[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ จิบกาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 14 กันยายน 2561 14:05:11



หัวข้อ: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 14 กันยายน 2561 14:05:11

(https://farm4.static.flickr.com/3573/3510858710_5f92a376ae.jpg)
ประตูเมืองนครเขื่อนขันธ์ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เว็บไซต์ farm4.static.flickr.com

พระประแดง เมืองหน้าด่านสมัยขอมเรืองอำนาจ

อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เดิมคือ นครเขื่อนขันธ์ (Nakhon Khuean Khan) สร้างขึ้นเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๑ และเปลี่ยนเป็นเมืองพระประแดง หรือจังหวัดพระประแดง ในสมัยรัชกาลที่ ๖

พระประแดง เป็นเมืองหน้าด่านสมัยขอม (พ.ศ.๑๔๐๐)  คำว่า ประแดง หรือ บาแดง แปลว่า คนนำสาร  ฉะนั้น หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เมืองหน้าด่านจะต้องรีบแจ้งข่าวสารไปให้เมืองหลวง (ละโว้) ทราบให้เร็วที่สุด

มีความเชื่อว่า เมืองปากน้ำสมุทรปราการก็เป็นส่วนหนึ่งของพระประแดงด้วย.



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/25330458457271__MG_6277_Copy_.JPG)

พระศรีมหาโพธิ

พระศรีมหาโพธิ ที่มีอยู่ในเมืองไทยแต่โบราณล้วนได้พันธุ์มาจากลังกา ที่ได้พันธุ์จากพุทธคยาโดยตรงมาได้ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) ก็ได้เพียงเมล็ดซึ่งเจ้าเมืองอังกฤษในอินเดียจัดถวายเท่านั้น   เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จพุทธคยา มิสเตอร์เดรียสัน เจ้าเมืองคยาได้ถวายต้นโพธิ์พันธุ์พระศรีมหาโพธิ์ ๓ ต้น พระองค์จึงนับว่าเป็นบุคคลแรกที่ได้นำต้นพระศรีมหาโพธิจากพุทธคยาโดยตรงมายังประเทศไทย


(https://f.ptcdn.info/540/022/000/1408518069-1366618146-o.jpg)
วัฒนธรรมการแต่งกายของหญิงไทยสมัยโบราณ
ขอขอบคุณภาพจาก เว็บไซต์ f.ptcdn.info
*หมายเหตุ ภาพประกอบนี้ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาที่โพสท์แต่อย่างใด

บ้านขี้ทูด

ที่ตำบลหนองหญ้าปล้องในมณฑลอุดร มีบ้านขี้ทูดอยู่หมู่บ้านหนึ่ง บ้านขี้ทูดนี้มาตั้งแต่เมื่อใดไม่มีใครทราบ  แต่เป็นธรรมเนียมมาแต่โบราณ (ทั่วทั้งมณฑลอุดร และน่าจะตลอดไปถึงมณฑลอีสาน) ถือกันว่า ถ้าใครเป็นโรคกุฏฐัง ต้องย้ายมาอยู่ตำบลนี้เองโดยไม่ต้องมีใครขับไล่  สร้างบ้านเรือนทำมาหากินกันโดยปรกติ กำนันผู้ใหญ่บ้านที่ปกครอง ล้วนเป็นโรคกุฏฐังทั้งสิ้น  ที่มา "นิทานโบราณคดี" พระนิพนธ์ พระบรมวงศ์เธอ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ


ถูกสาป

ในระหว่างที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประทับอยู่ที่เมืองชัยปุระ ประเทศอินเดีย เมื่อจะเสด็จไปไหนก็มีราชรถเทียมม้าจัดถวาย และมีขบวนทหารม้า แซงหน้าหลังอย่างสมพระเกียรติ  วันหนึ่งขณะที่พระองค์เสด็จไปตามถนน มีดาบสตนหนึ่งถวายพระพรอยู่ริมทางหน้าแถวผู้คนที่มาดู แต่ครั้นพอกระบวนผ่านไป พระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นฤๅษีตนนั้นแสดงอาการโกรธแค้น กล่าวคำที่พระองค์พอจะทรงเข้าใจได้ว่าเป็นการสาปแช่ง ทรงได้รับคำกราบทูลจากขุนนางอังกฤษ ซึ่งอยู่ในรถด้วยว่า เป็นประเพณีของอินเดีย เมื่อเวลามหาราชเสด็จไปไหนมีขบวนแห่ ย่อมโปรยเงินเป็นทานแก่ราษฎรที่มาอยู่ข้างราชวิถี พวกนั้นเคยได้เงินก็อยากได้อีก พระองค์ก็ทรงเข้าพระทัยในอาการของดาบสนั้น และทรงอธิบายว่า ได้รับความรู้สองอย่างคือ  ประเพณีพระเจ้าแผ่นดินโปรยเงินเป็นทาน ในเวลาที่เสด็จโดยขบวนพยุหยาตราของไทยนั้น คงจะเป็นประเพณีที่ไทยเราได้มาจากอินเดีย  และเกี่ยวกับการสาป ซึ่งเป็นคติที่ไทยเราได้รับมาจากอินเดียเหมือนกัน พระองค์พึ่งจะทรงพบว่า เขาใช้วิธีตะโกนแช่งเอาซึ่งๆ หน้า มิได้ลอบภาวนาสาปในที่ลับ อย่างที่เรียกว่า "กฤตยาคม" หรือปั้นรูปสาปแล้วฝังไว้ ดังที่ทรงเคยพบเห็น แสดงว่ามีสองอย่างต่างครูกัน   ที่มา "นิทานโบราณคดี" พระนิพนธ์ พระบรมวงศ์เธอ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ



(http://sara1000update.com/wp-content/uploads/2017/06/NjpUs24nCQKx5e1DHZYsJhSLnjitHxrVODZrXLwdr0Y.jpg)
ขอขอบคุณเจ้าของเว็บไซต์ภาพประกอบ : sara1000update.com

กบาล

กบาล มีหลายความหมาย พูดถึงคำว่า "กบาล" โดยมากเรามักนึกถึงส่วนกลางของศีรษะ และเป็นคำไม่สุภาพ เช่น เขกกบาล ตีกบาล เป็นต้น

ในอีกความหมายหนึ่ง "กบาล" คือ ภาชนะรูปร่างสี่เหลี่ยม สำหรับใส่ของไปวางเซ่นผีตามทางสามแพร่ง

ธรรมเนียมโบราณเขาทำ "กบาล" ด้วยกาบกล้วย วิธีคือลอกกาบกล้วยมาเป็นแผ่นๆ ตัดท่อนๆ วางเป็นพื้นและหักพับตั้งยกเป็นขอบ แล้วเอาไม้กลัดกลัดกาบกล้วยเป็นปาก ให้คงรูปร่างเป็นกระบะสี่เหลี่ยม ข้างในใส่อาหารหวานคาว หมาก พลู บุหรี่ เหล้าขาว บางคนอาจปั้นตุ๊กตาดินเหนียวแทนตัวหรือผู้ต้องการให้เสียกบาล เวลาเอาไปกระบะตั้งเซ่นผีก็ต้องเอาไปวางที่ตรง “ทางสามแพร่ง” แล้วจุดธูปบอกกล่าว  เพราะคนไทยเชื่อกันว่า “ทางสามแพร่ง” คือ "ทางผีผ่าน” เหมือนประตูสู่ภพภูมิที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ของเซ่นไหว้จึงต้องมาวางรอผีไว้ตรงนี้

นอกจากนี้แล้ว กบาล ยังหมายถึงเครื่องใช้หรืออุปกรณ์ในงานหล่อโลหะ มีลักษณะเป็นแผ่นกลมเหมือนงบน้ำอ้อย ทำด้วยดินเหนียวผสมขี้เถ้าแกลบ ใช้ปิดปากจอกและรูผุดของพิมพ์ขณะสุมพิมพ์หล่อพระพุทธรูป เพื่อกันมิให้ความร้อนระเหยออกไปจากพิมพ์ 

กบาลนี้ยังใช้เป็นเครื่องตรวจดูความพร้อมของพิมพ์ที่สุมไฟให้สุก ว่าจะได้ที่หรือยัง ถ้าเปิดหงายแผ่นกบาลดู และเห็นว่าแผ่นกบาลยังมีสีดำและมีเปลวไฟลุกขึ้นมาจากปากจอก ซึ่งเรียกว่า "รุกดวง" แสดงว่าขี้ผึ้งกำลังละลาย ถ้าตรงกลางแผ่นกบาลเริ่มมีสีแดงและมีเขม่าดำๆ โดยรอบ เรียกว่า"ออกดวง" แสดงว่ายังไม่ได้ที่

ภายหลังเผาพิมพ์จนขี้ผึ้งไหลออกทางกระบวนซึ่งเป็นรางสำหรับรับขี้ผึ้งเหลวหมดแล้ว พิมพ์จะร้อนระอุพอดี และแผ่นกบาลซึ่งเปิดขึ้นดูจะเป็นสีขาว เรียกว่า"ดวงดับ" แสดงว่าขี้ผึ้งหมดแล้ว พร้อมที่จะเททองได้



หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 18 ตุลาคม 2561 18:52:23
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/20621340970198_2384B59A1ECF4D339F1BD8B0847868.jpg)

การย่ำยาม

การย่ำยาม หมายถึง การให้สัญญาณ โดยใช้เครื่องดนตรีบรรเลง มีการปฏิบัติสืบเนื่องมาแต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน
ย่ำ คือ การตีกลองหรือฆ้องถี่ๆ หลายครั้งเพื่อบอกเวลาหรือกำหนดเปลี่ยนเวรยาม เรียกว่า ย่ำกลอง ย่ำฆ้อง หรือย่ำยาม
ยาม คือ ชื่อส่วนแห่งวัน

การย่ำยามที่ใช้ในพระบรมมหาราชวังของไทยในสมัยโบราณ มีระยะห่างกันตามเวลาดังนี้ คือ ๖.๐๐ น. (ย่ำรุ่ง)  ๑๒.๐๐ น. (ย่ำเที่ยง)  ๑๘.๐๐ น. (ย่ำค่ำ)  ๒๑.๐๐ น. (ยามหนึ่ง)  ๒๔.๐๐ น. (ยามสอง)  ๓.๐๐ น. (ยามสาม)

ในบาลี แบ่งคืนออกเป็น ๓ ยาม มีระเวลาห่างกันยามละ ๔ ชั่วโมง  เรียกว่า
ปฐมยาม  คือ ยามแรก กำหนดเวลา ๔ ชั่วโมงตั้งแต่ย่ำค่ำ หรือ ๑๘ นาฬิกา ถึง ๔ ทุ่ม หรือ ๒๒ นาฬิกา  
มัชฌิมยาม คือ ยามกลาง กำหนดเวลาตั้งแต่ ๔ ทุ่ม หรือ ๒๒ นาฬิกา ถึงตี ๒ หรือ ๒ นาฬิกา
ปัจฉิมยาม คือ ยามหลัง หรือยามสุดท้าย  กำหนดเวลาตั้งแต่ตี ๒ หรือ ๒ นาฬิกา ถึงย่ำรุ่ง หรือ ๖ นาฬิกา.



(http://www.rspg.org/brainexercise/damrongraja.jpg)

เรื่องห้ามไม่ให้เจ้านายไปสุพรรณ

มีคติโบราณเชื่อถือกันว่า ห้ามมิให้เจ้านายเสด็จไปสุพรรณบุรี ถ้าขืนไปจะเกิดเหตุอาเพศต่างๆ เช่น ทำให้เสียพระจริต เป็นต้น  ไม่ทราบแน่นอนว่าห้ามมาตั้งแต่เมื่อไร และมีสิ่งใดเป็นตัวการให้เกิดอาเพศเหล่านั้น เพียงแต่พูดกันไปต่างๆ นานา และเจ้านายก็ไม่เสด็จไปสุพรรณบุรีมาช้านาน

จนถึง ปี พ.ศ.๒๔๓๕ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จตรวจหัวเมืองฝ่ายเหนือ ครั้งเที่ยวกลับก็รับสั่งให้เตรียมการไปสุพรรณ เพื่อพิสูจน์และเลิกถอนความเชื่อนั้น โดยมิทรงฟังคำทูลทัดทานของผู้ใด

เมื่อเสด็จถึงเมืองสุพรรณ พระยาสุนทรสงครามเจ้าเมือง หลบหน้าหนีเข้ากรุงเทพฯ เพราะมีความผิดที่กดขี่เอาเงินจากราษฎร  พระองค์จึงทรงรับสั่งให้ปลดพระยาสุนทรสงคราม ออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองทันที เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง  ในระหว่างที่ประทับอยู่เมืองสุพรรณ พระองค์ได้เสด็จชมโบราณสถานต่างๆ และเสด็จไปทำพลีกรรมเทพารักษ์ หลักเมือง ทรงพิจารณาเห็นว่า ศาลเทพารักษ์ทรุดโทรมมาก จึงทรงเป็นหัวหน้าชักชวนให้ช่วยกันสมทบทุนสร้างศาลขึ้นใหม่ ก็มีประชาชนโดยเฉพาะคนจีนร่วมบริจาคเงินทองเป็นอันมาก เมื่อพระองค์ทรงจัดการสิ่งต่างๆ เรียบร้อยแล้วก็เสด็จกลับโดยปลอดภัย

ตั้งแต่นั้นมา เจ้านายก็เริ่มเสด็จไปเที่ยวเมืองสุพรรณ  จนถึงปี พ.ศ.๒๔๔๗  สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทูลเชิญเสด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เสด็จประพาสเมืองสุพรรณบุรี และหลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองสุพรรณบุรีแล้ว ความเชื่อถือก็หมดไป
 

ที่มา (โดยสรุป) : นิทานโบราณคดี พระนิพนธ์พระบรมวงศ์เธอสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/70190807514720_DSC01338.JPG)
ภาพ : แม่น้ำโขง

เรื่องแม่น้ำโขง

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าเรื่องแม่น้ำโขงที่ทรงรู้เห็นเมื่อครั้งเสด็จตรวจราชการมณฑลอุดรและอีสาน ในปี พ.ศ.๒๔๔๙ สรุปเรื่องได้ดังนี้

ลักษณะแม่น้ำโขง
เป็นแม่น้ำที่แปลกกว่าแม่น้ำอื่นในเมืองไทยหลายสถานกล่าวคือ ใหญ่กว่าแม่น้ำใดๆ ในเมืองไทย  ในฤดูที่เสด็จพอพลบค่ำหมอกก็ลง เรือจะเดินได้ต่อเมื่อแดดแจ้งหมอกจางแล้ว มีเกาะที่เป็นดอนอยู่ใต้น้ำหลายแห่ง ในฤดูน้ำหลากเกาะนี้จะอยู่ใต้น้ำ พอหน้าแล้ง จึงจะโผล่พ้นน้ำขึ้นมา ท้องน้ำเป็นดินอุดมใช้เพาะปลูกได้ดี ตามริมฝั่งแม่น้ำโขงนอกจากบริเวณที่เป็นเมืองแล้ว มักจะเป็นป่าที่รกร้างว่างเปล่า ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย เพราะเป็นที่ดอนเฉพาะริมตลิ่งเท่านั้น  ถัดตลิ่งเข้าไปเป็นลำลาบ เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำก็ท่วมลึก เพาะปลูกไม่ได้ ราษฎรจึงมักไม่ค่อยตั้งบ้านเรือนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง นอกจากริมฝั่งตรงที่มีเกาะกลางน้ำเพาะปลูกพืชล้มลุกเป็นสินค้าได้เท่านั้น

เรือที่ใช้ในแม่น้ำโขง ราษฎรใช้กันแต่เรือพายอย่างขุดมาดไม้ต้นเดียว เพราะมีเกาะแก่งมากจะใช้เรือกระดานต่อ หรือเรืออื่นๆ ไม่สะดวก การขนส่งสินค้าก็ใช้เรือสองลำผูกติดกัน หรือใช้แพ ในเวลานั้นมีเรือกลไฟของบริษัทฝรั่งเศสมาเดินประจำทาง ระหว่างสุวรรณเขตกับเวียงจันทน์ กิจการก็ไม่เจริญ รัฐบาลฝรั่งเศสต้องช่วยเหลือจึงดำรงอยู่ได้ การขึ้นล่องในแม่น้ำโขงเต็มไปด้วยอันตราย คือมีเกาะแก่งน้ำตื้นมากมาย สัตว์ร้าย เช่น จระเข้ เงือก ชุกชุม  นอกจากนั้นก็มีหินนอนวันใต้น้ำ ซึ่งคนล่องเรือไม่เห็นด้วยน้ำขุ่น และมีหาดทรายลอย คือทรายที่พัดมากับสายน้ำ มาตกพอกพูนขึ้นเป็นหาดพื้นชั่วคราว ซึ่งคนเดินเรือไม่รู้ได้ว่าอยู่ที่ใด สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดอันตรายขึ้นเนืองๆ

แก่งในแม่น้ำโขงก็ผิดกับแก่งในแม่น้ำเมืองไทย ด้วยแม่น้ำเมืองไทยจะมีแก่งเฉพาะบริเวณภูเขา แต่แม่น้ำโขงแม้บริเวณที่ไม่มีภูเขาเลยก็มีแก่งมากมาย และบางแก่งก็ร้ายแรง ต้องมีผู้เชี่ยวชาญนำเรือผ่านแก่งจึงจะไปได้ ทรงเล่าว่าแก่งในเมืองไทยที่พอจะเปรียบกับแก่งในแม่น้ำโขงก็มีแก่งเชียงใหม่เท่านั้น และทรงเล่าถึงการล่องแก่งที่เชียงใหม่ฝากไว้ในเรื่องนี้อย่างพิสดารด้วย

การล่องแก่งในแม่น้ำโขงนั้น นอกจากจะมีอันตรายจากการกระทบกับแก่งหินแล้ว ยังมีน้ำวนร้ายที่ชาวบ้านเรียกว่า “เอิบ” ซึ่งชาวเมืองกลัวกันมากกว่าแก่งหินเสียอีก และนอกจากแก่งแล้วในแม่น้ำโขงยังมี “เรียว” คือชายหาดทรายสองฟากยื่นมาใกล้กัน ทำให้ร่องน้ำแคบและคดเคี้ยว ถ้าเรือล่องหลีกไม่พ้นก็เกยล่ม

เนื่องจากความยากลำบากและมีอันตรายในการขึ้นล่อง  ดังนั้น การค้าขายตามลำแม่น้ำโขงจึงมีน้อย มักขนสินค้ากันทางบกเป็นส่วนมาก


ที่มา : นิทานโบราณคดี  พระนิพนธ์ พระบรมวงศ์เธอสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
-----------------------------------------------
ลำลาบ ที่ลุ่มไหล่เนินดอนซึ่งเป็นคันยาว มักมีน้ำขังตลอดปีหรือบางฤดู

