[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน => ข้อความที่เริ่มโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 02 มิถุนายน 2554 13:22:16



หัวข้อ: อรรถของ{อุทกูปมสูตร}
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 02 มิถุนายน 2554 13:22:16
(http://static.panoramio.com/photos/original/52707050.jpg)

(http://image.ohozaa.com/i/48e/13sme.jpg)



มรรคาสู่ มาฆะรวมจิตธรรม ละบาปกิเลสงำ จรดนิ่งตามแนวแห่งพุทธ สุขแท้จริง ผดุงสิ่งดีงาม ตามพุทธองค์ จิตว่าง วางแล้ว ละเลิก บุกเบิก ทางสว่าง อย่ามัวหลง ปรับชีวิต ทวนวิถึที่ปักลง ปลดและปลง วิถีเก่า เข้าหาธรรม มรรคาสู่ มาฆะรวมจิตธรรม มรรคาสู่ มาฆะรวมจิตธรรม ละบาปกิเลสงำ จรดนิ่งตามแนวแห่งพุทธ สุขแท้จริง ผดุงสิ่งดีงาม ตามพุทธองค์ จิตว่าง วางแล้ว ละเลิก บุกเบิก ทางสว่าง อย่ามัวหลง ปรับชีวิต ทวนวิถึที่ปักลง ปลดและปลง วิถีเก่า เข้าหาธรรม มรรคาสู่ มาฆะรวมจิตธรรม มรรคาสู่ มาฆะรวมจิตธรรม ละบาปกิเลสงำ จรดนิ่งตามแนวแห่งพุทธ สุขแท้จริง ผดุงสิ่งดีงาม ตามพุทธองค์ จิตว่าง วางแล้ว ละเลิก บุกเบิก ทางสว่าง อย่ามัวหลง ปรับชีวิต ทวนวิถึที่ปักลง ปลดและปลง วิถีเก่า เข้าหาธรรม มรรคาสู่ มาฆะรวมจิตธรรม มรรคาสู่ มาฆะรวมจิตธรรม ละบาปกิเลสงำ จรดนิ่งตามแนวแห่งพุทธ สุขแท้จริง ผดุงสิ่งดีงาม ตามพุทธองค์ จิตว่าง วางแล้ว ละเลิก บุกเบิก ทางสว่าง อย่ามัวหลง ปรับชีวิต ทวนวิถึที่ปักลง ปลดและปลง วิถีเก่า เข้าหาธรรม มรรคาสู่ มาฆะรวมจิตธรรม



(http://lh4.ggpht.com/_Sjz6qpNqFUs/TOU7PvVM8nI/AAAAAAAAAH0/i3IAvpA6_ec/DSCF722-8.jpg)

(http://uyfz9q.bay.livefilestore.com/y1puwwLyY1hQGevKbPEFyCjgBoQn3NSNeo-y8gjotl_lxJ--glH5i3PgMx-t56j5hxrXEdhp0j_jvxReSFv7ti_moNX3z_jaCAr/hyooneunhye.gif?psid=1)

(http://image.ohozaa.com/i/e66/gsery.jpg)

(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=19987.0;attach=1169;image)

http://d1.scribdassets.com/ScribdViewer.swf?document_id=56908301&access_key=key-wyqli0kb8e8cajdv6pz&page=1&viewMode=list

(http://lh5.ggpht.com/_3F1lshAWYBc/TFfbW_W-yBI/AAAAAAAAAZM/KVrwFZ70Prs/seoju.gif)

1.อรรถของอุทกูปมสูตร

อุทก คือ น้ำ

อุทกูปม คือ อุปมาดังน้ำ

อุทกูปมสูตร คือ พระสูตรที่เปรียบเทียบบุคคลประเภทต่าง ๆ ด้วยน้ำ

2. ความหมายของห้วงน้ำ

ห้วงน้ำ คือ อกุศลธรรม ตามนัยของพระสูตร มีดังนี้คือ

นิยตมิจฉาทิฏฐิ{1}ของพวกเดียรถีย์

สักกายทิฏฐิวิจิกิจฉาสีลัพพตปรามาสที่พระโสดาบันละได้

ราคะ โทสะ โมหะ อย่างหยาบที่พระสกทาคามีละได้

กามราคะ ปฏิฆะที่พระอนาคามีละได้

อาสวะทั้งสิ้นที่พระอรหันต์ละได้

3. ภัยของห้วงน้ำ คือ สังสารวัฏฏ์

คิดว่าอยู่สบายแต่ความจริงถูกท่วมทับด้วยห้วงน้ำใหญ่ ผู้มีปัญญาเห็นภัยของ

สังสารวัฏฏ์ขวนขวายการพ้น{สังสารวัฏฏ์} คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แม้ขณะจิตที่

