[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => เกร็ดศาสนา => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 16 กรกฎาคม 2561 16:07:38



หัวข้อ: พระอจนะ วัดศรีชุม สุโขทัย
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 16 กรกฎาคม 2561 16:07:38

(https://thailandtourismdirectory.go.th/th/file/get/file/201712219c1561ad72ed95734b51e0764ff1490a101441.jpg)
ภาพจาก : thailandtourismdirectory.go.th

พระอจนะ วัดศรีชุม สุโขทัย

วัดศรีชุม วัดสมัยสุโขทัยตอนต้น เป็นโบราณสถานในเขตอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย  ตั้งอยู่ห่างจากวัดพระพายหลวงไปทางทิศตะวันตก ๘๐๐ เมตร วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ มีนามว่า "พระอจนะ" องค์พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ในมณฑป  ลักษณะของวิหารสร้างเป็นรูปสี่เหลี่ยมลักษณะคล้ายมณฑป แต่หลังคาพังทลายลงมาหมดแล้ว เหลือเพียงผนังทั้งสี่ด้าน ผนังแต่ละด้าน ก่ออิฐถือปูนอย่างแน่นหนา ผนังทางด้านใต้มีช่องให้คนเข้าไปภายใน และเดินขึ้นไปตามทางบันไดแคบๆ ถึงผนังด้านข้างขององค์พระอจนะ หรือสามารถขึ้นไปถึงสันผนังด้านบนได้ ภายในช่องกำแพงตามฝาผนังมีภาพเขียนเก่าแก่แต่เลอะเลือนเกือบหมด ภาพเขียนนี้มีอายุเกือบ ๗๐๐ ปี นอกจากนี้แล้วบนเพดานช่องบันไดยังมีแผ่นหินชนวนขนาดใหญ่แกะสลักลวดลายเรื่องชาดกต่างๆ มีจำนวนทั้งหมด ๕๐ ภาพ เมื่อเดินตามช่องทางบันไดขึ้นไปจะโผล่บนหลังคาวิหารมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของเมืองเก่าสุโขทัยได้โดยรอบ

พระพุทธอจนะ เป็นที่เลื่องลือถึงความศักดิ์สิทธิ์และมีมนต์เสน่ห์และเอกลักษณ์ชวนให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมและสักการะอย่างไม่ขาดสาย

เชื่อกันว่า ชื่อ"ศรีชุม" มาจากคำพื้นเมืองล้านนาว่า "สะหลีชุม" สะหลี ซึ่งหมายถึง โพธิ์  ดังนั้น ชื่อ ศรีชุม จึงหมายถึงดงของต้นโพธิ์ แต่ในหนังสือพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาที่เขียนในสมัยอยุธยาตอนปลาย ไม่เข้าใจความหมายนี้แล้ว จึงเรียกสถานที่นั้นว่า ฤๅษีชุม

วัดศรีชุมสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยปรากฏอยู่ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ ว่า "เบื้องตีนนอนเมืองสุโขทัยมีตลาดปสาน มีพระอจนะ มีปราสาท มีป่าหมากพร้าว ป่าหมากกลาง มีไร่ มีนา มีถิ่นถาน มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก" สันนิษฐานกันว่า พระอจนะที่กล่าวถึงก็คือพระพุทธรูปกลางแจ้งเก่าแก่ที่ประดิษฐานอยู่ที่นี่เอง

นาม พระอจนะ มาจากคำบาลีว่า อจละ แปลว่า ผู้ไม่หวั่นไหว มั่นคง หรือผู้ควรแก่การเคารพกราบไหว้ เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น แกนในก่ออิฐและศิลาแลง องค์พระพุทธรูปมีขนาดใหญ่เต็มวิหาร ศิลปะแบบสุโขทัย หน้าตักกว้าง ๑๑.๓๐ เมตร สูง ๑๕ เมตร ประทับนั่งปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ พุทธลักษณะงดงามมาก พระวรกายอวบอิ่ม พระพักตร์แฝงด้วยรอยยิ้มและเมตตา