เงือก ตามที่ทรงอธิบาย คงจะตรงกับที่เรียกกันทั่วไปว่า ปลาไฟฟ้า ซึ่งปลาชนิดนี้ ในท้องน้ำเมืองไทยก็มี ปลาไฟฟ้ามักอยู่ตามหนองบึง น้ำเงียบๆ (แต่ทรงกล่าวว่าเงือกชนิดที่มีในแม่น้ำโขงไม่มีในเมืองไทย)


เรื่อง เส้นแบ่งเขตแดนไทย-ลาว

เส้นแบ่งเขตแดนไทย–ลาว ตามลำแม่น้ำโขง  เป็นผลสืบเนื่องจากหนังสือสัญญาที่ไทยทำไว้กับฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ (ค.ศ.๑๘๙๓) ซึ่งกำหนดให้สยาม (ไทย) สละข้ออ้างกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนฝั่งซ้าย รวมทั้งเกาะทุกเกาะในแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศส  ต่อมาได้มีการทำอนุสัญญาฉบับลงวันที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๖๙ (ค.ศ.๑๙๒๖)  ซึ่งว่าด้วยแม่น้ำโขงโดยเฉพาะอนุสัญญาฉบับนี้กำหนดเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างไทย – ลาว ในแม่น้ำโขง  โดยระบุว่า ในตอนที่แม่น้ำโขงไม่แยกออกเป็นหลายสายเพราะมีเกาะตั้งอยู่  ให้ถือร่องน้ำลึกเป็นเส้นแบ่งเขตแดน  ส่วนในตอนที่แยกออกเป็นหลายสาย ให้ใช้ร่องน้ำลึกของสายแยกที่ใกล้ฝั่งไทยที่สุดเป็นเส้นแบ่งเขตแดน  แม้ภายหลังร่องน้ำลึกดังกล่าวจะตื้นเขินจนเชื่อมเกาะติดกับฝั่ง ก็ยังคงให้ถือร่องน้ำเดิมที่ตื้นเขินนั้นเป็นเส้นแบ่งเขตแดนตลอดไป  หากจะย้ายเส้นแบ่งเขตแดนก็ให้เป็นหน้าที่ของคณะข้าหลวงใหญ่ประจำแม่น้ำโขงเป็นผู้พิจารณา  โดยย้ายไปได้เพียงร่องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด ถัดจากร่องน้ำเดิมที่ตื้นเขินเท่านั้น  นอกจากนี้ ยังได้ระบุชื่อเกาะ ๘ เกาะให้เป็นดินแดนของไทยด้วย เช่น ดอนเขียว  ดอนเขียวน้อย  ดอนน้อย  ดอนบ้านแพง

ที่มา :“เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศ” :  หนังสือสารานุกรมไทยฯ โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เล่ม ๓๒  หน้า ๑๖๒-๑๖๔


(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQkntObxouSPZvw7URRx5kBJACWyH9gmh5-Yl_pUuBqfJQNi6h3Dg)

พิธีอัศวเมธ

ในอินเดียโบราณมีพิธีประกาศความเป็นใหญ่เป็นโตของพระราชาอยู่พิธีหนึ่งเรียกว่าพิธี “อัศวเมธ” คือการฆ่าม้าบูชายัญ

พิธีนี้ คุณสุชีพ  ปุญญานุภาพ เล่าไว้ในหนังสือคุณลักษณะพิเศษแห่งศาสนาพุทธว่า “ได้มีการเลือกม้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เมื่อคลอดออกมาแล้วก็ต้องดูแลประคบประหงมเป็นพิเศษตลอดเวลาสามปี มีการบูชาเทวดา ๓ องค์ คือพระอินทร์ เพื่อให้ดูแลลูกม้าตัวนั้น พระยมเพื่อให้ป้องกันม้านั้นจากความตายและอุบัติเหตุต่างๆ พระวรุณเทพเจ้าแห่งฝนเพื่อให้ฝนตกลงมายังความชุ่มชื้นให้แก่พื้นดิน เพื่อจะได้มีหญ้าดีๆ ให้ลูกม้านั้นกิน”

“ภายหลังที่ลูกม้านั้นอายุเกิน ๓ ปีแล้ว ก็มีการปล่อยให้เที่ยวไปตามชอบใจ มีผู้คนติดตามไปเป็นอันมากและมีกองทัพยกตามไปด้วย เข้าบ้านเมืองไหนถ้าเขายอมแพ้ก็แล้วไป ถ้าไม่ยอมแพ้ก็รบกัน คราวนี้มีผู้ใดต้องการทำลายพิธีนี้ ผู้นั้นก็ยกทัพมาไล่จับม้า ถ้าจับได้ก็ทำลายพิธีสำเร็จ แต่โดยมากผู้ที่จะทำพิธีนี้มักแน่ใจในชัยชนะ คือได้เตรียมการรุกรานไว้แล้ว”  และมีเรื่องเล่าเพิ่มเติมในหนังสือเล่มอื่นว่า “เจ้าชายแห่งประเทศต่างๆ ที่ม้านี้ผ่านไป ถ้ายอมแพ้ก็ต้องร่วมไปในขบวนทัพที่ติดตามม้านี้ด้วย เมื่อครบปีแล้วจึงพาม้ากลับเมืองแล้วฆ่าม้านั้นบูชายัญ” พูดง่ายๆ ก็ว่าพิธีอัศวเมธนี้เป็นวิธีการล่าเมืองขึ้นชนิดหนึ่งของจักรพรรดิ์โบราณหาเหตุอะไรไม่ได้แล้ว ก็หาเหตุปล่อยม้ายกทัพผ่านเมืองชาวบ้านเล่นอย่างนั้นแหละ

พิธีอัศวเมธ มีอธิบายในเรื่องศุนหเศป บ่อเกิดรามเกียรติ์ และลิลิตนารายณ์สิบปาง ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ไว้ดังนี้ว่า

พิธีอัศวเมธเป็นพิธีสำคัญอันมีกำหนดไว้ว่า ให้ทำเพื่อขอพรพระเป็นเจ้าในเรื่องปรารถนาอะไรสำคัญๆ พิธีอัศวเมธนี้เฉพาะพระราชาธิบดีจึงจะทำได้  และในโบราณกาลเป็นพิธีขอลูกเท่านั้น แต่ต่อๆ มากลายเป็นพิธีแผ่อำนาจไป เริ่มต้นลงมือทำพิธีเรียกว่า “อัคนิษโฎม” คือพิธีบูชาไฟและฉลองม้าตัวสำคัญ แล้วปล่อยม้านั้นให้เดินทางไปในแคว้นต่างๆ มีกองทัพตามไปด้วย เมื่อม้าไปถึงแห่งใด ผู้ครองแว่นแคว้นนั้นต้องทำการเคารพ หรือมิฉะนั้นก็ต้องสู้รบกับกองทัพที่ตามม้านั้นไป เมื่อม้าได้เที่ยวครบหนึ่งปีแล้วจึงพากลับพระนคร และพระราชาผู้เป็นเจ้าของม้าทำพิธีฉลองเป็นการใหญ่ แล้วฆ่าม้าสำคัญนั้นบูชายัญ พระอัครมเหสีของพระราชาต้องเป็นผู้ลงมือฆ่าม้า แล้วต้องเผาศพม้าอยู่ตลอดคืน พร้อมด้วยมเหสีรองและสนมกำนัล เช้าขึ้นจึงสรงชำระพระกายแล้วขึ้นเฝ้าพระราชสามี ทางไสยศาสตร์นิยมกันว่า แม้พระราชาองค์ใดกระทำพิธีอัศวเมธให้ได้ร้อยครั้งจักได้เป็นพระอินทร์ ครอบครองเทวดาแลมนุษย์ทั่วไป  


ที่มา :
           - นารายณ์สิบปาง สี่สำนวน, รศ.ประจักษ์ ประภาพิทยากร สำนักพิมพ์ บริษัท พี.วาทิน.พับลิเคชั่น จำกัด
           - เว็บไซต์ silpathai.net


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/54145870316359_g10.jpg)
นกหัสดี หรือ หัสดีลิงค์ (Hussadee bird) ลักษณะตัวเป็นนก หัวเป็นราชสีห์
มีงวงและงาแบบช้าง มีปีกและลำตัวใหญ่โต พลังมหาศาล

นกหัสดีลิงค์

ในทางธรรมะ เปรียบนกหัสดีลิงค์เหมือนกิเลส

เมื่อตามองเห็น เมื่อหูได้ยินเสียง เมื่อจมูกได้ดมกลิ่น เมื่อลิ้นกระทบรส เมื่อกายได้สัมผัส ใจ ก็ตอบรับ... ด้วยรัก-ชัง  จึงเป็นที่มาของราคะ โลภะ โทสะ โมหะ

ผู้รู้เล่นคำผวนให้จำง่ายๆ เมื่อ “ตาหัน ก็เกิด ตัณหา”

ผู้ที่ยิงธนูฆ่านกหัสดีลิงค์ ชื่อนางสีดา ธิดาเจ้านครตักกะสิลาเชียงรุ้งแสนหวีฟ้า  เรื่องในตำนาน หลายพันปีที่แล้ว

เมื่อเจ้านครตักกะสิลาสวรรคต ตามประเพณีต้องแห่พระศพไปถวายพระเพลิงที่ทุ่งหลวง ไกลพระนคร ระหว่างทางเจ้านกยักษ์จากหิมพานต์ สักกะไดลิงค์ หรือหัสดีลิงค์ ก็บินมาโฉบเอาพระศพไป

นกหัสดีลิงค์ หัวเป็นช้าง หางเป็นหงส์ มีพละกำลังดั่งช้างสารห้าเชือกรวมกัน เมื่อมหาเทวีตักกะสิลานครเกณฑ์คนไปสู้ก็ถูกนกฆ่าตายไม่เหลือ


แต่เมื่อนาง “สีดา” พระราชธิดา อาสายิงด้วยศรอาบยาพิษ ปักกลางอก นกหัสดีลิงค์ก็ตาย

พระมหาเทวีสั่งให้ทำหอแก้ว หรือพระเมรุบนหลังนกหัสดีลิงค์ ประกอบพิธีถวายพระเพลิงจ้านคร  ประเพณีสืบทอดต่อๆ กันมา จนเป็นหนึ่งในอารยะประเพณีวิถีอีสาน

เมื่อผู้ใหญ่หรือพระสงฆ์ที่นับถือตาย การทำเมรุเป็นนกหัสดีลิงค์ ด้วยความเชื่อว่านกหิมพานต์นี้ สามารถนำดวงวิญญาณผู้ตายไปสู่สวรรค์  
... ข้อมูลจากคอลัมน์ "ชักธงรบ" น.๒ นสพ.ไทยรัฐ ฉบับประจำวันศุกร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒



หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 08 มีนาคม 2562 08:14:45
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/18694017123844_P_20190308_080515_Copy_.jpg)
แผนที่จารชนพม่า หมายเลข ๘๘ แสดงถิ่นฐานที่ตั้งชุมชนชาวอินเดียในสมัยกรุงธนบุรี

กุฎีใหญ่

กุฎีใหญ่ เป็นชื่อย่อมาจาก กุฎีบางกอกใหญ่ เรียกสั้นๆ ว่า กุฎีใหญ่

แผนที่ที่จารชนพม่าได้ลอบกระทำขึ้นเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของชนต่างชาติต่างภาษาในกรุงธนบุรีและปริมณฑล หากจะยึดเอาข้อมูลตามแผนที่ บริเวณด้านใต้ของป้อมวิไชยประสิทธิ์ข้ามคลองบางกอกใหญ่ลงมา เป็นที่ตั้งของกลุ่มบ้านเรือนหรือหมู่บ้านแขกมุสลิม ซึ่งเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นชุมชนซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อมัสยิดกุฎีใหญ่ หรือมัสยิดกุฏีต้นสน  

ตำราบางเล่มระบุว่า ...กุฎีใหญ่ เป็นชื่อที่ย่อมาจาก กุฎีบางกอกใหญ่ บางทีก็เรียกกันว่า กุฎีต้นสน เป็นชุมชนมัสลิมที่ปฏิบัติตามแนวทางนิกายสุหนี่ที่อพยพมาจากหัวแหลม หัวรอ หรือคลองตะเคียน พระนครศรีอยุธยา มีอาชีพค้าขายสินค้าประเภทแป้งกระแจะ น้ำอบร่ำ น้ำมันหอม เสื้อผ้า และสินค้าที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งเรียกว่า เครื่องเทศ รวมทั้งเครื่องใช้ประจำวันต่างๆ โดยออกเร่ขายทางเรือ จึงมีที่พักเป็นแบบเรือนแพ ปักหลักผูกลอยอยู่ในน้ำ เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ได้อพยพล่องมาตามลำน้ำเจ้าพระยา และแวะเข้าจอดตามลำคลองบางกอกใหญ่เต็มสองฟากฝั่งและลึกเข้าไปจนถึงตลาดพลู ต่อมาจึงได้มีมุสลิมจากภูมิลำเนาอื่นอพยพมาสมทบด้วย โดยส่วนใหญ่ก็ยังนิยมอยู่กันในเรือนแพ แต่ก็พอมีอยู่บ้างที่ปลูกสร้างบ้านเรือนรอบๆ บริเวณนั้น จึงเรียกผู้คนในชุมชนนี้ว่า แขกแพ ครั้นภายหลังมีอิสลามิกชนมารวมตัวอยู่จำนวนมากไม่สามารถขยับขยายได้ จึงได้มีการสร้างมิสยิดบางหลวง หรือ กุฎีขาว ขึ้นที่ฟากตรงข้ามบริเวณซอยบางหลวงในปัจจุบัน




(http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2006/05/E4345427/E4345427-2.jpg)

กลบบัตรสุมเพลิง

พิธีของพราหมณ์ที่นำมาใช้ในเมืองไทยตั้งแต่สมัยอยุธยามีหลายพิธี พิธีที่เลิกไปนาน คือพิธีกลบบัตรสุมเพลิง (สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ส.พลายน้อย พิมพ์คำสำนักพิมพ์ พ.ศ.๒๕๕๓)  

ชื่อพิธี มีในเอกสารโบราณ เขียนกันหลายอย่าง กลบบาท ก็มี กลบบาตร ก็มี ลองอ่านกันดูแล้วคิดต่อกันเอาเอง คำไหนถูกต้องมากกว่า

พระราชพงศาวดาร สมัยอยุธยา มีความตอนหนึ่งว่า เมื่อศักราช ๗๑๒ ปีขาล โทศก (พ.ศ.๑๘๙๓) วันศุกร์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๕ เพลา ๓ นาฬิกา ๙ บาท สถาปนากรุงพระนครศรีอยุธยา

ชีพ่อพราหมณ์ให้ฤกษ์ตั้งพิธีกลบบัตร (ต้นฉบับเขียนกลบบาตร)

อาจารย์ ส.พลายน้อย อธิบายว่า พิธีนี้เป็นพิธีทำให้ผืนดินบริสุทธิ์ เช่น มีคนสามัญไปคลอดลูกในพระราชวังชั้นใน ต้องทำพิธีกลบบัตรสุมเพลิง ณ ที่นั้น

ถือกันว่า ถ้าโลหิตตกในพระราชวัง ถือเป็นเสนียด ต้องปลูกศาลเพียงตา ขุดพื้นดินในที่ซึ่งมีคนตายหรือโลหิตตก ให้มีขนาดกว้างยาวประมาณสองศอก ลึกศอกเศษ

ใช้แกลบกลบลงไปในหลุมสูงหนึ่งศอก แล้วก่อกองไฟในหลุม หยิบเครื่องสังเวยเจ็บหยิบใส่ลงในกองเพลิง อ่านโองการแล้วเกลี่ยดินกลบหลุมนั้น

การสร้างพระตำหนัก ก็เคยมี พระราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศว่า  เมื่อวันพฤหัสบดี ๒๒ สิงหาคม ร.ศ.๑๓๑ (พ.ศ.๒๔๕๕) เวลาเช้า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินในการพระราชพิธีกลบบัตร (ต้นฉบับเขียนกลบบาท) สุมเพลิง ปักผังพระตำหนักที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใหม่ที่สวนจิตรลดา

ครั้นถึงเวลาเช้า  ๓ โมง กับ ๓๐ นาที อันเป็นสิริมงคลได้ฤกษ์ ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายมั่น นายคง นายอยู่ นายไชย กระทำพิธีกลับพื้นปถพี ปักผังตามพระราชประเพณีแต่โบราณ  แล้วโปรดเกล้าฯ พระราชทานรางวัลเงินคนละ ๑๒ บาท กับเสื้อผ้าแก่คนทั้ง ๔ นี้ คนละสำรับ

ฝ่ายพระสิทธิไชย ก็กระทำพิธีกลบบัตรสุมเพลิง ในขณะเมื่อเริ่มกลับพื้นปถพี พระมหาราชครูพิธีก็หลั่งน้ำสังข์บนพื้นปถพีที่กลับตามแบบพราหมณ์แล้ว เป็นเสร็จการ

พิธีกลบบัตรสุมเพลิง ครั้ง...๑๒ พฤษภาคม ๒๔๖๗ นั้น จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน เขียนว่า เวลา ๖.๐๐ พราหมณ์พฤติบาศได้ตั้งพระราชพิธีกลบบัตรสุมเพลิง ที่หน้าประตูสวัสดิโสภา

เพราะเหตุเมื่อคืนวันนี้ เวลา ๒.๐๐ ฝนตก จ่าตรีเขียน กรมยุทธศึกษาทหารเรือเดินทางมา เกรงฝนจะเปียก จึงถอดเครื่องแบบหนีเข้าไปแฝงอยู่ใกล้ซุ้มประตู  บังเอิญอสนีบาตตกต้องยอดซุ้มประตูนั้น ออกแตกเป็นสามเสี่ยง ยอดนภศูลตก ปูนพังลงมาตกลงในพระบรมมหาราชวัง ทับหลังคาโรงทหารรักษาวัง ชำรุดยาวประมาณ ๑ วา

จ่าตรีเขียน ล้มลงตายริมประตูภายนอกห่างประมาณ ๒ ศอก แพทย์ทหารเรือตรวจว่าไม่มีบาดแผลฉกรรจ์ที่จะทำให้ถึงตายได้ สันนิษฐานว่าคงจะตายด้วยหัวใจหยุด อันเกิดแต่ความกลัว

คนรุ่นหลัง บางคนทันเห็นพิธีโล้ชิงช้าที่หน้าโบสถ์พราหมณ์ เรียกพิธีตรียัมพวาย (รับพระอิศวร) พิธีตรีปวาย (รับพระนารายณ์)

พิธีพราหมณ์ที่ยังทำกันทุกปี คือพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เรายังเห็นพราหมณ์นุ่งขาวห่มขาว ในพิธียกเสาหลักเมืองจังหวัด และพิธีบวงสรวงสำคัญกันอยู่