เกิดดับสืบต่อ

4. เหตุแห่งภัยภายใน

ภัยภายในคือ ราคะ โทสะ โมหะ เมื่อตัณหายังไม่ดับ ความเดือดร้อน ย่อมมี

เพราะความเกิดของภพชาติ

5. ความปลอดภัย หมดจดจากภัย

ดับขันธปรินิพพาน ชื่อว่า หมดจดจากภัย คือ สังสารวัฏฏ์ทั้งสิ้น เพราะขันธ์ทั้งสิ้น

ไม่เกิดอีกเลยมรรค ผล คือ ความหมดจดจากภัยภายในเพราะ{อกุศลธรรมดับ}

6. ความเจริญขึ้นของปัญญาตามนัยพระสูตร

บุคคลจมลงไปคราวเดียว

ถ้าเห็นผิดชีวิตปรกติ เป็นไปในอกุศลมีแต่จม เช่น ครูทั้ง ๖ ท่านเปรียบว่า

แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๗ พระองค์ยังไม่สามารถทำให้พ้นจาก

ความเห็นผิดได้เปรียบกุศลของบุคคลพวกนี้ดังเกล็ดเกลือในห้วงน้ำใหญ่

บุคคลโผล่ขึ้นมาแล้วกลับจมลงไป

คนที่โผล่ขึ้นมาแล้วจมลงเพราะมีโอกาสได้ฟังธรรมแต่ศรัทธาที่จะศึกษา

ประพฤติให้ตรงขึ้นไม่มี เช่น พระเทวทัตฟังพระธรรมจาก{พระโอษฐ์}อบรม

คุณธรรมถึงฌานสมาบัติแสดงอิทธิฤทธิ์ได้แต่ลาภสักการะและความ

ริษยาในคุณความดีครอบงำทำให้จมดิ่ง

บุคคลโผล่ขึ้นแล้วทรงตัวอยู่

ทรงอยู่ได้บางครั้งกุศลเกิดบางครั้งอกุศลเกิดเหมือนคลื่นน้ำพัดไปมา

การจมโดยนัยของสภาพธรรม

{จม}หมายถึงไม่มีกำลังพอที่จะโผล่สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริง ๆ แล้วเกิด - ดับ

แล้วไม่มีกำลังที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิด เห็นในขณะนี้ ก็เหมือนจมน้ำ

สภาพธรรมที่ปรากฏการทรงตัวในห้วงน้ำ

ขณะนี้มีธรรมที่ปรากฏทรงตัวได้หรือไม่ กำลังเห็น กำลังได้ยิน ถ้าจะทรงตัวได้

อย่างมั่นคง คือ ขณะนี้รู้ว่ามีสิ่งที่เกิดแล้ว กำลังเห็น เป็นไปตามปัจจัย แล้วก็

ดับเป็นธรรมที่ควรรู้ยิ่งไม่ใช่อย่างอื่นจนกว่าจะถึงความสิ้นไปของความเห็น

ผิดทรงตัวเหลียวทิศได้ แต่หากไม่ศึกษาไม่ละเอียดรอบคอบ แม้กุศลเกิดแต่

การฟังผิดก็จมลงได้อีก

บุคคลโผล่ขึ้นแล้วเหลียวไปมา

โผล่เหลียวดูทิศที่ไปได้ คือ อบรมเจริญปัญญาจนดับความเห็นผิดไม่เกิดอีกเลย

7. ความหมายของพราหมณ์

โดยศัพท์ คือ ผู้มีบาปอันลอยได้แล้ว

โดยชาติ คือ ผู้เกิดในสกุลพราหมณ์

โดยนัยของพระสูตร หมายถึง ผู้ประเสริฐหมดจดจากกิเลส เป็นพระอรหันต์ไม่มีทั้ง

บุญ และบาป ไม่ใช่เป็นพราหมณ์โดยชาติถ้าลอยบาปได้ต้องเป็นผู้มีปัญญาดับ

กิเลสได้

8. พระนามของพระผู้มีพระภาคเจ้า

เป็นพราหมณ์เหนือพราหมณ์เป็นเทพยิ่งกว่าเทพเป็นพรหมยิ่งกว่าพรหม

9. จมอยู่โดยนัยของโอฆะ ๔

คือ กาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ จะเห็นได้ว่ากำลังจมจริงหรือไม่ คือ ทำดี

