปแทน ซึ่งจะช่วยลดปัญหานี้ได้
2. การขโมยบัตรเครดิตหรือนำบัตรเครดิตที่สูญหายไปใช้โดยเจ้าของบัตรไม่รู้ตัวดังนั้น หากพบว่าบัตรเครดิตสูญหายหรือถูกขโมย ให้รีบติดต่อสถาบันการเงิน
ผู้ออกบัตรเครดิตทันทีเพื่อขออายัดบัตร เพราะหากผู้อื่นนำไปใช้ ผู้ถือบัตรจะต้องรับผิดชอบต่อหนี้สินที่เกิดขึ้น
3. การปลอมแปลงเอกสารสำคัญเพื่อสมัครบัตรเครดิต ไม่ว่าจะเป็นลายเซ็น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน สลิปเงินเดือน เพื่อหลอกลวงให้สถาบันการเงิน
ผู้ออกบัตรเครดิตหลงเชื่อ และนำบัตรเครดิตนั้นไปใช้จ่ายในนามของท่าน ทำให้ผู้ที่ถูกแอบอ้างเดือดร้อนเพราะถูกเรียกเก็บหนี้ที่ตนไม่ได้ก่อ
ข้อแนะนำในการป้องกันกลโกงบัตรเครดิต

1. ควรเก็บรักษาบัตรเครดิต บัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ และเอกสารสำคัญอื่น ๆ ไว้ในที่ที่ปลอดภัย และไม่มอบเอกสารดังกล่าวให้กับผู้ไม่น่าไว้ใจ
2. ควรจดหมายเลขที่บัญชีบัตรเครดิตและหมายเลขโทรศัพท์ของแผนกบริการไว้ในที่ปลอดภัย (ไม่ควรเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์)
3. เพื่อป้องกันกลโกงแบบ Skimming หากท่านจ่ายค่าสินค้าหรือบริการด้วยบัตรเครดิต ท่านควรอยู่ ณ จุดที่พนักงานทำรายการอยู่ หรืออยู่บริเวณใกล้ ๆ
ในระยะที่สังเกตได้
4. หลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิตในร้านค้าที่มีความเสี่ยงหรือมีข่าวเรื่องการทุจริต
5. ท่านควรตรวจสอบความถูกต้องของรายการใช้จ่ายในสลิปบัตรเครดิต เช่น จำนวนเงิน วันที่ทำรายการ เลขที่บัญชี ทุกครั้งที่มีการใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิต
และควรเก็บสำเนาสลิปบัตรเครดิตเอาไว้เพื่อใช้ตรวจกับใบแจ้งยอดบัญชีว่าถูกต้องและตรงกัน หากพบรายการผิดพลาด ต้องรีบแจ้งผู้ออกบัตรเครดิตทันที
6. ระมัดระวังการใช้บัตรเครดิตเบิกเงินผ่านตู้เอทีเอ็มที่มีลักษณะน่าสงสัยว่าอาจมีการลักลอบติดตั้งอุปกรณ์ Skimmer รวมทั้ง ในขณะที่กดรหัสเอทีเอ็ม
ต้องระวังไม่ให้ผู้อื่นเห็นด้วย
7. ควรเลือกซื้อสินค้าหรือบริการทางอินเตอร์เน็ตจากเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้

กลโกงบัตรเครดิต


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 19:46:29
กลโกงการปลอมแปลง E-mail และ Website สถาบันการเงินปลอม

Phishing คือ การหลอกลวงทางอินเตอร์เน็ตในรูปแบบของการปลอมแปลง e-mail หรือสร้าง Website ปลอม เพื่อหลอกให้ลูกค้าเปิดเผยข้อมูลทางด้านการเงิน
หรือข้อมูลส่วนตัวต่างๆ เช่น ข้อมูลหมายเลขบัตรเครดิต Username และ Password เป็นต้น ซึ่งสร้างความเสียหายทางการเงินต่อลูกค้าและสถาบันการเงิน
รวมทั้งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าในการใช้บริการการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
วิธีการที่พบในปัจจุบัน คือ การหลอกให้ลูกค้าหลงเชื่อว่ามี e-mail มาจากสถาบันการเงินและใช้หัวข้อและข้อความที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น ขอให้ลูกค้าแจ้งยืนยัน
ข้อมูลทางการเงินเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการการรักษาความปลอดภัยของบัญชีลูกค้า หรือ การแจ้งลูกค้าว่าถึงรอบระยะเวลาที่จะต้องตรวจสอบข้อมูลของลูกค้า หรือ
การแจ้งว่าบัญชีของลูกค้าได้ถูกอายัดไว้ชั่วคราว จึงขอให้ลูกค้ายืนยันข้อมูล เพื่อให้การทำธุรกรรมทางการเงินของลูกค้าสามารถดำเนินการได้ต่อไป เป็นต้น
พร้อมใส่สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายของสถาบันการเงินและ Hyperlink ที่ e-mail โดยมีชื่อโดเมนและ Subdirectory เหมือนกับ URL ของสถาบันการเงินนั้น ๆ
ซึ่งแท้จริงแล้วเป็น Website ปลอม ที่เรียกว่า Spoofed Website หรือแนบแบบฟอร์มการสอบถามข้อมูล เพื่อให้ลูกค้ากรอกข้อมูลส่วนบุคคล เช่น หมายเลขบัตรเครดิต
เลขที่บัญชีเงินฝาก ชื่อบัญชีผู้ใช้บริการ (Username) และรหัสผ่าน (Password) เป็นต้น หลังจากที่ลูกค้าได้กรอกข้อมูลลงใน Website ปลอม หรือ
แบบฟอร์มการสอบถามนั้น ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในทางมิชอบ เช่น การโอนเงินหรือการชำระเงินให้บุคคลที่สามผ่านการให้บริการ Internet Banking
หรือ Telephone Banking หรือ Mobile Banking หรือ การซื้อสินค้าและบริการทางอินเทอร์เน็ตโดยใช้บัตรเครดิต เป็นต้น
ข้อแนะนำในการป้องกันการปลอมแปลง E-mail และ Website สถาบันการเงินปลอม

1. อย่าตอบรับ e-mail ที่ขอให้ท่านส่งข้อมูลส่วนตัวให้ รวมทั้ง ไม่ส่งข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลสำคัญทางการเงิน เช่น หมายเลขบัตรเครดิต
ชื่อบัญชีผู้ใช้บริการ (Username) และรหัสผ่าน (Password) หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ ไปกับ e-mail หรือ
การติดต่อทางโทรศัพท์ที่แอบอ้างมาจากสถาบันการเงิน
2. ไม่ควรใช้ Hyperlink ที่แนบมากับ e-mail หากต้องการเข้าใช้บริการ ให้เข้าผ่าน Website ของสถาบันการเงินนั้น ๆ โดยตรง



กลโกงสินเชื่อส่วนบุคคล

ในปัจจุบันแม้ว่าผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลทั้งที่เป็นสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก
แต่ยังมีการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย (สินเชื่อนอกระบบ) ที่เอาเปรียบผู้กู้เงิน ซึ่งจะนำไปสู่ภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น
ธุรกิจบริการเงินด่วนนอกระบบสามารถพบเห็นได้ทั่วไป เช่นประกาศตามเสาไฟฟ้าหรือโฆษณาผ่านหนังสือพิมพ์ Website ตู้โทรศัพท์สาธารณะ โดยมี
ข้อความเชิญชวนให้มาใช้บริการ เช่น ระบุว่า “ให้วงเงินสูง อนุมัติและรับเงินสดทันทีภายใน 30 นาที” โดยสินเชื่อนอกระบบเหล่านี้จะมีอัตราดอกเบี้ย
ค่าบริการและค่าธรรมเนียมที่แพงกว่าปกติ
ตัวอย่าง
1. เมื่อลูกค้าติดต่อเข้าไปตามหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ระบุไว้ในโฆษณาผู้ให้บริการเงินกู้นอกระบบจะแนะนำวิธีการและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการขอรับสินเชื่อ
ซึ่งลูกค้าที่มีประวัติการชำระหนี้ไม่ดีหรือลูกค้าที่ใช้บัตรเครดิตเต็มวงเงินแล้วก็สามารถใช้บริการนี้ได้
2. เมื่อลูกค้ายอมรับข้อตกลงในการให้สินเชื่อ ผู้ให้บริการเงินกู้นอกระบบจะดำเนินการ ดังนี้
- กรณีลูกค้ามีบัตรเครดิตหรือบัตรของ Non-Bank ที่ให้บริการผ่อนสินค้าหรือสินเชื่อเงินสดก็จะให้ไปซื้อสินค้าจากร้านค้า เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก
กล้องถ่ายรูปดิจิตอล และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
- กรณีลูกค้าไม่มีบัตรดังกล่าวก็จะพาไปทำบัตรสมาชิกของ Non-Bank ที่ให้บริการผ่อนสินค้า หลังจากนั้นก็จะพาไปซื้อสินค้าจากร้านค้า
3. เมื่อได้สินค้าแล้ว ผู้ให้บริการเงินกู้นอกระบบจะรับสินค้าไว้และจ่ายเงินสดให้ลูกค้าแทนโดยจะหักค่านายหน้าในการให้บริการไว้ประมาณ 30% เช่น
ซื้อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 100,000 บาท หักค่านายหน้า 30% เป็นเงิน 30,000 บาท ลูกค้าได้รับเงินสด 70,000 บาท แต่เป็นหนี้เงินกู้ 100,000 บาท
4. หลังจากนั้น ลูกค้าสมาชิกบัตรจะต้องเป็นผู้ผ่อนชำระค่าสินค้าซึ่งรวมเงินต้น (100,000 บาท) พร้อมดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ
กับสถาบันผู้ออกบัตรทำให้ผู้กู้มีภาระหนี้เพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้ให้บริการเงินกู้นอกระบบไม่ต้องร่วมรับผิดชอบใด ๆ และยังนำสินค้าดังกล่าวไปจำหน่ายต่อด้วย
ข้อแนะนำในการป้องกันกลโกงสินเชื่อส่วนบุคคล

1. ควรใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลกับสถาบันการเงินหรือบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลแทนการกู้เงินนอกระบบ เนื่องจากการกู้เงิน
นอกระบบดอกเบี้ย ค่าบริการ และค่าธรรมเนียมจะแพงกว่าปกติ
2. ในการเลือกใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลกับผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวควรพิจารณาเรื่อง อัตราดอกเบี้ย และ ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ (เช่น ค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน
ค่าธรรมเนียมการจัดการเงินกู้ ค่าธรรมเนียมแรกเข้าและรายปี) เป็นต้น
3. ระมัดระวังโฆษณาที่ระบุว่า “ดอกเบี้ยต่อเดือนน้อยนิด หรือดอกเบี้ย 0%” โดยต้องดูว่าอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นอัตราต่อเดือนหรือไม่ ถ้าใช่ให้คูณ 12
จึงจะได้อัตราดอกเบี้ยต่อปีที่ต้องจ่ายจริง
นอกจากนี้ หากดอกเบี้ยที่ท่านต้องจ่าย มีลักษณะเป็นจำนวนคงที่ตลอดอายุสัญญาเงินกู้ (Flat Rate) ท่านต้องลองคำนวณว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงแบบลดต้นลดดอก
(Effective Rate) เป็นเท่าไรโดยคูณด้วย 1.8 นอกจากดอกเบี้ยแล้ว ท่านต้องพิจารณาว่ายังมีค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่
หากใช้บริการดังกล่าว เช่น ค่าใช้จ่ายในการติดตามทวงถามหนี้ ค่าธรรมเนียมการชำระเงินที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสหรือธนาคารพาณิชย์ เป็นต้น
4. อย่าใช้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลเพียงเพื่อต้องการของแถมจากผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าว เพราะท่านอาจประสบปัญหาหนี้สินได้ ควรระลึกอยู่เสมอว่า
ใช้สินเชื่อส่วนบุคคลเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องกู้ยืมเงินไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง

ธนาคารแห่งประเทศไทย

ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย
.


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 19:46:54
การล่อลวงข้อมูลลูกค้าจากกลุ่มมิจฉาชีพ


ช่วงเวลาที่ผ่านมา มีกลุ่มมิจฉาชีพพยายามเจาะข้อมูลของลูกค้าธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้หาประโยชน์ในทางที่มิชอบ โดยใช้วิธีการอ้างว่าลูกค้าประชาชนมีหนี้อยู่กับธนาคารพาณิชย์ ซึ่งกลุ่มมิจฉาชีพจะมีวิธีการดังต่อไปนี้
1. โทรศัพท์ไปหาลูกค้าประชาชนแจ้งว่า ท่านค้างชำระหนี้จำนวนหนึ่งและจะมีเจ้าหน้าที่ของฝ่ายกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โทรมาสอบถามข้อมูลเพื่อจะแก้ไขข้อมูลเกี่ยวกับหนี้ที่ค้างชำระนั้นให้ถูกต้อง
2. ต่อมาผู้ที่อยู่ในกลุ่มมิจฉาชีพอีกคนหนึ่งจะโทรศัพท์มาเป็นครั้งที่สองโดยแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ธปท. มาขอข้อมูล เช่น วันเดือนปีเกิด หมายเลขบัตรประชาชน หมายเลขบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตร ATM หรือหลอกลวงให้ไปที่ตู้ ATM และทำรายการตามที่บอก โดยอ้างว่าเพื่อแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้อง ซึ่งจะกลายเป็นการโอนเงินไปให้กลุ่มมิจฉาชีพ
นอกจากนี้อาจมีพฤติกรรมอื่น ๆ ในลักษณะทำนองเดียวกัน วิธีการปกติในการที่จะล่อลวงเอาเงินของลูกค้าประชาชนที่มีบัตรเครดิต บัตรเดบิต บัตร ATM หรือบัตรที่ใช้ในการถอนเงินต่าง ๆ พวกมิจฉาชีพจำเป็นต้องรู้ข้อมูลของลูกค้าเสียก่อน โดยเฉพาะรหัสต่าง ๆ เช่น Security Code (หมายเลข 3 ตัวสุดท้ายที่อยู่ด้านหลังบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต) และใช้ข้อมูลรหัสดังกล่าวไปทำบัตรปลอมเพื่อลักลอบถอนเงินของลูกค้า
ข้อแนะนำในการป้องกันการล่อลวงข้อมูล
1. โปรดทราบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีเจ้าหน้าที่ของ ธปท. มีส่วนเกี่ยวข้องในการโทรศัพท์ขอข้อมูลท่านอย่างแน่นอน อย่าได้หลงเชื่อคำกล่าวอ้างของพวกมิจฉาชีพ
2. อย่าได้เปิดเผยข้อมูลในบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือบัตร ATM ของท่านให้แก่คนที่ท่านไม่รู้จักไม่ว่าจะมีข้อกล่าวอ้างประการใด
3. หากท่านได้รับโทรศัพท์เพื่อขอข้อมูลใด ๆ ขอให้ท่านตรวจสอบไปยังธนาคารพาณิชย์หรือผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตโดยตรง เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงต่าง ๆ โดยไม่ใช้เบอร์โทรศัพท์ที่ผู้ขอข้อมูลแจ้งมา
4. หากมีเหตุที่ท่านไม่แน่ใจว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพได้ล่วงรู้ข้อมูลของท่านไปแล้วหรือไม่ ขอได้โปรดติดต่อกลับไปยังธนาคารเจ้าของบัตรหรือผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตโดยตรงเพื่อดำเนินการต่าง ๆ ในการป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นและอาจทำการยกเลิกบัตรและเปลี่ยนบัตรใหม่

การแอบอ้างชื่อธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ พนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อล่อลวงให้หลงเชื่อและทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ

ปัจจุบันมีมิจฉาชีพบางกลุ่มได้แอบอ้างชื่อธนาคารแห่งประเทศไทย หรืออ้างเป็นพนักงานแห่งประเทศไทย ในการติดต่อกับประชาชนทั่วไปทั้งทางโทรศัพท์ หรือ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เพื่อลวงให้เหยื่อหลงเชื่อและทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ เช่น ลวงว่ามีเงินโอนจากต่างประเทศ (ซึ่งมาจากการขายสินค้าหรือได้รับมรดก) เข้ามาอยู่ที่บัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว หากผู้รับต้องการเงินดังกล่าว ต้องมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ นอกจากนี้อาจมีพฤติกรรมอื่น ๆ ในลักษณะทำนองเดียวกัน
ข้อแนะนำในการป้องกันการล่อลวง
1. ไม่ควรให้ข้อมูลส่วนตัวของท่านกับบุคคลภายนอกที่ติดต่อเข้ามา โดยที่ท่านไม่รู้จักหรือไม่เคยติดต่อกันมาก่อน เพราะท่านอาจถูกล่อลวงให้เสียทรัพย์ เมื่อท่านได้รับการติดต่อ ควรตั้งสติและไตร่ตรองความเป็นไปได้ของข้อความดังกล่าว พร้อมตรวจสอบข้อเท็จจริงกับสถาบันต่าง ๆ ที่ถูกระบุชื่อ
2. อย่าหลงเชื่อหรือทำธุรกรรมใด ๆ กับบุคคลที่แอบอ้างเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย หรือพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย เนื่องจากอาจเป็นการหลอกลวงโดยประสงค์ต่อทรัพย์สินของท่าน ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ ทำหน้าที่เป็นธนาคารกลาง ดูแลเสถียรภาพด้านนโยบายการเงิน กำกับดูแลสถาบันการเงิน และจัดตั้งระบบการชำระเงินตามที่กฎหมายกำหนด มิได้มีหน้าที่ทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ เช่น โอน-รับโอนเงินจากประชาชนโดยตรง (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ พระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พุทธศักราช 2551)
ทั้งนี้ หากได้รับความเสียหายจากเรื่องดังกล่าวโปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี (บก.ปศท.) โทร. 0-2234-1068


 
 

 


ธนาคารแห่งประเทศไทย

ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย
.


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 19:47:25
ระวังกับดักเงินกู้นอกระบบ
เชิญชมวิดิทัศน์ ระวังการกู้เงินนอกระบบ
โทรศัพท์หลอกลวงแอบอ้างชื่อ ธปท.



beware.pdf

ระวังถูกหลอก แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนว่า ได้รับโทรศัพท์จากมิจฉาชีพแอบอ้าง เป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ เจ้าหน้าที่แบงค์ชาติ โดยแจ้งว่า เหยื่อติดหนี้บัตรเครดิต หรือบางครั้งแจ้งสถานที่ซื้อสินค้าผ่านบัตรเครติด ทำให้เหยื่อตกใจ หลังจากนั้นจะเสนอตัวเข้าไปให้ความช่วยเหลือโดยขอข้อมูลส่วนตัวหรือ ข้อมูลการเงินและให้ทำธุรกรรมผ่านเครื่อง ATM โดยให้โอนเงินเข้าบัญชี หรือบางรายให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ซึ่งเบอร์โทรศัพท์ดังกล่าวเป็นเบอร์หน่วยงานภายใน ธปท. จริง แต่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว เช่น 0-2283-5355
ดังนั้น ธปท. จึงขอเตือนว่า อย่าหลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพดังกล่าว เพราะ ธปท. ไม่มีธุรกรรมทางการเงินโดยตรงกับประชาชนทั่วไป และไม่มีระเบียบปฏิบัติให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์ติดตามทวงถามหนี้สินของประชาชน ทั้งนี้ ขอให้ผู้ที่พบเห็นพฤติกรรมดังกล่าว โทรศัพท์สอบถามมายัง ธปท.ได้ที่ ศูนย์ประสานงานแก้ไขปัญหาการปล่อยสินเชื่อ Hotline 0-2283-5900 ระหว่างเวลา 8.30 – 16.30 น.




ธนาคารแห่งประเทศไทย

ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 19:48:20
10-03-2010, 08:15 PM

จากที่ผมเคยนำเรื่องราวของมิจฉาชีพ ที่หลอกให้ผู้ที่หลงเชื่อ โอนเงินเข้าบัญชีที่กลุ่มมิจฉาชีพเปิดบัญชีไว้

ปัจจุบันยังคงมีอยู่

เมื่อสักพักใหญ่ๆนี้ ลูกค้าผมได้โทร.มาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เขาโดนไป 69,000 บาท โดยหลอกให้ไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็ม โดยอ้างว่า คุณเป็นหนี้บัตรเครดิต ซึ่งต้องมีการเปลี่ยนรหัสของบัตรเครดิต แล้วให้ไปทำรายการทางตู้เอทีเอ็ม โดยมิจฉาชีพได้บอกว่า ต้องเปลี่ยนรหัส จากรายการ Transfer ซึ่งให้กดตัวเลข (กลุ่มมิจฉาชีพได้บอกว่า ให้กดเลข 30000 เป็นภาษาพูดว่า สาม ศูนย์ ศูนย์ ศูนย์ ศูนย์)

หากท่านได้รับโทรศัพท์เช่นนี้ ขอให้ท่านติดต่อไปยังธนาคารที่ท่านใช้บริการอยู่ และหากว่าท่านมีโทรศัพท์อีกเครื่อง พยายามคุยโดยหน่วงเหนี่ยวเวลาไว้ แล้วใช้โทรศัพท์อีกเครื่อง โทร.เข้าไปที่ศูนย์บริการของโทรศัพท์ท่าน โดยให้ศูนย์บริการโทรศัพท์พยายามตรวจสอบดูว่า เบอร์โทร.จากที่ไหนโทร.มาหาท่าน แล้วให้แจ้งตำรวจ(DSI) เพื่อจะเป็นหนทางในการช่วยกันปราบปราบเหล่ามิจฉาชีพนี้

ที่สำคัญ ท่านต้องไปติดต่อที่ธนาคารที่ท่านใช้บริการอยู่ ห้ามไปทำรายการอะไรก็ตามที่ตู้เอทีเอ็ม โดยเด็ดขาด

เคยมีกรณีนี้กับเพื่อนร่วมงานผม เพื่อนร่วมงานก็เลยถือโอกาสด่ากลับไป

ขอให้โชคดีครับ



หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 19:48:50
สำหรับคำว่า "Transfer" นี่คือการโอนเงินจากบัญชีของเราไปยังบัญชีบุคคลอื่น

ต้องระวังครับ

---------------------------

คำว่า direct bank , banking transtions , money transfer , account holders แปลว่าอะไร
ตอบโดย prasit_khorat

direct bank
ธนาคารโดยตรง เป็น ธนาคาร โดยไม่ต้องๆ เครือข่ายสาขา. จะเสนอบริการทางการเงินโดย:

ธนาคารโทรศัพท์
ธนาคารออนไลน์
อัตโนมัติเครื่องบอก (มักจะผ่าน เครือข่าย interbank พันธมิตร)
ธนาคาร Mail
ธนาคาร Mobile
การกำจัดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสาขาธนาคารธนาคารโดยตรงอาจมีสูง อัตราดอกเบี้ย และลดค่าบริการในผลิตภัณฑ์ของตนกว่าคู่แข่งดั้งเดิมของพวกเขา.
banking transaction
พำนักเงินเข้าบัญชีธนาคารจะทำรายการให้ตามหักเงิน. เพิ่มดอกเบี้ยในบัญชีเป็นรายการ. หักบัญชีเป็นรายการ. หักค่าใช้จ่ายธนาคารมีธุรกรรม. โดยทั่วไปประเภทใดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของเงินในบัญชีเป็นรายการ. คุณจะได้รับรายชื่อของพวกเขาในงบบัญชีธนาคาร.
account holders
ในนามของบัญชี (ผู้แทน)
money transfer
การโอนเงิน

ที่มา คำว่า direct bank , banking transtions , money transfer , account holders แปลว่าอะไร - มีคำตอบ - กูรู



หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 19:56:26
กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ ให้อะไรกับคุณบ้างรูปแบบหลักของกองทุนคงหนีไม่พ้นประโยชน์ทางภาษีที่คุณจะได้รับ มากน้อยก็อยู่ที่ฐานภาษีของคุณว่าอยู่ในอัตราใด แต่เมื่อพิจารณาถึงประโยชน์ทางภาษีที่รัฐบาลได้มอบให้แก่คุณแล้วนั้น จะต้องไม่ลืมว่าสิ่งที่คุณได้นั้นย่อมมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับให้คุณปฏิบัติเช่นกัน ดังนั้นถ้าคุณยอมรับ และสามารถปฏิบัติตามได้ ประโยชน์ที่คุณได้รับจากรัฐบาลก็คงจะให้ผลตอบแทนแก่คุณอย่างคุ้มค่าเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงกับการลงทุนในกองทุนได้ในระดับไหนนั้นเป็นสิ่งที่คุณคงต้องตัดสินใจเอง
ลองมาดูกันคร่าวๆ สมมติ คุณลงทุนที่ 50,000 บาทต่อปี แล้วคุณสามารถจ่ายภาษีน้อยลงกว่าเดิม 10,000 บาท เสมือนว่าคุณได้รับผลตอบแทนมาแล้วทันที 20% ดังนั้น ความเสี่ยงที่ทำให้คุณลงทุนแล้วต้นทุนของคุณสามารถหายไปได้ถึง 20% โดยเสมือนว่าคุณไม่ได้ขาดทุนเลย นี่คงเป็นข้อหนึ่งที่คุณคงตัดสินใจได้ดีขึ้นว่าคุณจะลงทุนกับกองทุนประเภทใดโดยมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่มีโอกาสสูงขึ้นด้วย
มาดูอีกประเด็นหนึ่งถ้าคุณคิดว่าประโยชน์ทางภาษีที่คุณได้รับนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณต้องการ โดยคุณไม่สนใจผลตอบแทนในการลงทุนที่ได้รับเลยเพียงแต่ขอให้ความเสี่ยงในเงินต้นน้อยที่สุดคุณก็สามารถเลือกลงทุนใน กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นก็ได้
จุดประสงค์หลักที่มองข้ามเรื่องภาษีเป็นเรื่องใกล้ตัวของคุณที่มองเห็นได้ง่ายที่สุด แต่คุณจะต้องไม่ลืมประเด็นสำคัญที่สุดในชีวิตที่เหลืออยู่หลังจากที่คุณไม่มีรายได้แล้วเหลือเพียงแต่รายจ่ายที่ต้องเกิดขึ้นกับตัวคุณเองนั้นคือยามเกษียณนั้นเอง ถ้าคุณไม่เริ่มเก็บออมตั้งแต่วันนี้คุณจะนำเงินที่ไหนมาใช้จ่ายเมื่อถึงเวลานั้น ทางที่ดีที่สุดคือคุณต้องเริ่มออมตั้งแต่วันนี้เพื่อมีเวลาเก็บออมที่มากขึ้นนั้นเอง รัฐบาลเพียงนำประโยชน์ทางภาษีมาจูงใจในการเก็บออมของคุณให้สามารถตัดสินใจได้ง่ายและเร็วขึ้นนั้นเอง
คราวนี้มาเรื่องใกล้ตัวอีกครั้ง แต่เรื่องนี้น้อยคนนักที่จะสนใจทั้งที่มันเกิดขึ้นทุกวันจนคุณไม่สนใจนั้นคือ อัตราเงินเฟ้อ หรือพูดง่ายๆ ของแพงขึ้นทุกวันนั้นเอง คุณคงไม่ปฏิเสธว่าทุกวันนี้เงินเท่ากันในอดีต ปัจจุบันคุณซื้อของชิ้นเดียวกันคุณกลับซื้อของได้น้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก ถ้าคุณยังคิดว่าการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยงเลย เช่น เงินฝากธนาคารเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว นั้นคุณน่าจะลองกลับมาคิดใหม่ว่า คุณพร้อมหรือยังที่จะสู้กับอัตราเงินเฟ้อด้วยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่มากขึ้นด้วย การลงทุนกับกองทุนรวม เพื่อการเลี้ยงชีพ คงเป็นทางเลือกใหม่ที่คุณจะสู้ในครั้งนี้
คุณต้องลงทุนอย่างไรกับกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพถ้าคุณคิดจะลงทุนเพื่อหวังเพียงผลตอบแทนเพียงอย่างเดียวโดยคุณไม่สนใจกฎระเบียบที่กำหนดขึ้น คงแนะนำได้เพียงว่ากองทุนนี้ไม่น่าลงทุน เพราะอย่างน้อยๆ ผลกำไรที่คุณได้รับจากการขายคืนคุณก็ได้รับไม่เต็มที่ คุณต้องนำไปรวมคำนวณรายได้เพื่อเสียภาษีอีกด้วย สู้คุณไปลงทุนในกองทุนที่ไม่ได้อยู่ในระบบเพื่อการเลี้ยงชีพดีกว่า ซึ่งส่วนกำไรคุณสามารถได้รับอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมีส่วนของภาษีมาเกียวข้องด้วยเลย