ส่วนพิธีกลบบัตรสุมเพลิงนั้น เรื่องฟ้าผ่าจ่าตรีเขียนตายนอกประตูสวัสดิภา...น่าจะเป็นครั้งสุดท้าย
 ที่มา "กลบบัตรสุมเพลิง" คอลัมน์ชักธงรบ นสพ.ไทยรัฐ ฉบับประจำวันอังคารที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๒


(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/f/f2/Rolin-Jacquemyn.jpg)
เจ้าพระยาอภัยราชา - Rolin-Jacquemyns
ขอขอบคุณภาพจาก เว็บไซต์วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี

เจ้าพระยาอภัยราชา (โรลัง ยัคมินส์)

ในขณะที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จยุโรปในปี พ.ศ.๒๔๓๔ นั้น ที่ปรึกษากฎหมายนานาประเทศ ประจำกระทรวงต่างประเทศว่างลง พระองค์จึงทรงรับเป็นธุระสืบหาผู้เชี่ยวชาญกฎหมาย (ซึ่งขณะนั้นจำเป็นต้องใช้ชาวต่างประเทศ) เพื่อพามาถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะสบโอกาสที่พระองค์อยู่ในยุโรปแล้ว

พระองค์ทรงสืบหาได้ตัวชาวเบลเยียมคนหนึ่งชื่อ มองสิเออ โรลัง ยัคมินส์ เข้ามาถวาย  มองสิเออโรลัง ยัคมินส์เข้ามาถึงเมืองไทย ในปี พ.ศ.๒๔๓๕ รับราชการเป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ทุกพระองค์ เพราะเป็นผู้มีอัธยาศัยดี มีความรู้ความสามารถมาก เคยเป็นถึงเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในประเทศเบลเยี่ยมมาแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาข้าราชการทั่วไป ไม่เฉพาะแต่การต่างประเทศเท่านั้น

มองสิเออโรลัง ยัคมินส์รับราชการด้วยความจงรักภักดียิ่งจนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาอภัยราชา ในปี พ.ศ.๒๔๓๙ นับเป็นชาวต่างประเทศคนที่สองที่ได้เป็นถึงเจ้าพระยา ต่อจากเจ้าพระยาวิชาเยนทร์

เจ้าพระยาอภัยราชารับราชการอยู่ราว ๗ ปี ก็ทูลลาออกกลับไปเบลเยี่ยม เพราะป่วยด้วยโรคชราและทนอากาศร้อนไม่ไหว กลับไปอยู่ได้สองสามปีก็ถึงอสัญกรรม บุตรชายของท่านสองคนยังรับราชการช่วยไทยต่อมา คือคนโตมีความสามารถเหมือนบิดา เป็นขุนนางชั้นบารอนของเบลเยี่ยม เป็นผู้พิพากษาของเมืองไทยในศาลต่างประเทศ ณ กรุงเฮก  คนที่สองเป็นกงสุลเยเนราลไทย ณ กรุงบรัสเซลส์


------------------------------
ข้อสังเกต : การที่กระทรวงต่างประเทศของไทยต้องจ้างชาวต่างประเทศเป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายนานาประเทศนั้น มีความจำเป็นและเป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง เพราะเวลานั้นประเทศไทยต้องเกี่ยวข้องและทำสัญญาต่างๆ กับต่างประเทศเป็นอันมาก และเป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ มีความสำคัญต่อเอกราชของไทย ดังที่ทราบกันดีแล้วจากประวัติศาสตร์ เพราะเวลานั้นไทยเรายังไม่มีผู้ใดที่มีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายต่างประเทศและการต่างประเทศมากนัก เพื่อให้นโยบายการต่างประเทศดำเนินไปอย่างรอบคอบจึงจำเป็นต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว



หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 14 สิงหาคม 2562 13:16:55

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/40175943035218_7_320x200_.jpg)

กาแฟโบราณ

น้ำชากาแฟ” เป็นเครื่องดื่มที่นิยมกินกันมานาน จนแทบไม่รู้ว่าน้ำชากับกาแฟอะไรมาก่อน

ร้านน้ำชาในสามสี่จังหวัดภาคใต้ ก็ไม่แยกขาย “ชาร้อน” หรือ “กาแฟร้อน” บางร้านถ้าร้องสั่ง “ฉ่งซำ” ก็จะได้ทั้งชาและกาแฟร้อนผสมกันในแก้วเดียว

ส.พลายน้อยเล่าไว้ในหนังสือ “เรื่องข้างสำรับ” (สำนักพิมพ์พิมพ์คำ พ.ศ.๒๕๕๙) ว่า คนไทยเพิ่งรู้จักกาแฟในสมัยรัชกาลที่ ๓

รัชกาลที่ ๓ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่สนใจเรื่องกาแฟ โปรดให้ข้าราชการน้อยใหญ่ปลูกต้นกาแฟบริเวณวัดราชประดิษฐ์ฯ ด้านตะวันออกของพระบรมมหาราชวังก็เคยเป็นสวนกาแฟมาก่อน  ทางฝั่งธนบุรีมีสวนกาแฟใหญ่ของสมเด็จพระเจ้าบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิษฐ์ บุนนาค) ขึ้นหน้าขึ้นตาถึงขั้นรับแขกเมืองอย่างเซอร์ จอห์น เบาว์ริ่ง ในสมัยรัชกาลที่ ๔

แต่คนไทยสมัยนั้นยังไม่เรียกกาแฟ เรียกกะแฝ่บ้าง เข้าแฝ่บ้าง กาแฝ่บ้าง

ฝรั่งนั้นเป็นต้นเล่าตำนานกำเนิดกาแฟว่า สมัยหนึ่งนานมาแล้ว พระอียิปต์ที่อพยพเข้าไปในอบิสสิเนีย สังเกตเห็นแพะที่เลี้ยงไว้ยืนลืมตาไม่เป็นอันหลับนอน ก็เฝ้าดูจนเห็นว่ามันไปกินใบไม้อย่างหนึ่งเข้าไป

พระลองรับประทานพืชต้นนั้นบ้าง ซึ่งก็คือกาแฟ ผลก็คือนอนไม่หลับเหมือนกัน

มีเรื่องหนึ่งเล่าว่า พวกนักปราชญ์กับพวกนักบวชในอาระเบียน เก็บเอากาแฟมาชงกินแบบชา (แสดงว่าชากินกันมาก่อนกาแฟ) ต่อมาพวกเปอร์เซียรู้จักเก็บเมล็ดกาแฟมาคั่ว ทำให้มีกลิ่นหอม เมื่อราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ กาแฟจึงได้รับความนิยม  

อาระเบียนเป็นประเทศแรกที่มีร้านกาแฟ มีคนนิยมไปนั่งจิบกันไป คุยกันไป  เรื่องคุยส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเมือง ร้านกาแฟก็กลายเป็นสภากาแฟที่สุมหัวนินทาผู้มีอำนาจ พวกที่ถูกรุมนินทาจึงรวมหัวกันกำจัดโดยอ้างว่าผิดวินัยบัญญัติของพระศาสนา  เมืองเมกกะถูกบันทึกว่าเป็นเมืองที่สั่งให้ปิดร้านกาแฟเป็นแห่งแรกของโลก เมื่อปี ค.ศ.๑๕๑๑     กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ก็มีสภากาแฟ ผลก็คือถูกสั่งปิดเมื่อ ค.ศ.๑๕๓๔  กรุงสแตนติโนเปิล ประเทศอิตาลี สั่งปิดร้านกาแฟเมื่อปี ๑๕๓๔  ถึงตอนนั้นร้านกาแฟก็ยิ่งแพร่หลาย

ในประเทศฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ มีกาแฟในงานพระราชทานเลี้ยงของพระราชสำนัก  ในอังกฤษ พระเจ้าชาลส์ที่ ๒ ทรงปรึกษาผู้พิพากษาหาทางสั่งปิดร้านกาแฟ แต่ปิดไม่ได้ ยิ่งสั่งปิดร้านกาแฟยิ่งเพิ่ม...อ่านประวัติกาแฟในสมัยโบราณ ก็ได้บทเรียนคือ “ยิ่งปิดก็ยิ่งเพิ่ม ยิ่งห้ามยิ่งยุุ”


คัดย่อจากบทความ “กาแฟโบราณ” คอลัมน์ชักธงรบ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒

บรรยากาศร้านกาแฟโบราณ ข้างศาลเจ้าพ่อเทพารักษ์ - เจ้าแม่ทับทิม
อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ (๑๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๒)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/73584300859106_4_320x200_.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/66637444703115_3_320x200_.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/72275772980517_5_320x200_.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/81719644657439_2_320x200_.jpg)



หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 24 กันยายน 2562 16:31:30
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/95924286171793_b1.gif)
ซองบุหรี่ฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ
ปัจจุบันเก็บอยู่ที่คลังพระที่นั่งวายุสถานอมเรศ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

สัจจะของโจรทิม

จากหนังสือ "นิทานโบราณคดี" พระนิพนธ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  เอนก นาวิกมูล เขียใหม่ ใน "เก็บตกกรุงสยาม" (สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช พ.ศ.๒๕๔๕)

ค่ำวันหนึ่ง ในที่ประชุมเสนาบดี หมดเรื่องที่ประชุมแล้ว สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงปรารภว่า ขอให้ช่วยกันพิจารณาหนังสือฎีกาส่งมาทางไปรษณีย์ จาก "อ้ายทิม"

นักโทษชาวเมืองอินทร์บุรีที่ต้องจำคุกเพราะเป็นโจรปล้นทรัพย์

ความที่กราบบังคมทูล.. ตั้งแต่ติดคุก อ้ายทิมถูกจ่ายให้ไปอยู่ในกองจักสานฝึกจักสานจนชำนาญ จึงได้ความคิดว่า จะจักสานสิ่งหนึ่งที่ดีที่สุด ทูลเกล้าฯ ถวาย หากทรงโปรดก็จะขอพระราชทานให้พ้นโทษออกมาบวชจำศีลภาวนา

ไม่ประพฤติชั่วเหมือนหนหลังตลอดชีวิต

"บัดนี้อ้ายทิมจำคุกมา ๑๐ ปีแล้ว ได้ทำของจนสำเร็จแล้ว จึงทูลเกล้าฯ ถวาย"

สมัยนั้นโจรผู้ร้ายจำคุกที่พ้นโทษได้ต้องแล้วแต่พระเจ้าแผ่นดินจะทรงพระกรุณา

สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงโปรดให้สอบสวนเรื่องอ้ายทิม มีความจริงแท้ตามที่กราบทูลแค่ไหน การประชุมคร้้งถัดไปเสนาบดีนำกาถังน้ำร้อนจักสานฝีมืออ้ายทิมมาถาย

ทรงทอดพระเนตรแล้วทรงเห็นว่า ทำฝีมือดีจริง มีพระราชดำรัส "มันพูดจริง เราก็จะให้มันเห็นผลของความจริง" ทรงพระกรุณาพระราชทานอภัยโทษ

แล้วโปรดให้เสนาบดีกระทรวงธรรมการ จัดการบวชอ้ายทิมเป็นนาคหลวงเสียเลย

อธิบดีกระทรวงธรรมการตอนนั้น คือสมเด็จฯ กรมดำรงราชานุภาพ เมื่อรับโจรทิมมาทรงเห็นว่าอายุราว ๔๐ ปี เนื้อตัวหน้าตาสกปรก เสื้อผ้าขาดวิ่น ผมยาวรุงรังไปทั้งตัวผิดมนุษย์ น่าสมเพช

แต่สังเกตกิริยาอัชฌาสัยเป็นคนเรียบร้อย ก็ทรงมีจิตเมตตาให้อาบน้ำแต่งตัวใหม่ จัดให้อยู่ในวัง คนในวังเมื่อได้ยินว่าเป็นโจรก็กลัว แต่เมื่อรู้เรื่องฎีกาก็หายกลัว สงสารสิ้นรังเกียจ ช่วยกันอุปการะเลี้ยงดู

ถึงกำหนดบวชที่วัดพระเชตุพนฯ ข้าราชการพระสงฆ์มาร่วมบวชกันครึกครื้น

พระทิมอยู่วัดพระเชตุพนฯ สองพรรษา จึงขอลาไปรักษาตัวที่เมืองอินทร์ ด้วยเป็นโรคเหน็บชา แล้วข่าวพระทิมก็เงียบหาย  ถึง พ.ศ.๒๔๓๖ เกิดเหตุ ร.ศ.๑๑๒ ฝรั่งเศสส่งเรือรบมาปิดปากอ่าวสยาม  ทั้งบ้านเมืองตึงเครียดกันมาก หากเพลี่ยงพล้ำก็อาจเสียเอกราช พระทิมก็มาหา

ถวายพระพรว่า"อาตมาภาพเมื่อยังเป็นหนุ่ม ได้ร่ำเรียนวิชาอาคมต่อสู้ศัตรูอยู่บ้าง จึงลงมาเฝ้าหมายจะถวายพระพรลาสิกขาไปอาสารบฝรั่งเศส สนองพระเดชพระคุณพระเจ้าอยู่หัว"

สมเด็จฯ กรมพระดำรงฯ ทรงรู้สึกรักน้ำใจพระทิม นำความกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว

ทรงทราบเรื่องก็พอพระทัย ออกพระโอษฐ์ว่า "มนุษย์เรานี้ ถึงจะตกต่ำเป็นโจรผู้ร้าย ถ้ากลับใจได้จริงก็ยังเป็นคนดีได้"

แล้วให้เชิญกระแสรับสั่งที่มีความกตัญญูคิดจะสนองพระเดชพระคุณ ทรงชอบใจนัก แต่เรื่องรบพุ่งใช้แต่คนฉกรรจ์มีกำลังมาก พระทิมอายุมากเกินขนาดแล้ว ให้บวชเอาบุญต่อไปเถิด

ต่อมาเมื่อพระทิมมรณภาพ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงโปรดให้เบิกศิลาหน้าเพลิง กับผ้าสำหรับชักบังสุกุลเป็นของหลวง ส่งไปพระราชทาน

งานศพพระทิมจึงเป็นงานสำคัญ มีกรมการเมืองไปช่วยงาน มีข้าหลวงพระราชทานเพลิง เป็นเกียรติยศใหญ่โต

จุดจบของโจรทิม โจรที่ทรงเห็นว่าเป็นคนพูดจิรง จึงเห็นผลของความจริง เป็นไปตามพระราชดำรัสไว้ .
ที่มาเรื่อง : สัจจะของโจรทิม หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันพุธที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๒

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/11174526976214_b3.gif)
ซองบุหรี่ฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ
ฝาซอง มีพระนามาภิไธยย่อ “จปร” และมีข้อความว่า “ข้าพระพุทธเจ้าอ้ายจีนเอี๊ยว ถวายขอความกรุณาต่อเสนา...”
ตัวซอง “...บดี กระทรวงมหาดไทย ลดหย่อนผ่อนโทษโปรดปล่อยข้าพระพุทธเจ้าให้พ้นโทษไป”

อ่านเรื่องราว ซองบุหรี่ฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ได้ที่ http://www.sookjai.com/index.php?topic=111093.0 (http://www.sookjai.com/index.php?topic=111093.0)



หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 04 ธันวาคม 2562 14:58:42

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/99150205817487_Czyq_yHUkAAze2Z_Copy_.jpg)
ขอขอบคุณ Next Step в Twitter (ที่มาภาพประกอบ)

ข้าวต้มสามกษัตริย์
“ตั้งแต่ฉันเกิดมา ไม่เคยกินข้าวต้มอร่อยอย่างวันนั้นเลย”

จากจดหมายเหตุนายทรงอานุภาพ...เช้าตรู่วันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๕๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงลงเรือฉลอม จากที่ประทับแรมออกไปตามลำน้ำแม่กลอง  

ถึงปากอ่าว เพื่อทอดพระเนตรการจับปลาถึงที่ละมุ แล้วต้มข้าวต้ม ๓ กษัตริย์ขึ้นในเรือฉลอม

ที่เรียกว่าข้าวต้ม ๓ กษัตริย์นั้น คือ ต้มอย่างข้าวต้มหมู แต่ใช้ปลาทู กุ้ง กับปลาหมึกสดแทรกแทนหมู เป็นของประดิษฐ์ขึ้นในเช้าวันนั้นเอง

...ตั้งแต่ฉันเกิดมา ไม่เคยกินข้าวต้มอร่อยอย่างวันนั้นเลย...