สักแค่ไหนรู้หรือไม่ว่าเป็นกาโมฆะอยู่ตลอดเวลาเพราะอุปัตติ คือ วิบากอาศัย

การประจวบกันของสภาพธรรม กรรมเป็นปัจจัยให้วิบากเกิดเห็น หลังจากเห็นก็เป็น

โลภะ โทสะ โมหะโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นผู้ที่จะละทิฏโฐฆะได้เป็นสมุจเฉทต้องเป็น

พระโสดาบัน

ขณะที่คิด{จม} หรือ{โผล่}

ขณะที่คุยมีจิต คิดที่ไม่มีเสียงก็มี คิดที่มีเสียงก็มี ได้ยินแล้วก็คิดต่อก็มี เป็น

โลกของความคิด แต่ความจริง คือ ปรากฏแล้วหมดไป แต่ความจำที่ไม่ลืม

จำทั้งคำเป็นเรื่องราวมากวันหนึ่ง  ๆ เต็มไปด้วยความไม่รู้แค่ไหนแล้วกำลัง

จมอยู่หรือเปล่า หรือว่าโผล่

10. ประโยชน์ของอุทกูปมสูตร

สาระของบุคคลไม่ว่าจะจมดิ่งโผล่แล้วจมหรือโผล่แล้วทรงตัวคืออะไร

คือ ให้ทราบว่ามีอกุศลมากขนาดไหน ที่จะไม่ประมาทในอกุศล เพราะกำลังเห็น

ขณะนี้จมอยู่หรือไม่

อีกประการหนึ่งความเห็นผิดเกิดง่ายมากนิดเดียวผู้ไม่ละเอียดตกไปฝ่ายเห็นผิด

โดยไม่รู้ตัว เช่นการฟังพระธรรมต้องใส่สีขาวเพราะเชื่อตามกันมาแม้คิดเอง ทำ

เองก็ผิดหมด

ข้อความเตือนสติจากบทสนทนาอื่นที่ได้รับประโยชน์ในชั่วโมงพระสูตร

11.ความลึกซึ้งของสภาพธรรมโดยนัยของ{สังสารวัฏฏ์}

โลภะเจาะจงรู้

ฟังเรื่องเห็นได้ยิน บัญญัติ นิมิต ก็อยากรู้เจาะจงเฉพาะเรื่องที่ฟังแต่ความ

จริงที่กำลังปรากฏไม่รู้ ฟังเรื่องเห็นกี่ครั้งก็ยากจะเข้าใจสภาพที่ปรากฏให้เห็น

ซึ่งแต่ละขณะ คือ สังสารวัฏฏ์ หนึ่งขณะที่เกิดดับ สืบต่อ ถ้าจิตเกิดดับแล้วไม่

สืบต่อก็สิ้นสังสารวัฏฏ์

เหตุของอุปนิพันธโคจร

มีความจริงก่อนฟังไม่รู้ เมื่อฟังธรรมจึงเข้าใจว่าสุขุมลึกซึ้งปัญญาเท่านั้นจึงรู้

ได้เริ่มเข้าใจความจริงทีละหนึ่ง ทีละเล็กทีละน้อย เริ่มเป็นอุปนิพันธะผูก

สังขารขันธ์ ซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่ง จากการฟัง จนเริ่มถึงขณะที่เข้าใจลักษณะของ

สภาพธรรมที่ปรากฏ

12. เข้าใจความหลากหลายของสภาพธรรมโดยไม่มีชื่อ

คำว่าธรรม ไม่ต้องเรียก นามธรรม รูปธรรม เพราะขณะนั้นคือ คิด แต่ขณะที่แข็ง

ปรากฏไม่ต้องคิดเรื่องรูปธรรม เพราะปรากฏจริง ๆ และแข็งไม่ใช่สภาพรู้แต่ไม่ใช่

ให้คิดว่าไม่ใช่สภาพรู้เมื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมหลากหลายความต่างของ

สภาพนั้น จึงเห็นว่า ความรู้สึก ไม่ใช่จำ พอเสียงปรากฏ ลักษณะของเสียงเป็นเสียง

ต่างกับ สุข ทุกข์ ประมวลเป็นประเภทธรรมที่ไม่สามารถรู้อะไรได้ คือ เข้าใจตัว

ธรรม ไม่ใช่ใช้คำรู้จักตัวธรรม

ธาตุที่น่าอัศจรรย์

เสียงเกิดแล้วดับ ไม่มีใครทำอะไรได้ยินเกิดขึ้นได้ยินเสียงไม่มีใครทำอะไร

แต่เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป

13. อกุศลที่เป็นอาจารย์เป็นลูกศิษย์

อกุศลทั้งครอบงำ ทั้งชักจูงให้ทำทุกอย่าง โดยไม่รู้อะไรเลย เมื่อไม่รู้ ก็ติดข้องเป็น

