หัวข้อ: ภิกษุณีกับชีวิตโสเภณี เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 15 สิงหาคม 2561 17:55:15 (https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2018/08/พระอภัยมาตา-ในจินตนาการของจิตรกร-เอ็ม-วรพินิต-696x477.jpg) พระอภัยมาตา ในจินตนาการของจิตรกร - เอ็ม วรพินิต ภิกษุณีกับชีวิตโสเภณี ภิกษุณีผู้บรรลุอรหัตตผลส่วนใหญ่มีภูมิหลังมาจากวรรณะพราหมณ์และกษัตริย์ มีไม่มากนักที่มาจากวรรณะแพศย์ มีเพียง ๑ รูปเท่านั้นที่มาจากวรรณะศูทร คือชั้นผู้ใช้แรงงาน เป็นที่น่าสนใจมากที่มีภิกษุณี ๔ รูป เคยมีอาชีพเป็นโสเภณีมาก่อน ท่านเหล่านี้ไม่มีวรรณะ อาจเป็นวรรณะที่เรียกว่าโอปปาติกะก็ได้ คือไม่มีพ่อแม่ คล้ายๆ กับว่าครั้งเมื่อเป็นทารกถูกนำไปทิ้ง แต่มีผู้ใจดีเก็บมาเลี้ยงไว้ เมื่อโตขึ้นเป็นคนสวย จึงได้ประกอบอาชีพโสเภณีก่อนจะอุทิศตนบวชเป็นภิกษุณี คือ ท่านอัมพปาลี ท่านอภัยมาตา ท่านวิมลา และท่านอัฒฑกาสี อัมพปาลีเป็นคนงาม ฐานะทางสังคมสูงมาก เพราะได้รับการแต่งตั้งจากสภาแคว้นวัชชี หมู่คณะที่เกี่ยวข้องกับเธอล้วนแต่อยู่ในแวดวงของพระราชา ราชบุตร กับพระสหายสนิทเท่านั้น ทั้งมีค่าตัวแพงลิบลิ่ว อัมพปาลี มีภูมิหลังอย่างไร เกิดวรรณะไหน ไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่าเธอสวยมากและเฉลียวฉลาด เมื่อได้รับแต่งตั้งโดยสภาแคว้นวัชชี เป็นนางคณิกาของเมืองเวสาลี เธอยื่นเงื่อนไขขอความสะดวกสบาย ความเป็นอิสระ และความเป็นส่วนตัวไว้ค่อนข้างมาก คือ ต้องมีบ้าน มีทรัพย์ มีสวนส่วนตัว รวมทั้งข้าทาสบริวารและรถเทียมม้า ไม่มีพระราชาหรือราชวงศ์องค์ใดใช้บริการนางคณิกาของเธอได้เกินกฎที่กำหนด คือ ครั้งหนึ่งก็คืนหนึ่งเท่านั้น และแน่นอนด้วยราคาแพงลิบลิ่ว คืนละ ๕๐ กหาปนะ (เท่ากับเงินหนัก ๒๐๐ บาท) พระเจ้าพิมพิสารเท่านั้นที่ได้สิทธิพิเศษใช้บริการนานถึง ๑ สัปดาห์ ด้วยเป็นพระราชารูปหล่อ นางพึงพอใจและนางได้ให้พระโอรสแก่พระเจ้าพิมพิสารองค์หนึ่ง นามพระโอรสว่า วิมลโกณฑัญญะ ซึ่งต่อมาได้ออกบวชและบรรลุอรหัตตผล จากนั้นจึงไปแสดงธรรมโปรดมารดาผู้มีศรัทธาสละชีวิตฆราวาส ออกบวชจนบรรลุอรหัตตผลในที่สุด พระเจ้าพิมพิสารมีพระชนมายุน้อยกว่าพระพุทธองค์ ๕ พรรษา ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าชายรูปงาม ผิวดังทองคำ อัมพปาลีหลงใหลถึงกับให้ช่างเขียนรูปประดับห้องนอนไว้เป็นที่ระลึกเลยทีเดียว พระเจ้าพิมพิสารเองก็เคยตั้งนางสาลวดีขึ้นเป็นคณิกาแห่งราชคฤห์ แต่ก็ไม่เป็นที่นิยม สำหรับพระอภัยมาตานั้น เกิดในวรรณะใดไม่ปรากฏ ท่านมีนามเดิมว่าปทุมวดี (เพราะมีผิวผ่องงามดุจดอกบัว) เป็นชาวอุชเชนี แคว้นอวันตี และโดยวิถีแห่งความเป็นคณิกาของเมือง เธอเป็นอีกผู้หนึ่งที่ต้องใจพระเจ้าพิมพิสารพระองค์นั้นอย่างมาก จนได้พระโอรสองค์หนึ่งพระนามว่าเจ้าชายอภัย และเธอก็ได้ชื่อว่าอภัยมาตา แปลว่า มารดาของเจ้าชายอภัย ส่วนความหมายของพระนามอภัยก็คือ ไม่มีภัย พระอภัยมาตาได้เลี้ยงดูบุตรอย่างดียิ่ง ครั้นอายุครบ ๗ ขวบ เธอก็ส่งให้ไปกราบพระบิดาโดยมีพระธำมรงค์องค์หนึ่งถือไปเป็นสักขีพยาน พระธำมรงค์องค์นี้พระเจ้าพิมพิสารได้มอบให้เธอไว้ก่อนจากไปในครั้งกระโน้น เจ้าชายอภัยได้เข้าเฝ้าพระบิดาด้วยลีลาอันกล้าหาญ ปราศจากความตื่นกลัว พระองค์จึงโปรดประทานนามให้ว่า เจ้าชายอภัย แปลอีกความหมายหนึ่งว่า ผู้ไม่มีความกลัว ทรงเลี้ยงดูดีเสมอด้วยเจ้าชายอชาตศัตรู พระโอรสองค์ใหญ่ ต่อมาเจ้าชายอชาตศัตรูชิงราชสมบัติ จับพระบิดาทรมานจนสวรรคต เจ้าชายอภัยทรงสลดใจมาก จึงเสด็จออกบวชและได้อรหัตตผลในไม่ช้า จากนั้นจึงเดินทางไปอุชเชนีเพื่อเทศน์โปรดพระมารดา ซึ่งพระอภัยมาตาได้เลิกชีวิตคณิกาออกบวชและบรรลุอรหัตตผลเช่นกัน สำหรับพระภิกษุณีอีก ๒ รูป คือ ท่านวิมลาเถรีและท่านอัฒฑกาสีเถรี ทั้ง ๒ ท่านมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจมาก คือ ท่านแรกเป็นโสเภณีมาแต่กำเนิด คือมีมารดาเป็นโสเภณีมาก่อน ตนเองก็จำเป็นต้องเป็นโสเภณีโดยการสืบต่อ ส่วนท่านหลังนั้นเคยเป็นโสเภณีมาตั้งแต่ชาติปางก่อน กลับมาเกิดอีกชาติหนึ่งก็ยังเป็นโสเภณีอยู่ เนื่องจากเป็นคนสวยมาก มีค่าตัวแพง จำเป็นต้องลดค่าตัวลงมาครึ่งหนึ่งจึงได้ชื่อว่าอัฒฑกาสี คือ มีราคาเป็นครึ่งหนึ่งของราคาจริงตามกำหนดของแคว้นกาสี ขอขอบคุณที่มาของเรื่องและภาพ นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับ สิงหาคม ๒๕๕๓ ผู้เขียน : ส.สีมา เผยแพร่ :วันอังคารที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๑ |