เป็นที่ทราบกันว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเสวยปลาทูเป็นพิเศษ มีความใส่พระราชหฤทัยพิถีพิถันตั้งแต่เรื่องคุณภาพของเนื้อปลา ไปจนถึงการปรุงการทอด

มีหลักฐานบันทึก พระราชหัตถเลขา ในวาระต่างๆ ที่กล่าวถึงปลาทูไว้ เช่น

“มีความเสียใจที่จะบอกว่า ปลาทูปีนี้ใช้ไม่ได้ ผอมเล็ก เนื้อเหลว และมีน้อย ไม่ได้ทุกวันด้วย”

“วันนี้เห็นปลาทูตัวโต ควรจะมีการเลี้ยงได้เช่นเมื่อปีกลายนี้เป็นอาหารเช้า เวลาก่อฤกษ์แล้วให้ไปคิดจัดการกับพระยาสุรินทร์และกรมดำรง จะหาปลาได้ฤๅไม่”

“ปลาทูที่ได้มาให้แจกไปตามเจ้านายและขุนนาง คนละตัวสองตัว เพราะได้มาไม่ทันเลี้ยง”

“เรื่องทอดปลาทูข้าอยู่ค่อนข้างจะกลัวมาก ถ้าพลาดไปแล้ว ข้ากลืนไม่ลง ขอให้จัดตั้งเตาทอดปลาที่สะพานต่อเรือนข้างหน้าข้างใน   บอกกรมวังให้เขาจัดรถให้นางเอิบ (หนึ่งในเจ้าจอมก๊ก อ. สกุล บุนนาค) เตรียมเตาและกระทะไว้ให้พร้อม”

รสชาติความอร่อยของข้าวต้ม ๓ กษัตริย์ ที่นายทรงอานุภาพถึงกับกล่าว “ตั้งแต่ฉันเกิดมา ไม่เคยกินข้าวต้มอร่อยอย่างวันนั้นเลย” ก็มาจากความสดใหม่อย่างที่สุด ของวัตถุดิบจากทะเลปากอ่าวแม่กลองที่อยู่ตรงหน้า  

อาหารทะเลนั้น หากปรุงเมื่อขณะยังสด รสชาติจะหวานอร่อย ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งพาเครื่องปรุงรสเลย  ปลาทูสดจะนุ่ม มัน  กุ้งสดและหมึกสดจะเด้งสู้ฟัน ยิ่งประกอบกับสูตรข้าวต้มนี้ เป็นเมนูที่พระมหากษัตริย์ทรงประดิษฐ์และพระราชทานให้ข้าราชบริพารอย่างเป็นกันเอง

อาหารใดจะเลิศรสไปกว่านี้ คงไม่มีอีกแล้ว ฯ


ที่มา (เรื่อง-ภาพ) : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ น.๓ ฉบับประจำวันเสาร์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ และ m.trueyou.net



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/59908215287658__1_320x200_.jpg)
ขอขอบคุณภาพจาก มติชนออนไลน์

บันไดกระเหรี่ยง

ส.พลายน้ำ เล่า “บันไดไม้ไผ่” บันไดบ้านคนชนบทบ้านนอกสมัยก่อนๆ ไว้ในหนังสือเกร็ดโบราณคดี ประเพณีไทย (สำนักพิมพ์รวมสาส์น พิมพ์ครั้งที่ ๕ พ.ศ.๒๕๔๔) ว่า ใช้ไม้ไผ่ลำโตสองลำมาทำเป็นแม่บันได เอาไม้ไผ่ลำเล็กๆ ที่แข็งแรงมาทำเป็นลูกบันได  เจาะแม่บันไดแล้วเอาลูกบันไดสอดเข้าไป  ใช้ไม้จริงหรือไม้แข็งแรงอย่างอื่น แต่บางแห่งใช้ไม้ไผ่

ธรรมเนียมของไทยโบราณ ถือว่าบันไดมีพระภูมิรักษา ชื่อว่า พระนะคอนราด  เวลาทำบันไดใหม่ ต้องมีพิธีเจิมและเอาด้ายแดงขาวมาผูกที่หัวบันได เป็นการทำขวัญ

ยังมีเคล็ดถือกันอีกหลายอย่าง บันไดตามบ้านนิยมทำลูกบันไดคี่ คือทำเพียง ๓ ขั้น ๗ ขั้น ไม่นิยมทำคู่เพราะถือว่าไม่เป็นมงคล

บันไดคู่มักเป็นบันไดตามวัดหรือเชิงตะกอน ชาวบ้านเรียกว่า บันไดผี  

คนโบราณทำบันได ๔ ขั้นวางไว้บนปากโลงศพ เรื่องนี้คนแก่ๆ ที่คงแก่เรียน โดยเฉพาะสัปเหร่อรู้ดี   แต่ถ้าเป็นบันไดบ้านของชาวกะเหรี่ยง ส.พลายน้อย บอกว่าก็เหมือนกับบันไดชาวบ้านนอกทั่วไป คือ ใช้ไม่ไผ่ลำโตสองลำทำแม่บันได เอาไม้ไผ่ลำเล็กๆ ที่แข็งแรงเป็นลูกบันได จึงไม่แข็งแรงเหมือนบันไดบ้านสมัยใหม่  ใช้ไปนานๆ อาจจะหักเอาได้ง่ายๆ

ชาวกะเหรี่ยงราชบุรีมีความเชื่อว่า ถ้ามีแขกไปหาที่บ้าน ถ้าเหยียบบันไดบ้านของเขาหัก เจ้าของบ้านจะยินดีปรีดาเป็นที่ยิ่ง กุลีกุจอต้อนรับ ทั้งยังต้องทำขวัญแขกที่เหยียบบันไดบ้านหักนั้นด้วยเงิน ๖ บาท

เหตุผลก็เพราะคนกะเหรี่ยงเชื่อว่า แขกที่เหยียบบันไดบ้านหักมีลาภผลมาก เอาลาภผลมาให้ถึงบ้าน

แต่กลับกัน ถ้าแขกที่มาเยี่ยมบ้านขึ้นบันไดบ้านมาดีๆ แต่ตอนลากลับเกิดไปเหยียบบันไดบ้านหัก เขาเชื่อว่าแขกมาขนเอาลาภผลของเขาออกไปนอกบ้าน แขกต้องเสียเงินทำขวัญเจ้าของบ้าน ๖ บาท  
.... หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันศุกร์ที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๓


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/53214264412720__MG_3840_1_320x200_.JPG)
ขอขอบคุณที่มาภาพ-เว็บไซต์ sangtom.blogspot.com

เทวดารักษาละคร

ขอน้อมคุณพระคเณศ วิเศษศิลปธร เวทางคบวร... บทขึ้นต้นฉันท์บทไหว้ครูของกวี ชิต บุรทัต

ครูของศิลปินทั้งหลายเป็นเทวดา พระเศียรเป็นช้าง งาหักข้างหนึ่ง กายเป็นมนุษย์ พระนาม พระพิฆเนศ

ศิลปินจะเข้าพิธี “ครอบครู” ปีละหนึ่งครั้ง ศิลปินบางคนจิตอ่อน พอเอาพ่อครูครอบหัว ก็ตัวสั่นงันงก ทำท่าจะกลายเป็นใครไปอีกคน

มุมหนึ่งของโรงละครจะมีเสาไม้เล็กๆ ปักเอาไว้สวมครอบหัวละคร เสาหนึ่งสูงกว่า เป็นหัวฤๅษี นี่คือ “พ่อครู” ที่ทุกตัวละครก่อนแสดงจะต้องไหว้

ฤๅษีที่ว่านี้ เรียกว่า “พระพิราพ” ... มีคนเข้าใจว่าเป็นยักษ์ตนหนึ่งในรามเกียรติ์ แต่เอาเข้าจริงๆ ผู้รู้บอกว่าพระพิราพคือปางหนึ่งของพระอิศวร

ในหนังสือ “อมนุษย์นิยาย” (สำนักพิมพ์รวมสาส์น พิมพ์ครั้งที่ ๓ พ.ศ.๒๕๔๔) ส.พลายน้อยค้นหนังสือฉันท์เยาวพจน์ที่ปฏิภาณกวี เป โมรา แต่งสมัยรัชกาลที่ ๕ จับความได้ว่า พระอินทร์สอดส่องทิพยเนตรดูมนุษย์ก็เห็นว่าเล่นโขน เล่นละครกันไม่เป็นจนทรงรำคาญ จึงทรงส่งพระวิษณุกรรมให้แปลงเป็นคนแก่ไปสั่งสอนให้เล่นโขนละครจน “สนุกครื้นเครง ทำนองเสนาะก็อลเวง ผิจะเต้นจะร้องรำ”

นี่คือเรื่องที่ยืนยัน พระอินทร์ หรือบางเรื่องเล่าเป็นพระอิศวร เป็นพ่อครูของศิลปิน  

แต่ครูโขนละคร ไม่ได้มีพระอิศวรเพียงองค์เดียว ครูมนตรี ตราโมท เขียนไว้ในหนังสือการละเล่นของไทยว่า นายพูน เรืองนนท์ โต้โผคณะละครสมัยเก่า เล่าว่า โรงละครชาตรีรุ่นเก่าจริงๆ มีเสากลางโรงละคร  เสานี้ทำจากไม้ชัยพฤกษ์ เรียก เสามหาชัย มีความหมายแทนพระวิษณุกรรม หรือต่อมาเรียกพระวิศวกรรม ที่ตามเรื่องเล่าเดิมเป็นเทวดาองค์ที่ถูกพระอิศวรใช้ให้ลงมาสอนมนุษย์  

ถ้าถือว่าพระอิศวรเป็นพ่อครูคนหนึ่ง พระวิศวกรรมก็เป็น “ครูคนที่สอง”  มีตำนานเล่าประกอบความเชื่อนี้ว่า ครั้งหนึ่งมีมนุษย์สองสามีภรรยา พระสิงหรา กับแม่ศรีคงคา มีความสามารถในการแสดงละครชาตรีเป็นเลิศ แต่เป็นคนเข็ญใจ เที่ยวแสดงละครเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ  ไม่เพียงชาวบ้านธรรมดาชักชวนกันมาดู กระทั่งนางฟ้าก็ชักชวนกันมาดูสนุกเพลิดเพลินจนลืมงานรับใช้พระอิศวร  พระอิศวรกริ้วตรัสว่า จะจัดละครโรงใหญ่กว่า แสดงบนเขาไกรลาส เพื่อแสดงให้รู้ว่าละครเทวดานั้นดีกว่า  พระวิศวกรรมทูลเตือนพระอิศวร “ทรงเป็นถึงเจ้าโลกจะทำการทับถมมนุษย์ผู้น้อยนั้นไม่ควร”

พระอิศวรไม่ยอม จัดแสดงละครชาตรีบนเขาไกรลาสจนได้  พระวิศวกรรมเกรงว่าพระอิศวรจะทรงลงมารังแกละครพระเทพสิงหรา แม่ศรีคงคา ก็บอกมนุษย์ให้ปักเสาไว้กลางโรงละคร ผูกผ้าแดงเป็นเครื่องหมาย พระวิศวกรรมจะลงมาประทับเป็นประธาน คุ้มครองละครมนุษย์

ตำนานเล่าว่า เพราะมีเทวดามาช่วย ละครชาตรีของมนุษย์จึงยังเล่นต่อไปได้ไม่แพ้ละครบนสวรรค์.


ที่มา “เทวดารักษาละคร” โดย กิเลน ประลองเชิง หน้า ๓ นสพ.ไทยรัฐ ฉบับประจำวันศุกร์ที่ ๒๒ พ.ค.๒๕๖๓




หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 22 พฤษภาคม 2563 13:15:56
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/56761765769786_xm001_Copy_.jpg)

โรคห่าหาย? สมัย ร.๒


รศ.นพ.เอกชัย โควาวิสารัช รพ.ราชวิถี เขียนเรื่อง ห่าระบาดใหญ่สมัยรัชกาลที่ ๒ และจริงหรือ? ที่หายเพราะพระราชพิธีอาพาธพินาศ ไว้ในหนังสือศิลปวัฒนธรรม ฉบับ พ.ค.๒๕๖๓  ผมขออนุญาตเก็บความตามที่พอเข้าใจ

หมอเริ่มต้นว่า ไข้ห่าคราวนั้นมีความร้ายแรงขนาดที่ทำให้ประชากรสยามเสียชีวิต ๒ คน จาก ๑๐ คน หรือประมาณร้อยละ ๒๐ ในระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ ๑๕ วัน

จากคำบอกเล่าของเจ้าพระยาพระคลัง คะเนว่าในกรุงเทพฯ มีคนอาศัยอยู่ราวครึ่งล้านคน เพราะฉะนั้นมีผู้เสียชีวิตประมาณ ๑ แสนคน

กล่าวกันว่าไข้ห่านี้เริ่มมาแต่เกาะหมาก เมืองไทรบุรี เข้ามายังเมืองสงขลา ระบาดอยู่ ๑ ปี ระบาดในกรุงเทพฯ ระหว่าง ๑๘ พฤษภาคม ถึง ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๖๓

มีข่าวลือว่าโรคระบาดนี้เกิดขึ้นเพราะผีโกรธที่ไปขนเอาหินก้อนโตๆ มาสร้างพระราชอุทยาน

พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๒ มีความตอนหนึ่งว่า คนครั้งนั้นยังโง่เขลามาก มิได้มีปัญญาเห็นว่าโรคอันนี้มีด้วยทั่วทั้งพิภพ ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าก็มีขึ้นครั้งหนึ่งที่เมืองไพศาลี  

ทั้งแผ่นดินฮินดูสถานเป็นต้นเหตุที่จะเกิดโรคนี้ เกิดขึ้นแล้วก็เที่ยวเป็นไป เมืองนั้นเมืองนี้บ้าง เมืองไม่พบโรคอย่างนี้ไม่มีเลย แผ่นดินยุโรปได้ยินว่าเป็นเมืองๆ แผ่นดินจีนนั้นเป็นห่างๆ

รัชกาลที่ ๒ โปรดให้มีพระราชพิธีอาพาธพินาศ ประกอบด้วย ตั้งพระราชพิธีอาฏานาฏิยสูตร ยิงปืนใหญ่รอบพระนครคืนยังรุ่ง อัญเชิญพระแก้วมรกต พระบรมธาตุ และพระราชาคณะออกแห่และโปรยทรายประน้ำ

พระมหากษัตริย์ทรงศีล ขุนนางตั้งใจทำบุญสวดมนต์ให้ทาน

ประชาราษฎร์ห้ามไม่ให้เที่ยวฆ่าสัตว์ ให้อยู่แต่ในบ้าน

หมอเอกชัยตั้งคำถาม บางท่านอาจสงสัย เป็นไปได้หรือ พระปริตรช่วยแก้ไขปัญหาไข้ห่าระบาด แล้วตอบเองด้วยการแสดงหลายเหตุผลที่ชี้ความเป็นไปได้

เหตุผลหนึ่ง มนุษย์มีใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว หากความศรัทธาและความเชื่อเกิดขึ้นในใจ ก็จะมีพลังมากแบบที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ตัวอย่างหากเจองู ก็อาจจะวิ่งหนีได้เร็วกว่าที่เคยวิ่ง

ในทางวิทยาศาสตร์ นี่คือผลจากฮอร์โมนอะดรีนาลินที่ทำให้ร่างกายมีพลังมากขึ้นอย่างเหลือเชื่อ

ผู้ป่วยมะเร็งบางคนที่เสียกำลังใจก็มักอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งปี แต่บางคนที่กำลังใจดีมากก็อาจอยู่ได้นานกว่านั้น หรือหายจากมะเร็งได้ก็เคยมี

หมอสรุปทิ้งท้าย โรคห่าระบาดใหญ่ในสมัย ร.๒ ระบาดอยู่ ๑๕ วันก็หายไปโดยเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ หลังพระราชพิธีอาพาธพินาศ โดยพลานุภาพของพระพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ

  
ที่มา “โรคห่าหาย? สมัย ร.๒” โดย กิเลน ประลองเชิง หน้า ๓ นสพ.ไทยรัฐ ฉบับประจำวันเสาร์ที่ ๒๓ พ.ค.๒๕๖๓


หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 09 มิถุนายน 2563 13:39:52

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/60037112856904_108_20170323103747._Copy_.jpg)

จะเข้เจ้า

วิธีจับจระเข้ของคนสมัยสมเด็จพระนารายณ์ หนังสือสัตว์นิยาย (ส.พลายน้อย สำนักพิมพ์รวมสาส์น พิมพ์ครั้งที่ ๓ พ.ศ.๒๕๔๑) เขียนเรื่องวิธีจับจระเข้ของคนสมัยสมเด็จพระนารายณ์  ฟอร์บัง นายทหารเรือฝรั่งเศส ฟังจากปากคนไทยและบันทึกไว้เมื่อ พ.ศ.๒๒๒๘

แม่น้ำลำคลองใกล้เคียงเมืองบางกอกนั้นมีจระเข้ชุกชุมมาก  วิธีจับจระเข้ เขาใช้เป็ดตัวเป็นๆ เป็นเหยื่อ เอาไม้ใหญ่ยาวราวสิบนิ้ว เสี้ยมให้แหลมสองปลาย ผูกไว้ใต้ท้องเป็ดด้วยเชือกเกลียวเล็กและเหนียว ล่ามโยงไว้กับทุ่นไม้กระบอก ปล่อยเป็ดลงกลางแม่น้ำ  เป็ดดิ้นร้องเรียกจระเข้ที่นอนซุ่มเงียบอยู่ริมฝั่งให้กระโจนลงน้ำ พอมันฮุบเบ็ดก็มุดน้ำหนี คนก็รั้งเชือกจนมันขึ้นเหนือน้ำ หมอจระเข้เอาฉมวกด้ามไม้ มีเชือกยาวแทง  

ผ่อนเชือกให้จระเข้ว่ายหนี แต่ด้ามฉมวกไม้ยังลอยให้เห็นว่ามันอยู่ไหน

ฉมวกแผลเดียวยังเอาไม่อยู่ ต้องตามแทงอีกหลายแผล จนมันอ่อนแรงก็ลากขึ้นบก ใช้ขวานจามจนมันตาย

ยังมีการจับจระเข้อีกวิธีที่เร้าใจกว่า  เมื่อจระเข้เข้ามาใกล้ ชาวบ้านก็จะช่วยกันตะโกนเสียงดังๆ หรือเอาปืนยิงให้มันตกใจหนีลงไปกบดานใต้น้ำ จากนั้นชาวบ้านก็ใช้เรือหลายลำพายตาม จระเข้อยู่ใต้น้ำได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็โผล่ขึ้นมาหายใจ คนในเรือที่อยู่ใกล้ก็พุ่งฉมวกใส่ “คนไทยพุ่งฉมวกแม่นยำนัก” ฟอร์บังว่า

ถ้าฉมวกพุ่งเข้าปากก็ได้มันง่าย แต่ถ้าไม่ถูกปากก็ต้องลอยเรือตามพุ่งฉมวกซ้ำหลายครั้งจนแน่ใจว่าจระเข้หมดแรง คนก็จะช่วยกันจับขึ้นบกแล่เนื้อออกเป็นชิ้นๆ “เนื้อมันสีขาวคล้ายปลากระเบน ฉันได้ลองแล้วรสไม่สู้เลวนัก”

วิชาจับจระเข้ ส.พลายน้อยบอกว่า สืบทอดมาจากอียิปต์โบราณ แตกต่างตรงที่อียิปต์ใช้หมูเป็นเหยื่อ

หมอจระเข้อียิปต์มีคาถาเสก  ส.พลายน้อยได้คาถาภาษามลายูที่มีคำแปลเป็นไทยต่อไปนี้ ... “น้ำจะทำให้เจ้าหายใจไม่ออก กระดูกของเหยื่อที่เจ้ากินเข้าไปจะทำให้เจ้าอืด หนังของเหยื่อที่กินเข้าไปจะทำให้เจ้าอืด เลือดของเหยื่อที่กินเข้าไปจะทำให้เจ้าอืด”  ร่ายคาถาแล้วก็เอาพายตีน้ำสามครั้ง... จระเข้ได้ยินคาถาก็จะขึ้นมากินเบ็ด

ส.พลายน้อยเล่าต่อว่า คนโบราณถือว่าจระเข้เป็นพาหนะของเจ้า  

อียิปต์มีเรื่องเล่า เทพีไอซิสเคยขี่จระเข้ตามเก็บชิ้นส่วนเทพโอซิริส พระสวามี  ที่อินเดีย ทั้งพระอิศวร พระแม่อุมา ก็เคยใช้เป็นพาหนะ

ริมแม่น้ำลำคลองสมัยโบราณ ในศาลเจ้ามีหัวจระเข้ และฟันปลาฉนากบูชา  ความเชื่อเรื่องจระเข้เจ้า สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเคยเจอ

“ถึงวังเจ้าเขตเมืองกำแพงเพชร ที่วังเจ้านี้เป็นที่เลื่องลือว่า มีจระเข้ใหญ่ตัวหนึ่งเป็นจระเข้ของเจ้า นัยว่าไม่กลัว แต่ไม่ทำอันตรายคนเรา  มาถึงเวลาบ่าย เขาชี้ให้ดูชายตลิ่งตรงที่จระเข้เคยขึ้นตากแดดในเวลาเช้า”  

แวะขึ้นไปดูศาลเจ้าเห็นปลูกเป็นไม้ไว้สามหลัง ชำรุดทรุดโทรมจวนจะพัง เมื่อขากลับจะลงเรือ พระยาพจนปรีชาปากไว ท้าเจ้าว่า “ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงขอให้ขึ้นมาให้เห็น”

พอขาดคำจระเข้ก็ลอยขึ้นมาให้เห็น เป็นจระเข้ขนาดหัวยาวสักศอกเศษ ลอยอยู่สักห้านาทีจึงได้จม  

ได้ดูด้วยตากันหมดรวมเรือหกลำ ต้องบอกเรี่ยไรกัน ปฏิสังขรณ์ศาลเจ้าเป็นการตอบแทนฯ.