โลภะ หรือว่าไม่ชอบหรืออกุศลทั้งหมดก็มาจากความไม่รู้ ที่เป็นอาจารย์ก็เพราะ

แนะนำทุกอย่างผู้ไม่รู้ก็แนะให้ทำอะไรที่ไม่รู้ผู้ติดข้องก็แนะให้ทำสิ่งที่ติดข้อง

14. ความไม่รู้ความละเอียดของลักษณะของธรรม

ตราบใดที่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมไม่มีทางรู้สภาพของเจตสิกได้เลย เป็นเราทั้งหมดกระ -

พริบตาจิตอะไรทำให้กระพริบตา มีความอยากโดยไม่รู้เลย แม้กระพริบตาก็ไม่รู้

ลักษณะสภาพธรรมใดก็ไม่รู้ ถ้าโมหะปรากฏลักษณะของความไม่รู้ไม่สามารถรู้

ความจริงของสิ่งที่ปรากฏได้เลย

15. พระศาสดาให้อะไร

ให้ความเห็นถูก อาจารย์ฝ่ายอกุศล คือ โลภะ ขณะใดที่ประพฤติตามพระศาสดา

ด้วยความเห็นถูกไม่ได้คิดเอง ถ้าจะให้ปัญญาสามารถเห็นความจริงได้ ต้องอาศัย

ผู้ที่รู้แจ้งสภาพธรรมแล้วแสดงความจริงให้คนอื่นได้

ธรรมใดเป็นกุศล เป็น อกุศล เคยเป็นลูกศิษย์ที่มีอาจารย์ไม่ดีชักนำให้อยู่ใน

สังสารวัฏฏ์ตรงกันข้ามกับพระศาสดาชักนำให้ออกจากสังสารวัฏฏ์ นี้คือความต่าง

ของกุศล และอกุศล ทั้งหมดก็เพื่อรู้ความจริงจึงออกจาก{สังสารวัฏฏ์ได้}



http://forums.212cafe.com/boxser/ (http://forums.212cafe.com/boxser/)

http://7star2011.wordpress.com (http://7star2011.wordpress.com)

http://butterfly2554.wordpress.com (http://butterfly2554.wordpress.com)



สภาพธรรมนั้นเป็นชีวิตประจำวันจริง ๆ

สภาพธรรมนั้น ๆ จะเกิดขึ้นได้

เมื่อมีสภาพธรรมอื่นที่เกิดร่วมด้วยนั่นเอง

ต่างเป็นปัจจัยซึ่งกันและกันอาศัยกันและกันจึงเกิดขึ้น

ถ้าปราศจากกันแล้วก็เกิดไม่ได้เลย

เมื่อเข้าใจตามความเป็นจริง

จะค่อย ๆ คลายการยึดถือสภาพธรรมว่า

เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน



ข้อมูลนี้มาจาก มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาบ้านธัมมะ 136 หมู่ 5 ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่ 50230




......................................มัชฌิมประภาสปุญสถาน.........................

ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำนี้จงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนสรรพชีวิตทั้งหลายให้ได้บำเพ็ญอนุตรวิถี กลับจิตแปรใจ ได้คืนจิตเดิม มีความสงบเย็นใจกาย ปราศจากเสียซึ่งสรรพกำทุกข์ ปลอดพ้นจากภัยเวร สงครามข้าวยาก ด้วยเดชะบุญนี้ จงช่วยค้ำชูบิดา - มารดา ครูบาอาจารย์ - ผู้มีพระคุณ ญาติสนิท - มิตรรัก ศัตรูหมู่มาร สรรพเจ้ากรรมนายเวร เทวาทุกชั้นฟ้า อารักษ์ทั่วชั้นดิน เหล่าภูติ นาคา - นาคี เหล่าวิญญา - หมู่เปรต - อสูรกายเหล่าสัตว์ใด ๆ จงเป็นผู้ได้รับอานิสงค์เดชะแห่งผลบุญนี้ท่วนทั่วทุกคนเทอญ.........................................

http://www.se-ed.com/ads/pr/sile/song/09.%20Track%209.wma