คราวนี้มาดูข้อบังคับกันบ้างว่ามีอะไรบ้าง เริ่มจากตัวคุณเองเลย
รายได้ทั้งปีคุณมีเท่าไร ? ไม่น้อยกว่า 3% ของรายได้ หรือไม่น้อยกว่า 5,000 บาท นั้นเป็นข้อกำหนดแรกในการลงทุนของคุณ ต่อปีที่คุณต้องพึงปฏิบัติ
ขยายความ คุณต้องคิดก่อนว่า 3% ของรายได้คุณคือเท่าไร ถ้ามากกว่า 5,000 บาท ขั้นต่ำในการลงทุนของคุณ คือ 5,000 บาท แต่ถ้าน้อยกว่า 5,000 บาท 3% ของรายได้คือขั้นต่ำของคุณในการลงทุน โดยคุณศึกษาเพิ่มเติมได้จาก คู่มือภาษี เกี่ยวกับการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
คุณลงทุนได้มากแค่ไหน ? ไม่เกิน 15% ของรายได้ทั้งปี และ เมื่อรวม กับเงินสบทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ในส่วนของลูกจ้าง หรือ กบข. (ถ้ามี) ต้องไม่เกิน 300,000 บาท
ขยายความ คุณต้องคิดก่อนว่าคุณมีช่วงว่างจาก เงินสบทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ในส่วนของลูกจ้าง หรือ กบข. ที่ยังไม่ถึง 300,000 อยู่อีกเท่าใด แล้วจึงมาดูว่า 15% ของรายได้ทั้งปีของคุณเกินหรือไม่ ถ้าเกินคุณลงทุนในกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อประโยชน์ทางภาษีได้แค่ส่วนที่ยังไม่ถึง 300,000 เท่านั้น แต่ถ้าไม่เกินคุณสามารถใช้ประโยชน์ได้เติมที่ถึง 15%
ลงทุนอย่างไร ? 1 ปีภาษี เป็นของคุณ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม วันไหนก็ได้แล้วแต่คุณ จะ ลงต้นปีเพื่อการลงทุนที่ยาวกว่า ทยอยลงตลอดปีเพื่อลดความเสี่ยงในความผันผวนของราคา หรือคุณจะลงปลายปีเพื่อสิทธิทางภาษีเพียงอย่างเดียว คุณก็ได้รับประโยชน์ทางภาษีเท่าเทียมกันหมด
ทำอย่างไรให้คงสภาพการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ? ง่ายที่สุดที่คุณคิดออกคือ ลงทุนทุกปีอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปี และ ไม่ไถ่ถอนคืนก่อนอายุ 55 เพียงแค่นี้ก็ลงทุนอย่างถูกต้องแล้ว แต่ถ้ายากไปทางรัฐบาลก็ยังยืดหยุ่นให้คุณอีกนิด คือคุณสามารถ ไม่ลงทุน หรือลงทุนน้อยกว่าขั้นต่ำได้บางปีซึ่งทั้ง 2 กรณีถือว่าเป็นการระงับการส่ง เพียงแต่ว่าคุณห้ามระงับการส่ง 2 ปีติดต่อกันเท่านั้นเอง อีกข้อหนึ่งที่คุณต้องพึงเว้นเด็ดขาดคือการไถ่ถอนคืนนั้นเอง ถ้าคุณลงทุนยังไม่ถึง 5 ปีอย่างถูกต้องและอายุไม่ถึง 55 ปีถือว่าผิดทันทีเช่นกัน
ต้องทำอย่างไรเมื่อทำผิด ? ทั้ง 2 กรณีคือ ระงับการส่ง 2 ปีติดกัน หรือไถ่ถอนคืนก่อนกำหนดนั้นคือคุณทำผิดวัตถุประสงค์แล้ว สิ่งที่คุณต้องชดเชยคือ คุณต้องนำสิ่งที่คุณได้ประโยชน์มาจากภาษีที่เสียน้อยลงคืนแก่รัฐไปซึ่งก็เป็นธรรมแล้วซึ่งเขาคงช่วยคุณได้มากที่สุดคือคุณคืนไปแค่ 5 ปีปฏิทิน หมายความว่าใน 5 ปีที่แล้วมา คุณเสียภาษีน้อยลงเท่าไรคุณก็คืนเขาไปแค่นั้น แต่มีเพิ่มเติมนิดหน่อยคือในกรณีที่คุณไถ่ถอนผิดเงื่อนไข คุณต้องนำกำไรส่วนเกินทุนไปคำนวณเป็นรายได้ในปีที่ไถ่ถอนเพื่อรวมคำนวณภาษีด้วย
ไม่มีรายได้ในปีนั้นทำอย่างไร ? ไม่ต้องตกใจ อย่าลืมว่าขั้นต่ำในการลงทุนคือ 3% ของรายได้ทั้งปี หรือไม่น้อยกว่า 5,000 บาทอันไหนน้อยกว่าถือว่าเป็นขั้นต่ำ ในกรณีนี้ขั้นต่ำของคุณเป็น 3% ของรายได้ทั้งปี ซึ่งรายได้ทั้งปีของคุณคือ 0 บาท 3% ก็คือ 0 บาทนั้นเอง แต่อย่าลืมยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของคุณ (ภงด.90 หรือ ภงด 91) นะครับเพื่อเป็นหลักฐานของคุณเอง
พร้อมหรือยังที่จะลงทุน เพื่อการเลี้ยงชีพ
คุณต้องเสียภาษีทุกปีในอัตราที่น่าเสียดาย ใช่ หรือ ไม่ ?
หลังจากไม่มีรายได้แล้ว คุณยังมีค่าใช้จ่ายอยู่ ใช่ หรือ ไม่ ?
ของแพงขึ้นทุกวันจนไม่อยากจะซื้อ ใช่ หรือ ไม่ ?
อยากลงทุนสักอย่างจะเลือกลงทุนอะไรดี ?
ลองตอบคำถามเหล่านี้คุณจะเห็นอะไรในตัวคุณมากขึ้นคำเตือนการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษา หนังสือชี้ชวน และ คู่มือภาษี เกี่ยวกับการลงทุน
ในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพให้เข้าใจ ก่อนตัดสินใจลงทุน แนะนำดูประกาศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจาก กรมสรรพากรที่ เรื่องน่ารู้ ต่างหน่วยงาน และ
ถาม ตอบ : กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ

จาก http://www.scbam.com/inc/Highlight/rmfword.asp (http://www.scbam.com/inc/Highlight/rmfword.asp)
นำมาให้พิจารณากันครับ
โดยคุณnongnooo


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 19:57:37
แนะวิธีสังเกต ธนบัตรปลอม

http://hilight.kapook.com/view/32091 (http://hilight.kapook.com/view/32091)






หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาประกาศเตือนให้ชาวบ้านระวังธนบัตรปลอมระบาดหนัก เนื่องจากสภาวะเศษฐกิจทรุด ความคืบหน้า ที่สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ (สนว.ตร.) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมนี้ พล.ต.ท.ดนัยธร วงศ์ไทย ผู้บัญชาการ สนว.ตร.พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุรพล พินิจชอบ ผู้บังคับการกองพิสูจน์หลักฐาน (ผบก.พฐ.) และ พ.ต.อ.เสรีย์ จันทรประทิน นักวิทยาศาสตร์ (สบ.5) พฐ. ร่วมแถลงข่าว กรณีธนาคารแห่งประเทศไทยเตือนประชาชนระมัดระวังธนบัตรชนิดราคา 1,000 บาทปลอม โดยเฉพาะช่วงปีใหม่

พล.ต.ท.ดนัยธรกล่าวว่า ในช่วงนี้มีข่าวแบงก์พันปลอมระบาดมากพอสมควร ซึ่งเป็นความจริง เพราะขณะนี้กองพิสูจน์หลักฐานรับคดีแบงก์ปลอมอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นห่วงว่าจะทำให้เกิดความสับสนต่อประชาชนผู้ใช้ ซึ่งขั้นตอนการตรวจพิสูจน์อย่างง่ายๆ สำหรับประชาชนที่จะสังเกตว่าแบงก์ปลอมหรือไม่ เป็นเรื่องที่ทุกคนควรรู้ไว้

พ.ต.อ.เสรีย์ จันทรประทิน อธิบายขั้นตอนการสังเกตธนบัตรว่า มีจุดสังเกตดังนี้

 1. ลายน้ำ พระบรมสาทิสลักษณ์ มองเห็นได้ชัดเจน เมื่อยกส่องกับแสงสว่าง และรูปลายไทยจะโปร่งแสงเป็นพิเศษ

 2. แถบสีโลหะในเนื้อกระดาษ นำเนื้อกระดาษตามแนวตั้ง เมื่อยกส่องกับแสงสว่าง จะเห็นตัวเลขและตัวอักษรโปร่งแสง

 3. พิมพ์เส้นนูน พระบรมสาทิสลักษณ์ ตัวอักษรและตัวเลขแจ้งราคา เมื่อสัมผัสด้วยปลายนิ้วจะรู้สึกสะดุด

 4. ตัวเลขแฝง ซึ่งอยู่ในลายไทย มองเห็นได้เมื่อยกธนบัตรเอียงเข้าหาแสงสว่าง โดยมองจากมุมล่างซ้ายเข้าหากึ่งกลางธนบัตร

 5. ภาพซ้อนทับพิมพ์แยกส่วนไว้บนด้านหน้าและด้านหลัง เมื่อยกส่องกับแสงจะมองเห็นภาพสวยงาม โดยแบงก์พันจะเป็นรูปดอกบัว แบงก์ 500 เป็นรูปดอกพุดตาล แบงก์ 100 เป็นตัวเลข 100 แบงก์ 50 เป็นตัวเลข 50 แบงก์ 20 เป็นตัวเลข 20

 6. ตัวเลขจิ๋ว บรรจุในตัวเลขไทยด้านหน้า มองเห็นได้ชัดเจนด้วยแว่นขยาย

 7. แทบฟอยล์ สีเงินมองเห็นเป็นหลายมิติ และสะท้อนแสงเมื่อพลิกไปมา

 8. หมึกพิมพ์พิเศษ ตัวเลข 1000 จะมองเห็น ด้านบนสีทอง ด้านล่างสีเขียว เมื่อพลิกขอบล่างขึ้นจะเห็นเป็นสีเขียวทั้งหมด ส่วนแบงก์ 500 ตัวเลข 500 จะมองเห็นตัวเลขสีเขียว เมื่อพลิกขอบล่างจะมองเห็นเป็นสีม่วง นอกจากนี้ ยังมีวิธีนำบริเวณลอยนูนของแบงก์ เช่น คำว่ารัฐบาลไทย ถูกับกระดาษสีขาว ของจริงจะปรากฏสีให้เห็น

พ.ต.อ.เสรีย์กล่าวว่า เป็นข้อสังเกตง่ายๆ ที่ประชาชนทั่วไปจะดูได้ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องใช้เวลาดูด้วยใจเย็นๆ อย่ารีบร้อน ถ้าไม่แน่ใจในธนบัตรที่สงสัย ให้เอาธนบัตรที่แน่ใจว่าเป็นของจริงมาเทียบ

"อย่าผลีผลามรับเงินโดยไม่ดูก่อน เวลาจะรับเงินพยายามอยู่ในที่ที่มีแสงสว่าง เพราะส่วนใหญ่มีการใช้แบงก์ปลอมในที่มืด เช่น คลับ บาร์ ส่วนข้อที่สังเกตง่ายที่สุดคือลายน้ำ ของปลอมทำยาก จะออกมืดไม่ชัด ถ้าของจริงจะเห็นส่วนสว่างชัดเจน ทั้งนี้ ที่มาของธนบัตรปลอม เราไม่มีข้อมูล แต่มากที่สุดคือพื้นที่ สภ.อ.ดอนตาล จ.มุกดาหาร จำนวน 758 ฉบับ" พ.ต.อ.เสรีย์ระบุ

ขณะที่ พล.ต.ต.สุรพลกล่าวว่า ในปี 2551 มีการส่งธนบัตรปลอมใบละ 1000 จากทั่วประเทศมาให้ พฐ.ตรวจสอบจำนวน 30 คดี เกือบ 1,000 ฉบับ ทั้งนี้ ธนบัตรปลอมที่ผ่านการตรวจจาก พฐ.แล้ว จะต้องส่งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบอีกครั้งก่อนทำลายทิ้ง

วันเดียวกัน พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผบช.ภ.1 นำตัว นายวัชรินทร์ ประศรี อายุ 68 ปี อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนดอนปอ จ.นครพนม นายแหลมทอง ปัตาถาวะโร อายุ 60 ปี น.ส.วิไล สีจันทร์ อายุ 56 ปี และนายอดุลย์ หวังเกิดกลาง อายุ 37 ปี ผู้ต้องหาร่วมกันผลิตธนบัตรปลอมไปแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ภายหลัง พ.ต.อ.เพชรัตน์ แสงไชย รอง ผบก.หน.ศสส.ภ.1 กับพวกประสานตำรวจกลุ่มงานสืบสวน ภ.จ.สกลนคร ขยายผลล่อซื้อธนบัตรใบละ 1000 บาท จำนวน 203 ฉบับ เป็นเงิน 203,000 บาทพร้อมของกลาง กัญชาอัดแท่ง 3 กก. ธนบัตรลาวปลอมฉบับละ 50,000 กีบ อีก 635 ฉบับ เป็นเงิน 31,750,000 กีบ ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ข้อหา ร่วมกันปลอมขึ้นซึ่งเงินตรา หรือธนบัตรปลอม ร่วมกันมีและนำออกใช้ซึ่งเงินตราปลอมอันตนได้มา โดยรู้ว่าเป็นของปลอม และร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยผิดกฎหมาย




ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 19:59:30
โทษเกี่ยวกับแบงก์ปลอม
http://www.matichon.co.th/matichon/v...day=2008-12-25 (http://www.matichon.co.th/matichon/v...day=2008-12-25)
คอลัมน์ ข้าราษฎร

โดย สายสะพาย



ของปลอมระบาดจนพ่อค้าแม่ขายผวาไม่กล้ารับธนบัตรราคา 1,000 บาท

มาดูกันว่า โทษทางอาญาเกี่ยวกับธนบัตรปลอมมีอะไรบ้าง เริ่มจาก

1.การปลอมธนบัตร : ผู้ใดทำปลอมซึ่งเงินตรา ไม่ว่าจะปลอมขึ้นเพื่อให้เป็นเหรียญกระษาปณ์ ธนบัตรหรือสิ่งอื่นใด ซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อำนาจให้ออกใช้ หรือทำปลอมขึ้นซึ่งพันธบัตรรัฐบาลหรือใบสำคัญ สำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้นๆ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานปลอม เงินตรา ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท (ประมาวลกฎหมายอาญามาตรา 240)

2.การแปลงธนบัตร : ผู้ใดแปลงเงินตราฯให้ผิดไป จากเดิม เพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีมูลค่าสูงกว่าจริง ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน แปลงเงินตรา ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ห้าปี ถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท (มาตรา 241)

3.นำเข้าธนบัตรปลอม : ผู้ใดนำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งสิ่งใดๆ อันเป็นของปลอมตามมาตรา 240 หรือของแปลงตามมาตรา 241 ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ (มาตรา 243 )

4.มีธนบัตรปลอมไว้เพื่อใช้ : ผู้ใดมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งสิ่งใดๆ อันตนได้มาโดย รู้ว่าเป็นของแปลกตาม มาตรา 240 หรือของแปลงตามมาตรา 241 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่ สองพันบาทถึงสามหมื่นบาท (มาตรา 244)

5.ได้ธนบัตรปลอมมาโดยไม่รู้ว่า เป็นของปลอม : ผู้ใดได้มาซึ่งสิ่งใดๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นของปลอมตามมาตรา 240 หรือของแปลงตามมาตรา 241 ถ้าต่อมารู้ว่าเป็นของปลอมฯ ยังขืนนำออกใช้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 245)

6.ทำหรือมีเครื่องมือปลอมธนบัตร : ผู้ใดทำเครื่องมือหรือวัตถุสำหรับปลอมหรือแปลงเงินตราฯ หรือมีเครื่อง มือหรือวัตถุเช่นว่านั้นเพื่อใช้ในการปลอมหรือแปลง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท (มาตรา 246)

7.ทำธนบัตรคล้ายคลึงเงินตรา : ผู้ใดทำบัตรหรือโลหธาตุอย่างใดๆ ให้มีลักษณะและขนาดคล้ายคลึงกับเงินตรา ไม่ว่าจะเป็นเหรียญกระษาปณ์ธนบัตรฯหรือพันธบัตรรัฐบาล หรือใบสำคัญสำหรับรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้นๆ หรือจำหน่ายบัตรหรือโลหธาตุเช่นว่านั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน สองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ถ้าการจำหน่ายบัตรหรือโลหธาตุดังกล่าวในวรรคแรก เป็นการจำหน่าย โดยการนำออกใช้ดังเช่นสิ่งใดๆ ที่กล่าวในวรรคแรก ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา 249)


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 20:00:33
27-12-2008 11:44 PM

แบงก์ปลอม พันธุ์ใหม่เหมือนทุกจุด ยกเว้นเลข 1,000

http://hilight.kapook.com/view/32361 (http://hilight.kapook.com/view/32361)




"แบงก์ปลอม" พันธุ์ใหม่เหมือนทุกจุด ยกเว้นเลข 1,000 ตร.ขยายผลทลายแก๊งค์ใหญ่ กลางกรุง

พบ "แบงก์ปลอม" พันธุ์ใหม่เหมือนทุกจุด ยกเว้นเลข 1,000 ตรงมุมขวาบน ตำรวจภูธรภาค 3 ขยายผลทลายแก๊งค์ปลอมแปลงใหญ่กลางกรุง เผยทำตามใบสั่งลูกค้า 1 พันบาทปลอมละ 200 บาท รู้ตัวเบื้องหลังหมดแล้ว ธ.กรุงไทยระบุเดือนเดียวเจอกว่า 100 ใบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำรวจภูธรภาค 3 ขยายผลทลายแหล่งผลิตธนบัตรปลอมรายใหญ่สำเร็จ โดยเมื่อเวลา 11.15 น. วันที่ 26 ธันวาคม ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 จ.นครราชสีมา พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผบช.ภ.3 พล.ต.ต.ฉัตรกนก เขียวแสงส่อง ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา พ.ต.อ.พงษ์เดช พรหมมิจิตร รองผบก.ภ.จว. ร่วมกันแถลงการจับกุม นายวิทยา บัวรอด อายุ 28 ปี ชาว อ.หนองม่วง จ.ลพบุรี นายสนอง เงินจันทร์ อายุ 54 ปี ชาวอ.เมือง จ.พิษณุโลก และนายดำรงชัย มะยมหิน อายุ 35 ปี ชาวอ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร ขณะกำลังผลิตธนบัตรปลอมที่โรงพิมพ์เอ็มบางกอก เลขที่ 4032/2 ถนนจตุรทิศ เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร พร้อมของกลางธนบัตรปลอมฉบับละ 1,000 บาท 46 ฉบับ กระดาษใช้ผลิตธนบัตร 800 แผ่น แถบสะท้อนแสง 1 แผ่น แท่นพิมพ์ 2 แท่น แผ่นเพลท 2 ม้วน เพลทตัวอย่างที่จัดทำเรียบร้อย 20 แผ่น แผ่นเพลทรูปเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ใช้สำหรับปลอมธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท 1 แผ่น เครื่องอัดเพลท 1 เครื่อง เครื่องประมวลผลจอคอมพิวเตอร์ 2 ชุด ปริ๊นเตอร์สี 2 เครื่อง และสีใช้พิมพ์ธนบัตร 5 กระป๋อง

สำหรับการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 คนพร้อมแหล่งผลิตธรบัตรปลอมครั้งนี้ เป็นการสอบสวนขยายผลมา จากการจับกุมนายธงชัย ประเสริฐ พร้อมของกลางธนบัตรปลอมฉบับละ 1,000 บาท 46 ใบ ที่สามแยกตลาดแค ต.ตลาดแค อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา และนายสัญชิต เทศนา ที่ห้องพักแฟลตดินแดง กรุงเทพมหานคร โดยนายสัญชิตซัดทอดว่า รับธนบัตรปลอมมาจากโรงพิมพ์เอ็มบางกอก

นายดำรงชัย ให้การรับสารภาพว่า เคยประกอบอาชีพเป็นช่างแยกสีที่โรงพิมพ์แห่งหนึ่ง ก่อนจะร่วมกับพวกที่ถูกจับ รับจ้างนายทุนจากกทม. ปลอมแปลงธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท มานานกว่า 4 เดือน โดยอาศัยโรงพิมพ์เอ็มบางกอก ซึ่งมีนายนายสนองเป็นเจ้าของ โดยจะผลิตตามใบสั่งลูกค้า จำหน่ายฉบับ 1,000 บาท ในราคา 200 บาท ที่ผ่านมาผลิตส่งให้กับลูกค้าไปแล้วกว่า 10,000 ฉบับ ซึ่งจุดที่ไม่สามารถปลอมได้เหมือน 100% คือ กระดาษที่ใช้จะมันและขาวกว่าของจริง เมื่อจับด้วยมือเปล่าจะรู้ทันที นอกจากนี้แถบ 2 สีบนตัวเลข 1000 ลายนูนบนธนบัตร รวมทั้งลายน้ำไม่สามารถปลอมได้เหมือนจริง เพราะทำยากพอสมควร

พล.ต.ท.กฤษฎา กล่าวว่า ผู้ต้องหาเป็นเครือข่ายใหญ่ กำชับให้ตำรวจในสังกัดเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของธนบัตรปลอมอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ ส่วนเครือข่ายที่จับกุมได้ครั้งนี้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการขยายผลจับกุมนายทุนที่บงการอยู่เบื้องหลัง ซึ่งทราบตัวหมดแล้ว ตำรวจจะเร่งติดตามจับกุมให้ได้โดยเร็วที่สุด

ด้านนายนพพร ประโมจนีย์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายออกบัตรธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.เน้นการสืบค้น ตรวจจับและปราบปรามขยายผลไปให้ถึงต้นตอ รวมถึงเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจมากขึ้น และไม่มีนโยบายยกเลิกธนบัตรที่มีหรือหมวดที่มีการระบุว่า มีการปลอมแปลงมาก เพราะการผลิตธนบัตรไทยเป็นมาตรการสากล สู้กับต่างประเทศได้ และกระดาษที่นำเข้ามาจากต่างประเทศก็จะมีสัญญาจำหน่ายให้กับโรงพิมพ์ธนบัตรเท่านั้น

"การจะยกเลิกต้องใช้เวลานาน เพราะมีธนบัตรในระบบมหาศาล จะเกิดความวุ่นวายพอควร แต่ธปท.ขอบอกว่า ธนบัตรเรามั่นคง น่าเชื่อถือ ใช้มาตรฐานชั้นนำของโลกที่สามารถดูออกได้ด้วยตาเปล่า โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ ซึ่งยังไม่เคยเห็นในส่วนที่บอกว่าเหมือนธนบัตรจริงมาก จึงไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ แต่เท่าที่เคยเห็นฉบับปลอมก็ยังสามารถแยกออกได้ด้วยตาเปล่า ไม่ได้ใช้กระดาษพิเศษอะไร และมีปริมาณไม่มากนัก ขณะนี้ประชาชนเริ่มเข้าใจมากขึ้น เชื่อว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในเร็ววัน และประชาชนอย่างตื่นตระหนกมาก" นายนพพรกล่าว

ขณะที่นายพงศธร สิริโยธิน รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้บริหารสายงาน สายงานปฏิบัติการ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของธนบัตรปลอมในขณะนี้ ทางธนาคารสามารถตรวจพบได้ในเดือนธันวาคมมากกว่า 100 ฉบับ ซึ่งเป็นการตรวจพบเพิ่มขึ้นจากช่วงเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ จำนวนธนบัตรปลอมดังกล่าวหากเทียบกับจำนวนธนบัตรที่ใช้ในระบบประมาณ 100 ล้านฉบับต่อเดือนถือว่ามีจำนวนน้อยมาก พื้นที่ที่มีการพบธนบัตรปลอมมากที่สุดเป็นบริเวณตะเข็บชายแดนไทย นับว่าช่วงนี้ธนบัตรปลอมมีการออกมาจำนวนมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งประชาชนยังมีความวิตกอยู่มาก เพราะยังไม่มีความชำนาญพอที่จะตรวจสอบธนบัตรได้ว่าจริงหรือปลอม

นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังหารือร่วมกับ ตัวแทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สถาบันการเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมศุลกากร สมาคมค้าส่งค้าปลีกไทย ว่า ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม กรมการค้าภายในและค้าภายในจังหวัด จะร่วมมือกับหน่วยงานของสถาบันการเงินและทางตำรวจ ประชาสัมพันธ์และตรวจสอบกรณีธนบัตรปลอมระบาด จนอาจกระทบต่อความมั่นใจต่อการใช้ธนบัตรของผู้บริโภคและผู้ค้า โดยจะเปิดจุดให้คำแนะนำและตรวจสอบธนบัตรตามแหล่งชุมชนและตลาดทั่วไปทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด

"ทั้งนี้ในวันที่ 27 ธันวาคมนี้ จะเดินทางไปตรวจสอบราคาสินค้าและภาวะการค้าขายพร้อมผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงรับร้องเรียนถึงปัญหาธนบัตรปลอม ที่บริเวณสวนจตุจักร" นางพรทิวา กล่าว

นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้า ส่ง-ค้าปลีกไทย กล่าวว่า พันธบัตรปลอมอาจกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับกระทบต่อการค้าการใช้จ่ายอย่างไรก็ยังต้องมีอยู่ สมาคมฯ ก็จะเตือนให้สมาชิกและร้านค้าทั่วไปได้เพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น โดยจะนำโปรเตอร์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดทำในการสังเกตธนบัตรไปแจกจ่าย

วันเดียวกัน พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) กล่าวถึงกล่าวถึงธนบัตรปลอมที่กำลังระบาดว่า ด้านการข่าวทราบว่าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีการลักลอบผลิต แต่เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องสืบสวนอย่างละเอียดอีกครั้งว่ามีจริงหรือไม่ และอยู่ในพื้นที่ใด เบื้องต้นทราบเพียงว่าอยู่ในพื้นที่ กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 (บก.น.1) หรือบก.น.2 เท่านั้น และหากประชาชนทราบหรือรู้เบาะแสแหล่งผลิตธนบัตรปลอม สามารถแจ้งมาได้ที่สายด่วน 191

รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ตำรวจ สน.โคกคราม จับกุมนายเทอดศักดิ์ พร้อมธนบัตรปลอมฉบับละ 1,000 บาท 11ใบ ได้ในซอยมัยลาภ ถ.รามอินทรา เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร โดยทำการล่อซื้อ จากนั้นส่งให้ กองพิสูจน์หลักฐาน สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ ตำรวจ ตรวจสอบพบว่า ธนบัตรปลอมดังกล่าวปลอมได้เหมือนของจริงมาก ทุกจุดที่มีตำหนิ คือ

จุดที่ 1.ลายน้ำ ธนบัตรจริงจะมีลายน้ำพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ใสชัดเจน แต่ธนบัตรปลอมจะเป็นเงาดำ

จุดที่ 2 .แถบสีโลหะสีเงินในเนื้อกระดาษธนบัตรจริง จะระบุมูลค่าธนบัตรไว้เป็นตัวเลข 1,000 บาท ชัดเจนเมื่อส่องกับแสงสว่าง

จุดที่ 3.การพิมพ์ ธนบัตรจริงจะพิมพ์เส้นนูนบนเนื้อกระดาษบริเวณคำว่ารัฐบาลไทย และตัวหนังสือคำว่าหนึ่งพันบาท ถ้าเป็นธนบัตรปลอมเป็นการพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ ตัวหนังสือจะเรียบไม่มีรอยนูน

จุดที่ 4.ภาพทับซ้อน ลายดอกบัวเมื่อส่องด้วยแสงสว่างจะเห็นชัดเจน แต่ธนบัตรปลอมจะไม่มีลายดอกบัว

จุดที่ 5.ตัวเลขแฝง และแถบฟอยด์สีบอร์นธนบัตรจริงจะเห็นชัดเจน ธนบัตรปลอมจะไม่ชัดเจน

จุดที่ 6 เนื้อกระดาษธนบัตร จริงจะใสสะอาดกว่าธนบัตรปลอมที่ค่อนข้างจะมืดทึบกว่ามาก

แต่ธนบัตรปลอมที่จับได้ในท้องที่สน.โคกคราม สามารถทำได้เหมือนทั้ง 6 จุด จะต่างตรงเลข 1000 ตรงมุมบนขวาของแบงก์ ซึ่งมี 2 สี หากส่องดูจะสีจะเลื่อนมาเหลื่อมกัน แต่ธนบัตรปลอมสี 2 สีจะไม่เลื่อนมาเหลื่อมกัน