ที่มา “จระเข้เจ้า” โดย กิเลน ประลองเชิง หน้า ๓ นสพ.ไทยรัฐ ฉบับประจำวันพุธที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๓



หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 17 มิถุนายน 2563 13:38:09


(https://f.ptcdn.info/425/046/000/oeh47cp3mvqYr2LVns2-o.jpg)

ขันทีไม่มีแค่เมืองจีน

เสน่ห์ในสาระน่ารู้เรื่องเมืองจีนจากหนังสือทุกเล่ม ของจิตรา ก่อนันทเกียรติ อยู่ที่การเล่าเรื่อง เช่น...อากงถามหลาน จีนยังมีอะไรอีกไหมที่ชาติอื่นไม่มี (กระจ่างใจจีน สำนักพิมพ์จิตรา พิมพ์ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๕๔๕)
หลานคนหนึ่งทายว่า “ขันที” อากงว่าไม่ได้มีในเมืองจีน อียิปต์ กรีก โรม ตุรกีก็มี

ขันทีคือผู้ชายที่ถูกตอนเพื่อเป็นผู้รับใช้ในพระราชวัง โดยมีความเชื่อว่า ขันทีไม่เพียงหมดกำหนัด แต่ยังหมดความโลภความมักใหญ่ใฝ่สูงที่จะชิงราชบัลลังก์

ในสมัยชุนชิว (๒๒๗ ปีก่อน พ.ศ.-พ.ศ.๖๗) เจ้าเมืองหนึ่ง นำอดีตนักโทษที่ถูกตอนมารับใช้ในวัง คนจีนเรียกขันทีว่า “ไท้ก่ำ” ไท้ แปลว่า ใหญ่ ก่ำ มีสองความหมาย คุก ตะราง และดูแลควบคุม

งานขันทีโอกาสมีอำนาจสูง บางครั้งสูงกว่าจอหงวน ที่คนมีความรู้สอบเข้า ต่อมาจึงมีคนอาสาตอนตัวเองเพื่อให้เข้าไป ขบวนการขันทียุคแรกไม่รัดกุมนัก

สมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ พระราชมารดามีสัมพันธ์กับขันทีชื่อเล่าไอ่...มีบุตรสองคน กฎระเบียบรับขันที จึงมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ สมัยราชวงศ์สุย (พ.ศ.๑๑๓๒-๑๑๖๐ ฮ่องเต้สั่งยกเลิกการมีขันที ราชวงศ์ต่อมาก็เริ่มต้นใหม่)

ต่อเนื่องไปถึงรุ่นสุดท้าย ปลายสมัยราชวงศ์เช็ง (๒๑๘๗-๒๑๕๔)

ขันทียุคสุดท้าย จีนกลายเป็นระบอบปัจจุบัน มีเรื่องบันทึกว่าร้านรับตอนคนเป็นขันที ยังมีหลายร้านตั้งอยู่ใกล้พระราชวังกรุงปักกิ่ง เมื่อตอนเสร็จ หมอจะดอง “ชิ้นส่วน” ใส่ขวดไว้ ใช้เป็นหลักฐานตอนไปสมัครงาน

“ชิ้นส่วน” จะถูกเก็บรักษาไว้จนขันทีตาย จะเอาชิ้นส่วนใส่ลงไปในโลง ด้วยความเชื่อว่า คนตายที่มีองคาพยพไม่ครบ ชาติต่อไปต้องเกิดเป็นลา

กระบวนการตอน และการรับขันทีมีสองระดับ
ระดับที่ ๑ ตอนหมดจดเพื่อให้มั่นใจว่า จะหมดความกำหนัด คิ้วเคราหนวดจะร่วง เสียงที่เคยเป็นชายจะกลายเป็นหญิง นี่คือขันทีชั้น ๑ เข้าไปรับใช้ได้ถึงพระราชฐานชั้นใน

ระดับที่ ๒ จะตัดแค่ส่วนเดียว พอให้ไม่สามารถทำกิจกรรมบนเตียง ขันทีชั้น ๒ รับใช้แค่พระราชวังชั้นนอก โอกาสรับใช้ใกล้ชิด เผื่อเป็นคนโปรดฮ่องเต้ก็หมดไป

ความรู้เรื่องขันทีที่ “อากง” เล่าให้ลูกหลานฟัง ยังมีต่อ แม้มีข้อเสี่ยง...แต่ก็ยังมีคนมากมายยอมรับความเสี่ยง

คนกลุ่มนี้คิดว่าการยอมสละส่วนล่างของชิ้นส่วนเล็กน้อย แลกกับการมีงานทำ เกษียณแล้วก็มีหน่วยงานเลี้ยงดู มีกินมีใช้ไปจนตายถือว่าคุ้มค่า

คนรวยระดับเศรษฐีก็ยังมีค่านิยม ยอมให้ลูกชายคนหนึ่งเข้าไปเป็นขันที หาเส้นสายในวัง เผื่อฝากฝังญาติสนิทที่เป็นผู้หญิงสวยเข้าไปเป็นพระสนม

เรื่องที่ซุบซิบแต่ก็รู้กันแซ่ด ก็คือขันทีเป็นผู้ “ขึ้นครู” เรื่องเพศศึกษาให้กับฮ่องเต้บางพระองค์เมื่อทรงพระเยาว์

เมื่อสิ้นราชวงศ์เช็ง มีบันทึกว่า ขันทีรุ่นสุดท้ายในพระราชวัง มีอยู่ราวหนึ่งพันคน


ขันทีไม่มีแค่เมืองจีน คอลัมน์ชักธงรบ นสพ.ไทยรัฐ ฉบับประจำวันพุธที่ ๑๖/๖/๖๓



หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 03 สิงหาคม 2563 16:32:14

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/56096609060962_1200px_Standing_Budha_1_320x20.jpg)
หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพมหานคร

หลวงพ่อโต

ตำนานเก่าเล่าต่อกันมา ยักษ์วัดแจ้งเหาะข้ามเจ้าพระยามาตีกับยักษ์วัดโพธิ์ จนป่าแถวนั้นหักโค่นราบเตียน เป็นที่มาของชื่อท่าเตียน   หลวงพ่อโต (วัดอินทร์) ออกมาห้าม สงครามยักษ์จึงจบลง

หลวงพ่อโตวัดอินทรวิหาร เป็นพระปางยืนอุ้มบาตร สมเด็จพุฒาจารย์ (โต วัดระฆัง) สร้างไว้เป็นอนุสรณ์ตอนท่านถูกสอนยืน  ส่วนพระปางไสยาสน์ (ปางนอน) ที่วัดสะตือ พระนครศรีอยุธยา ท่านสร้างเป็นอนุสรณ์ตอนท่านแรกเกิด (อย่าแปลกใจ พ่อแม่สมเด็จโตท่านเร่เรือค้าขาย) และเหตุที่ท่านชื่อโต พระพุทธรูปที่ท่านสร้างจึงต้องสมชื่อโต และพระหลวงพ่อโตทุกองค์ของท่านก็มีความขลังต่างกัน

ในหนังสือพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง (พ.ย.๒๕๔๔) อาจารย์วรนันทน์ ชัชวาลทิพากร เขียนประวัติหลวงพ่อโต วัดไชโยไว้ว่า แรกทีเดียว สมเด็จโตท่านก่อด้วยอิฐและดิน เป็นพระนั่งขนาดใหญ่มากแต่ไม่นานก็ทลายลง  ท่านจึงสร้างใหม่ด้วยวิธีเก่า แต่ลดขนาดให้เล็กลง เสร็จแล้วก็ถือปูนขาว ไม่ปิดทอง   หลวงพ่อโตที่สร้างครั้งที่สองนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านเสด็จฯ ไปเห็น ทรงมีพระราชหัตถเลขาไว้ว่า “รูปร่างหน้าตา ไม่งามเลย...ปากเหมือนท่านขรัวโต ไม่มีผิด”   

ต่อมาเจ้าพระยารัตนบดินทร์ (บุญรอด กัลยาณมิตร) ท่านมีศรัทธาสร้างพระวิหารให้หลวงพ่อโต ระหว่างก่อสร้างกระทุ้งรากพระวิหาร แรงสั่นสะเทือนทำให้องค์พระหลวงพ่อโตพังทลายลง นับเป็นการพัง ครั้งที่สาม  (พระสมเด็จที่เรียกวัดเกศไชโย เล่นหากันในวงพระเครื่ององค์ละหลายแสนถึงล้าน เชื่อกันว่าหลุดออกจากองค์พระจากการพังทั้งสามครั้งนี้แหละ)   

รัชกาลที่ ๕ โปรดฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐาวรการ นายช่างฝีมือเยี่ยมมาช่วย รื้อองค์พระทั้งองค์ วางรากฐานใหม่ วางโครงเหล็กยึดไว้ภายใน ก่อขึ้นเป็นพระพุทธรูปตามลักษณ์ที่สมเด็จพุฒาจารย์โตทำไว้เดิม  เมื่อเสร็จแล้วพระราชทานนามว่า พระมหาพุทธพิมพ์

หลวงพ่อโต วัดไชโย ของขลังขึ้นหน้า คือน้ำมนต์ คนอ่างทองและจังหวัดใกล้เคียงนับถือกันมาก เจ็บท้องข้องใจไปขอน้ำมนต์ท่านมาดื่มกิน มาลูบหัวลูบหน้า ปัดเป่าจากร้ายให้กลายเป็นดี  เวลามีโรคระบาดทำให้ผู้คนล้มตาย ชาวบ้านเล่ากันว่า หลวงพ่อโตท่านจะมาเข้าฝันบอกวิธีแก้ ชาวอำเภอไชโยนับถือท่านลึกซึ้งมาก มีรูปหลวงพ่อพระมหาพุทธพิมพ์ไว้บูชากันทุกบ้าน  อีกความเชื่อที่ไม่บอกกล่าวกันตรงๆ แค่กระซิบกัน ชาวบ้านที่ก่อกรรมทำเข็ญเป็นโจรผู้ร้าย หรือข้าราชการที่โกงบ้านกินเมือง จะไม่กล้าไปกราบท่าน เล่ากันว่าพอเข้าไปจะก้มกราบท่านพอเงยหน้า หลวงพ่อโตท่านก็ทำท่าจะล้มทับ ต้องวิ่งหนีออกมา บางคนออกอาการตกใจกลัวเอะอะโวยวาย...


ที่มา : หลวงพ่อโต หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันอังคารที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๖๓



หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 29 กันยายน 2563 17:39:43
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/94268654907743_119982469_3968884259805426_501.jpg)

ขนบเมียทาส 

“เซียะคากับเซียะคาเกี้ย”  เป็นภาษาไทย หมายถึง เมียทาสและลูกเมียทาส “เซียะคา” แปลว่า เท้าเปล่า  ชาวแต้จิ๋วในสมัยราชวงศ์ชิง ใช้เรียกผู้หญิงที่ไม่ได้รัดเท้า

สมัยนั้น ผู้หญิงสูงศักดิ์จะต้องรัดเท้า เรียกกันว่า กิม เน้ย ซา ฉุ่ง เท้าดอกบัวทองคำ ๓ นิ้ว

ถ้าเจอผู้หญิงที่มีเท้าเป็นธรรมชาติ ก็แสดงว่าเป็นลูกสาวชาวบ้านจนๆ ทั่วไป ที่ทำไร่ทำนา หากรัดเท้าก็ทำงานหนักไม่ไหว ถ้าไปอยู่ในบ้านท่านเศรษฐีหรือผู้ดี ก็จะถูกเรียก เซียะ คา ปี๋ จะแปลว่านางทาส หรือสาวใช้ก็ได้ ถูกทั้งคู่

หน้าตาดีถูกใจเจ้านาย ก็จะได้เลื่อนตำแหน่ง เป็นเซียะคาแจ้ เมียทาส

แต่ก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียงใดๆ ฐานะต่ำต้อยกว่า อี่ไท่ไถ่ เมียน้อยหลายขุม เมียน้อยหากเมียหลวงตาย ยังมีโอกาสได้เลื่อนฐานะ แต่พวกเซียะคาแจ้ อยู่จนแก่ตาย ก็ยังเป็นทาสอยู่นั่นแหละ

แม้ชาวแต้จิ๋วจะไม่เจ้ายศเจ้าอย่างนัก แต่เรื่องเซียะคา พวกเขายังจริงจังมาก ลูกที่เกิดจากเซียะคาแจ้ จะแต่งงานได้กับเซียะคาเท่านั้น ห้ามแต่งข้ามชั้นเด็ดขาด   

เซียะคาแจ้ ไม่ใช่สาวใช้หน้าตาดีเท่านั้น ยังมีส่วนหนึ่งที่ได้มาจากการซื้อขาย  งานนี้เป็นงานของแม่สื่อ ที่รับใบสั่งไปสืบเสาะว่า บ้านไหนมีสาววัยเอ๊าะ ก็รีบไปขอ “ดูตัว”

การดูตัวเริ่มที่ดูหน้าตา เห็นว่าสวยก็จะจับมือจับเท้า คลำดูว่ามือเท้าจะหยาบกร้านแค่ไหน ถ้าหยาบมากแสดงว่านายเก่าไม่รัก ใช้งานหนัก เมียทาสอย่างนี้ราคาถูก

อันดับต่อไปคลำหน้าอกเต่งตึงแค่ไหน จากนั้นก็ดูขนคิ้ว วิธีดูใช้การถูว่าหลุดร่วงง่ายหรือไม่ ถ้าหลุดร่วงง่าย แสดงว่าเธอเคยเป็นนางโลมมาก่อน

แล้วก็ถึงขั้นการตรวจรักแร้ จริงจังมาก ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดแรงๆ สองที ดมดูให้แน่ใจว่ามีกลิ่นแรงมากน้อย

อันดับสุดท้าย ขอคำยืนยัน เป็นสาวพรหมจรรย์ ไม่เคยผ่านมือชาย (เคราะห์ดี ขั้นตอนนี้ ไม่เอาจริงถึงขนาดขอตรวจพิสูจน์)

เอาเป็นว่าคุณภาพนางบำเรอทาส แม่สื่อพอใจ จึงมาถึงขั้นเจรจาต่อรองราคา ซึ่งก็มักตกลงกันในทันที

และก็ไม่ต้องมีการรีรอ เมื่อซื้อได้แล้ว ก็ถึงพิธีแต่งงาน ซึ่งก็ไม่มีพิธีรีตองเหมือนพิธีแต่งลูกสาวผู้ดี ที่เจ้าสาวต้องนั่งเกี้ยว  สาวเซียะคาแจ้เดินเท้าเข้าบ้านเจ้าบ่าว โดยมีแม่สื่อนำทาง

ไม่ต้องมีผ้าปิดหน้า ใช้แค่ร่มกางหลุบๆ ปิดหน้าไว้หน่อยก็พอ

ก็แค่นี้ จะเอาอะไรกันนักหนา เพราะตามขนบเมียทาสนั้น เธอคือสินค้าชิ้นหนึ่ง

เรื่องที่ควรรู้ต่อ ถ้าเมียทาสมีลูกชาย บังเอิญฮูหยินใหญ่ไม่มีลูก ลูกเมียทาสจะกลายเป็นลูกฮูหยินใหญ่ เรียกฮูหยินใหญ่เป็นแม่ เรียกแม่บังเกิดเกล้าว่า เซียะคาแจ้ หรือไม่ก็เรียกชื่อ ไม่มีวี่แววเยื่อใยความเป็นแม่ลูกเหลืออยู่เลย

ธรรมเนียมอัปลักษณ์เหล่านี้ ถูกยกเลิกไปหลังจาก ดร.ซุน ยัด เซ็น ปฏิวัติประเทศจีน.