ตำนานว่า พระอจนะเป็นพระพุทธรูปพูดได้ เรื่องเล่านี้มาจากเหตุการณ์สมัยกรุงศรีอยุธยา ครั้งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชประกาศอิสรภาพ ในปี พ.ศ.๒๑๒๗ ทำให้หัวเมืองต่างๆ ยกเลิกการส่งส่วยให้กับพม่า แต่ยังมีเมืองเชลียง (สวรรคโลก) ที่ไม่ยอมทำตามพระราชโองการ พระองค์จึงนำทัพเสด็จมาปราบ โดยชุมนุมทัพที่วัดศรีชุม

ด้วยการรบครั้งนั้นเป็นการรบระหว่างไทยด้วยกัน ทำให้เหล่าทหารไม่มีกำลังใจ ไม่อยากรบ สมเด็จพระนเรศวรจึงให้ทหารคนหนึ่งปีนบันไดขึ้นไปทางด้านหลังองค์พระ พูดสร้างขวัญกำลังใจ จนเหล่าทหารหาญฮึกเหิมพร้อมรบ

นับแต่นั้นก็ร่ำลือกันว่า พระอจนะวัดศรีชุมพูดได้ ทั้งสมเด็จพระนเรศวรได้ทรงประกอบพิธีศรีสัจจะปานกาล (พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา) ณ วัดแห่งนี้ด้วย

เพราะเหตุใดวิหารวัดศรีชุมจึงมีความเร้นลับซ่อนอยู่อย่างนี้ เรื่องนี้หากพิจารณากันอย่างลึกซึ้งแล้วจะพบว่าพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์พระร่วง ทรงพระปรีชาสามารถในด้านปลุกปลอบใจทหารหาญ และด้านอื่นๆ อีกมาก เพราะผนังด้านข้างขององค์พระอจนะมีช่องเล็กๆ ถ้าหากใครแอบเข้าไปทางอุโมงค์ แล้วไปโผล่ที่ช่องนี้ และพูดออกมาดังๆ ผู้ที่อยู่ภายในวิหารจะต้องนึกว่าพระอจนะพูดได้ และเสียงพูดนั้นจะกังวานน่าเกรงขาม เพราะวิหารนี้ไม่มีหน้าต่าง แต่เดิมคงมีหลังคาเป็นรูปโค้งคล้ายโดม

หลักฐานระบุว่า วัดศรีชุมนี้บูรณะครั้งใหญ่ในสมัยพระเจ้าลิไท และมีการดูแลบูรณะเรื่อยมา ก่อนจะถูกทิ้งร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๙ ในปี พ.ศ.๒๔๙๕ ได้มีโครงการบูรณปฏิสังขรณ์ โดยยึดรูปแบบ วิธีการและวัสดุแบบโบราณ พร้อมซ่อมแซมพระประธาน คือพระอจนะตามแบบอย่างพระพุทธรูปสำริด ศิลปะสุโขทัย โดย ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี และ อาจารย์เขียน ยิ้มศิริ วัดจึงอยู่ในสภาพที่เห็นในปัจจุบัน

โบราณสถานสำคัญของวัดศรีชุม คือพระมณฑปรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ ๓๒ เมตร สูง ๑๕ เมตร ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่เต็มมณฑป

มณฑปที่คับแคบแบบนี้เรียกว่า "ปฏิมาฆระ" สร้างตามคติความเชื่อสมัยสุโขทัยที่ไม่ได้ใช้เป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนา หากแต่สร้างขึ้นเพื่อเป็นการจำลอง "พระคันธกุฎี" คือกุฏิที่ประทับของพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาล

สันนิษฐานว่าในอดีตตัวมณฑปน่าจะมีหลังคาคล้ายโดม ตัวมณฑปตั้งอยู่บนฐานสูง ด้านหน้าเปิดเป็นช่อง มองเห็นพระพักตร์งดงามของพระพุทธรูปองค์ใหญ่เต็มมณฑป นามว่า "พระอจนะ"