ขอขอบคุณข้อมูลจาก มติชน ออนไลน์


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 20:02:08
01-01-2009 09:54 AM

กด-ลืมเก็บเอทีเอ็ม โดนเบิกต่อ1.8แสน

http://www.matichon.co.th/khaosod/vi...MHdNUzB3TVE9PQ== (http://www.matichon.co.th/khaosod/vi...MHdNUzB3TVE9PQ==)


ซวยท้ายปี-น.ส. ภัชรา ชื่นบาน แจ้งตร. ให้ติดตามคนในภาพวงจรปิด หลังกดเงินแล้วลืมบัตรเอทีเอ็มที่ยังเสียบคาตู้ ย่านสีลม ทำ ให้ชายที่ต่อคิวแอบกดเงินไปอีก 180,000 บาท


สาวเจ้าของบริษัทรับจองตั๋วเครื่องบินแจ้งความ ถูกลักกดตู้เอทีเอ็มสูญเงินไป1.8แสนบาท เผยเหยื่อเคราะห์ร้ายส่งท้ายปีโอนเงินให้ลูกค้าแล้วดันลืมบัตรไว้ในตู้ คนร้ายที่มาต่อคิวเลยสวมรอยเปลี่ยนรหัสผ่านบัตร เอาไปตระเวนกดเงินตามตู้เอทีเอ็มของธนาคารหลายแห่ง ย่านศาลาแดง ครั้งละ 30,000-100,000 บาท ยังดีกล้องวงจรปิดของตู้เอทีเอ็มจับภาพผู้ต้องสงสัยไว้ได้ เป็นชายท่าทางตุ้งติ้ง ด้านตำรวจหลังสอบปากคำเหยื่อเสร็จ บอกต้องรอธนาคารเปิดวันที่ 5 ม.ค. ถึงจะประสานขอข้อมูลรายละเอียดการใช้บัตรกดเงินได้

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 31 ธ.ค. ที่สน.ทุ่ง มหาเมฆ น.ส.ภัชรา ชื่นบาน อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 66/1 หมู่ที่ 4 ต.หนองหญ้าปล้อง อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี เจ้าของบริษัทสเปซแมน ฮอลิเดย์ ประกอบกิจการรับจองตั๋วเครื่องบิน สายการบินต่างๆ ย่านศาลาแดง นำภาพบันทึกจากกล้องโทรทัศน์ วงจรปิดของธนาคารไทยธนาคาร เป็นภาพคนร้ายที่นำบัตรวีซ่าอิเลคตรอนของธนาคารกสิกรไทยซึ่งตนเองลืมไว้ หลังโอนเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วเผลอหยิบแต่สลิปไปเท่านั้น คนร้ายที่ต่อแถวอยู่จึงฉวยโอกาสเปลี่ยนรหัสแล้วนำไปกดเงินจำนวน 180,000 บาท มามอบให้ร.ต.ท.วินัย นครขวาง พนักงานสอบ สวน สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อให้ติดตามหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดี

น.ส.ภัชรา กล่าวว่า เมื่อเวลา 09.13 น. วันที่ 30 ธ.ค. ตนเองได้ทำธุรกรรมทางการเงินที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารกสิกรไทย สาขาสีลม โดยใช้บัตรวีซ่าอิเลคตรอนของธนาคารกสิกรไทย โอนเงินไปให้บริษัทคู่ค้าที่มาจองตั๋วเครื่องบิน เป็นจำนวนเงิน 26,250 บาท หลังทำรายการเสร็จตนลืมบัตรวีซ่าดังกล่าวไว้ในช่องตู้เอทีเอ็ม ขณะนั้นหน้าจอยังขึ้นข้อความว่าต้องการทำรายการต่อหรือไม่ เป็นจังหวะเดียวกับที่มีชายต้องสงสัย สูงประมาณ 170 เซนติเมตร ผิวดำแดง ไว้ผมรองทรง ท่าทางตุ้งติ้ง เดินสวนเข้าไปยังตู้เอทีเอ็มที่ตนเองลืมบัตรไว้ ชายคนดังกล่าวอาศัยจังหวะที่หน้าจอทำรายการค้างอยู่เข้าไปทำรายการต่อโดยแก้รหัสผ่านบัตร

น.ส.ภัชรา กล่าวต่อไปว่า บัตรของตนมีวงเงินใช้จ่ายได้วันละ 200,000 บาท ซึ่งสามารถกดเงินได้ครั้งละ 20,000 บาท โดยชายคนดังกล่าวดินไปกดเงินจำนวน 50,000 บาท ที่ตู้เอทีเอ็มหน้าธนาคารไทยธนาคาร ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 300 เมตร แล้วก็เดินไปที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา BTS ศาลาแดง กดเงินอีก 100,000 บาท จากนั้นยังเดินต่อไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงเทพ หน้าร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น ศาลาแดง อีก 30,000 บาท รวมเงินที่ชายคนดังกล่าวได้ไปทั้งสิ้น 180,000 บาท ตนจึงเข้าแจ้งความไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. ก่อนที่วันนี้จะประสานขอภาพกล้องโทรทัศน์วงจรปิดของธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยธนาคาร มามอบให้ร.ต.ท. วินัย เพื่อใช้เป็นเบาะแสในการสืบสวนสอบสวนจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี

ด้านร.ต.ท.วินัย กล่าวว่า เบื้องต้นจะสอบปากคำเหยื่อเพิ่มเติม แล้วรอวันที่ 5 ม.ค. เพื่อให้ธนาคารกสิกรไทย และไทยธนาคารสาขาที่เกิดเหตุเปิดทำการ ก่อนประสานขอเอกสารข้อมูลการใช้บัตรอย่างละเอียด เพื่อนำมาประกอบสำนวนในการขอออกหมายจับบุคคลตามภาพถ่ายเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 20:03:43
14-01-2009 06:56 PM

โดย คุณคีตา
http://board.palungjit.com/showthrea...60#post1797960 (http://board.palungjit.com/showthrea...60#post1797960)

กำลังจะเอาเรื่องบัตรเครดิตลงมาให้ระวังกันครับ พอดีเรื่องเดียวกับข่าวพี่ sithipong ข้างบนเลย

"...ขอนอกเรื่องหน่อยละกัน

เนื่องจากกลลวงในปัจจุบันมีมากมาย โดยเฉพาะท่านผู้ที่ใช้บัตรเครดิต
ย่อมมีความเสี่ยงในการใช้จ่ายเงินเช่นกัน ซึ่งวันนี้ผมก็เจอมากับตัวเองเหมือนกัน
เกี่ยวกับการซื้อประกัน ผ่านตัวแทนขายทางโทรศัพท์ โดยหักเงินผ่านบัตรเครดิต
ซึ่งเจอบ่อยมาก แต่ก็ตกลงทำไปเหมือนกันเพราะการทำประกันชีวิต
ก็เป็นการออมเงินไว้ใช้ในอนาคตที่ได้รับผลตอบแทนที่ดี วิธีหนึ่งเช่นกัน

แต่ประเด็นสำคัญมันไม่ใช่เรื่องการทำประกันชีวิตหรอก สาระสำคัญมันอยู่ที่ว่า
ตัวแทนประกัน ถามวันหมดอายุ ของบัตรเครดิต และหมายเลข CVV ด้านหลังบัตร

ซึ่งพนักงานพูด ได้แนบเนียนมาก
"วันหมดอายุของบัตร วันที่เท่าไหร่คะ"
"พลิกไปดูหลังบัตร จะเห็นหมายเลข 3 ตัว คือหมายเลขอะไรคะ"

จึงขอเตือนเพื่อนชาวอีโกลไทยด้วยความเป็นห่วง ซึ่งอาจจะทราบความสำคัญ
หรือไม่ทราบความสำคัญ ของหมายเลข CVV และ วันหมดอายุของบัตร
ว่ามีความสำคัญมาก ไม่ควรบอกหรือเปิดเผยแก่ผู้ใด เพราะถ้าบอกไปแล้วนั่น
ก็เหมือนท่านได้มอบกรรมสิทธิ์ การใช้บัตรของท่านให้กับบุคคลนั้นไปแล้ว

นอกเสียจากว่าท่านทำธุรกรรม ผ่านทางอินเทอร์เน็ตเช่น จองตั๋วเครื่องบินผ่านอินเทอร์เน็ต
อันนี้จำเป็นต้องใช้อยู่แล้ว แต่ท่านก็ต้องทำด้วยตัวของท่านเอง และไม่ควรให้ใครกรอกข้อมูลแทนเช่นกัน

*** ข้อมูลที่ท่านจะสามารถบอกให้กับ พนักงานขายได้ก็มีเพียงแต่
ชื่อของท่าน ซึ่งสะกดเป็นภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง และหมายเลขบัตรเครดิตเท่านั้น
ส่วนข้อมูลอื่นไม่ต้องบอกไป (ถ้าไม่สามารถตัดยอดได้ ก็ไม่ต้องไปตัดมัน ชำระเงินสดแทนละกัน)

จึงเล่าสู่กันฟัง ด้วยความเป็นห่วง..."


ที่มา : http://www.egoldthai.com/index.php?showtopic=1820&st=8 (http://www.egoldthai.com/index.php?showtopic=1820&st=8)


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 20:04:40
14-01-2009 06:59 PM

ผมเอง บริษัทบัตรเครดิตโทร.มาหาผมเมื่อสองปีที่แล้ว จะเพิ่มวงเงินให้ 300,000 บาท ผมยังปฎิเสธไป ผมบอกว่า ผมมีกำลังที่จะรับผิดชอบได้แค่นี้ ผมพอแล้ว และผมบอกว่า ขอให้ระบุในข้อมูลของผมว่า ผมมีวงเงินเท่านี้พอ ไม่เพิ่มอีกแล้วครับ

เครื่องสแกนข้อมูล เล็กนะครับ รูดปื๊ดเดียว ข้อมูลก็ไปอยู่ในเครื่องแล้ว ส่วนเรื่องของบัตรเครดิตที่มีชิบ ก็อย่าได้ไว้วางใจเช่นกัน เราไม่รู้ว่า จะมีการนำข้อมูลจากชิบออกไปได้เมื่อไหร่ เราอาจจะเป็นรายต้นๆที่โดน หากเราไม่ระมัดระวังตัวกันไว้

มาย้ำ บัตรเครดิต เป็นการใช้เงินในอนาคตนะครับ

เวลาที่เราติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของบริษัทบัตรเครดิต หรือเจ้าหน้าที่ของบริษัทประกันทางโทรศัพท์ ทุกๆครั้งเราควรจดชื่อผู้โทร.มาหาเรา บริษัทอะไร วันที่เท่าไหร่และเวลาอะไร จดไว้ด้วยนะครับ อย่าลืม



หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 20:05:18
 วินัยใหม่ เพิ่มเงินเก็บทั้งปี

http://hilight.kapook.com/view/32999 (http://hilight.kapook.com/view/32999)






คนที่มีฐานะมั่นคงไม่ได้หมายความว่าเป็นคนหาเงินได้เยอะ แต่กลับเป็นคนที่มีวินัยในการเก็บเงิน และไม่เสียเงินไปกับเรื่องจุกจิกจนทำให้เงินเก็บสูญไป ปีใหม่นี้ตั้งต้นเก็บเงินกันใหม่ดีกว่า

1. เคลียร์ให้จบสิ้นก่อน เป็นกฎทองของการเก็บเงินที่คุณควรจะเคลียร์หนี้สินที่ติดไว้กับบัตรเครดิตให้จบลงเสียก่อน เพราะแม้ว่าเครดิตการ์ดจะเป็นช่องทางจ่ายเงินที่สะดวกสบาย แต่ถ้าบิลที่เรียกเก็บทำให้การเงินของคุณไม่สมดุลกันระหว่างเดือน รับรองว่าคุณจะไม่มีเงินเหลือเก็บแน่นอน ทางแก้ก็คือ ค่อยๆ ผ่อนชำระหรือหาเงินกู้ที่มีดอกเบี้ยถูกกว่า โปะทับไปก่อนที่ดอกเบี้ยบัตรเครดิตจะบานเป็นดอกเห็ด

2. ทำช้อปปิ้งลิสต์ คงไม่มีสาวคนไหนจะมานั่งทำช้อปปิ้งลิสต์เวลาไปซื้อของ แต่คุณรู้ไหมว่าลิสต์นี้จะทำให้คุณประหยัดได้มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นเวลาในการช้อปปิ้ง การซื้อของตรงวัตถุประสงค์ และกำหนดเงินในกระเป๋าได้ว่าจะต้องใช้จ่ายเท่าไรบ้างในการซื้อของครั้งนี้ จะได้งดซื้อของที่ไม่จำเป็นออกไป รวมทั้งกำหนดเลยว่าในหนึ่งเดือนจะต้องออกไปซื้อของกี่ครั้ง จะได้ประหยัดค่ารถไปในตัว

3. อย่าติดชื่อแบรนด์ แม้คนดังจะใส่เสื้อผ้าแพงระยับอย่างไร แต่คุณไม่จำเป็นจะต้องซื้อแบรนด์ดังๆ อย่างพวกเขาก็ได้ เพียงคุณดูแฟชั่น และแต่งตัวให้เป็นก็เพียงพอแล้ว อย่าไปเสียเงินให้แบรนด์ต่างๆ จะต้องมานั่งกลุ้มใจเอง

4. ใช้พรสรรค์สร้างเงิน ไม่ว่าคุณมีพรสวรรค์ทางด้านไหน ก็สามารถขุดขึ้นมาทำเงินได้แน่นอน บางคนนิยมถักตุ๊กตา ทำอาหาร ทำบล็อกเว็บไซต์ รับสอนหนังสือ และอื่นๆ อีกมากมาย คุณควรนำความสามารถเหล่านี้มาเป็นจุดขายในการสร้างเงิน เพิ่มรายได้พิเศษได้เดือนละหลายพันบาททีเดียว

5. ทำของใช้เองบ้าง ไม่ต้องเสียเงินทองไปซื้อของ ลองใช้วิธี Do lf Your self ลองประดิษฐ์ของใช้ในบ้านเอา เช่น แท่นวางของ อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน นอกจากจะได้โชว์ฝีมือแล้ว ยังไม่เปลืองเงินอีกด้วย

6. วางแผนการท่องเที่ยว คุณทราบไหมว่า ถ้าจองตั๋วเครื่องบินหรือที่พักก่อนเทศกาลท่องเที่ยว ราคาจะถูกมากกว่าถึง 30% ให้คุณแพลนกิจกรรมท่องเที่ยวเอาไว้ทั้งปี และฉลาดในการจัดทริป เพราะเงินจะเหลือจนคุณช้อปปิ้งซื้อของฝากได้สบายๆ หรือพยายามหาตั๋วที่มีส่วนลด ราคาจะได้ไม่บานปลายเหมือนปีที่ผ่านมา

7. หัดปฏิเสธเสียบ้าง สาวสังคมทั้งหลายยิ่งช่วงปีใหม่ เรื่องกินเรื่องเที่ยวกระหน่ำเข้ามาแทบทุกวัน หัดปฏิเสธและเลือกไปเฉพาะบางงาน เพราะคุณต้องเสียค่าดริ๊งก์ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ฯลฯ รวมแล้วนำมาเป็นเงินเก็บหรือใช้หนี้ได้อย่างสบายๆ

8. ฉลาดเป็นสมาชิก คุณเคยนับยอดไหมว่าเดือนหนึ่งคุณจะต้องเสียค่าสมาชิกยิม เคเบิลทีวี อินเทอร์เน็ตไร้สาย ฯลฯ เป็นจำนวนเท่าไร ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดภาระรายจ่ายจุดนี้ลงบ้าง เพราะคุณสามารถออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมแนวเดียวกันโดยเสียเงินน้อยกว่าได้








ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa

http://lisa.burdathailand.com/homepage (http://lisa.burdathailand.com/homepage)
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
ประจำวันที่ 7 มกราคม พ.ศ.2552


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 20:06:34
27-01-2009 10:55 AM

ผมได้mail จากน้องท่านนึงมา นำมาลงให้อ่านกันครับ

วิธีจัดการพวกทรชน

วันนี้อ้าย Withheld มันโทรมาอีกแล้ว
เลยไปค้นในเน็ตดูว่ามันคืออาราย ^^
ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง .. ลอง
อ่านดู ฮาดีเหมือนกานนิ ...

ข้อความนะครับ

Withheld : ( เป็นเสียงตอบรับอัตโนมัติว่า)
ที่นี่ ฝ่ายสินเชื่อบัตรเครดิตธนาคาร ยูโอบี ขณะนี้ท่านมี ยอดค้างชำระค่าบัตรเครดิตเกินกำหนด....
กรุณกด 9 เพื่อฟังรายละเอียดจากเจ้าหน้าที่....

mr_renderman : ในใจผมคิด 'มานมาอีกแว้ว....เอาฟะ มีเวลานิ เล่นกะมันซะหน่อย... '
เพราะผมไม่เคยไปทำบัตรเครดิตหรื อสินเชื่อกะ ยูโอ บี เลย

Withheld : สวัสดีค่ะ...
ขณะนี้ทางคุณมียอดค้างชำระกับบัตรเครดิตธนาคาร ยู โอบี เป็นจำนวน
เท่านั้นเท่านี้ที่นั่นที่นี่(ฟังดูน่าเชื่อถือ และ จริงจังมากกก)นะคะ ตอนนี้คุณอาจจะต้องโดนระงับการใช้
งานของบัตร และ ถูกดำเนินคดีความทาง กม.นะคะ...

mr_renderman : ( ผมทำเสียงตกใจ) ห๊า....
จริงเหรอครับ..เกิดขึ้นได้อย่างไรครับนี่ ผมไม่ได้ไป ใช้จ่ายอะไรเลยมากขนาดนั้นเลยนะครับ
ทำไมยอดจึงสูงขนาดนั้นล่ะครับ..

Withheld : ค่ะ.... ยังไงขอทราบ ชื่อ นามสกุล และวันเดือนปีเกิดนิดนึงเพื่อเช็คข้อมูลกับคอมนะคะ (อ้างคอมฯอีกแว้ว...)

mr_renderman : ได้ครับ(ด้วยน้ำเสียงตกใจสุดขีด) ผมชื่อ เอกราช นามสกุล สมมติเทพสกุล เกิดวันที่ 29 ก.พ. 2 522 ครับ...

Withheld : ค่ะ สักครู่นะคะ....(ระหว่างรอก็มีเสียงก๊อกแก๊กๆ บนคีย์บอร์ด แต่ในใจผมคิดนะ ตอนฟังเสียงคีย์บอร์ด ประมาณว่า.....โหแม่นี่พิมม์เร็วชมัด 500 คำต่อ นาที เห็นจะได้ เร็วเทพๆอ่ะ) ................. แล้วก็บอกยอดหนี้ บลาๆๆๆๆมาเบ็ดเสร็จ 6 หมื่นกว่าๆ....

mr_renderman : ผมก็อุทาน.... ' โอ้ยยยตายแล้ว.... ผมจะหาที่ไหนมาใช้หนี้ล่ะนี่ เยอะขนาดนี้ พอมีทางช่วยได้บ้างมั้ยครับ '

Withheld : มีค่ะ.... ถ้าอย่างไร คุณเอกราชถือสายรอนะคะ เราจะคุณได้ปรึกษากับเจ้าหน้าที่ฝ่าย กม. ของแบงค์ชาติค่ะ...(โห้...อะไรจะยิ่งใหญ่ขนาดน้านนนนน)

mr_renderman : ครับๆๆๆ.....(ยังเนียนต่อไป)

Withheld : ครับ.......ผม นาย...(อะไรก็ไม่รู้จำไม่ได้แต่ชื่อฟังดูภูมิฐานมั่กมั่ก) เจ้าหน้าที่ฝ่ายกม. ของแบงค์ชาตินะครับ ขณะนี้คุณ เอกราช สมมติเทพสกุล ได้เป็นหนี้กะทางธนาคาร ยู โอ บี ฯลฯ ( เหมือนเดิมเปี๊ยะ....) นะครับ....และเกินกำหนดการชำระมามากแล้วด้วย...

mr_renderman : ครับ แต่ตามรายการที่แจ้งมา
ผมไม่ได้ใช้จ่ายเยอะขนาดนั้นเลยจริงๆนะครับ...

Withheld : คุณแน่ใจนะ (ทำเสียงดุใส่) คุณสามารถยืนยันได้ใช่มั้ย...
แสดงว่าตอนนี้คุณโดนแอบอ้างแล้วล่ะ

mr_renderman : ครับ.... ผมควรทำไงดี

Withheld : เอาล่ะ
ทางเราจะให้ความช่วยเหลือกับคุณนะครับ....
ขณะนี้คุณมียอดค่าใช้จ่ายที่ปรากฏ อยู่ในคอมพ์ 6x,xxx บาท....
ซึ่งตอนนี้หากคุณปล่อยไว้นานเกินไป
มันจะกลายเป็นหนี้ที่คุณไม่ได้ก่อโดยปริยาย ดังนั้น
คุณจะต้องชำระหนี้คงค้างบางส่วนของคุณก่อนเป็นจำนวนเงิน 15,xxx บาท เพื่อให้เกิดสภาพคล่องทางบัญชี และดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้ภายหลัง...

mr_renderman : ครับ....
งั้นผมต้องจ่ายเมื่อไหร่ และ จ่ายมาทาง ยู โอ บี โดยผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิซ ได้เลยใช่มั้ยครับ...

Withheld : ทันทีโดยเร็วที่สุดครับ.... และต้องจ่ายโดยการโอนเงิน (อีกแล้ว..) เข้าบัญชีของ แบงค์ชาติโดยตรงที่หมายเลข xxx-xxx-xxxx ธ.กรุงเทพ ชื่อบัญชี นายอะไรสักอย่างเนี่ยแหล่ะ... ( เสียดายมากๆที่ไม่ได้จดเอาไว้....)

mr_renderman : เอ๋......
ทำไมเป็นบัญชีออมทรัพย์ ส่วนบุคคลล่ะครับ

Withheld : อ๋อ เป็นบัญชีของเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ดูแลด้านนี้โดยเฉพาะน่ะครับ...

mr_renderman : โอเคครับ....แล้ว ผมจะขอเอกสารยืนยันการจ่ายเงินของผมได้มั้ยครับ...

Withheld : ได้สิครับ....ให้ส่งไปที่ไหนดีครับ ที่บ้าน หรือ ที่ทำงาน

mr_renderman : ที่บ้านครับ...

Withheld : งั้นผมขอที่อยู่หน่อยครับ....

mr_renderman : อ่าว.........มันไม่ได้มีอยู่ในข้อมูลเหรอครับ....(ผมเริ่มต้อน...)

Withheld : สักครู่นะครับ(ก๊อกแก๊กๆๆ) ที่อยู่ของคุณคือ... บลาๆๆ นนทบุรี...(ตูไปอยู่นนทบุรี ตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย -_-')

mr_renderman : ถูกต้องครับ...(แน่ะยังอุตส่าห์เนียน.... มันคงงงอ่ะนะ ว่าถูกได้ไงฟระทั้งๆที่มั่วเอา...)

mr_renderman : ครับ..... งั้นผมขอคอนเฟิร์ม ชื่อ นามสกุล และ ที่อยู่ผมอีกครั้งนะครับ... ผมงงมากกับค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง....

Withheld : คอนเฟิร์มครับ คอมพ์ระดับแบงค์ชาติ ไม่มีการผิดพลาดแน่นอนครับ...

mr_renderman : เหรอครับ..... เอ่...แต่ไอ้ชื่อเอกราช สมมติเทพสกุลนี่....ผมเพิ่งตั้งขึ้นเอง เมื่อกี๊เลยนะ แล้วมันจะมีข้อมูลในแบงค์ชาติของคุณได้อย่างไรครับ...5555 ( หัวเราะจริงๆนะตอนนั้น)

Withheld : .....................

mr_renderman : และขอขอบคุณมากนะครับ...ที่ให้ข้อมูลที่ดีกับทางกรมตำรวจ เพราะระหว่างเวลาที่เราสนทนากันนั้นทางเราได้จับสัญญาณต้นทางโทรศัพท์ของคุณได้แล้ว...
ขณะนี้ เจ้าหน้าที่ได้ประสานงานมายังผมแล้วครับว่าเข้าถึงจุดที่เกิดเหตุแล้ว....ยังไงก็มอบตัวเถอะนะครับ รายการสนทนาเมื่อ สักครู่ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้บันทึกไว้เรียบร้อยแล้ว และหนักจะได้เป็นเบา

Withheld : คุณ มั่วแล้ว.....อย่ามามั่วกับเรานะ (โมโหสุดขีด)

mr_renderman : ครับ..... ถึงจะมั่วกันยังไง ผมก็คิดว่า เลขบัญชี กับชื่อเจ้าของบัญชีที่จะให้ผมโอนเงินให้คงไม่มั่วแน ่ๆครับ......จริงมั้ยจ๊ะ....

Withheld : ตึ๊ด......ตึ๊ด.....ตึ๊ด....... แล้วมันก้อตัดสายไป..... เสียดายจริงๆครับที่นึกมุขออกเท่านี้ และไม่ได้จดเลขบัญชีกับชื่อเจ้าของบัญชีเอาไว้... ไม่งั้นคงได้สนุกกว่านี้....

แกล้ง ทรชน สนุกจังเยย..........
จบแล้วครับ...

ยังไงซะ อันนี้เตือนนะครับ....
มันอาจจะเป็นมุขใหม่ของทรชนพวกนี้ คือ.... แค่ รู้
ชื่อ - นามสกุล ว.ด.ป. เกิดเนี่ย มันอาจจะทำให้เราเดือดร้อนได้โดยไมรู้ตัว และไม่รู้ด้วยวิธีของมัน....เพราะงั้น ปลอดภัยไว้ก่อนครับอย่าให้ข้อมูลส่วนตัวกะคนแปลกหน้านะครับ.. .