ที่มา (เรื่อง) : “ขนบเมียทาส” โดย กิเลน ประลองเชิง นสพ.ไทยรัฐ ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๓


หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 09:54:27
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/25715935354431_w644_1_640x480_.jpg)
นางเอ็นโกซี โอคอนโจ-อีเวล่า

ผอ.ค้าโลกคนใหม่

เป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นอีกครั้ง สำหรับเอ็นโกซี โอคอนโจ-อีเวล่า นักเศรษฐศาสตร์ชาวไนจีเรีย วัย ๖๖ ปี ในฐานะเป็นผู้หญิงคนแรกและชาวแอฟริกันคนแรกที่ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) คนใหม่ ในกระบวนการสรรหา ผอ.ดับเบิลยูทีโอ แทนที่นายโรแบร์โต อาเชเวโด ซึ่งลาออกไปก่อนครบวาระถึง ๑ ปี ด้วยเหตุผลส่วนตัว

นางเอ็นโกซี ได้รับเลือกด้วยฉันทามติเห็นชอบจากสมาชิกทั้ง ๑๖๔ ประเทศขององค์การเสาหลักในเวทีการค้าโลกอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔

ก่อนหน้านี้ นางเอ็นโกซี เคยสร้างเกียรติประวัติให้กับตัวเองมาแล้วในฐานะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศหญิงคนแรกของไนจีเรีย และยังเป็นรัฐมนตรีนั่งคุมกระทรวงการคลังมาแล้วถึง ๒ สมัย มีประสบการณ์ทำงานที่ธนาคารโลกกว่า ๒๕ ปี และเป็นผู้บริหารในหลายองค์กร อาทิ Global Alliance for Vaccines and Immunization (Gavi) ธนาคาร Standard Chartered บริษัท Twitter และเป็นผู้แทนพิเศษ (Special Envoy) ของสหภาพแอฟริกันและองค์การอนามัยโลกในการรับมือกับโควิด-19

องค์การการค้าโลกมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นมาในปี ๒๕๓๘ จากความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า และไม่เคยมีผู้หญิงดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการมาก่อน รวมถึงไม่เคยมีผู้แทนจากชาติในแอฟริกาขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการมาก่อนด้วย

WTO เป็นเวทีการเจรจาจัดทำกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศและลดอุปสรรคทางการค้าที่สำคัญของโลก ปัจจุบันมีสมาชิก ๑๖๔ประเทศ โดยนางเอ็นโกซีได้รับเลือกจากผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ WTO จาก ๘ ประเทศ ได้แก่ เม็กซิโก ไนจีเรีย อียิปต์ มอลโดวา เกาหลีใต้ เคนยา ซาอุดีอาระเบีย และสหราชอาณาจักร



หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 14 ตุลาคม 2564 21:15:07
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/16714095738198_245100476_253069473428117_8411.jpg)

ผู้ใหญ่อกสามศอก

"คำที่พูดกันว่า "ผู้ใหญ่อกสามศอก" นั้น อ่านหนังสือพบว่า เป็นคำเอาอย่างมาจากอินเดีย
เขามีจัดไว้เป็นสามชั้น  อกสามศอกหมายความว่า เป็นผู้รู้มาก อกศอกครึ่ง หมายความว่า
เป็นผู้รู้ปานกลาง อกศอกเดียว หมายความว่า เป็นผู้รู้น้อย"

สมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ในสาส์นสมเด็จ
ต่อมาได้แผลงเป็น ผู้ชายอกสามศอก


เผยแพร่เป็นวิทยาทาน โดย หอสมุดพิกุลศิลปาคาร




หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 17 พฤศจิกายน 2564 20:42:22
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/51686997173560_Ramas_Bridge_1_1_Copy_.jpg)

Rama’s Bridge
รู้หรือไม่? อินเดียและศรีลังกา เคยมีสะพานเชื่อมต่อกัน
ก่อนจะถูกพายุไซโคลนพัดทำลาย

ในอดีตเมื่อประมาณ ๕๔๐ ปีที่แล้ว ประเทศอินเดียและศรีลังกาเคยมีสะพานเชื่อมต่อ สามารถเดินทางข้ามไปมาหากันด้วยเส้นทางทอดยาวข้ามทะเลที่มีชื่อว่า “สะพานพระราม” (Rama’s Bridge) หรืออีกชื่อคือ “สะพานอดัม” (Adam’s Bridge) ที่มีความยาวกว่า ๔๘ กิโลเมตร ตั้งอยู่ระหว่างเกาะแพมแบน (Pamban Island- รัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย) และเกาะมันนาร์ (Mannar Island-ประเทศศรีลังกา) โดยสะพานพาดผ่านช่องแคบพัลค์ (Palk Strait) และช่องแคบนี้ถูกตั้งชื่อตามผู้ว่าการใน Madras บริติชอินเดีย ซึ่งก็คือ นาย Robert Palk ก่อนจะถูกทำลายลงโดยพายุไซโคลน ในปี ๑๔๘๐ (พ.ศ.๒๔๘๐) จึงทำให้ทั้ง ๒ ประเทศไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้อีก และในทะเลบริเวณนั้นก็ยังไม่สามารถนำเรือเข้าไปได้อีกด้วย เพราะมีลักษณะเป็นสันดอนทอดตัวยาวเต็มไปด้วยประการังขนาดเล็ก หินโสโครก และมูลทราย ที่วางเรียงทับถมกันตลอดแนว  

กระทั่งอีก ๕๐๐ ปีต่อมา มีการเชื่อมต่ออินเดียกับศรีลังกาโดยใช้เมือง Dhanushkodi เป็นเมืองท่าสำหรับค้าขาย แต่แล้วก็เหมือนคำสาปอาถรรพ์บางอย่าง ได้เกิดพายุซ้ำอีกครั้ง ทำให้ในปี ๑๙๖๔ (พ.ศ.๒๕๐๗) มีประชาชนเสียชีวิตไปกว่า ๑,๘๐๐ ราย

สะพานอดัมแห่งนี้ หากมองตามความเชื่อในอดีต ชาวฮินดูมีความเชื่อว่าสะพานได้ถูกสร้างขึ้นโดยกองทัพวานรของพระราม จึงได้เรียกสะพานแห่งนี้ว่า สะพานพระราม หรือ Rama Setu Bridge

ปัจจุบันหากมองด้วยตาเปล่า จะมองไม่เห็นสันดอนทรายที่เชื่อมต่อของ ๒ ประเทศ แต่หากมองจากมุมสูงๆ หรือ ใช้กล้องกำลังขยายสูงจากภาคพื้นอากาศ จะยังสามารถพบเห็นทางเชื่อมบางๆ ของทั้ง ๒ ประเทศได้อยู่บ้าง.


หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 06 มิถุนายน 2565 14:51:15
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/94767970467607__Copy_.jpg)
ที่มาภาพ : เว็บไซท์ ข่าวสด

ท่านั่งกระโหย่ง

ท่านั่งกระโหย่ง เรียกขานในภาษาบาลีว่า อุกฺกุฏิก (ukkuṭika) ท่านั่งสำหรับทำวินัยกรรมของพระภิกษุสงฆ์ในกรณีที่ใช้กราบเรียนและแสดงความเคารพอย่างสูง เป็นรูปแบบมาตรฐานในการขอพระอุปัชฌาย์ การขอบรรพชา อุปสมบท และปลงอาบัติ ปรากฏสำนวนในพระวินัยปิฎกหลายแห่งว่า “ปาเท วนฺทิตฺวา อุกฺกุฏิกํ นิสีทิตฺวา อญฺชลิํ ปคฺคเหตฺวา ….” = กราบแทบเท้าแล้วนั่งกระโหย่งประคองอัญชลี

ในอุษาคเนย์ ทางพม่าและกัมพูชา เป็นที่เข้าใจกันว่า อุกฺกุฏิก = ท่านั่งยอง (squatting) โดยฝ่าเท้าราบเต็มบนพื้น สนเท้าชิดก้น เข่าค้ำหน้าอก หลังโก่งงอ แต่ในประเทศไทยปัจจุบันไม่นิยมใช้ท่านี้ หากใช้เป็นท่านั่งคุกเข่าทับสนเท้า

หลักฐานชั้นเก่าแก่ในประเทศไทย เช่น ภาพจิตรกรรมและประติมากรรมอายุหลายศตวรรษก่อนปรากฏว่าท่านั่งยองในวินัยกรรม และบางพื้นที่ก็ยังมีการใช้ท่านี้อยู่ เรียกได้ว่าเป็นท่าที่ใช้แพร่หลายในประเทศพุทธศาสนาสายเถรวาทแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน


หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: kakakanga ที่ 07 มิถุนายน 2565 21:21:57
ขอบคุณครับ ตามอ่านเรื่อยๆ นะครับ  (:88:)


หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 08 มิถุนายน 2565 15:10:34
ขอบคุณครับ ตามอ่านเรื่อยๆ นะครับ  (:88:)


(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRjEOjr1_36QieLAEzHscpUuHZ-LHU8O1DkB6k7KwcX6kjfD7CYxWLtn4gd8uvxBbpUfXE&usqp=CAU)



หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 08 มิถุนายน 2565 15:16:30

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/92087110752860__3020235_320x200_.JPG)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/29890347768862__3020236_320x200_.JPG)

พระศรีอริยเมตไตร หรือพระศรีอาริย์  วัดไลย์ อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี

สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น หรือในสมัยสุโขทัย เป็นประติมากรรมหล่อแบบพุทธสาวกด้วยโลหะ 
ประทับนั่งคล้ายปางมารวิชัย พระพักตร์รูปไข่ พระเนตรเหลือบมองต่ำ พระกรรณสั้น มีไรพระศก เม็ดพระศกเป็นปุ่ม
ขนาดเล็ก ไม่มีอุษณีษะ ไม่มีเปลวพระรัศมี ส่วนบนของพระเศียรหล่อเพื่อให้ถอดแยกจากกันได้ พระหัตถ์ขวาวางบน
พระชานุ นิ้วพระหัตถ์เรียวยาว พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลาลักษณะคล้ายกับมีวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งในอุ้งพระหัตถ์ 
ครองอุตราสงค์ห่มเฉียง  โดยรวมแล้วคล้ายมนุษย์สามัญมากกว่ารูปที่สร้างขึ้นแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการสร้างพระศรีอาริย์องค์นี้ว่า ชาวบ้านเชื่อกันว่าพระศรีอาริย์จุติลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิตและบวช
อยู่ที่วัดไลย์แห่งนี้   เมื่อท่านดับขันธ์กลับสู่สรวงสวรรค์ ชาวบ้านต่างโศกเศร้า จึงช่วยกันสร้างรูปเหมือนของท่านเพื่อ
กราบไหว้สืบมา รูปแบบจึงเป็นเหมือนคนทั่วไป ไม่ได้ทรงเครื่องแบบจักรพรรดิตามที่เห็นทั่วๆ ไป


หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 18 มิถุนายน 2565 20:54:22
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/51295088397131_289014220_744599273557689_7495.jpg)
จิตรกรรม ในพระวิหารหลวง วัดสุทัศน์ (ที่มาภาพ - เพจบรรณาลัย)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/12137280114822_287273704_744599393557677_4033.jpg)
(ที่มาภาพ - เพจบรรณาลัย)

คานหาม

ยานอีกอย่าง ๑ เรียกว่า “คานหาม” เป็นของมีมาแต่โบราณ แต่ในกฎมนเทียรบาลไม่ระบุชื่อ เห็นจะเป็นเพราะเป็นยานชั้นศักดิ์ต่ำอยู่นอกจำกัด ลักษณะคานหามนั้นมีลำคานอันเดียวคนหาม ๒ คน แบกหัวลำคานขึ้นบ่าข้างหน้าคน ๑ ข้างหลังคน ๑ ตรงกลางลำคานผูกเปลสำหรับคนขี่ จะนั่งก็ได้หรือนอนก็ได้ พวกขุนนางชั้นพระหลวงที่แก่ชรายังขี่คานหามจนในรัชกาลที่ ๕ คานหามทำตามแบบยานของพวกขอมแต่โบราณ ยังมีรูปภาพจำหลักศิลาที่ระเบียงพระนครวัด เป็นกระบวนแห่พระเจ้าแผ่นดิน จำหลักรูป​พระมเหสีทรงคานหามมีหลังคาอย่างสีวิกาปรากฏอยู่ ใช่แต่เท่านั้น เครื่องทองสัมฤทธิ์ของโบราณที่ขุดได้ในมณฑลนครราชสีมา ก็พบสิ่งซึ่งหล่อเป็นปลอกสวมคานหามมีขอสำหรับเกี่ยวเปล ทั้งห่วงสำหรับผูกด้ายที่เปลไปแขวนกับขอนั้น (มีตัวอย่างอยู่ในพิพิธภัณฑสถาน) ส่อให้เห็นว่าไทยเราได้แบบคานหามมาจากพวกขอม แต่ไทยไม่นับถือจึงกำหนดเป็นยานชั้นต่ำกว่าเพื่อน

ที่มา  สาส์นสมเด็จ พุทธศักราช ๒๔๘๓ วันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ ดร
(ลายพระหัตถ์ (จดหมาย) โต้ตอบระหว่าง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กับ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์


หัวข้อ: Re: Did you know? - ตำรวจหวาย
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 08 กรกฎาคม 2565 15:21:57
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/74794063013460_107096512_291322082218746_2252.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/45066328139768_107384433_291322015552086_5484.jpg)

ตำรวจหวาย
คือ ราชบุรุษ หรือเจ้าหน้าที่เคลียร์พื้นที่เตรียมเสด็จ (เคลียร์ทางเสด็จของพระราชา)
จัดคนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย บาลีมีศัพท์ว่า อุสฺสารโณ อาชญาอันยังบุคคลให้ลุกขึ้น
(ถ้าไม่ลุกก็โดนหวาย)

ภาพตำรวจหวาย ในสมัยราชอาณาจักรล้านช้างหลวงพระบางเเละราชอาณาจักรลาว


ที่มา บรรณาลัย


หัวข้อ: Re: พระพิฆเนศนั่งทับหัวกะโหลก - Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 08 สิงหาคม 2565 15:41:40

(https://scontent.fcnx1-1.fna.fbcdn.net/v/t1.18169-9/10479070_688479657886148_8254263896016003447_n.jpg?_nc_cat=100&ccb=1-7&_nc_sid=9267fe&_nc_ohc=zKoFW_SddtEAX-m1ff5&_nc_ht=scontent.fcnx1-1.fna&oh=00_AT_a00cAWdyAT0-E9PciqfTDK5C0BiwPiXfTDkJURWiG5Q&oe=6315732A)
พระคเณศ ณ ห้องจัดแสดงอาคารมหาสุรสิงหนาท พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

พระพิฆเนศนั่งทับหัวกะโหลก

พระพิฆเนศ ศิลปะชวาตะวันออก พุทธศตวรรษที่๑๕-๑๖ ศิลา สูง ๑๗๒ เซนติเมตร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มาจากจัณฑิ สิงหส่าหรี ประเทศอินโดนีเซีย  จัดแสดงที่ห้องศิลปะชวา อาคารมหาสุรสิงหนาท

พระพิฆเนศจำหลักศิลานูนสูง ประทับนั่งบนบัลลังก์กระโหลกมนุษย์ มี ๔ กร หัตถ์ขวาบนถือขวาน หัตถ์ซ้ายบนถือพวงลูกประคำ หัตถ์ขวาและหัตถ์ซ้ายล่างถือถ้วยขนม ทรงเครื่องประดับตกแต่งมาก คือ ศิราภรณ์กุณฑลรูปกระโหลก พาหุรัด เข็มขัด รัดองค์ ทองพระกร ทองพระบาท ทรงภูษาลวดลายกระโหลกมนุษย์ และสวมสายยัชโญปวีตรูปงู ผู้สำเร็จราชการฮอลันดาถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จประพาสชวา พ.ศ.๒๔๓๙ (ที่มา : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร

คนพื้นเมืองบนเกาะชวา ก่อนอารยธรรมอินเดียแผ่เข้าไป ล้วนนับถือศาสนาผีมีหลากหลายเหมือนคนกลุ่มอื่นๆ ในอาเซียนโบราณ เมื่อพ่อค้าหรือนักเสี่ยงโชคผจญภัยจากอินเดียยกกองเรือถึงเกาะชวา ราวหลัง พ.ศ.๑๐๐๐ โดยเชิญพระพิฆเนศเป็นเทวรูปสาคัญประจำเรือเพื่อขจัดอุปสรรคระหว่างเดินทาง จากนั้นก็ปราบปรามคนพื้นเมืองให้อยู่ในอำนาจจนสำเร็จ ซึ่งต้องฆ่าคนพื้นเมืองจานวนไม่น้อย

พระพิฆเนศนั่งทับหัวกะโหลก หมายถึง เทวดาชมพูทวีปมีอำนาจเหนือคนพื้นเมือง แล้วมีอำนาจเหนือผีทั้งปวงบนเกาะชวา พระพิฆเนศเป็นบรมครูของศิลปินร้องรำทำเพลงและวาดปั้น เป็นสิ่งที่ไทยสร้างใหม่สมัยรัชกาลที่ ๖ แต่ไม่มีความเชื่ออย่างนี้ในอินเดียและชวา
ที่มา : ศาสนากับการเมือง ชาตินี้เราคงแยกกันไม่ได้ (๑) สุจิตต์ วงษ์เทศ: ศาสนาผีกับการเมือง

ตามตำนานเล่าว่า พระคเณศหรือพระพิฆเนศวร์เป็นพระโอรสของพระศิวะและพระอุมา บางตำนานก็ว่า เป็นโอรสของพระอุมาองค์เดียว มีลักษณะรูปร่างอวบอ้วน ผิวกายสีแดง มีเศียรเป็นช้าง มีงาเดียว มีสี่กร สิ่งของที่ถือมีหลายอย่าง อาทิ คฑา จักร วัชระ บ่วงบาศก์ ขอช้าง สังข์ ขนมโมทกะ พาหนะของพระองค์คือ หนู  พระคเณศเป็นหนึ่งในเทพที่สำคัญที่สุดองค์หนึ่งในศาสนาฮินดู โดยเป็นเทพเจ้าแห่งความเฉลียวฉลาด การขจัดอุปสรรค และศิลปวิทยาการ

ในปัจจุบันพระองค์เป็นที่นับถือของชาวฮินดูเป็นอย่างยิ่ง เมื่อจะประกอบพิธีกรรมทางศาสนา หรือจัดงานฉลองเกี่ยวกับศาสนาทุกครั้งจะต้องสักการะพระคเณศก่อน เพื่อให้พิธีกรรมและงานดังกล่าวสำเร็จลุล่วงไปโดยปราศจากอุปสรรคใดๆ นอกจากนั้นพระองค์ยังได้รับความนับถืออย่างมากในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาฮินดูอีกด้วย


หัวข้อ: Re: ทำไมเสื้อกะเหรี่ยงถึงไม่มีกระเป๋า? - Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 21 สิงหาคม 2565 20:17:19
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/14737466888295_1586927176_x7i437tz9t_Copy_.jpg)
ขอขอบคุณเว็บไซท์ "สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่" (ที่มาภาพ)

ทำไมเสื้อกะเหรี่ยงถึงไม่มีกระเป๋า ?

ทำไมเสื้อกะเหรี่ยงถึงไม่มีกระเป๋า?

และทำไมด้านหน้าและหลังต้องเหมือนกันด้วย?

ทำไมเสื้อแต่ละตัวต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้?


