[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => เกร็ดศาสนา => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 17 มิถุนายน 2561 17:56:02



หัวข้อ: "บัว" ในพุทธศาสนา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 17 มิถุนายน 2561 17:56:02
(https://lotusbywuthikorn.files.wordpress.com/2011/10/buafourgroups.jpg)
ขอขอบคุณที่มาภาพ : เว็บไซต์ lotusbywuthikorn.files.wordpress.com

"บัว" ในพุทธศาสนา

ดอกบัวมีมากมาย แบบไหนที่เรียกว่า บัวหลวง และทำไมต้องใช้ดอกบัวไหว้พระ

บัวมีมาตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาล พุทธศาสนิกชนถือเป็นดอกไม้ประจำศาสนาพุทธ มีความสำคัญที่เป็นอามิสบูชา เกี่ยวข้องโดยตรงกับการบูชาพระรัตนตรัย อันได้แก่ พระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์

ตำนานกล่าวว่า หมอชีวกโกมารภัจจ์ ได้ปรุงยาจากดอกบัวถวายแด่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า แก้อาการอ่อนเพลีย และพุทธประวัติพบว่าบัวมีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน โดยเฉพาะเมื่อทรงตรัสรู้และบัวสี่เหล่า

บัวสี่เหล่าคืออุปมาเปรียบบุคคลเหมือนดอกบัว ๔ จำพวก ตามฐานะที่จะบรรลุนิพพานได้และไม่ได้ในชาตินั้น ตามที่ปรากฏในโพธิราชกุมารสูตร ในพระไตรปิฎกภาษาบาลีและคัมภีร์สุมังคลวิลาสินี ว่าเมื่อแรกตรัสรู้ พระพุทธเจ้าได้ทรงพิจารณาว่าพระธรรมที่ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียดอ่อน สุขุมคัมภีรภาพ ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจ และปฏิบัติได้

ต่อมาได้ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้ง ทรงเห็นว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวกสอนไม่ได้ เปรียบเสมือนบัว ๓ เหล่า (ตามนัยโพธิราชกุมารสูตรในพระไตรปิฎกภาษาบาลี) หรือบัว ๔ เหล่า (ตามนัยสุมังคลวิลาสินี)

ทั้งนี้ การที่สุมังคลวิลาสินีกล่าวว่าพระพุทธเจ้าทรงเปรียบบุคคลเป็นดอกบัว ๔ เหล่านั้น เป็นการประยุกต์จากพุทธพจน์เรื่องบุคคล ๔ จำพวกที่ตรัสไว้ในอุคฆฏิตัญญุสูตรอังคุตตรนิกาย ปุคคลวรรคที่ ๔ มาผสานกับพระพุทธพจน์เรื่องดอกบัว ๓ เหล่าที่ตรัสไว้ในโพธิราชกุมารสูตร มัชฌิมนิกาย จึงกลายเป็นดอกบัว ๔ เหล่าที่รู้จักกันในปัจจุบัน

พระไตรปิฎกว่าไว้ ท้าวสหัมบดีพรหมเชิญให้พระองค์แสดงธรรม จึงทรงพิจารณาตรวจสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ และทรงเห็นว่าสัตว์โลกที่ยังสอนได้มีอยู่ (เรียกว่าเวไนยสัตว์) เปรียบด้วยดอกบัว ๓ จำพวก

“…ครั้นอาตมภาพทราบว่าท้าวสหัมบดีพรหมอาราธนา และอาศัยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย จึงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มี มีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ยากก็มี บางพวกมีปกติเห็นโทษในปรโลกโดยเป็นภัยอยู่ก็มี เปรียบเหมือนในกอบัวขาบ ในกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว ดอกบัวขาบ ดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว ซึ่งเกิดในน้ำ เจริญในน้ำบางเหล่ายังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ น้ำหล่อเลี้ยงไว้ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่า ตั้งขึ้นพ้นน้ำ น้ำไม่ติด ฉันใด ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ฉันนั้น…”

ยังมีบัวอยู่ในตำนานพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ เล่าขานว่า ในยุคปฐมกัลป์โน้น มีดอกไม้ชนิดหนึ่งผุดขึ้นมาก่อนดอกไม้อื่นๆ จำนวน ๕ ชนิดด้วยกัน ซึ่งเรียกว่า “ปทุม” (ป แปลว่า ก่อน, ทุม แปลว่า ต้นไม้ ต่อมาเรียกดอกไม้ชนิดนี้ว่า ดอกบัว)

เมื่อท้าวสหัมบดีพรหมทอดพระเนตรเห็นดอกปทุมแต่ละดอกนั้นมีอักขระ คือ “นะ โม พุท ธา ยะ” จึงแสดงความเคารพ แล้วตรัสพยากรณ์ว่า ในภัทรกัลป์นี้จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๕ พระองค์ คือ พระกักกุสันโธ พระโกนาคมโน พระกัสสโป พระโคตโม (พระพุทธเจ้าปัจจุบัน) และพระเมตตยโย (พระศรีอาริยเมตไตรโย หรือพระศรีอาริย์)


ที่มา คอลัมน์ รู้ไปโม้ด หนังสือพิมพ์ข่าวสด