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 20:07:40
05-03-2009 09:42 AM
ตุ๋นคืนเงินภาษี

http://hilight.kapook.com/view/34492 (http://hilight.kapook.com/view/34492)





ภัยร้ายรายวัน : ตุ๋นคืนเงินภาษี (เดลินิวส์)

แก๊งหลอกลวงคืนภาษีรุกหนัก! หลอกต้มตุ๋นประชาชนไปแล้วกว่าหมื่นรายในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ทำรายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ด้วยการอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากร โทรศัพท์เข้าไปแจ้งความประสงค์จะคืนเงินภาษีให้

แก๊งมิจฉาชีพอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากร ใช้วิธีการโทรศัพท์ไปหาเหยื่ออ้างว่าเป็นคอลเซ็นเตอร์ของกรมสรรพากร แจ้งสิทธิได้รับคืนเงินภาษีผ่านการออนไลน์ โดยใช้การอัดเทปตอบรับอัตโนมัติ จากนั้นทำทีให้กดหมายเลขเพื่อติดต่อแผนกต่างๆ ของกรมสรรพากร และกดหมายเลขภายในเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ ทั้งมีการขอตรวจสอบเลขบัตรประจำตัวประชาชน ตรวจสอบชื่อ นามสกุล และเสียงปลายสายตอบกลับมาว่า ท่านมีสิทธิได้รับเงินภาษีคืน โดยยอดเงินคืนภาษีส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับหลักหมื่นบาท

ผู้ประสบเหตุรายหนึ่ง เผย แก็งมิจฉาชีพหลอกให้เหยื่อไปที่ตู้เอทีเอ็ม เพื่อตรวจสอบยอดบัญชีว่ามีเงิน 12,000 บาทเข้ามาหรือยัง แต่พอไม่พบว่ามีเงินเข้ามาก็สั่งให้กดตัวเลขตามที่บอกอ้างว่าเป็นรหัส พอหน้าจอเอทีเอ็มเปลี่ยนเป็นเมนูภาษาอังกฤษแก๊งมิจฉาชีพบอกว่าถูกต้อง ก่อนจะให้กดเลขรหัสตามอีกครั้ง โดยอ้างว่าเพื่อเชื่อมต่อข้อมูล กับทางกรมสรรพากร ซึ่งกดอยู่หลายครั้งจนสับสนพอบอกว่ายุ่งยากเกินไปไม่ขอทำแล้วให้ส่งเช็คมาวันหลัง แก๊งมิจฉาชีพเห็นท่าไม่ดีจึงรีบแจ้งเหยื่อว่าต้องการจะเร่งคืนเงินภาษี จึงขอความร่วมมือ พร้อมสั่งให้รีบทำรายการใหม่อีกรอบด้วยความเกรงใจ เลยกดตัวเลขต่อจนเสร็จ แต่เหยื่อมาสงสัยตรงเลขชุดสุดท้ายที่ใกล้เคียงกับยอดเงินในบัญชี เลยรีบตรวจสอบยอดเงินทันทีพบเงินสูญหายไปแล้วหลายแสนบาท

ทั้งนี้กรมสรรพากรได้ออกมายืนยันว่า ทางกรมสรรพากรไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์ไปสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เสียภาษีเพิ่มเติม เนื่องจากทางกรมสรรพากรมีข้อมูลของผู้เสียภาษีอยู่ในฐานข้อมูลแล้ว โดยเฉพาะการคืนเงินนั้น กรมสรรพากร จะคืนให้เป็นเช็คธนาคาร ที่ระบุชื่อ-นามสกุล ของผู้ขอคืนและส่งไปให้ทางไปรษณีย์ตามภูมิลำเนาที่ผู้ขอคืนแจ้งไว้เท่านั้น

เบื้องต้นกรมสรรพากรทราบมาว่า หมายเลขโทรศัพท์ 12 หลัก เป็นโทรศัพท์จากต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศเกาหลีที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ ณ ขณะนี้ และจะเรียกเก็บเงินปลายทาง ซึ่งเรื่องนี้ กสท. ได้มีอีเมลแจ้งเตือนให้ทราบแล้ว คือไม่ให้รับสาย กรณีเป็นเลขหมายที่ผิดปกติ และการคืนเงินภาษีอากร กรมสรรพากรจะจ่ายคืนเป็นเช็คธนาคาร กรุงไทย จำกัดเท่านั้น เพื่อให้ผู้รับคืนเงินภาษีนำเข้าบัญชีธนาคารของตนเองต่อไป ตัวอย่างหมายเลขโทรศัพท์ที่ควรระวัง 0-2617-3000, 0-2694-0861, 0-19-8862-0145, 0-159-7693-8447, 0-277-8899-6600 อนึ่งหมายเลขโทรศัพท์เหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ ขอให้ท่านพึงระวัง เมื่อมีโทรศัพท์เรียกเข้าด้วยหมายเลขที่ไม่คุ้นเคยแจ้ง "เรื่องคืนภาษี" อย่าได้หลงเชื่อให้ "ข้อมูลส่วนบุคคล" กับบุคคลเหล่านั้น มิฉะนั้นความเสียหายอาจเกิดแก่ตัวท่านเอง

หากพบหรือทราบเบาะแสของมิจฉาชีพกลุ่มนี้ กรุณาแจ้งข้อมูลได้ที่ สรรพากร Call Center : 0-2272-8000 หรือ หน่วยบริการภาษี กรมสรรพากร ทุกแห่งทั่วประเทศ




ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์

http://www.dailynews.co.th/web/html/...e=2&Template=1 (http://www.dailynews.co.th/web/html/...e=2&Template=1)
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 20:08:36
เปิดกลโกง โจรกรรมข้อมูล เอทีเอ็ม

http://hilight.kapook.com/view/34704 (http://hilight.kapook.com/view/34704)









สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ในระยะที่ผ่านมาเกิดปัญหาโจรผู้ร้ายลักลอบติดตั้งเครื่องสกริมเมอร์ไว้กับตู้เอทีเอ็ม เพื่อโจรกรรมข้อมูลไปใช้ในการปลอมแปลงบัตรเอทีเอ็มและบัตรเครดิต นำไปกดเงินสดออกจากบัญชีของประชาชนจำนวนมาก แม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพยายามหาทางแก้ไขและป้องกัน แต่ก็ยังทำได้อย่างยากลำบาก อย่างไรก็ตาม วันนี้กระปุกดอทคอมมีวิธีการป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อมาฝากกันค่ะ...

คนร้ายที่มีพฤติการณ์ในการลักลอบโจรกรรมข้อมูลบัตรเอทีเอ็มและบัตรเครดิต มักจะทำงานกันเป็นขบวนการ มีเครือข่ายอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก โดยมีทั้งในกลุ่มประเทศเอเชียและยุโรป ซึ่งมีมากที่สุดคือในประเทศมาเลเซีย ทั้งนี้ คนร้ายจะนำเครื่องสกริมเมอร์มาติดตั้งไว้ตามตู้เอทีเอ็มต่างๆ เพื่อดูดข้อมูลจากบัตรแล้วนำข้อมูลนั้นไปปลอมแปลงบัตรใบใหม่ แล้วนำไปใช้ในการกดเงินสด ขณะที่บัตรเครดิตจะมีปัญหามากกว่าบัตรเอทีเอ็ม เพราะนอกจากคนร้ายจะนำไปใช้ในการกดเงินสดแล้วก็จะนำไปใช้รูดซื้อสินค้าด้วย

ขณะเดียวกัน ผู้ใช้บริการตู้เอทีเอ็มจะต้องระมัดระวัง ก่อนใช้บริการทุกครั้งจะต้องสังเกตให้รอบคอบว่าตู้เอทีเอ็มที่เลือกใช้มีสิ่งแปลกปลอมหรือไม่ และทุกครั้งที่จะกดระหัสบัตรก็ให้ใช้มือบัง สังเกตให้ดีว่ามีใครจ้องมองดูอยู่หรือไม่ ส่วนกรณีบัตรเครดิตก็ต้องระวังทุกครั้งที่นำไปใช้ต้องสังเกตอย่างใกล้ชิด หากนำบัตรไปใช้รูดซื้อสินค้าก็ต้องสังเกตไม่ให้คลาดสายตา

สำหรับการกดรหัสบัตรเอทีเอ็มนั้น ข้อมูลจะมี 2 ชุด อยู่ตรงแถบแม่เหล็ก ดังนั้น ลูกค้าที่ใช้บริการต้องระมัดระวังรหัส 4 ตัว เวลากดบัตรต้องใช้มือซ้ายบังเพื่อป้องกันการแอบดู หรือการแอบดูโดยกล้องวงจรปิด ถ้าเขาไม่รู้รหัสก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าไม่แน่ใจว่ามีคนแอบดูหรือไม่ก็เปลี่ยนรหัสบ่อยๆ ส่วนการใช้กล้องเล็กนั้น มิจฉาชีพจะติดเหนือเครื่องเป็นรูเล็กๆ เท่าปลายเข็ม ถ้าเอามือบังก็จะมองไม่เห็น

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าคนร้ายพัฒนารูปแบบและวิธีการอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระทำความผิดให้ได้ทำให้ป้องกันได้ยาก ส่วนวิธีการสังเกตว่าเครื่องเอทีเอ็มเครื่องไหนติดตั้งเครื่องป้องกันการดูดข้อมูลแล้วหรือไม่นั้น ให้สังเกตไฟกะพริบ หากเห็นมีไฟสีเขียวกะพริบตรงช่องเสียบบัตรก็แสดงว่า เครื่องเอทีเอ็มดังกล่าวได้ติดตั้งเครื่องป้องกันไว้แล้ว ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรขอให้สบายใจได้ว่า หากถูกโจรกรรมข้อมูลจากบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเครดิตไป ความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดทางธนาคารจะเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนกลุ่มมิจฉาชีพที่หลอกลวงทางโทรศัพท์ให้ไปกดเงินที่เอทีเอ็ม ซึ่งไม่มีใครสามารถสั่งให้เราทำการใดที่ตู้เอทีเอ็มได้ ธนาคารทุกธนาคารไม่มีนโยบายสั่งการให้ลูกค้าไปทำธุรกรรมใดๆ ที่ตู้เอทีเอ็ม
สำหรับการเตรียมพร้อมก่อนกดเอทีเอ็ม เรามีข้อแนะนำ สรุปได้ดังนี้

เดี๋ยวนี้นอกจากต้องระวังตัวจะถูกแอบดูรหัสเอทีเอ็มในขณะกดเงินแล้ว ยังต้องระวังตัวเองไม่ให้ถูกทำร้ายในขณะที่คุณกำลังกดเงินด้วย เหมือนกรณีของชายผู้โชคร้ายรายหนึ่งที่กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งหลังเขาถูกโจรเอทีเอ็มซะน่วม เพราะไม่ยอมบอกรหัสกดเงินแต่โดยดี แล้วคุณล่ะมีวิธีป้องกันตัวยังไงหากจะไปใช้บริการตู้เอทีเอ็ม


11-03-2009 07:03 PM


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 20:09:48
รู้ทันแก๊งบัตรเครดิต ขโมยง่ายกว่า ATM
http://hilight.kapook.com/view/34817 (http://hilight.kapook.com/view/34817)







รู้ทันแก๊งบัตรเครดิต ขโมยง่ายกว่า ATM (ไทยรัฐ)


กระแสแก๊งโจรกรรมรหัสบัตรเอทีเอ็มยังไม่ซาไปจากสังคมดีนัก สกู๊ปหน้า 1 อยากฝากให้ระวังภัยบัตรเครดิตเอาไว้ด้วย


ที่ผ่านมาการทุจริตผ่านบัตรเครดิต เป็นปัญหาที่ขยายวงกว้างขึ้นทั่วโลก วิธีที่พบบ่อยที่สุดในเมืองไทย คือ การปลอมบัตร การแอบอ้างเป็นผู้ถือบัตรจริง รวมถึงการคัดลอกข้อมูลจากบัตร หรือที่เรียกว่า สกิมมิ่ง (Skim ming) เช่นเดียวกับการโจรกรรมบัตรเอทีเอ็ม


ปัญหามีว่า...บัตรเครดิต ไม่จำเป็นต้องขโมยรหัสก็นำไปรูดใช้จ่ายได้อย่างอิสระ ความเสียหายจึงมีมากกว่าว่ากันตามกระบวนการ การโจรกรรมข้อมูลบัตรเครดิต...วิธีการซับซ้อนน้อยกว่า


การฉ้อโกงบัตรเครดิตทำได้หลายวิธี อาทิ การขโมยบัตร การปลอมทั้งใบ การแปลงข้อมูลจากบัตรจริง การปลอมบัตรพลาสติกสีขาว การปลอมเอกสารในการสมัครเป็นผู้ถือบัตร และผู้ถือบัตรเป็นผู้ทุจริตเอง


แหล่งบัตรเครดิตปลอม แหล่งใหญ่ที่สุดอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย รองลงมา ฮ่องกง จีน ไต้หวัน


บัตรที่ปลอมเหมือนของจริงถึง 85 เปอร์เซ็นต์ แต่มีจุดสังเกต บัตรเครดิตปลอมจะบางกว่า ประเภทบัตรเครดิตปลอมที่พบมากที่สุด มีทั้งบัตรเครดิตที่เป็นอินเตอร์ วีซ่าต่างๆ รวมทั้ง บัตรโดเมสติก (Domestic หรือ Local) ที่ใช้ได้เฉพาะในประเทศ แต่มีการปลอมน้อย เพราะว่าทำแล้วไม่คุ้มที่จะถูกจับ


เว็บไซต์ http://www.creditthai.net/ (http://www.creditthai.net/) แนะข้อปฏิบัติสำคัญ 10 ข้อในการเก็บรักษาบัตร และข้อมูลบัตรเครดิตทันทีที่ได้รับบัตรใหม่เอาไว้ว่า...


 ข้อแรก...เซ็นชื่อลงบนแถบลายเซ็นทันที จดหมายเลขบัตรเครดิต หมายเลขโทรศัพท์สำหรับแจ้งบัตรหาย และเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย หาง่ายยามฉุกเฉิน


 ข้อต่อมา...ไม่ควรตั้งรหัสเอทีเอ็มโดยใช้ข้อมูลส่วนตัวซึ่งง่ายต่อการคาดเดา ไม่ว่าจะเป็นชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ วันเดือนปีเกิด


 ข้อที่สาม...จำรหัสเอทีเอ็มให้ได้ ถ้าจำเป็นต้องจดไว้ ไม่ควรเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ กระเป๋าถือ หรือเก็บไว้ใกล้กับบัตร และไม่ควรบอกรหัสเอทีเอ็มให้บุคคลอื่นทราบ


 ข้อที่สี่...เก็บรักษาบัตรของคุณเช่นเดียวกับที่คุณเก็บเงินสด หากเป็นไปได้ ไม่ควรปล่อยให้บัตรคลาดสายตาในระหว่างที่พนักงานนำบัตรของคุณไปรูด


 ข้อที่ห้า...ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รับบัตรของคุณคืนมาทุกครั้ง หลังชำระเงิน และก่อนเซ็นเซลล์สลิป ควรตรวจสอบจำนวนเงินว่าตรงกับราคาสินค้า บริการ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นนำข้อมูลในเซลล์สลิปไปใช้ในทางที่มิชอบ และเก็บไว้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องภายหลัง


 ข้อที่หก...ตรวจสอบยอดค่าใช้จ่ายในใบแจ้งบัญชีบัตรเครดิต ประจำเดือนว่ามีจำนวนเงินตรงกับที่คุณใช้ไปหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกลับจากการเดินทางต่างประเทศ


 ข้อที่เจ็ด...ไม่ควรบอกหมายเลขบัตรเครดิตของคุณแก่บุคคลอื่นทางโทรศัพท์ เว้นแต่คุณกำลังติดต่อกับองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือ หรือคุณเป็นฝ่ายเริ่มการติดต่อด้วยตัวเอง


 ข้อที่แปด...ตรวจสอบให้แน่ใจหากมีความจำเป็นต้องบอกหมายเลขบัตรเครดิตของคุณทางโทรศัพท์ และขอเอกสารยืนยันการซื้อขายที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากพนักงานขายทางโทรศัพท์ทุกครั้ง


 ข้อที่เก้า...อย่าไว้ใจพนักงานขายสินค้าทางโทรศัพท์ที่เร่งหรือกดดันให้คุณรีบซื้อสินค้า อย่าให้หมายเลขบัตรจนกว่าคุณตัดสินใจแน่แล้วว่าจะซื้อสินค้า


 ข้อสุดท้าย...หากสมาชิกในครอบครัวคุณนำบัตรของคุณไปใช้ อาจโดยที่คุณทราบหรือไม่ทราบมาก่อน คุณจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบยอดการใช้จ่ายที่เกิดขึ้น








คนร้ายสามารถปลอมบัตรเครดิตขึ้นมา โดยบรรจุเอาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถือบัตรที่ได้มาอย่างผิดกฎหมายจากแหล่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สลิปบัตร สแปมเมล์ หรือส่งอีเมล์สุ่ม เพื่อหวังข้อมูลบัตรเครดิตของผู้รับ หรือไม่อย่างนั้นก็ส่งโปรแกรมเฉพาะ ผ่านมาทางเว็บไซต์ผิดกฎหมาย โดยคนร้ายที่สามารถเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวผู้ถือบัตร อาจใช้ข้อมูลที่ขโมยมา นำไปซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ตหรือทางโทรศัพท์อีกต่อหนึ่ง


ดังนั้น วิธีที่คุณจะป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมเหล่านี้ คล้ายคลึงกันกับสิ่งที่คุณพึงปฏิบัติเมื่อได้รับบัตรใหม่ หรือขณะที่คุณช็อปปิ้งทางอินเตอร์เน็ต


เป้าหมายหลัก คือ ปกป้องข้อมูลส่วนตัว...เริ่มจากตรวจสอบความถูกต้องของใบแจ้งยอดบัญชีบัตรเครดิตทันทีที่ได้รับ กรณีพบรายการใช้จ่ายน่าสงสัย ให้รีบแจ้งธนาคารทันที ต่อมาไม่ควรเปิดเผยข้อมูลบัตร และข้อมูลส่วนตัว เช่น หมายเลขบัตร รหัสเอทีเอ็ม วันเดือนปีเกิด หรือหมายเลขบัตรประชาชน ยกเว้นกรณีที่คุณเป็น ฝ่ายเริ่มการติดต่อ


เก็บรักษาบัตรประจำตัวประชาชน ใบขับขี่ และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ ไว้ในที่ที่ปลอดภัย จุดสำคัญ อย่าตอบอีเมล์แปลกๆที่ส่งมาเพื่อขอข้อมูลส่วนตัว


พยายามอย่าให้พนักงานแคชเชียร์ พนักงานเสิร์ฟ เด็กปั๊มนำบัตรเครดิตไปทำรายการในที่ที่มองไม่เห็น เพื่อช่วยป้องกันการสกิมมิ่ง...คัดลอกข้อมูลบัตร


"ใช้บัตรรูดเงินเรียบร้อยแล้ว ให้เก็บสำเนาสลิปบัตรเครดิตไว้ทุกครั้ง เพื่อใช้ตรวจสอบความถูกต้องกับใบแจ้งยอดบัญชี"


อีกข้อที่สำคัญ ถ้าจำเป็นจะต้องใช้บัตรกับตู้เอทีเอ็ม ให้หลีกเลี่ยงการใช้ตู้เอทีเอ็มที่ตั้งอยู่ในที่เปลี่ยว หรือมีลักษณะน่าสงสัย ตู้เหล่านี้จะเป็นเป้าหมายหลักของแก๊งโจรกรรม ลักลอบติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเอาไว้ขโมยข้อมูลจากบัตรของคุณได้ง่ายๆ ลืมไม่ได้เลยว่าขณะใช้บริการเอทีเอ็ม อินเตอร์เน็ตสาธารณะ ควรมองสำรวจรอบๆ ตัว เพื่อสังเกตพฤติกรรมต้องสงสัย ผู้ที่ยืนต่อแถวด้านหลัง หรืออยู่ใกล้ๆ


กรณีทำธุรกรรมการเงินออนไลน์ผ่านอินเตอร์เน็ต ผู้ใช้ต้องติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ หรือไฟวอลล์ พร้อมสรรพด้วยซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสทั้งเครื่องที่บ้าน สำนักงาน เพื่อป้องกันการโจรกรรมข้อมูล


"คุณควรซื้อสินค้าบริการออนไลน์กับเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง ไว้ใจได้เท่านั้น ขณะเดียวกันก็ต้องระวังเว็บไซต์ปลอม ที่บรรดาแฮกเกอร์สร้างขึ้นมาเพื่อจารกรรมข้อมูลของคุณ"


ธุรกรรมในอินเตอร์เน็ต จับตาไปที่รหัสผ่าน...ในบริการการเงินให้ใช้รหัสผ่านที่ยาวๆ เพื่อคุ้มครองข้อมูลบัญชีธนาคาร และบัญชีซื้อสินค้าทางอินเตอร์เน็ต รหัสผ่านยิ่งยาวก็ยิ่งยากที่มิจฉาชีพจะถอดรหัสไปใช้ได้เท่านั้น








ปลายเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้เอง ธนาคารกสิกรไทยแจ้งเตือนลูกค้าให้ระวัง โทรจันตัวใหม่ ชื่อว่า Pws.Sinowal.AU ไวรัสขโมยข้อมูลบัตรเครดิต รหัสเอทีเอ็ม ไวรัสตัวนี้เป็นโปรแกรมที่ฝังตัวในเครื่องคอมพิวเตอร์ นอกจากจะทำหน้าที่คัดลอกข้อมูลแล้ว ยังติดตามพฤติกรรมผู้ใช้งานทางอินเตอร์เน็ตได้ด้วย เมื่อพิมพ์คำว่า bank ที่ บราวเซอร์ อินเตอร์เน็ต จะมีป็อปอัพ...หน้าต่างพิเศษโชว์ขึ้นมาให้กรอกข้อมูลบัตรเครดิต รวมถึงรหัสเอทีเอ็ม โดยอ้างว่าเพื่อความปลอดภัย


"เห็นอย่างนี้อย่าได้กรอกรหัสธนาคารตอบกลับ หรือให้ข้อมูลใดๆเด็ดขาด ประเด็นสำคัญ...ตรวจสอบเว็บไซต์ให้แน่ชัดก่อนลงทะเบียนเข้าใช้งาน"


ที่ทำได้ให้คุณคลิกที่สัญลักษณ์รูปแม่กุญแจ ที่มุมขวาล่างของบราวเซอร์อินเตอร์เน็ต เพื่อตรวจสอบข้อมูลยืนยันให้แน่ใจว่าเป็นเว็บไซต์ของธนาคารจริง


รู้ถึงภัยอันน่ากลัวของแก๊งโจรกรรมบัตรเครดิตทั้งในสังคมทั่วไป สังคมอินเตอร์เน็ตกันไปแล้ว ก็รู้ต่อกันอีกหน่อยถึงบทลงโทษ


การปลอมบัตรเครดิต การใช้บัตรเครดิตโดยฉ้อโกงเอาบัตรเครดิตผู้อื่นไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานปลอมเอกสาร มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


กรณี เอาบัตรเครดิตไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต หากเป็นการขโมยมาเป็นความผิดฐานลักทรัพย์...กระทงหนึ่ง ถ้านำไปใช้ชำระเงิน โดยแสดงว่าเป็นเจ้าของถือว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกง...อีกกระทงหนึ่ง และถ้ามีการเซ็นชื่อปลอมในใบสลิป บัตรเครดิต จะมีความผิดฐานปลอมเอกสารอีกด้วย


สมมติว่าไม่ได้ขโมยเอาบัตรมา แต่ขโมยจำเลขบัตรเครดิต มาใช้ชำระเงินทางอินเตอร์เน็ต เป็นความผิดฐานฉ้อโกงอย่างเดียว บทลงโทษคือจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


เทียบกับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว หลายคนบอกว่า... บทลงโทษเบาเหลือเกิน



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ไทยรัฐ

14-03-2009 06:42 PM


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 20:10:37
รู้เท่าทัน เมื่อ "ญาติ-เพื่อน" ออกปากขอยืมเงิน
http://www.manager.co.th/Family/View...=9520000031895 (http://www.manager.co.th/Family/View...=9520000031895)
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
20 มีนาคม 2552 10:01 น.

 

ในวันที่สังคมไทย และสังคมโลกยังอยู่ด้วยกันอย่างช่วยเหลือเกื้อกูล มีสิ่งใดก็นำมาแบ่งปันกัน ใครไม่มีก็ช่วยประคับประคองกันไป ไม่รบราฆ่าฟันกันด้วยเรื่องของความโลภ กิเลส หรือเงินตรา คำว่า "หนี้" ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องถูกตราเอาไว้ในพจนานุกรม

แต่ในเมื่อวันหนึ่ง มนุษย์บางส่วนเลือกที่จะปฏิเสธโลกแบบเดิม หันมาเรียกร้องหาโลกแห่งทุนนิยม โลกแห่งการแข่งขันเสรี (?) โลกที่ใครมือยาวสาวได้สาวเอา โลกที่ต้องมีโทรศัพท์มือถือไว้โฟนอินให้โก้เก๋ นับถือเงินตราเป็นพระเจ้า สิ่งหนึ่งที่มนุษย์เหล่านั้นต้องพึงสังวรไว้ก็คือ "การรู้เท่าทัน" โลกในแบบที่พวกเขาต้องการ เพราะมีหลายคนที่อยู่กับโลกใบนั้นอย่างหลงระเริง ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ติดกับข้าวของหรูหรา เงินตรา และอำนาจ จนยอดหนี้พุ่งทะลุยอดรายได้ รายการจ่ายบัตรเครดิตยาวเป็นหางว่าว มีเจ้าหนี้เงินกู้มากมายก่ายกอง

โดยเฉพาะในยุคนี้ ยุคที่เศรษฐกิจบนโลกทุนนิยมเจอสัญญาณอันตราย ไม่สามารถก้าวต่อไปได้ในแนวทางเดิม เราจึงมี "มนุษย์หนี้" หรือเหยื่อที่ไม่รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น และในวันใดวันหนึ่ง ก็อาจต้องพบเจอ "มนุษย์หนี้" ที่เป็นญาติสนิทมิตรสหายมาหยิบยืมเงินกันถึงหน้าประตูบ้านก็ได้

แนวทางที่จะช่วยแก้ไขสถานการณ์กลืนไม่เข้า คายไม่ออกที่เกิดขึ้น อาจทำได้โดย

พูดคำว่า "ไม่" ให้ติดปาก

ปฏิเสธคำขอยืมเงิน โดยไม่ต้องใช้ถ้อยคำผัดผ่อนต่าง ๆ นานา เช่น "ขอเวลาฉันคิดหนึ่งวัน, รอสิ้นเดือนให้เงินเดือนฉันออกก่อน" หรือ "ขอปรึกษาภรรยาก่อน" บางคนอาจเลือกใช้วิธีผัดผ่อนผ่านถ้อยคำเหล่านี้เพราะคิดว่าจะช่วยรักษาสัมพันธภาพที่เคยมี หรือเคยดีเอาไว้ได้ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ เพราะถ้าให้ยืมไม่ได้ ความจริงก็คือให้ยืมไม่ได้ ด้านเพื่อนของคุณเองก็จะเสียเวลารอตามเงื่อนไขที่คุณบอกไว้ แล้วมาถามใหม่ว่า ให้เขาขอยืมได้หรือไม่ สู้ปฏิเสธเขาไปเลยตั้งแต่ต้น ให้เขาเอาเวลาที่จะรอความหวังจากเราไปหาทางแก้ไขปัญหา "หนี้ของตนเอง" ดีกว่า คนเราเมื่อจนตรอก (และต้องยังมีสัมมาทิฐิมากพอ) สมองของเขาจะเริ่มทำงานเองว่า เขาจะแก้ปัญหาอย่างไร ให้ผ่านพ้นภาวะวิกฤตนี้ไปได้ แม้จะไม่ได้รับความช่วยเหลือด้านการเงินจากคนอื่น

เสนอความช่วยเหลือทางอื่น

ถ้าเห็นใจ และต้องการช่วยเหลือจริง ๆ แต่ติดว่า เรื่องการเงินของครอบครัวของคุณเองเองก็มีอุปสรรคเช่นกัน และไม่ได้มีมากพอที่จะให้ขอยืมเงินก้อนไปได้ ก็ให้คิดหาทางช่วยทางอื่น เช่น เสนอให้มาอยู่รวมกันที่บ้านแทน จะได้ลดค่าใช้จ่ายของผู้มาออกปากขอยืมได้ส่วนหนึ่ง หรือมองหาว่าอะไรที่คุณสามารถช่วยเขาได้ในสิ่งที่เขาขาด โดยที่ไม่เป็นในลักษณะของ "เม็ดเงิน"


 

แปรคำขอยืมเงินเป็นเอกสาร

เป็นเรื่องน่ากระอักกระอ่วนใจอยู่ไม่น้อย ที่เวลาคนสนิทมาขอยืมเงิน แล้วทางฝ่ายผู้ให้ยืมต้องขอให้เขาทำเป็นเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษร หลายคนอาจจะคิดว่า ถ้าต้องบากหน้ามาขอยืมเงินจากญาติหรือเพื่อนแล้วมาเจอแบบนี้ จะมาขอยืมทำไมกัน สู้ไปกู้ธนาคารไม่ดีกว่าหรือ แต่มันเป็นเรื่องที่ผู้ให้กู้ควรทำ ไม่ว่าคนที่มาขอยืมคนนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทมิตรเก่าเลเวลใดก็ตาม เพราะอย่าลืมว่า ทันทีที่คุณมอบเงินก้อนเงินเก็บของคุณให้เขายืมไป คนที่จะหนักใจแทนก็คือฝ่ายของคุณเอง ว่าเขาจะคืนหรือไม่ การมีเอกสารยืนยันชัดเจนเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินช่วยให้คุณสบายใจได้ในจุดนี้ เพราะมีความชัดเจนเรื่องตัวเลข ระยะเวลาในการกู้ยืม ไม่ต้องถกเถียงกันให้เสียเวลา แค่ยึดตามหนังสือสัญญา อีกทั้งในแง่ของการดำเนินคดีตามกฎหมายก็เป็นเอกสารดังกล่าวก็เป็นหลักฐานชั้นดีเสียด้วย

หลีกเลี่ยงการลงทุนร่วมกัน

มีเพื่อน หรือคนสนิทบางคน มาเหนือเมฆกว่านั้น แทนที่จะใช้คำว่าขอยืมเงินไปทำธุรกิจ ก็เล่นคำเป็นว่า ชวนไปทำธุรกิจร่วมกัน พร้อมยกตัวอย่างประสบการณ์ต่าง ๆ นานา ของตัวเองที่เคยมีมาในอดีตมาเล่าให้คนมีเงินเคลิบเคลิ้ม หลงให้ยืมเงินไป น่าเสียดายที่หลายคนเสียเพื่อน (แย่ ๆ )ไปพร้อมกับเสียเงินก้อนที่สะสมมาด้วย เพราะฉะนั้น พิจารณาเจตนาของคนที่มาชักชวนทำธุรกิจร่วมกันให้ดี ๆ ว่าเขาต้องการไอเดีย-แรงงานของคุณ หรือแค่ "เงิน" ของคุณเฉย ๆ

ที่สำคัญ อย่ารู้สึกผิดว่าตัวเองใจร้าย เพราะคุณก็ต้อง "รู้เท่าทัน" โลกใบนี้เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก USNews.com


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 20:14:56
20-06-2009, 08:28 AM

ท่านใดมีเรื่องที่เกี่ยวกับ การประกันชีวิต หรือ การประกันวินาสภัย

สามารถปรึกษากับ คปภ.ได้ครับ


http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=615717&d=1245461320 (http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=615717&d=1245461320)

http://board.palungjit.com/f179/ (http://board.palungjit.com/f179/)พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-1572.html#post2199417

.


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 เมษายน 2553 20:15:53
คปภ.สั่งล้อมคอก ตัวแทนขายประกัน ตื๊อลูกค้าทางมือถือ ขู่ถอนใบอนุญาต

���˹�� ��蹤� �ç�� �ç��


ที่มา แนวหน้า

นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า คปภ.ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมากผ่านสายด่วนประกันภัย 1186 กรณีมีตัวแทนขายประกันของบริษัทประกันภัยและบริษัทประกันชีวิตต่างๆ ได้โทรศัพท์เข้ามือถือทั้งที่หมายเลขโทรศัพท์มือถือเป็นความลับและส่วนบุคคล แต่ไม่ทราบว่าตัวแทนขายประกันเหล่านี้ได้หมายเลขโทรศัพท์มือถือมาอย่างไร ซึ่งประชาชนบางคนรับสายโทรศัพท์จากตัวแทนขายประกันต่อวันถึง 10 ครั้ง ถือว่าเป็นการสร้างความรำคาญต่อประชาชนอย่างมาก


ทั้งนี้ คปภ.เห็นว่าจะต้องมีการกำหนดแนวทางและรูปแบบรวมถึงการดูแลปัญหาเหล่านี้อย่างใกล้ชิด จึงได้กำหนดรูปแบบและแนวทางการขายประกันภัย โดยเฉพาะการต่อประกันภัยรถยนต์ทั้งภาคบังคับและสมัครใจ รวมถึงประกันชีวิตในรูปแบบต่างๆ ทางโทรศัพท์ให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นเพื่อลดปัญหาประชาชนถูกตัวแทนขายประกันภัยทางโทรศัพท์


โดยตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตัวแทนที่โทรศัพท์ไปขายประกันภัยต่างๆ จะต้องแจ้งชื่อ เลขที่ตัวแทนขายประกันให้ประชาชนได้ทราบทุกครั้ง รวมถึงเมื่อตัวแทนชี้แจงรายละเอียดเสร็จแล้วไม่ควรโทรศัพท์ไปหาคนเดิมภายในระยะเวลา 6 เดือน หากตัวแทนต้องการขอบันทึกเทปการสนทนา ก็ขอให้ประชาชนยินยอมการบันทึก เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการขายประกัน เพราะหากตัวแทนไม่ดำเนินการตามระเบียบที่เสนอขายก็จะดำเนินการเอาผิดกับตัวแทนและบริษัทประกันทันที หากพบพฤติกรรมดังกล่าวจะถอนใบอนุญาต ขณะนี้ คปภ.ได้กำชับให้บริษัทประกันภัยและประกันชีวิตติดตามพฤติกรรมตัวแทนที่ขายกรมธรรม์ผ่านโทรศัพท์ว่า จะต้องไม่รบกวนประชาชน หากตัวแทนขายประกันยังสร้างความรำคาญและเป็นบุคคลเดิม ก็ให้ร้องเรียนมาที่สายด่วน 1186 ได้ทันที


นอกจากนี้ คปภ.ได้มีการชี้แจงทำความเข้าใจกับสมาคมประกันวินาศภัย สมาคมประกันชีวิตไทย และตัวแทนบริษัทประกันชีวิตด้านเคลมประกันภัยในด้านต่างๆ ว่า เพื่อเป็นการรับทราบนโยบายและแนวทางร่วมมือกับ คปภ.และสมาคมฯ เกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทผ่านช่องทางศูนย์บริการประชาชนด้านประกันภัย โดยที่ผ่านมาทาง คปภ.ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนด้านประกันชีวิตและประกันภัยต่างๆ มีการประวิงการจ่ายค่าสินไหมหรือใช้ระยะเวลาพิจารณานานเกินไป ทำให้ผู้เอาประกันภัยได้รับความเดือดร้อน เพราะกว่าจะได้ค่าสินไหมทดแทนต้องใช้ระยะเวลาเป็นปี


ดังนั้น จึงได้มีการจัดตั้งศูนย์บริการประชาชนด้านประกันภัย ซึ่งจะเป็นการร่วมมือทั้งภาครัฐและประชาชนผ่านสายด่วนประกันภัย 1186 เพื่อรับเรื่องราวร้องทุกข์ รวมทั้งให้บริการข้อมูลและไกล่เกลี่ยข้อพิพาท เพราะหากผู้เอาประกันภัยและบริษัทประกันภัยสามารถตกลงกันได้ ก็จะทำให้ประหยัดเวลา ซึ่งศูนย์ดังกล่าวตั้งอยู่ที่สำนักงาน คปภ.แห่งใหม่บนถนนรัชดาภิเษก ซึ่งจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้.


http://board.palungjit.com/f179/ (http://board.palungjit.com/f179/)พ�...ml#post2201887
��Թ - ˹�� 9 - �����͡�����


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 เมษายน 2553 10:57:35

(:88:)  (:88:)  (:88:)
ขอบพระคุณค่ะ


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 24 เมษายน 2553 22:17:32
บช.ก.โชว์ฝีมือจับกุมแก๊งมังกร"โกงบัตรเอทีเอ็ม" มูลค่า 100 ล้าน



http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1272090792&grpid=&catid=17 (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1272090792&grpid=&catid=17)



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก. พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.อดิศร์ งามจิตสุขศรี พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง ผกก.1 บก.ทท. พ.ต.อ.พันธนะ นุชนารถ ผกก.3 บก.ทท. และชุดจับกุมตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 186/2553 นายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่สายบริหารการป้องกันการทุจริต ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด มหาชนได้ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม 1. นายเชน ชี ตัง ( CHEN , CHIEN – TANG ) อายุ 28 ปี 2. นายจัง ฉิง อี่ อายุ 28 ปี 3. นายไช่ คุณ เสีย ( TSAI , KUN HSIEH ) อายุ 38 ปี 4. นายหลุน จง เจีย อายุ 25 ปี 5. นายเหยิน จ้าว ซื่อ อายุ 28 ปี 6. นายเหลียง เหวิน จิ้ง ( LIANG , WEN – CHIN ) อายุ 28 ปี 7. นายทนงศักดิ์ ใจงามสกุล อายุ 35 ปี 8. นายเฉิน ลู่ ( ZHEN LIU ) อายุ 32 ปี


พร้อมของกลางบัตรกดเงินสดของธนาคารต่าง ๆ ในเครือบริษัท ยุเนี่ยนเป จำนวน 659 ใบ โน๊ตบุ๊คจำนวน 4 เครื่อง เครื่อง V.O.I.P. Gateway จำนวน 20 เครื่อง ตัวแปลงสัญญาณไฟฟ้า จำนวน 2 เครื่อ .เครื่องต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ท Wireless Router จำนวน 2 เครื่องและโทรศัพท์มือถือจำนวน 20 เครื่อง โดยกล่าวหาว่า "ร่วมกันใช้และมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิคส์ของผู้อื่นในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นหรือประชาชน ซึ่งเป็นบัตรที่ผู้ออกได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิ์ใช้ เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระเงินสดหรือใช้เบิกถอนเงินสด "


พล.ต.ท.ไถง กล่าวว่า ตำรวจไทยได้รับการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจสาธารณรัฐประชาชนจีนว่า ประชาชนชาวจีนจำนวนมากถูกโทรศัพท์หลอกให้โอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม และนำบัตรเอทีเอ็มของประเทศจีนที่รับโอนเงินมา ทำการกดเงินสดออกที่ประเทศไทย ทำให้ได้รับความเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 20 ล้านหยวน หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 100 ล้านบาท คณะทำงานจึงประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อขอรายการใช้บัตรเอทีเอ็มประเทศจีนดังกล่าว เพื่อวิเคราะห์จุดเฝ้าระวังการกระทำผิดของคนร้าย บริเวณประตูน้ำ แยกห้วยขวาง และรพ.พระนั่งเกล้าฯ


ต่อมาวันที่ 23 เมษายน ตั้งแต่เวลา 06.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดวางกำลังเฝ้าระวังจุดต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยจัดกำลังชุดปฏิบัติการดังนี้ 1.บริเวณแยกห้วยขวาง ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กทม. 2.บริเวณศูนย์การค้าประตูน้ำ 3.บริเวณถนนแยกพระนั่งเกล้า ถนนรัตนาธิเบศน์ จังหวัดนนทบุรี และต่อมาจึงทำการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางได้ทั้งหมด


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 25 เมษายน 2553 08:42:07
กองทุนเปิดแอสเซทพลัสออยล์
Asset Plus Oil Fund( ASP-OIL )



กองทุนเปิดแอสเซทพลัสออยล์ (ASP-OIL) เป็นกองทุนต่างประเทศประเภท Feeder Fund ที่ลงทุนในกองทุน Powershares DB Oil Fund (กองทุนหลัก) ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ (WTI Light Sweet Crude Oil) เพื่อหาผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี Deutsche Bank Liquid Commodity Index – Optimal Yield Oil Excess Return โดยทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน (Fully Hedged) ในภาวการณ์ลงทุนปกติ กองทุนจึงไม่ได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐ เปิดเสนอขาย IPO ระหว่างวันที่ 17-25 มิถุนายน 2552

 
ขนาดกองทุน1,000 ล้านบาท อายุโครงการไม่กำหนด ประเภทกองทุนรวมต่างประเทศ ประเภท Feeder Fund
ข้อมูลเพิ่มเติมกองทุนหลัก PowerShare DB Oil Fund - http://dbfunds.db.com/dbo/index.aspx (http://dbfunds.db.com/dbo/index.aspx)
 ข้อมูลราคาน้ำมัน - http://www.nymex.com/index.aspx (http://www.nymex.com/index.aspx)


บลจ แอสเซท พลัส จำกัด - Asset Plus Fund Management
.


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 25 เมษายน 2553 08:42:46
KTAMร่วมแจมกองทุนน้ำมัน มั่นใจให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
20 เมษายน 2553 12:00 น.

 

สมชัย บุญนำศิริ บลจ.กรุงไทยส่งกองทุนเปิดเคแทม ออยล์ ฟันด์ ลงทุนในสัญญาฟิวเจอร์น้ำมันดิบของ WTI ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี Deutsche Bank Liquid CommodityIndex-Optimum Yield Crude Oil Excess Return พร้อมมั่นใจน้ำมันเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสียมูลค่าที่แท้จริงไปตามเงินเฟ้อ เปิดขายไอพีโอเเล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 27 เมษายน 53

นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้เสาะหาช่องทางการลงทุนใหม่ให้กับผู้ลงทุนตลอดเวลา เพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุน ให้มีความหลากหลายมากขึ้น นอกเหนือจากการเปิดจำหน่ายกองทุนพันธบัตรทั้งในต่างประเทศ ทั้งนี้บริษัทจะเปิดจำหน่าย กองทุนเปิดเคแทม ออยล์ ฟันด์ ( KT-OIL) มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ในระหว่างวันที่ 19-27 เมษายน 2553นี้

โดยกองทุนเน้นลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิในหน่วยลงทุนของกองทุน PowerShares DB Oil Fund ซึ่งบริหารและจัดการโดย DB Commodity services LLC ซึ่งกองทุนมีนโยบายลงทุนในสัญญาฟิวเจอร์ของน้ำมันดิบ ( light sweet crude oil –WTI ) จุดประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกับดัชนี Deutsche Bank Liquid Commodity Index –Optimum Yield Crude Oil Excess Return

สำหรับจุดเด่นของกองทุน KT- OIL คือมีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อ-ขาย ได้ทุกวันทำการ มูลค่าขึ้นต่ำในการลงทุน 2,000 บาท ขึ้นไป ซึ่งกองทุนดังกล่าวถือเป็นทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนอีกหนึ่งทางในการบริหารพอร์ตการลงทุน เนื่องจากการปรับตัวของราคาน้ำมันมีความสัมพันธ์น้อยมากกับการปรับตัวของตราสารหนี้และหุ้น นอกจากนี้น้ำมันเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สามารถป้องกันการสูญเสียความสามารถในการซื้อ( Inflation Hedged ) เนื่องจากน้ำมันเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสียมูลค่าที่แท้จริงไปตามภาวะเงินเฟ้อ

นายสมชัย กล่าวอีกว่า กองทุน KT-OIL เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในน้ำมันดิบ จากเดิมที่ในอดีตการลงทุนในน้ำมันดิบในรูปแบบต่างๆจะจำกัดอยู่เฉพาะบริษัทผู้ค้าน้ำมันและสถาบันการเงินรายใหญ่ๆเท่านั้น แต่พัฒนาการของกองทุนอีทีเอฟ ทำให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนในน้ำมันดิบได้ผ่านการลงทุนในกองทุนอีทีเอฟ ซึ่งมีต้นทุนต่ำ และสะดวก โดยน้ำมันนั้นถือได้ว่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญของโลก ซึ่งหากพิจารณาแนวโน้มในระยะสั้น จะพบว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในอัตรา 4.4% ในปี 2553 และ 4.5% ในปี 2554 ซึ่งน่าจะส่งผลให้ความต้องการน้ำมันกลับฟื้นตัวขึ้น ส่วนในระยะยาวนั้น ตราบเท่าที่เรายังคงต้องอาศัยพลังงานและเชื้อเพลิงอยู่ โลกก็ยังคงมีความต้องการน้ำมันอยู่เสมอไม่ว่าภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร

ขณะที่ฝ่ายวิจัยของบลจ. กรุงไทย ได้มีการประเมินราคาน้ำมันดิบ WTI Light Sweet Crude Oil ในไตรมาสที่2ของปี 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ 79.67 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเพิ่มขึ้น 1.1% จากราคาเฉลี่ยไตรมาสที่แล้ว โดยแนวโน้มราคาน้ำมันดิบ WTI ในครึ่งปีหลังคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเนื่องจาก Driving Season ในช่วงกลางปีและปริมาณความต้องการใช้น้ำมันที่ให้ความร้อน ( Heating Oil) ที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมของโลกยังเป็นบวก ต่อการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันอีกด้วย

ทั้งนี้ในระยะยาว ราคาน้ำมันน่าจะเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นของทั้งโลกรวมทั้ง Supply ที่มีค่อนข้างจำกัดและต้นทุนการผลิตและสำรวจที่เพิ่มขึ้น เพราะแหล่งสำรวจใหม่ๆ อยู่ในชั้นหินที่ลึกและยากต่อการขุดเจาะ ขณะที่การเติบโตของพลังงานทางเลือกอื่นๆยังไม่สามารถทดแทนได้

คลังข้อมูลข่าวธุรกิจบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน)

Mutual Fund - Manager Online


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 05 พฤษภาคม 2553 07:19:45
ล่าแก๊งเงินกู้บุกยิงลูกหนี้บาดเจ็บ 6 ราย

ล่าแก๊งเงินกู้เมืองชลสุดโหด อหังการยิงลูกหนี้กลางวงข้าว เจ็บระนาว 6 ราย เหยื่อถูกยิง ไส้ขาด อาการสาหัส แถมมีเด็ก 7 ขวบ ถูกยิงเฉี่ยวหัวเฉียดตาย เผยสาเหตุ เกิดจากความขัดแย้งเรื่อง ลูกชายและสะใภ้เจ้าของบ้าน ไปยืมเงินจากนายทุน 3 แสนปล่อยกู้ แต่เก็บต้นดอกไม่ครบเลยชักดาบ ถูกอาญาเถื่อนตามทวงคืน

แก๊งเงินกู้โหดประกาศศักดาอหัง การยิงล้างหนี้กลางวงข้าวเจ็บ 6 รายครั้งนี้ ได้รับการเปิดเผยเมื่อวันที่ 4 พ.ค. พ.ต.ท. นิวัฒน์ชัย สุขธยารักษ์ สวส.สภ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี เปิดเผยว่า เมื่อกลางดึกวันที่ 3 พ.ค. ที่ผ่านมา รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้ได้รับ บาดเจ็บหลายราย ที่บ้านเลขที่ 37/3 หมู่ 2 ต.กุฎโค้ง จึงรีบไปสอบสวนพร้อม พ.ต.ท. เอนก วงศ์สละ รอง ผกก.ป. พ.ต.ท.สายัณห์ พูลเพิ่มบุญ รอง ผกก.สส. ที่เกิดเหตุ พบว่าคนเจ็บถูกนำส่ง รพ.พนัสนิคมไปแล้ว 6 คน จึงตามไปสอบสวน ทราบชื่อคนเจ็บ คือ นางอารีย์ พังงา อายุ 60 ปี เจ้าของบ้าน ถูกยิงที่ขาทั้ง 2 ข้างจนกระดูกแตก อาการสาหัส นายเฉลิมชัย พังงา อายุ 23 ปี ถูกยิงที่หลัง 2 นัด อาการสาหัส นายชัยวัฒน์ รุณษา อายุ 25 ปี ถูกยิงที่ขาซ้าย 4 นัด ลำไส้ขาด อาการสาหัส นายอภิชาติ พังงา อายุ 36 ปี ถูกยิงที่ขาขวา นายวัฒน์ ฉลาดเชี่ยว อายุ 36 ปี และ ด.ช.ธนยศ พังงา อายุ 7 ขวบ ทั้งสองถูกยิงเฉี่ยวศีรษะ ได้รับบาดเจ็บ

จากการสอบสวน นายพล พังงา อายุ 63 ปี สามีนางอารีย์ เจ้าของบ้านที่ได้รับบาดเจ็บ ให้การด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกว่า ก่อนเกิดเหตุ ตนเองพร้อมภรรยาและลูกหลาน ได้ล้อมวงทานข้าวและพูดคุยกันอย่าง ออกรส จู่ ๆ มีคนร้าย 2 คน สวมเสื้อคลุมสีเข้ม ใส่หมวกกันน็อกอำพรางใบหน้า ขี่ จยย. มาจอดที่หน้าบ้าน จากนั้นได้ชักอาวุธปืนกระหน่ำยิงใส่พวกตนอย่างไม่ยั้ง ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก หลังเกิดเหตุคนร้ายได้ขี่ จยย. หลบหนีไปอย่างลอยนวล ส่วนสาเหตุ ตนเชื่อว่าน่าจะมาจากความขัดแย้ง เรื่องที่ลูกชายตนและลูกสะใภ้ซึ่งไม่ได้รับบาดเจ็บ ยืมเงิน 3 แสนบาทจากนายทุนคนหนึ่งใน จ.ชลบุรี มาปล่อยกู้ในช่วงปี 2552 แต่เก็บเงินส่งคืนนายทุนไม่ครบจึงถูกตามทวงและข่มขู่มาโดยตลอด จนลูกชายและลูกสะใภ้ต้องหอบข้าวของหนีไปทำงานที่อื่น และเพิ่งกลับมาเยี่ยมบ้านเมื่อวันที่ 3 พ.ค. กระทั่งเกิดเหตุคนร้ายลอบยิงถล่มบ้านดังกล่าว เจ้าหน้าที่จะเร่งสืบสวนหาเบาะแส เพื่อจับกุมตัวคนร้ายที่ก่อเหตุอย่างอุกอาจมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

Daily News Online > หน้าอาชญากรรม > ล่าแก๊งเงินกู้บุกยิงลูกหนี้บาดเจ็บ 6 ราย
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=419&contentID=63887 (http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=419&contentID=63887)


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 05 พฤษภาคม 2553 21:46:02
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=137923&d=1168995642)


.


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 07 พฤษภาคม 2553 22:19:44
การฟอกเงิน คืออะไร?

  การฟอก (Laundry) โดยทั่วไปหมายความว่า ทำให้สะอาด หรือ ทำให้หมดมลทินซึ่งมีความหมายในแง่ดี แต่ “การฟอกเงิน” (Money Laundering) เป็นการกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มา แหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ

          ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดให้ดูเสมือนว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อให้ “เงินสกปรก” หรือเงินที่เกี่ยวข้อง หรือที่ได้มาจากการกระทำความผิดให้ดูเหมือนเป็น “เงินสะอาด” เพื่อสามารถนำเงินที่ถูกฟอกไปใช้ในการกระทำความผิดอาญาต่อไป

          ในปัจจุบันประเทศทั่วโลกถือว่าการฟอกเงินเป็นความผิดทางอาญาที่ร้ายแรงการฟอกเงินมักจะเกี่ยวเนื่องกับอาชญากรรมร้ายแรง ซึ่งกระทำโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มหรือองค์กร โดยมีลักษณะข้ามเขตข้ามพรมแดนประเทศและยากแก่การปราบปราม ผลของการฟอกเงินส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองปัจจุบันทั่วโลกจึงถือว่า การฟอกเงินเป็นความผิดอาญาที่ร้ายแรง

 อาชญากรฟอกเงินกันอย่างไร?

          การฟอกเงินอาจกระทำได้โดย ใช้รูปแบบและวิธีการต่างๆ ตั้งแต่วิธีการดั้งเดิม เช่น นำเงินสกปรกไปใส่ตุ่มฝังดิน หรือ ซ่อนในกำแพงหรือในถ้ำ จนกระทั่งถึง วิธีการที่ทันสมัยขึ้น เช่นนำเงินสกปรกไปให้บุคคลอื่น นำเงินฝากหรือโอนผ่านธนาคาร หรือเปิดบริษัทขึ้นเพื่อนำเงินเข้าสู่ระบบการเงินของบริษัท ดังตัวอย่างเช่น

          ตัวอย่าง 1: มิจฉาชีพ ก ไม่มีอาชีพสุจริตอื่น ได้เงินจากการขายยาเสพติดมา 2 ล้านบาทนำเงิน 1 ล้านบาทไปซื้อรถยนต์ และอีก 1 ล้านบาท นำไปให้แก่ภรรยาและบุตร ทั้งนี้เพื่อไม่ให้มีพิรุธ ทั้งการซื้อรถยนต์และนำเงินไปให้ภรรยาและบุตรถือเป็นการฟอกเงิน

          ตัวอย่าง 2 : มิจฉาชีพ ข นำเงินที่ได้มาจากการค้าหญิงและเด็ก ไปให้เพื่อนสนิททำธุรกิจเงินกู้ รวมทั้งเปิดบริษัทขึ้นบังหน้า หาทางเอาเงินสกปรกที่ได้มาเข้าสู่ระบบการเงินของบริษัทเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้เชื่อว่าตนเองได้เงินมาจากการประกอบอาชีพโดยสุจริตทั้งการทำธุรกิจ เงินกู้และการตั้งกิจการขึ้นบังหน้า

          การกระทำดังกล่าวถือเป็นการฟอกเงินผู้ร้ายอาจฟอกเงินโดยวิธีง่ายๆ ตามตัวอย่างแรก หรืออาจจะมีวิธีซับซ้อนขึ้นตามตัวอย่างหลัง หรืออาจจะซับซ้อนมากยิ่งขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดอาชญากรกระทำเพื่อปกปิดซ่อนเร้นและต้องการให้เงินสกปรกอยู่ภายใต้การควบคุมของตนเอง ไม่ให้ถูกตรวจสอบได้ว่าได้มาโดยมิชอบ เพื่อจะหาทางใช้ประโยชน์จากเงินสกปรกเหล่านั้น โดยสร้างภาพให้บุคคลภายนอกเข้าใจว่าได้เงินมาโดยชอบด้วยกฎหมาย

 หลักการและสาระสำคัญของกฎหมายฟอกเงิน

          การประกาศใช้ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เป็นการประกาศเจตนารมณ์ที่จะปราบปรามการฟอกเงินและดำเนินการกับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งเกี่ยวกับการกระทผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สาระสำคัญของการฟอกเงินได้แก่

 ความผิดอาญาฐานฟอกเงิน

          กฎหมายนี้ได้ทำให้เกิดความผิดอาญาฐานใหม่ขึ้นมา เรียกว่า ฐานฟอกเงิน ซึ่งเป็นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

          (1) โอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพ ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับ การกระทำความผิด เพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ว่าก่อน ขณะ หรือหลังขณะการกระทำความผิด มิให้ต้องรับโทษ หรือรับโทษน้อยลงในความผิดมูลฐาน หรือ

          (2) กระทำด้วยประการใดๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะ ที่แท้จริง การได้มาแหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด

http://hilight.kapook.com/view/14992 (http://hilight.kapook.com/view/14992)

.


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 07 พฤษภาคม 2553 22:20:46
ความผิดมูลฐาน

          ความผิดฐานฟอกเงินต้องเป็นการกระทำต่อเงิน หรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดเพียงบางประเภทเท่านั้น ซึ่งเรียกว่า ความผิดมูลฐาน ได้แก่

          1. ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด

          2. ความผิดเกี่ยวกับเพศ (เช่น การค้าประเวณีหญิงและเด็ก)

          3. ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน

          4. ความผิดเกี่ยวกับการยักยอกหรือการฉ้อโกงทางธุรกิจในสถาบันการเงิน

          5. ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือ ในการยุติธรรม

          6. ความผิดเกี่ยวกับการกรรโชกหรือรีดทรัพย์

          7. ความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากร

          8. ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา

 ผลกระทบของการฟอกเงิน

          - บางท่านอาจจะคิดว่าการฟอกเงินไม่เกี่ยวข้องกับคนทั่วๆ ไปเลย และเป็นเรื่องของผู้ร้าย เช่น นักค้ายาเสพติด เจ้าพ่อผู้มีอิทธิพล หรือผู้ประกอบอาชญากรรมร้ายแรงอื่นๆ เท่านั้น

          - ความจริงการฟอกเงิน ที่กระทำโดยองค์กรอาชญากรรมมีผลกระทบต่อสังคมอย่างใหญ่หลวง เงินที่ฟอกจะถูกใช้ในการค้าขายยาเสพติด การก่อการร้าย การค้าอาวุธและประกอบอาชญากรรมอย่างอื่น หรือแม้แต่การทุจริต ติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือนักการเมือง ทำให้การแผ่ขยายอาณาจักรขององค์กรเหล่าร้าย เป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วและยากแก่การสกัดกั้นเป็นปัญหา ของประชาคมโลก 

          - ในทางเศรษฐศาสตร์เงินสกปรกที่นำมาในธุรกิจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และตัวเลขแสดงฐานะทางเศรษฐกิจที่บิดเบือนไม่ตรงความเป็นจริง เพราะมีการนำเงินสกปรกเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ ทั้งที่เงินเหล่านี้ไม่ก่อให้เกิดผลผลิต หรือการสร้างงานที่ชอบด้วยกฏหมายขึ้นมาเลย 

          - นอกจากผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจดังกล่าวแล้ว การมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับยาเสพติดหรือการฟอกเงิน ย่อมเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างยิ่งในการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศ เปรียบเสมือนปลาเน่าตัวเดียว ที่อาจทำให้เหม็นไปทั้งข้อง แม้ประเทศนั้นจะมีสิ่งดึงดูดใจทางวัฒนธรรม ประเพณี หรือแหล่งท่องเที่ยวมากมายก็ตาม



สามารถอ่านรายละเอียดเเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
 
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

http://www.amlo.go.th/amlo_new/ (http://www.amlo.go.th/amlo_new/)



หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 07 พฤษภาคม 2553 22:21:48
แจ้งเตือนภัยฉ้อโกงประชาชน

 
ด้วยปัจจุบันพบการกระทำผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนในรูปแบบพฤติกรรมที่อ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่จากธนาคารแห่งประเทศไทยหลอกลวงประชาชนว่าเป็นหนี้กับธนาคารให้ทำการชำระหนี้ หากผู้เสียหายหลงเชื่อก็จะโอนเงินเข้าบัญชีของกลุ่มพวกมิจฉาชีพแต่หากประชาชนไม่หลงเชื่อ ทางกลุ่มมิจฉาชีพ ก็จะดำเนินการต่อในขั้นที่ 2 โดยการอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) ข่มขู่ผู้เสียหายและหากไม่ชำระหนี้จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยใช้ระบบอินเตอร์เน็ตโทรหาประชาชนมีผู้เสียหาย และคาดว่าจะมีการพัฒนาขึ้นอีกในหลายรูปแบบโดยคาดว่าจะมีการแพร่ระบาดอย่างหนักในปีนี้ จึงขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวัง หากพบการฉ้อโกงลักษณะดังกล่าว จะต้องมีสติไม่หลงเชื่อใครง่ายๆ และสิ่งแรกที่ควรกระทำคือการแจ้งและตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่มีการกล่าวอ้างถึงก่อนดำเนินการใดใด
 
http://www.amlo.go.th/amlo_new/ (http://www.amlo.go.th/amlo_new/)


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 07 พฤษภาคม 2553 22:48:32
เครดิตบูโร
ที่มา http://www.ncb.co.th/CreditBureau_What.htm (http://www.ncb.co.th/CreditBureau_What.htm)


เครดิตบูโรคืออะไร
เรามาทำความรู้จักกับธุรกิจข้อมูลเครดิต หรือ Credit Bureau กันนะคะ Credit Bureau นั้นมีหน้าที่รวบรวมข้อมูลประวัติการชำระสินเชื่อ และการชำระบัตรเครดิตของบุคคลจากสถาบันการเงินหลายๆ แห่ง เช่น ธนาคารพาณิชย์ หรือผู้ให้บริการสินเชื่อบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิต โดยเมื่อลูกค้าให้ความยินยอมให้สถาบันการเงินตรวจสอบข้อมูลการชำระสินเชื่อ และการชำระบัตรเครดิตของตนในขณะที่ยื่นขอสินเชื่อแล้วนั้น สถาบันการเงินก็สามารถจะเรียกดูข้อมูลดังกล่าวจาก Credit Bureau เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้ค่ะ

รายงานข้อมูลเครดิตเก็บข้อมูลใดไว้บ้าง
เครดิตบูโรจะเก็บรวบรวมเฉพาะข้อมูลของการชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิต ซึ่งข้อมูลนี้จะประกอบไปด้วย ข้อมูลส่วนที่บ่งชี้ตัวบุคคล เช่น ชื่อ ทีอยู่ เลขประจำตัวประชาชน และอีกส่วนหนึ่งเป็นประวัติการชำระสินเชื่อ และการชำระบัตรเครดิต รวมเรียกว่า "รายงานข้อมูลเครดิต" ค่ะ รายงานข้อมูลเครดิตจะมีการบันทึกและจัดเก็บวงเงินยอดหนี้คงค้าง รวมถึงประวัติการผิดนัดชำระในแต่ละสิ้นเดือนย้อนหลังไม่เกิน 36 เดือนค่ะ ด้วยเหตุนี้แล้ว การชำระสินเชื่อทุกครั้งให้ตรงเวลาจึงเป็นการรักษาเครดิตที่ดีที่สุดคุ่ะ

ประโยชน์จากการจัดเก็บข้อมูล
 การให้สินเชื่อของสถาบันการเงินนั้นมีหลักสำคัญอยู่ที่ว่า ต้องรู้จักลูกค้าให้ดีพอ ในกรณีที่ผู้ขอสินเชื่อไม่เคยมีประวัติสินเชื่อกับสถาบันการเงิน โอกาสที่จะได้รับสินเชื่อย่อมมีน้อยลง แต่ด้วยการเปิดเผยข้อมูลเครดิตจะทำให้สถาบันการเงินสามารถรู้จักวินัยทางการเงินของผู้ขอสินเชื่อได้จากรายงานข้อมูลดังกล่าว เป็นอย่างดี ดังนั้นหากผู้ขอสินเชื่อมีประวัิติการชำระที่ดี การเปิดเผยข้อมูลเครดิตก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อด้วยนะค่ะ อย่างไรก็ดีการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินยังมีองค์ประกอบอื่นที่นำมาพิจารณาร่วมด้วย เช่น รายได้ และหลักประกัน ของผู้กู้ค่ะ

.


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 07 พฤษภาคม 2553 22:50:20
เครดิตบูโร
ที่มา http://www.ncb.co.th/CreditBureau_What.htm (http://www.ncb.co.th/CreditBureau_What.htm)


ใครมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาดูรายงานข้อมูลเครดิต
   
           นอกจากสถาบันการเงินที่ผู้ขอสินเชื่อได้ให้ความยินยอม จะสามารถเรียกดูรายงานข้อมูลเครดิตเพื่อการวิเคราะห์สินเชื่อได้แล้ว ผู้ขอสินเชื่อเองก็ยังมีสิทธิ์ที่จะมาขอดูรายงานข้อมูลเครดิตของตนได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ค่ะ โดยการยื่นคำขอได้ที่ส่วนบริหารข้อมูลผู้บริโภค บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ และบริษัทยังได้อำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น โดยให้ยื่นคำขอผ่านธนาคารนครหลวงไทยทุกแห่งทั่วประเทศก็ได้ค่ะ มีค่าธรรมเนียม 200 บาท ค่ะ (ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 50 ค่าธรรมเนียมลดเหลือ 100 บาท) ทั้งนี้บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติมีหน้าที่เก็บรักษารายงานดังกล่าวเป็นความลับ และไม่สามารถเปิดเผยให้แก่ผู้อื่นใด เว้นแต่ที่กฎหมายกำหนดไว้ค่ะ 

การรักษาความลับ
นอกจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติจะมีหน้าที่ในการเปิดเผยข้อมูลเครดิตเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบหนึ่งในการพิจารณาสินเชื่อแล้วนั้น บริษัทยังมีหน้าที่ในการรักษาความลับของข้อมูลด้วยนะคะ โดยบริษัทจะเปิดเผยรายงานข้อมูลเครดิตให้แก่สถาบันการเงินที่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์สินเชื่อเท่านั้นค่ะ นอกจากนี้แล้วบริษัทยังมีระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูลอย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้ข้อมูลถูกทำลาย หรือถูกแก้ไขโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยคุ่ะ ดังนั้นคุณผู้ฟังก็มั่นใจได้เลยนะคะว่า ข้อมูลเครดิตของคุณผู้ฟังจะไม่ถูกนำไปเปิดเผยในทางอื่นใดค่ะ

การติดแบล็กลิส (Black List)
 ท่านคงจะเคยได้ยินประโยคที่ว่า ไม่ได้รับสินเชื่อเพราะติดแบล็กลิสจากเครดิตบูโรใช่ไหมค่ะ จริงๆ แล้ว เครดิตบูโรไม่มีสิทธิ์ในการจัดแบล็กลิสผู้ขอสินเชื่อนะคะ เพราะเครดิตบูโรจะทำหน้าที่รวบรวมประวัติการชำระสินเชื่อหรือบัตรเครดิตของสินเชื่อทุกบัญชีจากสถาบันการเงินตามข้อเท็จจริง ซึ่งสถาบันการเงินใช้ข้อมูลเครดิตเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการพิจารณาสินเชื่อค่ะ เพราะการตัดสินใจว่าจะให้หรือไม่ให้สินเชื่อนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก เช่น รายได้ของผู้สมัครสินเชื่อ หลักประกัน บุคคลผู้ค้ำประกัน เป็นต้นค่ะ ในทางกลับกัน หากผู้ขอสินเชื่อมีประวัติการชำระสินเชื่อตรงเวลา ข้อมูลเครดิตก็จะมีส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันการเงินพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้รวดเร็วยิ่งขึ้นค่ะ

รายงานข้อมูลเครดิต=รายงานผลการศึกษา
          ท่านอาจเคยสงสัยว่า เหตุใดเมื่อผู้ขอสินเชื่อได้ชำระสินเชื่อที่เคยผิดนัดชำระไปเรียบร้อยแล้ว ประวัติการผิดนัดชำระยังปรากฏอยู่ในรายงานข้อมูลเครดิตอีก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าข้อมูลเครดิตถูกเก็บเป็นประวัติคล้ายกับรายงานผลการศึกษาค่ะ โดยการชำระหนี้ก็เหมือนผลการเรียน ที่จะได้ดีหรือไม่ อย่างไร ก็จะบันทึกตามข้อเท็จจริง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นหากต้องการแก้ไขให้มีประวัติชำระที่ดีขึ้น ก็ต้องชำระหน้าที่ค้างไว้ให้เสร็จสิ้น เพราะจะเป็นเหมือนการสอบซ่อมเพื่อให้มีผลการเรียนเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการมีวินัยและความตั้งใจที่ดีนั่นเองค่ะ แต่ทางที่ดีที่สุด ก็คือการไปชำระหนี้ให้ครบถ้วนและตรงเวลาทุกครั้งนะคะ



หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 07 พฤษภาคม 2553 22:55:33
นำมาฝากกันครับ เรื่องของสำเนาบัตรประชาชน


(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=137923&d=1168995642)
.

.


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 07 พฤษภาคม 2553 23:01:01
การขอข้อมูลของตนเอง ณ ที่ทำการบริํษัทฯ
http://www.ncb.co.th/salfenquiry.htm (http://www.ncb.co.th/salfenquiry.htm)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=956380&d=1273249727)


ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. 2545 มาตรา 25 เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าของข้อมูลให้เจ้าของข้อมูล มีสิทธิที่จะตรวจสอบข้อมูลของตน โดยบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด มีความยินดีที่ให้ท่านตรวจสอบข้อมูล ดังนี้

ณ ที่ทำการบริษัทฯ (ส่วนบริหารข้อมูลผู้บริโภคและข้อโต้แย้ง) มีขั้นตอนดังนี้


1. เจ้าของข้อมูลกรอก แบบคำขอตรวจสอบข้อมูลเครดิต (บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล) และยื่นแบบฟอร์มพร้อมแนบหลักฐานประกอบคำขอ ณ ที่ทำการของบริษัทฯ หลักฐานประกอบคำขอมีดังนี้
กรณีบุคคลธรรมดา
• บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริง หรือบัตรประจำตัวบุคคลต่างด้าวตัวจริง หรือหนังสือเดินทางฉบับตัวจริงมาแสดง


ในกรณีที่มีการมอบอำนาจ ให้นำ
• หนังสือมอบอำนาจบุคคลธรรมดา
• สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจ พร้อมลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง พร้อมทั้งบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงมาแสดง
• สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ พร้อมลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง พร้อมทั้งบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงมาแสดง


กรณีนิติบุคคล
• สำเนาหนังสือรับรองของนิติบุคคล ที่รับรองไว้ไม่เกิน 3 เดือน พร้อมรับรองสำเนาถูกต้องโดยกรรมการผู้มีอำนาจ พร้อมประทับตราบริษัท (ถ้ามี)
• สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจ พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง


ในกรณีที่มีการมอบอำนาจ ให้นำ
• หนังสือมอบอำนาจนิติบุคคล
• สำเนาหนังสือรับรองของนิติบุคคล ที่รับรองไว้ไม่เกิน 3 เดือน พร้อมลงนามรับรองสำเนาถูกต้องโดย กรรมการผู้มีอำนาจ พร้อมประทับตราสำคัญบริษัท (ถ้ามี)
• สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้มีอำนาจลงนามและลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง พร้อมทั้งนำบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงมาแสดง
• สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ และลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง พร้อมทั้งนำบัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงมาแสดง
2. ยื่นเอกสารในข้อ 1 และชำระค่าธรรมเนียมในการตรวจสอบข้อมูลเครดิตต่อเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ
3. เจ้าของข้อมูลสามารถขอรับรายงานภายในวันยื่นคำขอ หรือยื่นความจำนงให้จัดส่งรายงานทางไปรษณีย์ลงทะเบียน (กรณีให้จัดส่งทางไปรษณีย์ ฉบับละ 20 บาท)
--------------------------------------------------------------------------------
 
สถานที่ตรวจสอบข้อมูลเครดิต

 
 ส่วนบริหารข้อมูลผู้บริโภคและข้อโต้แย้ง
ชั้น 2 อาคาร 2 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (สำนักงานใหญ่)
เลขที่ 63 ถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10320
โทรศัพท์ : (66) 02-643-1250
โทรสาร: (66) 02-612-5895
 

--------------------------------------------------------------------------------
Download แบบฟอร์มต่าง
แบบคำขอ-บุคคลธรรมดา
 
แบบคำขอ-นิติบุคคล
 
หนังสือมอบอำนาจตรวจสอบข้อมูลเครดิต-บุคคลธรรมดา
 
หนังสือมอบอำนาจตรวจสอบข้อมูลเครดิต-นิติบุคคล
 
 


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 07 พฤษภาคม 2553 23:18:58
รายงานข้อมูลเครดิตแสดงอะไร


รายงานข้อมูลเครดิตแสดงอะไร
[url=http://www.ncb.co.th/credit_report.htm]http://www.ncb.co.th/credit_report.htm (http://www.ncb.co.th/credit_report.htm)




(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=956414&d=1273250482)
รายงานจะแสดงข้อมูลบ่งชี้ของท่าน ได้แก่ ชื่อ นามสกุล หมายเลขประำจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด และที่อยู่ตามข้อมูุลที่ท่าน แจ้งในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อ ที่เป็นสมาชิกของบริษัทฯ

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=956415&d=1273250482)


2.การชำระหนี้ที่ดี
รายงานบัญชีที่มีประวัติการชำระที่ดี หมายถึง ท่านได้ชำระยอดหนี้ครบถ้วนและตรงตามกำหนดที่ระบุในเงื่อนไขสัญญา ข้อมูลในรายงานจะแสดงดังนี้

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=956417&d=1273250482)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=956418&d=1273250482)
หากท่านไม่ได้ชำระยอดหนี้หรือยอดใช้ไปของบัตรเครดิตตามเงื่อนไขการชำระเงิน ข้อมูลในรายงานจะแสดงดังนี้
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=956419&d=1273250482)


(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=956420&d=1273250482)
หากท่านได้กลับมาชำระยอดหนี้บัตรเครดิตที่ค้างชำระ ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคม 2550 ในวันที่ 5เมษายน 2550 รวมทั้งสิ้นเป็นจำนวน 4,000 บาท รายงานจะแสดงข้อมูลดังนี้

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=956421&d=1273250482)




หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 08 พฤษภาคม 2553 22:41:01
เตือนภัยคนร้ายโทรศัพท์ปลอมเป็น"ดีเอสไอ"หลอกโอนเงิน

http://www.matichon.co.th/news_detai...rpid=&catid=17 (http://www.matichon.co.th/news_detai...rpid=&catid=17)

เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 7 พ.ค.ที่ กองปราบปราม นายสมบูรณ์ ทิพยพร อายุ 56 ปี อยู่บ้านเลขที่ 17 ต.หนองน้ำส้ม อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา ได้เดินทางเข้าพบร.ต.อ.จักรภพ สีหนา พนักงานสอบสวน กก.2 บก.ป. เพื่อแจ้งความให้ กองปราบปราม ช่วยสืบสวน และติดตามจับกุมคนร้ายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ มาหลอกให้โอนเงินจากบัญชีธนาคาร ผ่านตู้เอทีเอ็ม ไปให้กับคนร้าย ต้องเสียเงินไปทั้งหมด ถึง 74,000 บาท

จากการสอบสวนนายสมบูรณ์ ให้การว่าตนมีอาชีพเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนภาชี อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.ของวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้มีบุคคลแอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของธนาคารกสิกรไทย โทรศัพท์เข้ามายังเบอร์มือถือของตน แจ้งว่ามีการใช้บัตรเครดิตอะไรหรือไม่ เนื่องจากธนาคารได้ตรวจสอบ พบว่ามียอดเงินค้างชำระกับธนาคาร ก็เลยแปลกใจ เนื่องจากไม่เคยมีบัตรเครดิตของธนาคารใดมาก่อน จะมีก็แต่บัตรเอทีเอ็มของธนาคารกรุงไทย ที่ต้องใช้สำหรับรับเงินเดือนเท่านั้น ก็เลยแจ้งไปว่าไม่มี

หลังจากนั้น ไม่นานประมาณ 20 นาที ก็มีผู้โทรศัพท์เข้ามาหาตนอีก โดยใช้เบอร์โทรศัพท์ +6628319888 ในครั้งนี้อ้างชื่อเป็น พ.ต.ท.วรพงษ์ คชรัตน์ เป็นเจ้าพนักงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ แจ้งว่ามีหน้าที่ดูแลคดีที่เกี่ยวกับบัตรเครดิต ของดีเอสไอ จากการตรวจสอบแล้วพบข้อมูลว่าตนมีบัญชีเงินฝากของธนาคารแห่งหนึ่ง สาขาที่จ.เชียงใหม่ ซึ่งบัญชีดังกล่าวพบว่ามียอดเงินหมุนเวียน เข้าออก ถึงวันละ 2 แสนบาท ต้องสงสัยว่าอาจเป็นเรื่องผิดปกติ เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินของกลุ่มพ่อค้ายา พร้อมสอบถามว่าเคยถ่ายสำเนาบัตรประชาชน ทะเบียนบ้านให้กับใครไปหรือไม่ ก็ปฏิเสทไปว่าไม่เคย และไม่รู้จักใครที่จ.เชียงใหม่ด้วย ขอให้ลองตรวจสอบดูว่าเคยให้ข้อมูลส่วนตัวไปกับใครหรือไม่

นายสมบูรณ์ ให้การต่อว่าหลังจากที่คนร้ายวางสายไปแล้ว ก็เลยลองโทรศัพท์ไปถามที่ดีเอสไอ ก็ได้รับแจ้งว่ามีเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวจริงๆ ทำให้ยิ่งเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ปรากฎว่าหลังจากนั้นไม่ถึง 30 นาที คนร้ายคนเดิมก็โทรกลับมาอีกครั้ง แจ้งว่าได้ลองตรวจสอบดูแล้ว พบว่าอาจมีการแอบอ้างนำชื่อบัญชีของตนไปใช้ ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไข ซึ่งจะช่วยให้ไม่ต้องเข้าไปพัวพันกับคดีไปด้วย ก็ต้องแก้ไขรหัส บัตรเอทีเอ็ม โดยวิธิการก็คือให้ตนไปที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงเทพ แล้วบอกวิธีการแก้ไขให้

นายสมบูรณ์ ให้การอีกว่า ด้วยความตกใจกลัวจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดกฎหมาย ก็เลยรีบขับรถออกจากบ้าน เพื่อไปทำการแก้ไขรหัส ตามที่ได้รับคำแนะนำ เมื่อไปถึงที่หน้าตู้เอทีเอ็ม คนร้ายก็บอกวิธีการต่างๆ โดยที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะไม่เคยมีประสบการณ์ ในการโอนเงินผ่านทางตู้เอทีเอ็มมาก่อน จนมารู้ตัวอีกที ก็ได้โอนเงินในบัญชีทั้งหมด จำนวน 74,000 บาท ให้กับคนร้ายไปแล้ว จึงลองโทรศัพท์ย้อนกลับไปยังเบอร์ ของคนร้าย ก็แปลกใจ เพราะเบอร์ฯดังกล่าว ก็เป็นเบอร์โทรศัพท์ของดีเอสไอ จริงๆอีกด้วย เจ้าหน้าที่ยังแจ้งด้วยว่ามีผู้ที่โทรศัพท์เข้ามาสอบถามในเรื่องนี้เป็นจำนวนมาก แต่ละรายนั้นทราบว่าก็โดนคล้ายๆกัน ทำให้รู้สึกแปลกใจว่าคนร้ายใช้วิธีการใด ถึงนำเบอร์ของหน่วยราชการ มาใช้ก่อคดีแบบนี้ได้ จึงเข้ามาแจ้งความ เพื่อให้กองปราบปราม ช่วยตามจับกุมคนร้ายรายนี้ให้ด้วย

__________________
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1.หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2.หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3.หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร)4.หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า(หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า) 5.หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า(หลวงปู่หน้าปาน)
ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิตพระเณรบช.ออมทรัพย์ 2030-06304-5 บัญชี รร.พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทองบมจ.ธ.กรุงไทย สาขาพนมสารคาม
ขอเชิญร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาลาดพร้าว102 บช.ออมทรัพย์เลขที่1890-13128-8 บัญชี นางพิชญ์สินี ชาญปารีสชญา,นายอุเทน งามศิริ,นายสิรเชษฎ์ ลีละสุนทเลิศ


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 09 พฤษภาคม 2553 08:48:26
ธปท.ย้ำวิกฤตกรีซไม่ทุบแบงก์ไทย

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFkyOHdNekE1TURVMU13PT0=&sectionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBeE1DMHdOUzB3T1E9PQ== (http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFkyOHdNekE1TURVMU13PT0=&sectionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBeE1DMHdOUzB3T1E9PQ==)

นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ผลกระทบจากปัญหาการเงินของประเทศกรีซต่อเศรษฐกิจโลก ในขณะนี้ยังไม่เห็นผลกระทบอย่างชัดเจน จึงต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดว่าจะลุกลามถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนหรือไม่ โดยต้องติดตามดูมาตรการการแก้ไขปัญหาดังกล่าวของกรีซว่าจะมีแผนดำเนินการอย่างไรบ้าง แต่เชื่อว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่มีผลกระทบทางตรงต่อสถาบันการเงินไทย เนื่องจากสถาบันการเงินไทยไม่ได้ไปลงทุนในประเทศเหล่านี้มากนัก ส่วนจะมีผลกระทบต่อภาคส่งออกหรือไม่ เป็นเรื่องที่จะต้องติดตามดูต่อไป แต่สิ่งที่ต้องจับตามองต่อไปคือ ปัญหาดังกล่าวจะมีผลกระทบทางอ้อมต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกให้เข้มแข็งหรือไม่ ส่วนผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของไทย ถือว่าเร็วเกินไปที่จะประเมินได้

สำหรับความผันผวนของค่าเงินบาทในช่วงนี้ มองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดไปจากการคาดการณ์ของ ธปท.ที่คาดว่าจะผันผวนตามปัจจัยความไม่มั่นใจของนักลงทุน จากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ส่วนเงินทุนไหลออกยังมีบ้าง เช่น เงินทุนออกจากตลาดหุ้น แต่เงินยังอยู่ในประเทศโดยหันไปลงทุนในตลาดอื่นแทน


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 11 พฤษภาคม 2553 17:58:46
สมาคมค้าทองคำเตือนระวังมิจฉาชีพหลอกซื้อขายเก็งกำไรทองคำ !

Matichon Online: ˹ѧʗ;ԁ?쁵Ԫ?͍?䅹젺 ˹ѧʗ;ԁ?줘??? ྗ荤س???ͧ?Ð෈

รายงานข่าวจากสมาคมค้าทองคำแจ้งว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ค.53 ที่ผ่านมา สมาคมฯ ได้รับแจ้งจากผู้ซื้อขายเก็งกำไรทองท่านหนึ่งว่า เมื่อเวลาประมาณ 5 ทุ่มเศษ ของวันที่ 3 พ.ค.53 มีผู้หญิงท่านหนึ่ง โทรศัพท์มาหาแล้วแจ้งว่าโทรมาจากสมาคมค้าทองคำ และต้องการติดต่อกับผู้เล่นทองคำดังกล่าว จึงทำให้ผู้รับสายปลายทางไม่เชื่อว่าเป็นความจริงเนื่องจากว่าเป็นเวลาดึกมาก ทางสมาคมฯ คงไม่น่าจะโทรไปเช่นนี้ น่าจะเป็นพวกกลุ่มมิจฉาชีพ จนทำให้มิจฉาชีพดังกล่าวเริ่มไหวตัวทันและวางสายไป



รุ่งขึ้นในตอนเช้า ทางผู้เสียหายจึงได้โทรมาสอบถามกับทางสมาคมฯ ให้แน่ใจว่าไม่ได้โทรไปหา ซึ่งทางสมาคมฯ ไม่มีเจ้าหน้าที่โทรไปแน่นอน และทราบว่ามิจฉาชีพได้ใช้เบอร์มือถือ 0863077594 และ 022376955 ในการโทรหาผู้เสียหาย ทางสมาคมฯ จึงได้ตรวจสอบไปยังเบอร์โทร 022376955 ที่โชว์บนมือถือผู้เสียหาย ปรากฎว่าเป็นเบอร์แฟกซ์ของบริษัทค้าวัสดุก่อสร้างบริษัทหนึ่งในย่านบางรัก ซึ่งจากการได้พูดคุยทางบริษัทฯ แจ้งว่าช่วงเวลากลางคืนเป็นเวลาปิดทำการ และบริษัทปิดล็อก ไม่น่าจะมีใครเข้ามาได้ แต่จะตรวจสอบอีกครั้งกับทางtot สำหรับเบอร์มือถือที่โชว์นั้น ทางสมาคมฯ ได้ตรวจสอบ และลองโทรไปปรากฎว่ามีผู้หญิงรับสาย แล้วพอเห็นท่าไม่ดีก็แกล้งทำเป็น ฮาโหลๆ ๆ ไม่ได้ยินแล้ววางสายไป โทรกลับไปอีกครั้งก็ไม่ยอมรับสายและปิดเครื่องทันที



สมาคมค้าทองคำขอแจ้งยืนยันว่า สมาคมฯ ไม่มีการซื้อขายทองใดๆทั้งสิ้น ผู้ที่อ้างว่าโทรจากสมาคมเพื่อเชิญชวนให้ซื้อขายถือเป็นกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชน และทางสมาคมฯ จะดำเนินการอย่างถึงที่สุดกับผู้แอบอ้าง หากท่านได้รับการติดต่อเช่นนี้ กรุณาสอบถามชื่อ และจดข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดไว้ และโทรแจ้งหรือสอบถาม สมาคมฯ ทันที ที่026232301-3 เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1273574296&grpid=&catid=05 (http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1273574296&grpid=&catid=05)]Matichon Online


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 12 พฤษภาคม 2553 08:39:22
เรื่องราวของตราสารหนี้(บางส่วน)ของความเสี่ยงในตราสารหนี้


(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=960308&d=1273629942)

.


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 13 พฤษภาคม 2553 08:59:55
ภัยหลอกโอนเงินแบบใหม่อีกแล้วครับ
zuzuclub

ศุกร์ที่ 28 มี นา มีคนโทรเข้ามาบอกว่าเป็นพนักงานแบงค์กรุงเทพฯ บอกว่ามีลูกค้าโอนเงิน เข้ามาที่บัญชีเราผิด บอกเลขบัญชีทุกอย่างถูกหมด แล้วก็บอกให้โอนเงินกลับด้วย เพราะว่าลูกค้าคนนั้น เดือดร้อนมาก เราก็บอกว่าขอไปเช็คก่อน

พอวันเสาร์เราไปกดตังค์ก็พบว่ามีเงินเข้ามาบัญชีเราผิดตามจำนวนที่เค้าบอกจริงๆ ก็เลยโอนคืนไปให้... ก็ไม่คิดว่ามีอะไร เพราะมันก็ไม่ใช่เงินเราจริง....
จนมาวันนี้ได้รับใบ แจ้งหนี้ CITIBANK มี ยอด Call for cash ให้ผ่อนจ่ายรายเดือน ก็เลยโทรไปเช็คที่ call center เค้าบอกว่าเราโทรไปขอเบิกเงินสดเข้าบัญชีเราเอง เมื่อวันที่ 25 มีนา เราก็บอกว่าไม่ได้ทำ.. .อย่างนี้ก็โดนหลอกแล้วซิ พนักงาน call center ก็ได้แต่บอกให้ไปแจ้งความ ซึ่งก็ยังดีที่เราเก็บ slip ที่เราโอน เงินไว้นะ......

จะรบกวนผู้รู้ค่ะ ว่าจะทำอย่างไรต่อดี จะไปแจ้งความที่ไหน แล้วตำรวจจะช่วยเราได้ไหม เพราะจำนวนเงินนั้นก็หลายหมื่นเลยค่ะ
จากคุณ : jupjib - [ 19 เม .ย. 51 14:36:15 ]

วิธีแก้ไข
หากเจอแบบนี้ ไม่ต้องทำรายการโอนครับ ถึงจะมีการโอนเข้ามาผิดจริง
ทางธนาคารสามารถทำรายการแก้ไขได้เองอยู่แล้ว การทำรายการโอนเงิน
เท่ากับเราเป็นผู้สั่งโอน การแก้ไขจะทำได้ลำบากขึ้น

หรือหากเป็นการโอนจาก ATM หรือ CDM ให้ขอหลักฐานเป็นหนังสือออก โดยธนาคารมาให้เราก่อน ( ตัวจริงนะครับ)
แล้ว เช็คข้อมูลกับธนาคารต้นทางก่อนจนแน่ใจ
อีก 4-5 วันค่อยโอนก้อไม่เสียหาย เพราะไม่ได้มีเจตนาโกง ฟ้องมาก้อชนะแน่นอน

ถ้า เป็นการทำรายการ โอนผิด ธนาคารแค่แจ้งลูกค้าปลายทาง แล้วจัดการเองได้เลยแน่นอน

นี่เป็นวิธีหลอกลวงแบบใหม่ เพื่อนๆ โปรดระวัง แจ้งเตือนกันให้ทั่ว
คนส่วนใหญ่ในสังคมเป็นคนดี...อยากคืนเงินคนที่เดือดร้อนแน่อยู่แล้ว ดังนั้นมีโอกาสตกหลุมนี้ได้ไม่ยากเลย
เจ้าของบัญชีที่รับโอนกลับคงเป็นคนบ้านนอก ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรนัก
ถูกจ้างให้เปิดบัญชี พร้อมบัตร ATM ได้ เงิน 200-300 บาทก็เอาแล้ว
คนโกงก็กด ATM เชิดไปแล้วหลายหมื่น

ข้อควรระวังเรื่องนี้
1. ถ้าโอนผิดจริง แบงก์สาขาจะสามารถจัดการได้เองเลย เราไม่ต้องทำอะไรครับ
2. เบอร์โทรเข้ามา ถ้าแปลกๆ แบบไม่แสดงเบอร์ หรือ เป็นแบบโทรจาก internet ให้ระวังไว้ก่อนเลยครับ
3. ใบแจ้งหนี้บัตรเครดิต ควรทำลายอย่าให้เหลือเห็นข้อมูลต่างๆ เช่น วงเงินสินเชื่อ หรือ
เลขบัญชีธนาคารที่ตัดอัตโนมัติ

โปรดกระจาย! ข่าวเรื่ องนี้ไปยังเพื่อนและญาติๆ โดยด่วน เพื่อป้องกันการหลอกลวงเช่นนี้

http://www.paiphuying.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=626 (http://www.paiphuying.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=626)


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 14 พฤษภาคม 2553 08:39:23
ธปท.ให้ผ่อนบัตรเครดิตต่ำกว่า 10%

http://www.thairath.co.th/content/eco/82829 (http://www.thairath.co.th/content/eco/82829)

ที่มา ไทยรัฐ



ธปท.ออกหนังสือเวียนถึงสถาบันการเงิน เรื่องการขอความร่วมมือให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทางการเมือง พิจารณาปรับลดวงเงินการผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำให้ต่ำกว่า 10% ยอดคงค้างสินเชื่อได้ ซึ่งเป็นเกณฑ์เดิมของ ธปท.ได้ชั่วคราว จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.นี้...

นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เพื่อช่วยเหลือบรรเทาการผ่อนชำระหนี้ของผู้ประกอบการรายใหญ่ และรายย่อย ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมในย่านราชประสงค์ และสะพานผ่านฟ้า ธปท.ได้ออกหนังสือเวียนถึงสถาบันการเงิน ประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ รวมถึงบริษัทประกอบธุรกิจสินเชื่อ และให้บริการบัตรเครดิตที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) เรื่องการขอความร่วมมือให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทางการเมือง

โดยมีสาระสำคัญ 2 ข้อ ดังนี้ 1. ให้พิจารณาดูแลลูกหนี้ที่เป็นผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทางการเมือง และให้ความช่วยเหลือตามความจำเป็น ทั้งการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ยืดระยะเวลาการชำระหนี้ ลดดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ รวมถึงผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้อื่นๆเพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ 2. ธปท.อนุญาตตามที่ผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนร้องขอให้สถาบันการเงินและบริษัทประกอบธุรกิจให้บริการบัตรเครดิตสามารถที่จะพิจารณาปรับลดวงเงินการผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำให้ต่ำกว่า 10% ยอดคงค้างสินเชื่อได้ ซึ่งเป็นเกณฑ์เดิมของ ธปท.ได้ชั่วคราว จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. ที่จะถึงนี้ แต่จะลดลงให้ผ่อนขั้นต่ำในอัตราเท่าไรนั้น ขึ้นกับ ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทบัตรเครดิตแต่ละแห่งจะพิจารณาหรือตกลงกับลูกหนี้ อย่างไรก็ตาม การลดหย่อนเกณฑ์การผ่อนชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำนั้น จะต้องเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมในย่านราชประสงค์ และสะพานผ่านฟ้าลีลาศ และเป็นการใช้บัตรเครดิตมีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กรณีการลดวงเงินผ่อนชำระขั้นต่ำรายเดือนของบัตรเครดิตต่ำกว่า 10% ไม่ได้ครอบคลุมสินเชื่อบัตรเครดิตที่มีการใช้จ่ายส่วน บุคคล แต่จะให้ลดหย่อนพิเศษเฉพาะผู้ประกอบการ เนื่องจากในช่วงการชุมนุมที่ผ่านมา ผู้ประกอบการรายเล็กรายย่อยร้องเรียนว่าขาดสภาพคล่องทางการเงิน และไม่สามารถกู้เงินใหม่ หรือขอโอดีเพิ่มได้ จึงใช้วิธีกดเงินจากบัตรเครดิตเพื่อนำมาใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจ และจ่ายเงินค่าจ้างให้กับพนักงาน









หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 14 พฤษภาคม 2553 23:25:27
รวบแก๊งปลอม ATM ข้ามชาติ เสียหาย 10 ล้านบาท

http://hilight.kapook.com/view/48567 (http://hilight.kapook.com/view/48567)






กองปราบรวบแก๊งปลอม ATM ข้ามชาติ เสียหาย 10 ล้านบาท (ไอเอ็นเอ็น)

กองปราบ รวบแก๊งปลอมบัตรเอทีเอ็มข้ามชาติ ชาวมาเลเซีย โดยโจรกรรมข้อมูลประชาชน กว่า 100 ราย มูลค่าเสียหายกว่า 10 ล้าน เตรียมขยายผลหาต้นตอต่อไป

นายโก กุ๊กไซ อายุ 35 ปี และนายลิม ซีโช อายุ 34 ปี สัญชาติ มาเลเซีย ถูกตำรวจกองปราบปราม จับกุมได้ที่ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา หลังร่วมกับพวก ตั้งแก๊งขโมยข้อมูล บัตรเอทีเอ็ม ของผู้เสียหายกว่า 100 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 10 ล้านบาท

จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ทราบว่า กลุ่มคนร้ายเป็นชาวมาเลเซีย ก่อเหตุเหตุโจรกรรมข้อมูลบัตรเอทีเอ็ม โดยมีการทำเป็นขบวนการ และมีการแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน ซึ่งจะมีชุดติดตั้งกล้องวงจรปิด ที่ ตู้เอทีเอ็ม ชุดติดตั้งอุปกรณ์ชุดข้อมูล หรือ สกิมเมอร์ ชุดทำบัตรเอทีเอ็มปลอม และชุดถอนเงิน โดยคนร้ายจะเลือกติดตั้ง เครื่องสกิมเมอร์ตามตู้เอทีเอ็ม ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร ในย่านดอนเมือง บางเขน สายไหม ซึ่งคนร้ายจะเลือกพื้นที่เปลี่ยว ในชุมชน ผ่านถนนสายสำคัญ ซึ่งผู้ต้องหาสามารถเข้าไปก่อเหตุได้ อย่างรวดเร็ว เมื่อคนร้ายได้ข้อมูล บัตร ATM ของผู้เสียหายไปแล้วจะนำไปปลอมบัตร และส่งไปให้กับผู้ร่วมขบวนการ ในพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อกดเงิน จากการตรวจสอบพบว่า กลุ่มผู้ต้องหา เป็นเครือข่ายขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ติดตามผู้ร่วมขบวนการ ซึ่งเป็นชาวมาเลเซียอีก 4 ราย ที่ได้ออกหมายจับไว้แล้ว มาดำเนินคดีต่อไป



 


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 พฤษภาคม 2553 04:28:01

(http://www.212cafe.com/boardvip/user_board/cm99/picture/01657_36.jpg)

ขอบพระคุณ คุณหนุ่มมากมายสำหรับการแบ่งปันข้อมูลดีๆอนุโมทนาค่ะ


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 15 พฤษภาคม 2553 07:48:16
บัวแก้วเตือนใช้บัตรเครดิตในมาเลย์ ระวังแก๊งปลอมแปลงบัตรเครดิต

http://www.matichon.co.th/news_detai...rpid=&catid=05 (http://www.matichon.co.th/news_detai...rpid=&catid=05)


รายงานข่าวจากกระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่า กระทรวงฯได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ว่า เนื่องจากมีการปลอมแปลงบัตรเครดิตอย่างแพร่หลายในประเทศมาเลเซีย โดยเฉพาะการซื้อบัตรโดยสารเครื่องบินที่สนามบินนานาชาติกรุงกัวลาลัมเปอร์ สายการบินต่างๆ จึงได้ออกมาตราการเข้มงวดในการใช้บัตรเครดิตของผู้อื่นซื้อบัตรโดยสารเครื่องบิน ซึ่งจะต้องมีเจ้าของบัตรเครดิตแสดงตัวยืนยันการซื้อ หรือต้องมีเอกสารรับรองไปแสดงด้วย จึงจะยินยอมให้เช็คอินหรือต้องจ่ายเป็นเงินสดแทนจึงจะยอมให้ผู้โดยสารเช็คอินได้

กระทรวงการต่างประเทศจึงขอประกาศเตือนคนไทยที่จะเดินทางไปประเทศมาเลเซีย เพื่อจะได้ไม่เกิดการติดขัดหรือตกค้างในการเดินทางออกจากประเทศมาเลเซีย


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 09 มิถุนายน 2553 08:59:26
จับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตุ๋นโอนเงินข้ามชาติ สูญ 100 ล้านต่อเดือน!
Crime - Manager Online
 
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม 8 มิถุนายน 2553 16:57 น.

 
  รวบยกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกโอน คนร้ายจะใช้บัตรกดเงินอัตโนมัติไปกดเอาเงินสดออกมาแล้วโอนผ่านบริษัททัวร์ หรือโอนเงินเข้าบัญชีเครือข่ายกลับไปจีน และไต้หวัน มีมูลค่าความเสียหาย 100 ล้านต่อเดือน ผู้ต้องหายังปฏิเสธไม่มีส่วนรู้เห็น อ้างเป็นเพียงแม่บ้าน แต่เจ้าหน้าที่มีหลักฐานชัดใครทำหน้าที่อะไรบ้าง

วันนี้ (8 มิ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผบช.ก. พร้อมด้วยนายพงษ์สิทธิ์ ชัยฉัตรพรสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายบริหารการป้องกันการทุจริต ธนาคารไทยพาณิชย์ คณะทำงานป้องกันการทุจริตบัตรเครดิต ร่วมกันแถลงผลการจับกุม น.ส.นุชจรินทร์ หวานชิต อายุ 20 ปี น.ส.ประภา โพบาง อายุ 45 ปี นางสมพร น้อยอิ่ม อายุ 43 ปี และนายเฉลิม จุฬาวไลวงศ์ อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน โดยมีพฤติการณ์ที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ จัดตั้งสำนักงานเครือข่าย call center หลอกโอนเงิน

พล.ต.ต.ปัญญา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทางตำรวจทราบว่าแก๊งหลอกโอนเงินดำเนินการเป็นเครือข่าย โดยมีชาวไทยร่วมกับชาวจีน กระทำความผิดมาตั้งแต่ ปี 2548 ซึ่งใช้โทรศัพท์ระบบ VOIP (Voice Over Internet Protocol) ซึ่งสามารถตั้งค่าหมายเลขได้ ต้นทางจากกวางเจา ประเทศจีน และบางส่วนในไทย เมื่อผู้เสียหายยอมโอนเงินให้แล้ว คนร้ายจะใช้บัตรกดเงินอัตโนมัติไปกดเอาเงินสดออกมาแล้วนำไปโอนเงิน ผ่านบริษัท ทัวร์ ร้านเลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือ โอนเงินเข้าบัญชีกลุ่มคนร้ายเองกลับไปยังจีน เงินบางส่วนอาจโอนเงินเข้าบัญชีของคนร้ายที่อยู่ในไทย

"จากนั้นพนักงานสอบสวนได้รวบรวมหลักฐานร่วมมือกับตำรวจสอบสวนกลาง มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน และร่วมกันวางแผน เพื่อปฎิบัติการตรวจค้น Call Center ของกลุ่มคนร้ายที่เมืองฉางอัน สามารถจับกุม ผู้ต้องหาได้ 15 คน มีชาวไทย 13 คน ชาวไต้หวัน 2 คน และเมืองจูไห่ จับกุมชาวไต้หวันได้ 15 คน สำหรับผู้ต้องหาชาวไทยทั้ง 13 คน อยู่ระหว่าง ขอนำตัวกลับมาดำเนินคดีในไทย" รองผบช.ก. กล่าว

ส่วนผู้ต้องหาทั้ง 4 รายข้างต้น ยังให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็น และเป็นเพียงแม่บ้านทำความสะอาดเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ มีพยานหลักฐานการกระทำความผิดชัดเจนและได้ตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นพนักงาน call center ส่วนนายเฉลิม ทำหน้าที่เป็นคนกดเงินและโอนเงินกลับไปยังประเทศไต้หวัน

พล.ต.ต.ปัญญา กล่าวต่อไปว่า แต่ละปี จะมีมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยสูงถึง 100 ล้านบาทต่อเดือน ส่วนการดำเนินการจับกุมเป็นเรื่องที่ยาก เพราะการตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์ดังกล่าวมีความสลับสับซ้อนและเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
 
 
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 10 มิถุนายน 2553 15:35:31
ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=999161&d=1276149227)
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=999162&d=1276149227)
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=999163&d=1276149227)





.
ธนาคารแห่งประเทศไทย
.

.


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 10 มิถุนายน 2553 17:40:40
เจ้าหนี้แสบปล่อยล้มละลายยอดพุ่ง 3 ล้านล้านบาท!

Crime - Manager Online

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม10 มิถุนายน 2553 16:47 น.


กระทรวงยุติธรรมเผยยอดบังคับคดีหนี้นอกระบบที่เจ้าหนี้เพิกเฉย ไม่เรียกร้องกับลูกหนี้ แต่ปล่อยให้ดอกเบี้ยเดิน จนกลายเป็นดินพอกหางหมู และสุดท้าย นำไปสู่การฟฟ้องล้มละลาย ซึ่งมีวงเงินสูงถึงกว่า 3 ล้านล้านบาท ชี้หากไม่เร่งแก้ไข อาจส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตในอนาคต โดยเฉพาะคนระดับล่างที่จะพากันเป็นหนี้หัวโตทั่วประเทศ

 

วันนี้ (10 มิ.ย.) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาหนี้ในระบบว่าปัจจุบัน พบว่า มีผู้ได้รับความเดือดร้อนและไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการเป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงิน รวมถึงหนี้สินเชื่อบัตรเครดิต ซึ่งถูกฟ้องร้องและบังคับคดี จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมกรณีหนี้สถาบันการเงินและหนี้สินเชื่อบัตรเครดิต อันประกอบไปด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงยุติธรรม และผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นที่ปรึกษา โดยมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านบริหารความยุติธรรม เป็นประธานกรรมการ และมีกรรมการจากหน่วยงานภายในกระทรวงยุติธรรม ผู้แทนกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ศูนย์ประสานงานลูกหนี้แห่งชาติ และ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค

 

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า สภาพปัญหาคณะกรรมการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมกรณีหนี้สถาบันการเงินและหนี้สินเชื่อบัตรเครดิต โดยมุ่งเน้นไปที่ในหนี้ของสถาบันการเงิน และหนี้บัตรเครดิต ในชั้นบังคับคดีตาม คำพิพากษาหรือตามคำสั่งศาล เป็นลำดับแรก โดยได้หารือเบื้องต้นกับทางหน่วยงานกรมบังคับคดีและฝ่ายลูกหนี้จากองค์กรศูนย์ประสานงานลูกหนี้แห่งชาติ เกี่ยวกับประเด็นปัญหาการบังคับชำระหนี้ของเจ้าหนี้สถาบันการเงิน และเจ้าหนี้ที่ให้บริการด้านสินเชื่อ (Non-bank) ในส่วนการคิดดอกเบี้ยผิดนัดของสถาบันการเงิน อัตราดอกเบี้ย เบี้ยปรับ ซึ่งเป็นอัตราที่สูง

 

ทั้งนี้ การฟ้องร้องบังคับคดีของเจ้าหนี้สถาบันการเงินใช้ระยะเวลาในการดำเนินการนานส่งผลเรื่องคิดดอกเบี้ยค้างชำระและดอกเบี้ยทบต้น นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2543-2553 เป็นต้นมามีเจ้าหนี้ฟ้องร้องบังคับคดีลูกหนี้จนกระทั่งศาลออกหมายบังคับคดีจำนวน 786,527 คดี จำนวนทุนทรัพย์ 1,296,721,942,228.86 บาท และ มีเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ตั้งเรื่องบังคับคดีตามหมายบังคับคดีจำนวน 493,645คดี จำนวนทุนทรัพย์ 989,561,891,963 บาท ซึ่งยังคงค้างหมายบังคับคดีที่รอเจ้าหนี้มาดำเนินการบังคับคดี จำนวน 292,882 คดี

 

สำหรับการบังคับคดีล้มละลายในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ค้างมาจำนวน 62,545 เรื่อง ทุนทรัพย์จำนวน 3,816,496,988,078 บาท เกิดใหม่จำนวน 24,928 เรื่อง ทุนทรัพย์จำนวน 576,544,048,270 บาท ดำเนินการเสร็จจำนวน 19,022 เรื่อง ทุนทรัพย์จำนวน 268,105,860,882 บาท ค้างไป 63,888 เรื่อง จำนวนทุนทรัพย์ 3,853,827,155,145.01 บาท

 

นายพีระพันธุ์กล่าวต่อว่า ในส่วนของข้อมูลจากศูนย์ประสานงานลูกหนี้แห่งชาติ พบว่าการที่ลูกหนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้นเกิดปัญหาจากข้อกฎหมายตามสัญญาไม่เป็นธรรม เช่น สัญญากู้ยืมเงิน สัญญาจำนอง การเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าตามที่กฎหมายกำหนด อัตราดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม มีการคิดดอกเบี้ยผิดพลาดในอัตราที่สูงเกินกว่าสัญญา มีการคิดดอกเบี้ยในสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สูง การขายสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ ในราคาต่ำและบริษัทบริหารสินทรัพย์มาบังคับหนี้เต็มตามจำนวนสัญญาและหมายบังคับคดี นอกจากนี้ยังมีกระบวนการ ที่เจ้าหนี้บังคับคดีกับลูกหนี้โดยยึดทรัพย์ อายัดทรัพย์ และขายทอดตลาดทรัพย์ ซึ่งหากได้เงินจากการบังคับคดีไม่พอชำระหนี้ตามหมายบังคับคดีแล้ว เจ้าหนี้สถาบันการเงินจะนำมูลหนี้ที่ค้างชำระไปฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลาย โดยเฉพาะเรื่องการบังคับทรัพย์จำนอง ตามมาตรา 733 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เจ้าหนี้สามารถยึดได้เพียงทรัพย์จำนอง แต่ในทางปฏิบัติของเจ้าหนี้สถาบันการเงินหากบังคับทรัพย์จำนองไม่พอแก่การชำระหนี้ตามหมายบังคับคดีอนุญาตให้เจ้าหนี้สามารถดำเนินการบังคับกับทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นได้

 

สำหรับแนวทางแก้ไขเบื้องต้น กระทรวงยุติธรรมจะเป็นหน่วยงานกลางในการเป็นผู้ประสานงาน วางแนวทางและกำหนดมาตรการในการดำเนินการให้แก่ลูกหนี้และเจ้าหนี้ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และรับลงทะเบียนแก่ผู้ที่ประสงค์เข้าสู่กระบวนการ โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหากลุ่มลูกหนี้ที่ศาลออกหมายบังคับคดีแต่ยังไม่ถูกดำเนินการบังคับคดีก่อน และจะผลักดันกรมบังคับคดีซึ่งมีศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับการบังคับคดีที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน โดยส่งเสริมและประชาสัมพันธ์ให้ลูกหนี้ได้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ง่าย และนำเจ้าหนี้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย และกรณีลูกหนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากข้อสัญญา หรือไม่มีทนายความช่วยต่อสู้คดีแทน กระทรวงยุติธรรมจะได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการเข้าไปช่วยเหลือ ส่วนมาตรการระยะยาว ในการแก้ไขกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมจะผลักดัน ให้การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในหลายมาตรา รวมถึงเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ประชาชนได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรม


.

http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9530000080213 (http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9530000080213)

.


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 10 มิถุนายน 2553 17:42:27
ธปท. รับแลกคืน ธนบัตร ทักษิณ พิมพ์ข้อความแดง

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=999531&d=1276167058)



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

กำลังเป็นประเด็นร้อนอยู่ในขณะนี้ สำหรับกรณีที่มีการหมุนเวียนของธนบัตรพิมพ์ข้อความสีแดงที่ด้านหลังธนบัตรอย่างไม่เหมาะสม กระจายไปในท้องตลาดโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน โดยธนบัตรนี้ได้ระบุข้อความว่า "พระเจ้าตากสิน ได้กลับชาติเสด็จลงมาจุติอีกครั้ง ในชาตินี้จุติลงมาเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายความจงรักภักดีแด่พระองค์ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ" ทำให้มีคนส่งฟอร์เวิร์ดเมล์เตือนห้างร้านให้ระวังการรับธนบัตรเหล่านี้กันอย่างแพร่หลาย

จากกรณีนี้ ทำให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งตรวจสอบธนบัตรที่ได้รับมาว่า มีตัวอักษรสีแดงปั๊มหรือไม่ โดยนายวรพล ตั้งสง่าศักดิ์ศรี ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์และวางแผน สายออกบัตรธนาคาร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้มีรายงานเข้ามายัง ธปท. ว่าพบธนบัตรดังกล่าวจริง แต่ยังมีจำนวนไม่มาก และไม่ได้ทำให้เกิดปัญหากับระบบการเงินแต่อย่างใด ทั้งนี้ธนบัตรนี้สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายเต็มมูลค่า เพราะไม่ใช่ธนบัตรปลอม แต่หากธนบัตรที่ ธปท. ได้รับมาสกปรกมากก็จำเป็นต้องนำเอาจากระบบ และตีเป็นธนบัตรเสีย เพื่อนำไปทำลายทิ้งทันที และนำธนบัตรใหม่ไปหมุนเวียนใช้แทน

ขณะที่นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ทาง ธปท. พร้อมที่จะรับแลกธนบัตรที่มีข้อความสีแดง พิมพ์เนื้อหาไม่เหมาะสม โดยประชาชนไม่ได้เสียสิทธิ์ใด ๆ

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ทาง ธปท. ได้ออกมาชี้แจงเพิ่มเติมถึงธนบัตรดังกล่าวนี้ โดยระบุไว้ว่า

1.ธนบัตรที่มีรอยขีดเขียน หรือประทับตรา เป็นธนบัตรที่ไม่เหมาะสมต่อการใช้หมุนเวียน ตามเกณฑ์ที่ทาง ธปท.ได้กำหนดไว้ แต่หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นธนบัตรจริง ก็สามารถใช้ได้เต็มมูลค่า และขอให้สถาบันการเงินที่ได้รับธนบัตรดัวกล่าว รวบรวมธนบัตรส่งให้ทาง ธปท.

2.ผู้ที่มีความประสงค์จะขอแลกเปลี่ยนธนบัตรดังกล่าว เป็นธนบัตรฉบับใหม่ สามารถแลกเปลี่ยนได้ที่ธนาคารออมสิน และธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศ

3.ธปท.ขอความร่วมมือประชาชน มิให้ขีดเขียนหรือประทับตราใด ๆ ลงบนธนบัตร เพื่อให้ธนบัตรสะอาด มีอายุการใช้งานที่นานขึ้น และเป็นการประหยัดงบประมาณการพิมพ์ธนบัตรของประเทศด้วย


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก กรุงเทพธุรกิจ


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 11 มิถุนายน 2553 08:06:22
ที่มา ธนาคารแห่งประเทศไทย

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1000452&d=1276219298)
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1000453&d=1276219298)
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1000454&d=1276219298)
.

http://www.bot.or.th/Thai/PressAndSp...553/n2353t.pdf (http://www.bot.or.th/Thai/PressAndSp...553/n2353t.pdf)

.


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 11 มิถุนายน 2553 08:15:35
เรื่องของ Fwd mail

บางเรื่องก็เป็นเรื่องดี

บางเรื่องก็เป็นเรื่องไม่จริง

แต่สำหรับบางเรื่อง เป็นเรื่องที่หลอกลวง ต้มตุ๋น หรือ สร้างความเข้าใจผิดกัน

เช่นเรื่องนี้

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1000466&d=1276219752)

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1000467&d=1276219752)

ควรต้องใช้ความคิด และ เหตุผล ที่เป็นจริงในการอ่าน

เรื่องที่เกี่ยวกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการออกระเบียบต่างๆ ธนาคารทุกธนาคารต้องปฎิบัติตาม เนื่องจากว่า ธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร อยุ่ในการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทยครับ

ยุคนี้เป็นยุคที่ใช้เรื่องข้อมูลข่าวสารเยอะ จึงต้องพิจารณาให้ดีสำหรับข้อมูลที่ได้มาครับ

.


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 11 มิถุนายน 2553 08:47:35
การกำหนดราคาทองคำของประเทศไทย





การกำหนดราคาทองของไทยนั้น ประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง โดยมีคณะกรรมการควบคุมราคาทองของสมาคมคอยดูแลตลอดช่วงเวลาการซื้อขาย โดยยึดถือหลักประชาธิปไตยในการกำหนดราคาทองคำ ถือเสียงส่วนมาก 3 ใน 5 เสียงในการตัดสินใจ ซึ่งคณะกรรมการประกอบไปด้วยคณะกรรมการจาก
1.ห้างทองจินฮั้วเฮง
2.ห้างทองฮั่วเซ่งเฮง
3.ห้างทองเลี่ยงเส็งเฮงพาณิชย์
4.ห้างทองหลูชั้งฮวด
5.ห้างทองแต้จิบฮุย
ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม สำหรับในการกำหนดราคาทองของสมาคม จะอ้างอิงจากราคา Gold Spot บวกหรือลบค่า premium จากผู้ค้าทองในต่างประเทศ ( ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าเป็นสภาวะการนำเข้า หรือการส่งออก ) แล้วจึงนำมาคำนวณกับค่าเงินบาท จากนั้น จะทำการแปลงหน่วยน้ำหนักจากหน่วย ounze ให้เป็นหน่วยน้ำหนักของไทย คือ บาท โดยการตัดสินใจประกาศราคาทองในประเทศแต่ละครั้งนั้น ทางสมาคมจะต้องพิจาราณาองค์ประกอบของ Demand และ Supply ทองคำภายในประเทศเป็นสำคัญด้วย
สำหรับตัวแปรที่สำคัญในการกำหนดราคาทองของไทย สามารถสรุปได้ 4 ประการดังนี้
1. ราคาทองต่างประเทศ (Gold spot)
2. อัตราค่า Premium ( ค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการนำเข้า/ส่งออกทองคำ )
3. ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
4. Demand และ Supply ของทองคำภายในประเทศ
1. ราคาทองคำต่างประเทศ (Gold spot)
เป็นราคาอ้างอิงทางอิเลกทรอนิกส์ ซึ่งยังไม่ได้มีการบวก หรือลบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจริงในการส่งมอบทองคำ เป็นการซื้อขายทองคำที่ไม่มีการส่งมอบ ซึ่งหากท่านพิจารณาดูราคา Gold spot จะเห็นว่ามีทั้งฝั่ง Bid และ Ask ซึ่งก็คือราคารับซื้อ และราคาขายออกนั้นเอง ในการซื้อทองคำจากต่างประเทศนั้น ผู้ขายจะใช้ราคา Ask ในการคำนวณ ส่วนเมื่อเราขายกลับไปยังผู้ค้าทองคำต่างประเทศ จะใช้ราคา Bid ในการคำนวณ ดังนั้นทางสมาคมเองก็เช่นกัน ในการกำหนดราคาทองภายในประเทศก็ต้องคำนึงถึงเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย ว่าสภาวะตลาดทองคำภายในประเทศเป็นเช่นไร เช่นมีความต้องการซื้อทองคำอย่างมากก็ต้องนำเข้าทองคำ หรือหากมีความต้องการขายทองคำจำนวนมากก็ต้องส่งออกเป็นต้น
2. อัตราค่า Premium ( ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการนำเข้า/ส่งออกทองคำ )
เมื่อมีความต้องการซื้อทองคำจำนวนมากจากผู้สนใจลงทุนในทองคำ และปริมาณทองคำภายในประเทศมีไม่เพียงพอ ร้านค้าทองจึงจำเป็นต้องอาศัยการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศ ซึ่งก็คือการซื้อจากผู้นำเข้า ซึ่งผู้นำเข้าก็ต้องซื้อต่ออีกทอดหนึ่งจากผู้ค้าในต่างประเทศ โดยจะมีการคิดค่า Premium
ค่า Premium ก็คือค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อที่นำเข้า หรือส่งออกทองคำ รวมถึงค่าขนส่ง ค่าความเสี่ยง ดอกเบี้ยธนาคาร ค่าประกันภัยต่างๆ ซึ่งถูกกำหนดมาโดยผู้ค้าทองในต่างประเทศ ซึ่งเรียกง่ายๆว่าเป็นต้นทุนในการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศเข้ามาขายผู้บริโภคในไทยนั้นเอง โดยในการคำนวนจะนำราคา Spot บวกค่า Premium ดังกล่าวนี้เข้าไปด้วย ซึ่งในทางกลับกัน เมื่อมีประชาชนมาขายทองคำแท่ง คืนให้กับร้านทองจำนวนมากๆ ร้านทองจำเป็นต้องทำการขายกลับคืนมาให้กับบริษัทผู้นำเข้า และผู้นำเข้าก็จะทำการขายคืนกลับไปให้กับผู้ค้าทองในต่างประเทศอีกทอดนึง ซึ่งในจุดนี้ต่างประเทศจะใช้ราคา Spot ฝั่ง BID และหักลบค่าใช้จ่าย Premium ซึ่งในฝั่งขายออกนี้จะเรียกว่า Discount สำหรับสภาวะปกติค่า premium หรือ discount จะอยู่ที่ +1 ถึง 2 เหรียญต่อออนซ์ แต่ในสภาวะวิกฤตดังเช่นปัจจุบัน จากการที่ราคาทองคำในต่างประเทศลดลงอย่างมาก และรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ทำให้มีความต้องการซื้อทองคำจากทุกประเทศในโลกพร้อมๆกัน ทำให้มี Demand ในโลกมาก เกิดการแย่งซื้อ ส่งผลให้มีการปรับขึ้นลงค่า premium และ discount จากผู้ค้าในต่างประเทศอย่างรวดเร็วและรุนแรงมากเช่นกัน โดยอยู่ที่ช่วง +10 ถึง 20 เหรียญต่อออนซ์ และในบางครั้งสูงถึง +25 เหรียญต่อออนซ์ด้วย อย่างเช่นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อน
3. ค่าเงินบาทต่อดอลล่าสหรัฐ
ค่าเงินบาทในการคำนวณราคาทองในประเทศ จะใช้อัตราการโอนเงินระหว่างประเทศ ซึ่งมีการเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกัน gold spot และมีการใช้ราคาในฝั่ง Bid และ Ask เช่นเดียวกัน สำหรับในสภาวะวิกฤตของสถาบันการเงินเช่นปัจจุบัน แต่ละธนาคารก็จะบวกค่าความเสี่ยงเข้าไปด้วยเช่นกัน
4. Demand และ Supply ภายในประเทศ
คณะกรรมการควบคุมราคาทองของสมาคม นอกจากจะพิจารณาราคา Gold Spot / ค่า Premium และค่าเงินบาท ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแล้ว ยังต้องคำนึงถึงปัจจัย Demand / Supply ภายในประเทศด้วยเป็นหลัก เพื่อที่จะตัดสินใจประกาศราคาทองคำภายในประเทศ ณ ช่วงเวลานั้นๆ โดยคณะกรรมการกำหนดราคาทั้ง 5 ท่าน จะพิจารณาจากปริมาณ และราคาจากการซื้อขายระหว่าง
4.1 ผู้นำเข้าหรือผู้ส่งออกทองคำ
4.2 ร้านค้าทองเยาวราช
4.3 ร้านค้าส่งทองคำ
4.4 ร้านค้าปลีกทองคำ
4.5 ผู้ลงทุนทองคำรายใหญ่
4.6 ผู้ลงทุนทองคำรายย่อย
กล่าวคือ มิใช่ว่าร้านทองจะซื้อขายกับประชาชนผู้สนใจลงทุนในทองคำเพียงฝ่ายเดียว ตามที่ผู้ลงทุนทั่วไปเข้าใจ เป็นความเข้าใจที่ผิด ทุกภาคส่วนล้วนมีการซื้อและขายทองคำด้วยกันเองตลอดเวลาด้วย และการซื้อขายของร้านค้าทองด้วยกันเองนั้นจะมีปริมาณที่มากกว่าการซื้อขายกับผู้ลงทุนทั่วไปหลายสิบเท่า เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าสมาคมประกาศราคาทองคำสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริงจากตลาดต่างประเทศมากไป ร้านทองด้วยกันเองจะมีการวิ่งเข้าหาซื้อ หรือเทขายกันเอง ส่งผลให้สมาคมต้องปรับราคาให้เหมาะสมในที่สุด เพื่อสะท้อนถึงความต้องการทองคำของตลาดตามความเป็นจริง ตามกฎของ Demand / Supply กลไกของตลาดดำเนินการไปด้วยตัวของมันเอง เช่น หากราคาทองของสมาคมประกาศต่ำกว่าตลาดโลกมาก ก็จะมีกลุ่มผู้ตระเวนซื้อทองรูปพรรณเก่าตามร้านทองทั่วประเทศ และขายทองให้ผู้ส่งออกต่างประเทศได้ส่วนต่างผลกำไรโดยตรง โดยไม่ผ่านร้านทองทำให้ร้านทองเสียรายได้ส่วนนี้ไปอย่างเห็นได้ชัด หรือหากมีการกำหนดราคาที่สูงกว่าราคาตลาดโลกมาก ก็จะมีผู้นำเข้าทองนำทองมาขายให้ร้านทองโดยทันทีเช่นกัน เนื่องจากได้กำไรจากส่วนต่างที่มากนั้นจูงใจ
ดังนั้น การที่ผู้สนใจลงทุนในทองคำดูราคา Gold spot จาก Website ต่างประเทศ แล้วนำมาคำนวณตามสูตรตรงๆ ก็จะได้ราคาที่ไม่สะท้อนความเป็นจริงในการซื้อขายที่มีการส่งมอบทองจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะเหตุการณ์ที่ไม่ปกติอย่างเช่นในปัจจุบัน (ทองคำแท่งขาดตลาดทั่วโลก) ทั้งนี้ หากพิจารณาข้อมูลที่นำเสนอข้างต้น จะเห็นว่าตลาดค้าทองคำของไทยนั้น เป็นตลาดที่มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ และสามารถดำเนินไปด้วยกลไกตลาดอย่างแท้จริง

ที่มา Gold Traders Association : ʁҤ?钷ͧ?Ӧlt;/a>

.

http://board.palungjit.com/f179/ (http://board.palungjit.com/f179/)พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-1932.html


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 11 มิถุนายน 2553 09:28:30
เรื่องข้อสงสัยเกี่ยวกับทองคำ


  : เราจะทราบราคาทองในแต่ละวันได้จากที่ไหน?
 : ท่านสามารถตรวจสอบราคาทองได้ทางเว็ปไซต์ของสมาคมค้าทองคำ Gold Traders Association :
หรือ ทางโทรศัพท์อัตโนมัติ 0-2623-2304


--------------------------------------------------------------------------------
 
 
  : ทองรูปพรรณ99.99%ต่างกับ96.5%อย่างไรและทองรูปพรรณ99.99%หาซื้อได้ที่ไหน ?
 : ทองรูปพรรณ99.99%ต่างกับทองรูปพรรณ96.5% คือเรื่องความบริสทธิ์ของทองคำและราคา ซึ่งทองรูปพรรณ99.99%ไม่สามารถทำรูปพรรณชิ้นเล็กได้ เนื่องจากทองเปอร์เซ็นต์สูงมีความอ่อนนิ่มเกินไป จึงเห็นทองรูปพรรณ99.99%ส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักค่อนข้างมาก การซื้อขายจากร้านทองบางแห่งก็มี แต่ส่วนใหญ่มาตรฐานทองไทยคือ96.5% 

--------------------------------------------------------------------------------
 
 
  : ซื้อทองดูอย่างไรว่า%ไม่ต่ำหรือไม่ใช่ทองปลอม ?
 : การเลือกซื้อทองควรซื้อกับร้านทอง ซึ่งมีที่ตั้งเป็นหลักแหล่ง เพราะมีกฎหมายว่าด้วยฉลาก สคบ.ควบคุมอยู่ แต่วิธีดูทองต้องอาศัยความชำนาญเฉพาะทาง ซึ่งมีวิธีการดูทองดังนี้ 1)ดูจากภายนอกโดยดูจากความสมดุลระหว่างน้ำหนัก กับขนาดของเส้น 2)วิธีการเผาไฟ วิธีสามารถเช็คได้ว่า %ทองเป็นอย่างไร โดยมีข้อสังเกตจากการเผาไฟ ถ้าเผาแล้วตัวสร้อยเปลี่ยนเป็นสีเขียว หรือออกดำแสดงว่า%ต่ำมีส่วนผสมอื่นเจือปน 3)วิธีการเช็ค%ทองด้วยเครื่องมือเอ็กซเรย์วิธินี้ เป็นวิธีที่ไม่ทำให้สินค้าเสียหายและทราบว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง ความแม่นยำขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของเครื่อง 4)วิธีการถ่วงจำเพาะ วิธีนี้ต้องทำการหลอมละลายทอง แล้วหาความถ่วงจำเพาะว่า ได้%ทองเป็นเท่าไร 5)การFrie Assayหมายถึงการตรวจสอบทองโดยว่าวิธีการตรวจสอบทอง ซึ่งเป็นวิธีที่มีผลคลาดเคลื่อนในการตรวจสอบน้อยที่สุด 

--------------------------------------------------------------------------------
 
 
  : Gold Futures คืออะไร ?
 : การซื้อขายทองคำล่วงหน้า ซึ่งมีตลาดTFEXเป็นตลาดกลาง การซื้อขายเป็นการจับคู่กันเองระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย มีการคำนวณผลกำไรขาดทุนทุกสิ้นวันทำการ ยกเว้น วันก่อนวันสุดท้าย ของวันทำการ จะคำนวณราคา Gold Futures จากราคาทองLondon Am Fixกับอัตราแลกเปลี่ยน ณ ราคาปิด ทั้งนี้จะไม่มีการส่งมอบทองจริง 

--------------------------------------------------------------------------------
 
 
  : ทำไมจึงหยุดซื้อขายทองคำแท่งในวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนขตฤกษ์ ?
 : เนื่องจากวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนขัตฤกษ์ ทางธนาคารพาณิชย์ในประเทศหยุดทำการ ทำให้ค่าเงินบาทที่จะให้เป็นอัตราแลกเปลี่ยนจะเป็นราคาของวันก่อนหน้านี้ รวมทั้งยังเป็นวันหยุดของผู้ค้าทองในต่างประเทศเช่นกัน ทำให้ไม่สามารถทำการซื้อขายกับต่างประเทศได้ 

--------------------------------------------------------------------------------
 
 
  : ราคาทองมีการปรับขึ้นลงวันละกี่ครั้ง เวลาใดบ้าง ?
 : การปรับราคาขึ้นอยู่กับราคาทองในตลาดโลก ซึ่งเป็น real time บางวันอาจจะมีราคาเดียว หรือบางวันอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งก็ได้ และไม่มีการกำหนดเวลาที่แน่นอน ราคาทองในตลาดโลกมีการขึ้นลงตลอดเวลา สำหรับในประเทศไทย ราคาทองจะถูกประกาศครั้งแรกโดยสมาคมค้าทองคำ ในเวลาประมาณ 9.30 - 9.50 น. ของแต่ละวัน 

--------------------------------------------------------------------------------
 
 
  : หากไปขายทองรูปพรรณคืนร้านทอง จะมีหลักเกณฑ์ในการรับซื้อทองรูปพรรณคืนอย่างไร ?
 : หลักเกณฑ์การรับซื้อคืนทองรูปพรรณของร้านค้าทอง คือ หัก 5 % จากราคาทองคำแท่งรับคืนประจำวันที่สมาคมประกาศ ซึ่งจะมีการติดประกาศราคารับซื้อคืนทองคำรูปพรรณอยู่หน้าร้านทองทุกแห่ง ตามประกาศของ สคบ. 

--------------------------------------------------------------------------------
 
 
  : จะซื้อทองร้านไหนจึงจะมีมาตรฐานทองที่ดี ?
 : ปัจจุบัน ร้านทองจะได้รับการรับรองมาตรฐานจาก สคบ. ซึ่งควบคุมโดยกฎหมายว่าด้วยฉลาก โดยร้านทองทุกแห่งจะต้องติดฉลากตามถาดแต่ละถาด ซึ่งจะมีรายละเอียดเรื่องของน้ำหนัก เปอร์เซ็นต์ทอง ค่าแรง ชนิดสินค้า ระบุไว้อย่างชัดเจน รวมถึง สคบ. ได้ดำเนินการควบคุณมาตรฐานร้านทองผู้ผลิต ให้ผลิตทองที่เป็นมาตรฐาน เพื่อให้สินค้าที่ส่งไปขายทั่วประเทศเป็นมาตรฐานเดียวกัน เป็นการดำเนินการควบคุมต้นน้ำ ดังนั้น ผู้บริโภคจะมั่นใจได้ว่า ไม่ว่าซื้อทองร้านไหนก็ได้มาตรฐานเดียวกัน คือ 96.5% 

--------------------------------------------------------------------------------
 
 
  : การลงทุนในทองคำ ควรเลือกลงทุนในทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณ ?
 : ขึ้นอยู่ความต้องการใช้งาน ว่าต้องการซื้อเพื่อเป็นการเก็บออม หรือการลงทุน ควรซื้อเป็นทองคำแท่ง เพราะมีส่วนต่างซื้อเข้าขายออกบาทละ 100 บาท ไม่มีค่ากำเหน็จ แต่หากต้องการซื้อเพื่อสวยใส่เป็นเครื่องประดับ และออมทรัพย์ไปในตัว ควรซื้อเป็นทองรูปพรรณ ซึ่งจะมีค่ากำเหน็จหรือค่าแรง แล้วแต่ลวดลาย 

--------------------------------------------------------------------------------
 
 
  : ราคาทองของไทยกำหนดจากตลาดใด ?
 : ราคาทองของไทยกำหนดจากราคาทองในตลาดโลก ณ ช่วงเวลานั้นๆ หรือเรียกว่าราคา Gold spot โดยจะอิงจากทุกตลาดมารวมกัน แล้วจึงนำมาคำนวณกับค่าเงินบาทที่เป็น real time เช่นกัน ดังนั้นการกำหนดราคาทองจะไม่ได้ยึดตลาดใดตลาดหนึ่งเป็นราคาอ้างอิง แต่เป็นราคาตลาดโลก 

--------------------------------------------------------------------------------
 
 
  : ปัจจัยใดที่ทำให้ราคาทองขึ้นลง ?
 : ราคาทองในตลาดโลก และค่าเงินบาท ซึ่งทั้ง2ปัจจัยนี้จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดนั้น จะขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจของโลก อัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน ฯลฯ 
 
 
ที่มา [url=http://www.goldtraders.or.th/faqs.php]http://www.goldtraders.or.th/faqs.php
(http://www.goldtraders.or.th)
.

.

.



หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 22 มิถุนายน 2553 17:35:45
ครม. อนุมัติร่าง พ.ร.บ.กำกับบัตรเครดิต
http://hilight.kapook.com/view/49853 (http://hilight.kapook.com/view/49853)





ครม. อนุมัติร่าง พ.ร.บ.กำกับบัตรเครดิต (ไอเอ็นเอ็น)

          ครม. อนุมัติร่าง พ.ร.บ.กำกับบัตรเครดิต พร้อมอนุมัติลดหนี้ให้กับสมาชิกกองทุนฟื้นฟูเกษตรกรลงครึ่งหนึ่ง ยืดหนี้ 15 ปี และช่วยผู้ประสบภัยแล้ง ยืดการชำระหนี้และดอกเบี้ยไป 1 เดือน

          นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ว่า ที่ประชุมได้อนุมัติร่างพระราชบัญญัติกำกับดูแลบัตรเครดิต เพื่อให้ร้านค้ามีการตรวจสอบการใช้บัตรเครดิตของลูกค้า รวมไปถึง ควบคุมบัตรที่เป็นของสถาบันการเงิน และไม่ใช่สถาบันการเงิน ซึ่งต่อไปจากนี้จะมีการเสนอให้ สภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้

          นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติอนุมัติการลดหย่อนหนี้ให้กับเกษตรกร ที่เป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและช่วยเหลือเกษตรกรลงครึ่งหนึ่ง และยืดระยะเวลา ารชำระหนี้ออกเป็น 15 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ MLR-3 รวมไปถึง ยังได้มีการอนุมัติแนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง จำนวน 980,000 ราย ที่ต้องยื่นระยะเวลาการปลูกข้าวออกไปอีก 1 เดือน

          โดยให้ทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. ยืดระยะเวลาการชำระหนี้และดอกเบี้ยออกไปอีก 1 เดือนเช่นกัน เพื่อเป็นการลดภาระขณะที่ยังไม่มีรายได้







หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 24 มิถุนายน 2553 08:28:21
มิจฉาชีพลูบคมโปลิศ ตั้งตู้เอทีเอ็มปลอมกลางปักกิ่ง
China - Manager Online



โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์23 มิถุนายน 2553 17:49 น.

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=1017751&d=1277343964)
ลักษณะตู้เอทีเอ็มของแบงก์ออฟไชน่า ซึ่งเป็นเครื่องจริงในกรุงปักกิ่ง - เอเยนซี่

เอเอฟพี – มิจฉาชีพในกรุงปักกิ่งกำเริบหนัก บังอาจตั้งเครื่องเอทีเอ็มปลอม ดูดข้อมูลบัญชีธนาคารของผู้ใช้เครื่องเบิกเงินสดอัตโนมัติ แล้วขโมยเงินในบัญชีต่อ นับเป็นคดีหลอกลวงเงินผ่านเครื่องเอทีเอ็ม ที่พบเป็นครั้งแรกในจีน จากรายงานของสำนักข่าวทางการแดนมังกรเมื่อวันพุธ (23มิ.ย.)

สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีรายงานว่า ตู้เอทีเอ็มกำมะลอนี้ หัวขโมยซื้อมาจากบริษัทผู้ผลิต ที่ถูกต้องตามกฎหมายรายหนึ่ง แต่มิได้มีสัญญาธุรกิจกับธนาคารรายใด โดยตู้เอทีเอ็มถูกนำไปตั้ง ณ มุมอันมีผู้คนพลุกพล่านใจกลางเมืองหลวง พร้อมกับติดโลโก้บริษัทบัตรเครดิตรายใหญ่หลายราย เช่น วีซ่า เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ

หัวขโมยจะบันทึกรายละเอียดข้อมูลในบัตรของลูกค้า ที่มากดเงิน จากนั้น นำข้อมูลที่ได้ ไปทำบัตรปลอม แล้วจัดการกดเงินสดจากบัญชีของลูกค้าเคราะห์ร้าย สำหรับประชาชนที่ถูกหลอก เมื่อเสียบบัตรเข้าไปในเครื่อง สักครู่ที่หน้าจอจะบอกว่า ไม่สามารถให้บริการได้

หนังสือพิมพ์ไชน่าเดลีระบุว่า ชายคนหนึ่ง ซึ่งบังเอิญแวะมาใช้ตู้เบิกเงินสดอัตโนมัติปลอมเข้า ถูกกดเงินไปถึง 5,000 หยวน หรือราว 25,000 บาท ส่วนชายอีกคน บัญชีธนาคารก็ถูกดูดข้อมูลและสูญเงินไปเหมือนกัน แต่มิได้ระบุว่า เป็นจำนวนเงินเท่าไร

จนบัดนี้ ตำรวจปักกิ่งยังจับหัวขโมยไม่ได้


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 01 สิงหาคม 2553 08:23:32
พบช่องโหว่แฮกตู้ ATM คายเงินสด
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 กรกฎาคม 2553 21:07 น.

 
บาร์นาบี แจ็ค แฮกเกอร์อเมริกันที่ประกาศตัวว่าสามารถเจาะระบบซอฟต์แวร์ตู้เอทีเอ็มซึ่งทำให้ตู้สามารถคายเงินสดได้ตามต้องการ 
 
แฮกเกอร์อเมริกันประกาศตัวว่าสามารถเจาะระบบซอฟต์แวร์ตู้เอทีเอ็มซึ่งทำให้ตู้สามารถคายเงินสดได้ตามต้องการ ระบุว่าวิธีที่ค้นพบสามารถเจาะระบบตู้เอทีเอ็มทุกตู้ที่ผลิตโดยบริษัทเดียวกัน โดยขณะนี้ได้กระตุ้นให้ผู้ผลิตตู้ทราบจุดอ่อนและทำการแก้ไขแล้ว

นักเจาะระบบเมืองลุงแซมรายนี้มีนามบาร์นาบี แจ็ค (Barnaby Jack) มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยความปลอดภัย บริษัท IOActive Inc ใช้เวทีในงานประชุมเทคโนโลยีนักเจาะระบบหรือ Black Hat technology conference ในสหรัฐฯเมื่อวันพุธที่ 28 กรกฎาคม 53 สาธิตวิธีการเจาะระบบตู้กดเงินสดเอทีเอ็มแบบตั้งเดี่ยวหรือ standalone ซึ่งเหล่าแฮกเกอร์อาจใช้วิธีเดียวกันในการเจาะระบบหลากตู้เอทีเอ็มของธนาคารใหญ่ในโลกได้

ที่ผ่านมา เหล่าโจรร้ายทราบกันดีว่าตู้เอทีเอ็มนั้นไม่ได้มีความปลอดภัย 100% แต่กลโกงส่วนใหญ่เป็นการใช้เทคนิคเพื่อขโมยรหัสประจำตัวแต่ละบัญชี ไม่ใช่การเจาะระบบเพื่อควบคุมการทำงานของตู้แบบที่แจ็คทำได้ เช่น การใช้เครื่องอ่านบัตรปลอมเพื่อขโมยรหัสบัตร และการใช้กล้องดิจิตอลแอบถ่ายรหัส PIN เป็นต้น รวมถึงการใช้เทคนิคปิดกั้นไม่ให้เจ้าของบัญชีดึงเงินออกมาได้ทั้งที่กดไว้แล้ว ก่อนที่โจรจะเข้าไปดึงเงินออกมาภายหลัง

ทั้งหมดนี้แตกต่างจากวิธีของแจ็ค ซึ่งใช้เวลา 2 ปีทำการทดลองกับตู้เอทีเอ็มซึ่งแจ็คสั่งซื้อทางออนไลน์ภายในอพาร์ทเมนท์ในซิลิกอนวัลเลย์ ทั้งหมดเป็นตู้เอทีเอ็มแบบตั้งเดี่ยวลักษณะเดียวกับที่ตั้งหน้าร้านสะดวกซื้อ ไม่ใช้ชนิดที่ตั้งไว้หน้าธนาคาร จุดประสงค์ของการทดลองคือเพื่อค้นหาวิธีการควบคุมเครื่องเอทีเอ็มด้วยการควบคุมเครื่องจากช่องโหว่ในคอมพิวเตอร์ซึ่งทำงานเบื้องหลังเครื่อง

จากการสาธิต แจ็คสามารถทำให้ตู้เอทีเอ็มคายเงินออกมาจนหมด แถมแจ็คย้ำว่าวิธีการนี้สามารถใช้ได้กับตู้เอทีเอ็มหลากรุ่นหลายรูปแบบ ซึ่งขณะนี้ผู้ผลิตได้รับทราบ และได้เร่งดำเนินการแก้ไขแล้ว

ทำได้อย่างไร

แจ็คพบว่ากุญแจตู้เอทีเอ็มซึ่งมาพร้อมกับตู้เอทีเอ็มที่สั่งซื้อทางออนไลน์ด้วยเงินหลักพันเหรียญต่อเครื่องนั้นสามารถใช้งานกับเครื่องเอทีเอ็มรุ่นเดียวกันซึ่งผลิตโดยบริษัทเดียวกัน สิ่งที่ทำให้แจ็คสามารถสรุปข้อเท็จจริงนี้ได้คือการสั่งซื้อตู้เอทีเอ็ม 3 รุ่นจากคนละบริษัท จากนั้นจึงเทียบเคียงภาพกุญแจที่ได้รับมากับภาพกุญแจอื่นๆในอินเทอร์เน็ต

จากนั้น แจ็คจึงใช้กุญแจนี้ปลดล็อกส่วนประกอบในตู้ เมื่อพบช่องต่อ USB แจ็คจึงติดตั้งโปรแกรมเพื่อสั่งให้เครื่องถ่ายโอนข้อมูลภายใน ก่อนจะพยายามสื่อสารกับเครื่องในวิธีเดียวกับที่ผู้ผลิตตู้เอทีเอ็มใช้สั่งการตู้ผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถทำได้หากมีการใช้เทคนิคพิเศษเพื่อให้ผ่านขั้นตอนการใส่รหัสผ่านไป

แจ็คไม่ได้อธิบายลงลึกถึงวิธีการเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นการชี้โพรงให้กระรอก โดยย้ำว่าวิธีการนี้ไม่เพียงทำให้ตู้คายธนบัตรออกมาจนหมด แต่ยังทำให้โจรร้ายสามารถเก็บข้อมูลบัตรเอทีเอ็มจากตู้โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ

ทั้งหมดนี้เป็นการชี้ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการเอทีเอ็มรับรู้ถึงความเสี่ยงของปัญหาที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะบริษัท Tranax Technologies Inc ที่ถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตเครื่องซึ่งแจ็คสามารถเจาะระบบได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานว่าเอทีเอ็มซึ่งผลิตโดย Tranax Technologies Inc นั้นถูกติดตั้งในประเทศใดบ้าง และยังไม่มีรายงานความเห็นใดๆจาก Tranax ในขณะนี้

 
 



.


.


.


CyberBiz - Manager Online -
.
 
 (http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9530000104890)


หัวข้อ: Re: เงิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 03 สิงหาคม 2553 19:21:25
ที่มา Fwd mail ครับ

ตอนนี้มาอีกรูปแบบใหม่ นอกจากเครดิตการ์ด กรมสรรพากร ตอนนี้มาถึงศาลแล้ว

>>
ถึงทุกๆท่าน

ดิฉันมีเรื่องอยากเตือนทุกท่านให้ระวังเอาไว้ ถึงการหลอกลวงรูปแบบใหม่

ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากหมายเลข +886226994823
เป็นระบบเสียงอัตโนมัติอ้างว่าโทร.."จากศาลจังหวัดกรุงเทพมหานคร แจ้งว่ามีหมายส่งถึงดิฉัน แต่ไม่สามารถส่งหมายได้
ให้ติดต่อไปยังศาลอาญา มิฉะนั้นศาลจะออกหมายจับไป กด 1 หากต้องการฟังซ้ำ กด 9 เพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่"

ด้วยความที่ดิฉันเป็นทนายความ จึงสงสัยและจับพิรุธได้ดังนี้
1. เกิดมาไม่เคยกระทำความผิดใดๆ ตามกฏหมายที่จะต้องถูกดำเนินคดีอาญา
2. เบอร์โทรศัพท์แปลก ๆ เหมือนโทร.มาจากต่างประเทศ
3. ในประเทศไทยไม่มีศาลจังหวัดกรุงเทพมหานคร
4. ศาลไม่มีบริการติดตามคู่ความ หรือตรวจสอบข้อมูลทางโทศัพท์ (ยกเว้นท่านจะโทร.ไปที่ศาลเพื่อขอข้อมูลเองหรือตรวจสอบจากเว็บไซด์)

ดิฉันจึงตัดสินใจกด 9 เพราะอยากรู้มีเขามีลูกเล่นอย่างไร สักพักก็จะมีเสียงผู้หญิงรับสาย (มีเสียผู้ชายดังเข้ามาเหมือนกำลังเจรจาเกี่ยวกับคดีความกับคนอื่นอยู่ ซึ่งทำให้เหมือนจริงว่าโทร..มาจากศาล) แจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลอาสาจะตรวจสอบข้อมูลให้ ขอทราบชื่อ-นามสกุล ดิฉันก็แจ้งชื่อ-นามสกุลให้ทราบ จากนั้นผู้หญิงคนดังกล่าวก็จะขอหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก ดิฉันไม่ให้ เขาก็บอกว่าการติดต่อราชการจะต้องใช้หมายเลขบัตรประชาชน ดิฉันจึงบอกไปว่าการตรวจสอบข้อมูลของศาลนั้นไม่ต้องใช้เลขบัตรประชาชนก็ได้ ตรวจจากชื่อนาม-นามสกุลก็ได้แล้ว ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ยังยืนยันว่าต้องใช้เลขบัตรประชาชน ดิฉันจึงแจ้งว่าจะไปติดต่อศาลเอง ขอทราบชื่อเจ้าหน้าศาลที่จะต้องติดต่อ ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ตอบมาด้วย
เสียงดุๆ ว่าให้ไปติดต่อได้ที่ศาลอาญารัชดา แล้วก็รีบวางสาย ไม่ยอมแจ้งชื่อให้ทราบ

ดิฉันได้ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวพบว่า
- ไม่ใช่หมายเลขของศาลอาญารัชดาฯ
- เป็นรหัสทางไกล 886 ซึ่งโทร..มาจากไต้หวัน

ดังนั้นจึงขอเตือนทุกๆท่าน ได้โปรดระวังการหลอกลวงแบบใหม่นี้ไว้ด้วย เพราะหากท่านให้เลขบัตรประชาชน 13 หลักไป
ไม่ทราบว่าเขาจะเอาไปทำอะไร เลขบัตรประชาชนของท่านสามารถตรวจสอบข้อมูลต่างๆของท่าน เช่นข้อมูลทางการเงิน
ข้อมูลบัตรเครดิต ฯลฯ ได้มากมาย !!!!!!!!

นอกจากนี้ขอให้เตือนเพื่อนๆ ญาติสนิท มิตรสหายของท่านให้ทราบด้วย

ขอบคุณค่ะ