คำตอบคือ......เสื้อกะเหรี่ยงที่ใส่อยู่มีความเป็นมาและคติสอนใจที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่นว่า

๑. เสื้อกะเหรี่ยงใส่สลับหน้าหลังได้ คือ ด้านหน้าและด้านหลังจะเหมือนกัน - เพื่อตอกย้ำว่าผู้สวมใส่ต้องไม่กลับกลอกปลิ้นปล้อนทั้งต่อหน้าอย่างไรลับหลังก็เช่นกัน

๒. เสื้อกะเหรี่ยงไม่มีกระเป๋า - จึงไม่ต้องมีอะไรซุกซ่อน ซ่อนเร้น อำพราง

๓. เสื้อกะเหรี่ยงไม่มีคอ ปก แขนเสื้อ กระดุม - วิถีกะเหรี่ยงจึงเรียบง่ายสมถะ กินพออิ่ม นุ่งพออุ่น

สามข้อคิดก็สะกิดและเตือนเราให้รู้สำนึกตัวว่า เราคือใครมาจากไหน ไม่ควรลืมผู้มีพระคุณและรากเหง้าของตัวเอง


ที่มาข้อมูล - พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกาญจนาภิเษก


หัวข้อ: Re: การเสียบแซมดอกไม้บนมวยผมของชาวล้านนา - Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 24 สิงหาคม 2565 14:21:57
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/70787802835305_d590f462b504aa11323096c2a8e07b.jpg)
ขอขอบคุณเว็บไซท์ pinterest.com (ที่มาภาพ)

การเสียบแซมดอกไม้บนมวยผมของชาวล้านนา

แซมเสียบเกล้า นบพระเจ้าน้อมเทวา

การเสียบแซมดอกไม้บนมวยผมของชาวล้านนา หาใช่เป็นการประดับให้สวยงามอย่างเดียวไม่ หากแต่เป็นสิ่งแสดงนัยยะแห่งการบูชา คือบูชาขวัญ บูชาเทวดาประจำกายที่สถิตเหนือเกล้า บูชาพระพุทธเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนสถาน ยามได้กรานกราบนบน้อมวันทาด้วยเกล้าด้วยเศียรอีกด้วย


หัวข้อ: Re: ขักขระ หนึ่งในอัฏฐารสบริขาร - Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 08 กันยายน 2565 16:47:14
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/49121397278375_305807352_564373622146708_5219.jpg)
ภาพ - พระสงฆ์ในเวียดออกออกบิณฑบาต

ขักขระ

ขักขระ เป็นหนึ่งในอัฏฐารสบริขาร (十八物) หรือเครื่องใช้ ๑๘ อย่างของพระภิกษุ (ระบุในพรหมชาลสูตรฝ่ายมหายาน) สำหรับใช้ถือมือขวาเวลาออกบิณฑบาต (มือซ้ายถือบาตร) เมื่อไปถึงบ้านโยม พระสงฆ์จะเขย่าขักขระ ๓ ครั้งบอกว่าพระมาโปรดแล้ว

ถ้าโยมยังไม่ออกมาจะเขย่าให้เกิดเสียงอีกเล็กน้อย (มูลสรวาสติวาทวินัยฉบับภาษาจีนว่าแค่ ๒-๓ ครั้ง แต่ทางทิเบตว่า ๕ หรือ ๗ ครั้ง) ถ้ายังไม่ไม่มีใครออกมาใส่บาตรก็จะเดินเลยไป ที่ท่านต้องใช้ขักขระเขย่าเช่นนี้เพราะพระวินัยห้ามเอ่ยปากขอ แต่จะให้ยืนรอโดยไร้จุดหมายก็คงจะลำบากพระเกินไป นอกจากนี้ท่านยังใช้เขย่าให้เกิดเสียงเวลาจาริก ให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยหรือสัตว์ร้ายหลีกไป และใช้เป็นไม้เท้าช่วยค้ำยัน


ขอขอบคุณ เพจพระพุทธศาสนาไทย ลาว กัมพูชา (ที่มาเรื่อง/ภาพประกอบ)


หัวข้อ: Re: การเผาธูปที่ศีรษะของพระมหายาน ในเวียดนาม - Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 09 กันยายน 2565 14:48:21
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/38185171244872_306006703_564604885456915_1023.jpg)

การเผาธูปที่ศีรษะของพระมหายาน ในเวียดนาม

ารใช้ธูปเผาบนศีรษะนี้ เป็นพิธีกรรมแสดงเจตจำนงที่จะศึกษาปฏิบัติตามแนวทางพระโพธิสัตว์ โดยปฏิญาณว่าจะอุทิศทั้งชีวิตเพื่อศึกษาพระธรรมและรับใช้สรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ จำนวนจุดธูปจะมากหรือน้อยไม่ได้บ่งบอกถึงยศหรือคุณธรรมของพระภิกษุและภิกษุณีนั้น บางท่านจุดธูปเผา ๑ จุด ๓ จุด ๖ จุด ๙ จุด หรือ ๑๒ จุด บนศีรษะ แล้วแต่ความประสงค์ของแต่ละท่าน ในเวียดนามที่พบมากที่สุดคือ ๓ จุด (มากกว่านี้ก็มีแต่น้อย)

ตามประเพณี การทำจุดบนศีรษะด้วยธูปจะเกิดขึ้นหลังจากที่ได้บวชเป็นภิกษุภิกษุณีหรือได้รับศีลพระโพธิสัตว์ ซึ่งได้เเนวการปฏิบัติมาจากมหายานในจีนนั่นเอง

ก่อนจะเผาธูปนั้น จะมีการทำสัญลักษณ์ไว้ก่อน ว่าจะทำตรงไหนของศีรษะ เพื่อไม่ให้ไปโดนจุดสำคัญหรือเส้นเลือด การจุดธูปนั้นจะจุดไปจนกว่าธูปจะดับเอง ใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที ผู้ที่ทำจะสวดมนต์ภาวนาไปเพื่อไม่ให้ใส่ใจกับความเจ็บปวด เมื่อทำสำเร็จก็จะภูมิใจว่าทุกข์ขนาดนี้ตนได้ข้ามผ่านมาเเล้ว ประสาอะไรกับทุกข์ในการรับใช้สรรพสัตว์ที่จะทำไม่ได้

อย่างไรก็ตาม  เรื่องการจุดธูปที่ศีรษะของพระภิกษุภิกษุณีมีความเห็นหลายประการว่าไม่จำเป็นและยังส่งผลต่อสุขภาพอีกด้วย บางท่านจึงไม่ทำ เพราะสาระสำคัญก็คือการศึกษาธรรมะปฏิบัติตามธรรมะนั่นเอง


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/38185171244872_306006703_564604885456915_1023.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/45418816680709_306084016_564604855456918_8242.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/33578286485539_306102084_564604932123577_5585.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/91858355452617_305083196_564604975456906_4082.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/87262832787301_305760216_564605072123563_6985.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/16526508579651_305775171_564605022123568_5634.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/21540475305583_305801650_564605105456893_8187.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/87003994650310_305923143_564605278790209_2219.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/24730870376030_305960214_564605148790222_5772.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/79546543624665_305965700_564605188790218_9186.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/75851842843823_306132360_564605228790214_1961.jpg)


ขอขอบคุณ เพจพระพุทธศาสนาไทย ลาว กัมพูชา (ที่มาเรื่อง/ภาพประกอบ)


หัวข้อ: Re:"อากาศกิน" - Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 14 กันยายน 2565 15:45:36
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/48676932478944_Wat_Khao_Cha_Ngog_Nakhon_Nayok.jpg)
อุโบสถของวัดเขาชะโงก จังหวัดนครนายก

อากาศกิน


คำว่า “อากาศกิน” ในวงการช่างไทย หมายถึงปรากฏการณ์การมองเห็นวัตถุ สิ่งของ รวมทั้งสถาปัตยกรรม มีขนาดเล็กกว่าความเป็นจริง ส่งผลให้ผู้คนสัมผัสเห็น ทรวดทรงองค์ประกอบของสิ่งปลูกสร้างไม่งดงามได้สัดส่วนเหมือนแบบที่เขียนวาดไว้

กลวิธีแก้อากาศกิน
อากาศกิน การมองรูปของวัตถุที่ตั้งลอยตัวอยู่กลางแจ้ง เห็นเล็กกว่าขนาดที่เป็นจริงของรูปวัตถุนั้น ปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นปรากฏการณ์ลวงตา มีศัพท์เรียกเป็นสามัญในทางช่างว่า "อากาศกิน” หรือกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า อากาศกิน คือ การเห็นของใหญ่มีขนาดเล็กลงนั่นเอง (ให้ความหมายโดย โชติ กัลยาณมิตร (๒๕๑๘)

กรณีช่อฟ้าเหนือยอดจั่ว หากหันหน้าเข้าสู่อาคารทางด้านประจันกับหน้าจั่ว จะเห็นช่อฟ้าเหนือยอดจั่วแต่ละชั้นมีขนาดเท่ากันทั้งหมด ถ้ายึดเอาช่อฟ้าของจั่วชั้นล่างสุดเป็นจุดอ้างอิง ช่อฟ้าของจั่วชั้นที่ซ้อนอยู่สูงขึ้นไปมีขนาดจริงที่ใหญ่กว่า แต่ในเวลาเดียวกันก็มีระยะห่างจากคนมองมากกว่า ขนาดที่เห็นจึงเล็กลงตามปรากฏการณ์อากาศกิน กลายเป็นขนาดเท่ากับช่อฟ้าของจั่วแรก ส่วนหลังคาชั้นซ้อนที่อยู่บนสุดติดช่อฟ้าขนาดใหญ่กว่าทั้งหมด เพื่อชดเชยอัตราอากาศกินที่มากกว่าเพื่อน จนขนาดที่ปรากฏต่อสายตาลดลงมาเท่าๆ กับช่อฟ้าเหนือยอดจั่วอื่น เมื่อมองด้านข้างจะเห็นว่ามีขนาดไม่เท่ากันเลย...

ที่มาข้อมูล : รองศาสตราจารย์ วีระ อินพันทัง (๒๐๑๖). เชิงช่างทางไทย: กลวิธีแก้อากาศกิน. NAJUA: Architecture, Design and Built Environment, 22, 1. Retrieved from



หัวข้อ: Re: ความหมายของชื่อวัดเทพศิรินทราวาส - Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 26 กันยายน 2565 14:39:59
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/50582415651943_308431140_413491477571378_1016.jpg)

ความหมายของชื่อวัดเทพศิรินทราวาส
---------------------------

วัดเทพศิรินทราวาสเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่บนถนนกรุงเกษม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๑๙ เพื่อเฉลิมพระเกียรติและอุทิศถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี

เอกสารจดหมายเหตุที่จะนำเสนอเป็นรายการที่ ๔ คือ เอกสารกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดกระทรวง-กองกลาง รหัส ศธ ๙๙/๔๒ เรื่อง เปลี่ยนวิธีใช้อักษรวัดเทพศิรินทราวาส [๒ภ-๒๔ ก.ค.๒๔๕๗] [๗ แผ่น] เอกสารรายการนี้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส มีหนังสือถึงเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เสนาบดีกระทรวงธรรมการ เพื่ออธิบายการเขียน ความหมายของชื่อวัดเทพศิรินทราวาส และให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทุกแผนกทราบและปฏิบัติโดยทั่วกัน ความว่า

 “ชื่อวัดเทพศิรินทราวาส มาเขียนกันว่า เทพศิรินธราวาศ ที่แปลว่าวัดของท่านผู้ทรงศรีแห่งเทวดา ดูความเชิยมาก ใม่หมายความว่าพระอินทร์เลย ฉันเข้าใจว่า พระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟัก) ผู้คิดพระนามสมเดจพระบรมราชชนนีในรัชกาลที่ ๕ คงจะหมายความอย่างอื่น คือ เทพ+ศิร+อินทร์ เข้าสนธิเปน เทพศิรินทร์ แปลความว่า พระจอมเกล้าของเทวดา ใช้ในสัตรีลิงค์ หมายความว่าพระมเหสีของพระจอมเกล้าแห่งเทวดา ได้สอบดูอักษรจารึกพระโกศพระบรมอัฐิ แลพระโกศพระอัฐิพระชนนีของท่าน เขียนว่า กรมสมเดจพระเทพศิรินทรามาตย์ทุกแห่ง ฉันได้ทูลสมเดจบรมบพิตรพระราชสมภาร ในแผ่นดินปัตยุบัน ทรงพระอนุมัติแลตรัสให้ใช้ตามนี้ ต่อมาได้พบในสำเนาประกาศเฉลิมพระนามาภิไธยในสมุดประกาศตั้งกรมซึ่งได้พิมพ์แจกเมื่อพระเมรุวัดราชาธิวาสคราวนี้ ก็ใช้อักษรเช่นนั้น เจ้าแบบแผนในชั้นหลัง ใม่รู้เท่าพระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟัก) เหนศัพท์ในอรรถกถาธรรมบทว่า เทวรัช์ชสิรีธโร ก็แก้เปนเทพศิรินธร์ไปเสิย เช่นนี้ จะต้องอ่านว่า เทพศิรินธอน วันนี้อ่านร่างทำเนียบ เหนเขียนชื่อว่า วัดเทพศิรินธราวาส จึงบอกมาให้รู้ เพื่อใช้ให้ถูกหลัก”

หมายเหตุ : การสะกดคำยึดการสะกดคำตามอักขรวิธีปัจจุบัน ยกเว้นชื่อเรื่องรายการ คำศัพท์เฉพาะ หรือการคัดลอกข้อความ จะคงสะกดตามที่ปรากฏในเอกสารจดหมายเหตุรายการนั้นๆ


ที่มา : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร
สืบค้นและเรียบเรียง : น.ส. ดุษฎี ชัยเพชร นักจดหมายเหตุชำนาญการ


หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 19 ตุลาคม 2565 12:46:45
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/59283710602256_311716883_5594587377284592_826.jpg)

อาชีพคนปลุกได้รับความนิยมในอังกฤษ ช่วงทศวรรษที่ ๑๙๓๐ เนื่องจากนาฬิกาในสมัยนั้นมีราคาสูง
ทำให้คนงานจ้างคนมาปลุกทุกเช้า โดยจ่าย ๖ เพนนีต่อสัปดาห์
วิธีการปลุกของเธอ คือ การนำเมล็ดถั่วใส่ในท่อแล้วเป่าให้กระทบกับหน้าต่างเป็นเสียงปลุกในทุกเช้า
และเธอไม่ยอมไปไหนจนกว่าคนงานจะตื่นออกจากห้องพัก!


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/64405229356553_310940876_5572069922869671_338.jpg)

รองเท้ามีเดือยเช่นนี้ ผลิตขึ้นในปี ค.ศ.๑๙๕๕ โดยช่างทำรองเท้าในอิตาลี และนิยมใช้กันมากในกรุงโรม
เจ้าเดือยทั้งด้านหัวกับส้นรองเท้า มีไว้เพื่อป้องกันตัวจากการถูกคุกคามทางเพศในที่สาธารณะ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/46911416451136_310742993_5565762963500367_169.jpg)

บางครั้ง… รองเท้าอาจไม่ได้มีไว้โชว์
รู้หรือไม่ในอดีตรองเท้าส้นตึกสำหรับผู้หญิงยุโรปไม่ได้มีไว้ใส่เพื่อโชว์รองเท้า แต่มีไว้เพื่อ "เพิ่มความสูง"
เป็นการโชว์กระโปรงอันยาวกรุยกราย ซึ่งปิดรองเท้านั้นไว้ ภาพนี้วาดโดย ปิเอโตร แบร์เตลลี
ชื่อ “หญิงคณิกาและกามเทพตาบอด” เผยให้เห็นกางเกงชั้นในสไตล์เวนิส และรองเท้าส้นตึก
งานนี้ทำขึ้นในปี ค.ศ.๑๕๘๘ ตั้งใจทำให้กระโปรงเปิดได้เพื่อให้ตลก


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/80574016562766_310485234_5562314673845196_595.jpg)

สลักประตูสุสานพระเจ้าตุตันเมนแห่งอียิปต์ ถ่ายปี ๑๙๒๒  สลักนี้ไม่เคยถูกทำลายมา ๓,๒๔๕ ปีก่อนหน้านั้น


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/22597799698511_310284717_5555920511151279_883.jpg)

ถ้ำยูโทรบา ในประเทศบัลแกเรีย

เป็นถ้ำอายุกว่า ๒,๕๐๐ ปีที่มนุษย์เจาะขึ้น   คำว่ายูโทรบา แปลตรงตัวว่า "จิ๋ม" ถ้ำนี้สูง ๓ เมตร
กว้าง ๒.๕ เมตร ถ้ำตั้งอยู่บนเขา ถ้าฝนตกจะมีน้ำไหลจากถ้ำลงตีนเขา นักโบราณคดีเชื่อว่าถ้ำนี้
ถูกสร้างเป็นวิหารแห่งจิ๋ม โดยชนเผ่าที่สาบสูญ ชื่อว่าชาวทราเซียน   พวกทราเซียนเจาะช่องไว้
บนเพดานถ้ำให้มีแสงสว่างตกกระทบลงมาเป็นรูปจู๋ และจะมีแค่บางช่วงเวลาของปี  ซึ่งแสงรูปจู๋
นั้นจะแยงเข้าไปถึงแท่นบูชาส่วนลึกของถ้ำ นัยว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการผสมพันธุ์   เชื่อว่าชาว
ทราเซียนนับถือถ้ำนี้เพราะในยุคโบราณเซ็กส์คือเครื่องหมายแห่งความอุดมสมบูรณ์  จนปัจจุบัน
ชาวบัลแกเรียบางคนที่อยากมีลูกหรือมีปัญหามีลูกยาก ก็ยังไปขอพรกับถ้ำนี้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/14886487772067_309691553_5550253565051307_261.jpg)
ภาพแซมสัน

แซมสัน ม้าที่ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์โลก แซมสันเป็นม้าพันธุ์ไชร์ สูง ๒.๑๙ เมตร หนักสูงสุด
ที่ชั่งคือ ๑,๕๒๔ กิโลกรัม อนึ่งม้าสายพันธุ์ไชร์เป็นม้าอังกฤษ พวกมันจัดว่ามีส่วนสูงและน้ำหนักมากที่สุดในหมู่ม้า
ภาพนี้ถ่ายปี ๑๘๕๐


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/25930354164706_305817503_5486617291414935_686.png)

ถ้วยกระโหลกมนุษย์ (Skull Cup)

จากภาพซ้าย คือถ้วยกระโหลกมนุษย์ที่ถูกค้นพบในถ้ำกัฟ (Gough's Cave) เขตซัมเมอร์เซ็ท ประเทศอังกฤษ
เป็นถ้วยกระโหลกของมนุษย์ถ้ำกัฟเมื่อราว ๑๔,๗๐๐ ปีก่อน ซึ่งถือว่าเป็นถ้วยกระโหลกมนุษย์ที่มีความเก่าแก่
มากที่สุดในโลก  ถ้วยกระโหลกมนุษย์นี้ไม่พบร่องรอยของการต่อสู้ นักวิทยาศาสตร์จึงสันนิษฐานว่ามันถูกทำ
ขึ้นเพื่อใช้ในการทำพิธีกรรมมากกว่าการกินเนื้อคนเพื่อเอาชีวิตรอดของมนุษย์ถ้ำกัฟในยุคนั้น  นอกจากนี้ถ้วย
กระโหลกมนุษย์ยังมีการถูกค้นพบในอินเดียและทิเบต มีชื่อเรียกว่า “กปาละ” (Kapala) ในภาพขวา  หรือใน
ภาษาไทยบ้านเราที่ยืมเอามาใช้เป็นคำว่า “กบาล” หมายถึงศีรษะนั่นเอง ถ้วยกระโหลกมนุษย์นี้ใช้ประกอบพิธี
กรรมในพุทธศาสนาวัชรยานหรือมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่า ลัทธิตันตระ

ในลัทธิตันตระ  ถ้วยกระโหลกมนุษย์ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ทางปัญญา รวมถึงเป็นต้นกำเนิดของปัญญาที่จะพา
ไปสู่การบรรลุธรรม และยังเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของการส่งมอบความรู้ของอาจารย์ให้กับลูกศิษย์
อีกด้วย


ขอบคุณเพจ The Wild Chronicles - ประวัติศาสตร์ ข่าวต่างประเทศ ท่องเที่ยวที่แปลก (ที่มาข้อมูล/ภาพ)


หัวข้อ: Re: ท่อโสมสูตร - Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 23 ตุลาคม 2565 19:33:21
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/41238903999328_77410368_2001018683377688_4932.jpg)

ท่อโสมสูตร

ท่อโสมสูตร (Somasutra) เป็นท่อที่ใช้รองรับน้ำอภิเษกจากการบูชาเทวรูปและพระพุทธรูป ในวัฒนธรรมอินเดียที่ส่งผ่านมายังวัฒนธรรมเขมรโบราณ โดยทั่วไปท่อโสมสูตรจะยื่นออกมาจากตัวอาคารเพื่อให้น้ำไหลมาภายนอกอาคาร สำหรับให้ผู้คนนำไปบูชา

ท่อโสมสูตรบางแห่งมีการสลักตรงปลายท่อเป็นรูปสัตว์มงคลตามคติของศาสนาฮินดูเช่น มกร (/มะ-กอน/ หรือ /มะ-กะ-ระ/)

ท่อโสมสูตรมักถูกวางทางทิศเหนือ ตามความเชื่อที่ว่าทิศเหนือเป็น “คงคาทิศ” ตามตำแหน่งที่ตั้งของแม่น้ำคงคาที่เมืองพาราณสี ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของอินเดีย


ที่มา : อุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม สระแก้ว


หัวข้อ: Re: น้ำตกที่ไม่เคยถึงพื้น น้ำตกเอนเจล (Angel Falls) - Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 31 ตุลาคม 2565 20:09:47
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/94108389193813_122447852_10158581123672226_80.jpg)

น้ำตกที่ไม่เคยถึงพื้น
น้ำตกเอนเจล (Angel Falls)

น้ำตกเอนเจล (Angel Falls) เป็นน้ำตกที่ตั้งอยู่กลางป่าดงดิบในประเทศเวเนซุเอลา เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในโลก มีความสูงกว่า ๙๗๙ เมตร หรือสูงกว่าไนแอการาถึง ๑๘ เท่า ผู้ที่จะเข้าชมน้ำตกสามารถเข้าไปโดยทางเรือและเครื่องบินเท่านั้น โดยชื่อของน้ำตกเอนเจล (Angel Falls) นี้เรียกตามชื่อผู้ค้นพบคนแรกที่ชื่อว่า เจมส์ ครอว์ฟอร์ด แองเจล นักบินชาวสหรัฐอเมริกาที่บินผ่านเหนือพื้นที่นี้ในปี ค.ศ ๑๙๓๕ แต่ในภาษาเปมอน ซึ่งเป็นภาษาของคนพื้นเมืองเวเนซุเอลา เรียกว่า ปาราคุปา-เวนา ซึ่งหมายถึงน้ำที่ตกจากจุดที่สูงที่สุด หรือ เคเรปาคุปาอิ เมรู หมายถึงน้ำตกแห่งสถานที่ที่ลึกที่สุด หรือยังมีอีกชื่อคือ ชูรุน เมรู ที่หมายถึงน้ำตกสายฟ้าอีกด้วย

ความพิเศษคือน้ำจากด้านบนบางส่วนจะไม่สามารถตกถึงพื้นได้ เนื่องจากความสูงของน้ำตกทำให้กว่าน้ำจะถึงพื้นมันก็กลายเป็นหมอกไปซะก่อน ทำให้พื้นที่บริเวณนี้มีหมอกหนาปกคลุมตลอดเวลา และในปี ๒๐๐๙ ประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซแห่งเวเนซุเอลาได้ประกาศเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการของน้ำตกนี้ ให้เป็นชื่อพื้นเมืองดั้งเดิม คือ เคเรปาคุปาอิ เมรู โดยให้เหตุผลว่า "น้ำตกนี้เป็นของชาวเวเนซุเอลามานมนานก่อนที่ชาวอเมริกัน จิมมี แองเจิล จะมาพบ"


http://www.youtube.com/watch?v=BWnA0nZdLM4 (http://www.youtube.com/watch?v=BWnA0nZdLM4)


หัวข้อ: Re: พระราชทานเพลิงพระศพ/ศพคราวละมากๆ ในกัมพูชา - Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 14 มกราคม 2566 14:07:45

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/42471063716543_314407600_454655070107321_7909.jpg)

พระราชทานเพลิงพระศพ/ศพคราวละมากๆ

ตามธรรมเนียมการพระราชทานเพลิงศพเจ้านายกัมพูชา จะนิยมนำมาพระราชทานเพลิงเมื่อคราวมีการจัดงานพระเมรุใหญ่ๆ เช่นงานของพระมหากษัตริย์ เมื่อสิ้นพระชนม์ลงก็จะเก็บพระศพไว้ก่อน กว่าจะถึงงานใหญ่ก็มีหลายพระองค์หลายท่านที่สิ้นไป พอมีงานพระเมรุใหญ่ๆ ก็จะเชิญพระศพ/ศพ มาพระราชทานเพลิงในพระเมรุมาศต่อจากงานหลัก เช่น

ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามาเทวาวตาร ได้มีการนำพระบรมศพ,พระศพ และศพของสมเด็จพระวรราชินี (เภา) พระวรราชมารดาในพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์, สมเด็จพระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์, พระองค์เจ้า, หม่อมเจ้า, สนมนางใน และขุนนางชั้นผู้ใหญ่ รวม ๒๗ ท่าน  (ขุนนางพระราชทานเพลิงนอกพระเมรุมาศ) โดยพระวรราชมารดานั้น สวรรคตมาได้ ๓๗ ปีแล้ว

ในงานออกเมรุของสมเด็จพระมหาสังฆราชนิล เที่ยง คณะมหานิกาย ได้มีการจัดงานพระเมรุใหญ่โต ประดิษฐานพระโกศบนแท่นเบญจา ๙ ชั้นเท่ากับพระมหากษัตริย์ ในครั้งนั้นได้มีการเชิญพระศพ/ศพ พระองค์เจ้า,หม่อมเจ้า และสนมนางใน มาพระราชเพลิงต่อด้วยในพระเมรุรวม ๑๑ ท่าน

โดยเหตุผลที่เห็นได้ง่ายๆ ก็คือ เป็นการประหยัดงบประมาณ เพราะงานพระเมรุเป็นงานที่มีค่าใช้จ่ายสูง ราชวงศ์กัมพูชาขณะนั้นก็ไม่ได้มั่งคั่งมากมาย พึ่งจะตั้งตัวได้ และพึ่งตั้งราชธานีใหม่ จนมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์เป็นต้นมา ที่พระบรมวงศานุวงศ์ ทำงานทำธุรกิจเอง พอมีทรัพย์สิน ก็จะทำพระเมรุเอง ซึ่งส่วนมากก็เป็นพระองค์เจ้า (ลูกหลวง) ขึ้นไป


750


หัวข้อ: Re: วันสถาปนากรุงเทพมหานครฯ : Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 21 เมษายน 2566 16:18:00
(https://cms.kapook.com/uploads/tag/7/ID_6901_5befb41ec7481.jpg)

วันที่ ๒๑ เมษายน
วันสถาปนากรุงเทพมหานคร

วันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๖๖ วันสถาปนากรุงเทพมหานครฯ ครบรอบ ๒๔๑ ปี

นับแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๓๒๕ ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ย้ายราชธานีจากฝั่งธนบุรี มาที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วจัดให้ตั้งการพระราชพิธียกเสาหลักเมืองสำหรับพระนครขึ้นเพื่อเป็นหลักชัยอันสำคัญ พระฤกษ์ยกเสาหลักเมืองกระทำในวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีขาล ตรงกับวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ เวลา ๐๖.๕๔ น. พระราชทานนามพระนครใหม่ว่า "กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์”

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้ทรงเปลี่ยนจาก 'บวรรัตนโกสินทร์' เป็น 'อมรรัตนโกสินทร์'

ความหมาย “พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร อันเป็นที่สถิตของพระแก้วมรกต เป็นนครที่ไม่มีใครสามารถรบชนะ มีความงามอันมั่นคงและเจริญยิ่ง

เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้ว ๙ ประการ น่ารื่นรมย์ยิ่ง มีพระราชนิเวศน์ใหญ่โตมากมาย เป็นวิมานเทพที่ประทับของพระราชาผู้อวตารลงมา ซึ่งท้าวสักกะเทวราชพระราชทานให้พระวิษณุกรรมลงมาเนรมิตไว้”



ที่มา :
     - กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร (เรื่อง)
     - cms.kapook.com (ภาพประกอบเนื้อเรือง)



หัวข้อ: Re: ตึกมหาราช ตึกราชินี - Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 27 เมษายน 2566 13:50:35
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/72709448635578_343210791_712651767303872_7399.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/78705449153979_343340907_994260761744525_2739.jpg)

ตึกมหาราช ตึกราชินี

ตึกมหาราช ตึกราชินีตั้งอยู่ที่ ตำบลอ่างศิลา อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี ตามพระราชพงศาวดารระบุว่า สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ สมุหกลาโหม ได้ก่อสร้างตึกขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อเป็นที่พักฟื้นของคนป่วย และเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (เจ้าคุณกรมท่า) ได้ก่อสร้างอาคารก่ออิฐถือปูนขึ้นมาอีกหลังหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กกว่า อาคารทั้งสองหลังเดิมเรียกกันว่า “อาศรัยสถาน

พุทธศักราช ๒๔๔๐ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินี ในระหว่างที่ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรป ได้ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์พระราชทานซ่อมแซมอาคารทั้งสองหลัง เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามอาศรัยสถานทั้ง ๒ หลัง โดยโปรดเกล้าฯให้เรียกอาคารหลังใหญ่ว่า “ตึกมหาราช” อาคารหลังเล็กว่า “ตึกราชินี”

กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานตึกมหาราชตึกราชินีในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๓ ตอนพิเศษ ๕๐ง ลงวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๓๙ พื้นที่โบราณสถานประมาณ ๑๙ไร่ ๓ งาน ๙๓ ตารางวา


ที่มา :  สำนักศิลปากรที่๕ปราจีนบุรี กรมศิลปากร \#กระทรวงวัฒนธรรม


หัวข้อ: Re: คำว่าสวัสดี ใช้ครั้งแรกเมื่อไหร่? - Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 30 สิงหาคม 2566 16:15:05
(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/f/ff/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3_%28%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1_%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B0%29.jpg)
พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ)

คำว่าสวัสดี ใช้ครั้งแรกเมื่อไหร่?

ผู้ที่ริเริ่มใช้คำว่า "สวัสดี" คือ พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ)

โดยพิจารณามาจากศัพท์ "โสตถิ" ในภาษาบาลี หรือ "สวัสติ" ในภาษาสันสกฤต

เริ่มใช้เป็นครั้งแรก ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขณะที่พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนาชีวะ) เป็นอาจารย์อยู่ที่นั่น

หลังจากนั้น ในปี พ.ศ.๒๔๘๖ (เมื่อ ๘๐ ปีก่อน) จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นเห็นชอบให้ใช้คำว่า "สวัสดี" เป็นคำทักทายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ ๒๒ มกราคม ๒๔๘๖ เป็นต้นมา

ส่วนคำว่า "ราตรีสวัสดิ์" ซึ่งเป็นคำแปลจากคำว่า "good night" เป็นคำลาในภาษาอังกฤษ ได้ถูกสร้างขึ้นในสมัยของจอมพล ป.พิบูลสงคราม เช่นกัน

โดยกำหนดให้คนไทยทักกันตอนเช้าว่า "อรุณสวัสดิ์" มาจากคำว่า "good morning" และให้ทักกันในตอนบ่ายว่า "ทิวาสวัสดิ์" มาจากคำว่า "good afternoon" ส่วนตอนเย็นให้ทักกันว่า "สายัณห์สวัสดิ์" มาจากคำว่า "good evening"

แต่เนื่องจากต้องเปลี่ยนไปตามเวลา จึงไม่เป็นที่นิยม คนไทยนิยมใช้คำว่า "สวัสดี" มากกว่า เพราะใช้ได้ตลอดเวลา

แต่กระนั้น คนไทยก็ยังคงใช้อยู่บ้างบางคำคือ คำว่า อรุณสวัสดิ์ และราตรีสวัสดิ์



ข้อมูลจาก : kroobannok.com


หัวข้อ: Re: ตลาดทุเรียนที่สำคัญของไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ : Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 01 ตุลาคม 2566 17:47:27
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/84074946037597_383984659_815674897225358_8844.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/29209621871511_384671916_815674877225360_8622.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/19962399039003_385413241_815674893892025_2513.jpg)

“ตลาดทุเรียน” ที่สำคัญของไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕


“ตลาดทุเรียน” ที่สำคัญของไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ขึ้นชื่อที่สุดอยู่บริเวณ “ตลาดยอด” ย่านบางลำพู

แหล่งปลูกทุเรียนจะมีทั้งนอกกรุงเทพและในกรุง​เทพ โดยทุเรียนอร่อยจะอยู่แถวบางลำพูล่าง และย่านถนนตก บางคนชอบกินทุเรียนแบบสุกแตกก้นปริและกินห่าม​แล้วแต่สายพันธุ์ทุเรียน

“ทุเรียนโบราณ” นอกจากจะมีสายพันธุ์ หมอนทอง ก้านยาว กบ กำปั่น ชะนีแล้ว ทุเรียนโบราณยังมี กระเทย พวงมณี นมสด แม่หวาด ทองหยิบ จอกลอย เป็นต้น และในเอกสารโบราณเคยมีการระบุชื่อทุเรียนไว้มากว่าร้อยชื่อ
.
ทุเรียนสมัยอยุธยา เป็นการนำมาจากภาคใต้ของประเทศไทย และมีการปรับปรุงพันธุ์อย่างสม่ำเสมอตลอดมา สามารถมาปลูกได้ที่อีสานใต้ได้ด้วย เช่น ทุเรียนภูเขาไฟ จ.ศรีสะเกษ เป็นต้น



ขอขอบคุณที่มา : เพจ บอกข่าว เล่าเรื่อง
(เรียบเรียงโดย kaijeaw.in.th
ที่มา Danny Karn
รูปจาก กลุ่มคันฉ่องส่องไท)


หัวข้อ: Re: Did you know?
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 06 ตุลาคม 2566 17:17:21
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/51084010716941_382449450_297651099560117_5564.jpg)

น.หนู แทนนาม
โดย นางสาวตะวัน  ประนิล  บรรณารักษ์ชำนาญการ  กลุ่มบริการทรัพยากรสารสนเทศ

น.หนู แทนนาม"

ปกติใช้คำแทนตัวว่าอะไรกันบ้าง? คำสรรพนามในภาษาไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยแบ่งประเภทการใช้เป็นหลากหลายระดับ เช่น กู ตู ข้า เผือ เรียม เรา ดิฉัน กระผม ข้าพเจ้า ท่าน คุณ เธอ หนู เป็นต้น แต่มีคำว่า “หนู” ที่แปลกกว่าคำอื่นเพราะเหมือนเป็นการนำชื่อของสัตว์มาใช้เป็นคำสรรพนาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔  อธิบายว่า หนู สรรพนามบุรุษที่ ๑ ใช้ในกรณีผู้น้อยใช้กับผู้ใหญ่, สรรพนามบุรุษที่ ๒ ผู้ใหญ่ใช้เรียกคนที่อายุน้อยกว่า มีความหมายในทางเอ็นดู เช่น หนูแดง หนูน้อย นิยมใช้กันมากตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ ใช้ได้กับทั้งผู้ชายและผู้หญิง
 
การใช้สรรพนามคำว่า “หนู” นั้นปรากฏใช้สมัยรัตนโกสินทร์ ในพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ มีความตอนหนึ่งว่า “หมอแกว่าฉันฟันขาวดูหนุ่มขึ้นเหมือนอายุสัก ๓๐ ปี ฟันขาวดูมันเป็นเจ้าหนูขึ้นหน่อยๆ” นอกจากนี้แล้วพระราชวินิจฉัยของรัชกาลที่ ๖ เกี่ยวกับที่มาของคำว่า “หนู” พบในประกาศยกเลิกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยคำนำนามเด็ก พ.ศ.๒๔๖๔ ในราชกิจจานุเบกษา ความตอนหนึ่งระบุว่า “ทรงพระราชดำริห์ว่า คำว่า “หนู” เป็นศัพท์ที่เพี้ยนมาจากภาษาจีนว่า ‘อินู’ ไม่สมควรใช้สำหรับเปนคำนำนามเด็กที่เปนเชื้อชาติสยามแท้จึงได้ยกเลิกเสีย ให้คงใช้คำว่า ‘เด็ก’ ซึ่งเป็นคำไทยแท้นั้นแต่คำเดียว...”

คำสรรพนามในภาษาไทยเป็นคำที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมหลายประการ เช่น การมีสัมมาคารวะ การรู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ความอ่อนน้อมถ่อมตนและยกย่องให้เกียรติผู้อื่น การให้ความสำคัญกับชายหญิง ความผูกพันระหว่างครอบครัวและเครือญาติ เป็นต้น ซึ่งจะแตกต่างจากคำสรรพนามในภาษาอังกฤษจะใช้แค่คำว่า I กับ You เป็นส่วนใหญ่ เราจึงควรให้ความสนใจกับการใช้คำสรรพนามในภาษาไทยโดยใช้ให้ถูกต้อง เพื่อรักษาวัฒนธรรมของชาติให้ยาวนานสืบไป





(http://www.sookjaipic.com/images_upload/16259393634067_385741583_696142049215980_1710.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/59641354986362_386357260_696142075882644_1284.jpg)

กฎหมายอาณาจักรหลักคำ

กฎหมายอาณาจักรหลักคำ เป็นหนังสือพับสาหรือหนังสือกระดาษสาโบราณ ขนาดกว้าง ๑๑.๘ เซนติเมตร ยาว ๓๖.๕ เซนติเมตร หนา ๕ เซนติเมตร  ตัวบทกฎหมายจะกล่าวถึงการแบ่งเขตการบริหารราชการ การกำหนดฐานะทางสังคม การควบคุมกำลังคน เช่น การควบคุมการเดินทางของไพร่การควบคุมพฤติกรรมของประชาชนและพระสงฆ์ การกำหนดบทคุ้มครอง

ผู้หญิงไม่ให้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ นอกจากนี้ยังแสดถึงนโยบายสนับสนุนการเกษตรกรรมเช่น การทำเหมืองฝาย การกำหนดโทษผู้ทำความเสียหายให้แก่ทุ่งนา การส่งเสริมการค้าโดยการควบคุมราคาสินค้า การป้องกันการทำเงินปลอม การใช้กฎหมายระหว่างเมืองประเทศราช เป็นต้น

โดยให้อำนาจสิทธ์ขาดแก่เจ้าเมืองน่าน และใช้ปกครองเมืองน่านเพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นหลักฐานสำคัญที่ใช้ศึกษาถึงพัฒนาการทางกฎหมายที่ใช้ปกครองบ้านเมืองของท้องถิ่นและของชาติ นอกเหนือจากกฎหมายมังรายธรรมศาสตร์และกฎหมาย ตราสามดวง สะท้อนถึงการตั้งนครรัฐและพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และสังคมเมืองน่าน

ปัจจุบันจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน จังหวัดน่าน ได้รับการขึ้นทะเบียน มรดกความทรงจำของประเทศไทย ระดับท้องถิ่น วันที่ ๒๐/๑๒/๒๕๕๙



ขอขอบคุณที่มา (ข้อมูล/ภาพ) - กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร