หัวข้อ: สักการะสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ณ ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ อ.เมือง จ.ตาก เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 08 ธันวาคม 2561 13:33:32 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/13659889747698_1.JPG) พระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระมหากษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทย ให้กลับคืนมาดำรงอิสรภาพสืบมา ประดิษฐาน ณ ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน อ.เมือง จ.ตาก ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช บริเวณสี่แยกถนนจรดวิถีถ่อง อ.เมือง จ.ตาก
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในสมัยธนบุรี ได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาราชพระองค์หนึ่งของไทย เนื่องจากพระปรีชาสามารถในการสงคราม ทรงเป็นผู้นำในการกอบกู้เอกราชของชาติไทยคราวเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าในปี พ.ศ.๒๓๑๐ ตลอดจนทรงรวบรวมอาณาจักรไทย ซึ่งในขณะนั้นตกอยู่ในสภาพแตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่าให้กลับตั้งตัวเป็นชาติไทยได้อีกครั้งหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงมีกำเนิดในตระกูลสามัญชน เสด็จพระราชสมภพในปีขาล ฉอศก จุลศักราช ๑๐๙๖ ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๕ ตรงกับวันที่ ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๒๗๗ (ดวงพระชะตาปรากฏอยู่ในสมุดของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์) ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ หรือ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา พระนามเดิมว่า สิน บิดาชื่อไหยฮอง เป็นขุนพัฒน์ นายอากรบ่อนเบี้ยผู้มั่งคั่ง มารดาชื่อนกเอี้ยง ตั้งบ้านเรือนอยู่หน้าทำเนียบท่านเจ้าพระยาสมุหนายก ขณะประสูติออกจากครรภ์มารดานั้น ปรากฏว่า ได้เกิดฟ้าผ่าลงมาตรงที่เสาดั้ง ณ ห้องเรือนที่ประสูติ แต่ไม่มีผู้ใดเป็นอันตราย ต่อจากวันประสูติได้ ๓ วัน มีงูเหลือมตัวใหญ่เข้าไปขดอยู่ในกระด้ง เป็นทักษิณาวัตรรอบพระวรกาย ท่านบิดามารดาเห็นดังนั้นก็ตกใจ เกรงว่าจะเป็นนิมิตร้าย ซึ่งตามประเพณีจีนนั้น เมื่อเกิดนิมิตดังนี้ บิดามารดาของเด็กจะต้องนำเด็กนั้นไปฝังเสียทั้งเป็น แต่สำหรับเมืองไทย ท่านบิดามารดาจะกระทำเช่นนั้นไม่ได้ ด้วยเกรงอาญาบ้านเมือง จึงตั้งใจแต่เพียงจะนำบุตรชายของตนไปทิ้งเสียให้พ้นเขตบ้าน เพื่อมิให้เกิดความอัปมงคลเสนียดจัญไรแก่บ้าน และแก่บิดามารดา ครั้นรุ่งเช้าของวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๒๗๗ รุ่งขึ้นจากวันพระราชสมภพ ท่านเจ้าพระยาจักรี สมุหนายก ได้ออกมาตักบาตรพระสงฆ์ตามกิจวัตรของท่าน ได้ทราบว่าจีนไหยฮองจะนำบุตรไปทิ้งเพราะเข้าใจว่าจะเกิดเสนียดจัญไรแก่ตนเองและครอบครัว และคิดว่านิมิตที่เกิดอัศจรรย์นั้น ชะรอยเด็กนั้นจะเป็นผู้มีบุญญาธิการต่อไปในภายหน้า จึงขอรับเด็กทารกนั้นไปเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม ก็เป็นที่พออกพอใจของบิดามารดา และนับแต่ท่านรับทารกบุตรจีนไหยฮองมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม นับแต่กาลบัดนั้นมา ท่านเจ้าพระยาจักรี สมุหนายก ก็ได้ลาภและทรัพย์สินหลั่งไหลมาเป็นอัศจรรย์ จนทำให้ท่านรู้สึกว่า การที่ท่านได้ลาภทรัพย์สินเป็นจำนวนมากมายนั้นคงเนื่องมาจากบุญญาธิการของเด็กทารกนั้นประการหนึ่ง ท่านจึงตั้งนามทารกบุตรจีนไหยฮอง นางนกเอี้ยง ว่า “สิน” ครั้นเติบใหญ่เด็กชาย “สิน” อายุได้ ๕ ขวบ ท่านเจ้าพระยาจักรี จึงนำตัวไปฝากให้ศึกษาเล่าเรียนในสำนักพระอาจารย์ทองดีมหาเถระ ณ วัดโกษาวาสน์ (หรือวัดคลัง) เด็กชายสินได้ศึกษาหนังสือไทยและหนังสือขอม จนมีความรู้พอสมควรแล้ว จึงได้เรียนพระไตรปิฎกในกาลต่อมา จากนั้นก็ถวายตัวทำราชการเป็นมหาดเล็ก ในสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำราชการอยู่ในหลวงศักดิ์นายเวร และได้เลื่อนเป็นพระยาตากปกครองเมืองตากในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ พระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา กรณีเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชบิดาพระราชมารดาของพระองค์ หนังสือซือสือเอ้อเหม๋จู ซึ่งเขียนขึ้นในสาธารณรัฐประชาชนจีน ยุคหลังราชวงศ์แมนจูแล้ว ให้ข้อมูลว่า พระราชบิดาพระนามเดิม เซิ่นยัง หรือ เซิ่งหยง เป็นชาวกวางตุ้ง ชอบเที่ยวเตร่ใช้เงินจนยากจนลง จึงอพยพมาเมืองไทย เกิดโชคดีมีฐานะมั่งคั่งเพราะการพนัน และได้สมรสกับหญิงไทยชื่อ ลั่วยั้ง หรือ นางนกยาง (จากการสังเกตเอกสารเก่า พบว่า ก.ศ.ร.กุหลาบ คงเป็นคนแรกที่ออกพระนามพระราชบิดาว่า หยง แซ่แต้ และออกพระนามพระราชมารดาว่า นกเอี้ยง) อย่างไรก็ตาม ต้วนลี่เซิงได้พบสุสานบรรจุฉลองพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ตำบลหัวฟู่ อำเภอเฉิงไห่ จังหวัดแต้จิ๋ว รวมทั้งศาลประจำตระกูลซึ่งสร้างขึ้นใน พ.ศ.๒๔๖๔ คงเป็นผู้สืบสกุลของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ส่งไปฝังแทนพระบรมศพตามธรรมเนียมจีน สิ่งนี้อาจเป็นหลักฐานว่า สายพระราชบิดามีถิ่นฐานเดิมอยู่ที่ตำบลนั้น ซึ่งเป็นถิ่นที่แห้งแล้ง ทำให้ต้องอพยพมาอยู่พระนครศรีอยุธยา พระราชพงศาวดารบันทึกว่า พ.ศ.๒๓๐๘ พระยาตากมาช่วยราชการสงครามป้องกันพม่าในพระนครศรีอยุธยา เนื่องจากพระยาตากมีฝีมือในการรบเข้มแข็ง มีความชอบในการสงคราม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งเป็นพระยาวชิรปราการ เจ้าเมืองกำเมืองเพชร ระหว่างทำศึกรักษาพระนครศรีอยุธยา แม้จะพยายามบัญชาการรบและต่อสู้ข้าศึกจนสุดความสามารถ แต่ด้วยความอ่อนแอของผู้บังคับบัญชา ทำให้พระยาวชิรปราการเกิดความท้อแท้ใจหลายครั้งหลายคราว เมื่อเห็นว่าจะอยู่ช่วยรักษากรุงก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด พระยาวชิรปราการ จึงตัดสินใจพาพรรคพวกประมาณ ๕๐๐ คน (พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรีฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ว่า ๑,๐๐๐ คน) ยกออกจากค่ายวัดพิชัย ตีฝ่าทัพพม่าไปทางทิศตะวันออก ในเวลากลางคืนของวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีจอ พ.ศ.๒๓๐๙ เรื่องการตีฝ่าวงล้อมพม่าไปตั้งตัวเพื่อกลับมากอบกู้เอกราชของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตามพระราชพงศาวดารไทย พระยาตากซึ่งได้เลื่อนเป็นเจ้าเมืองกำแพงเพชรตัดสินใจพาสมัครพรรคพวกตีฝ่าวงล้อมออกไปทางหัวเมืองชายทะเลตะวันออก พระยาตากกับพรรคพวกได้สู้รบชนะพม่าไปตลอดทาง จนกิตติศัพท์ความสามารถเป็นที่เลื่องลือ ทำให้มีผู้คนมาขอเข้าเป็นบริวารมากมาย เส้นทางการเดินทัพปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ดังนี้ ออกจากค่ายวัดพิชัยนอกกำแพงเมืองไปบ้านโพธิ์สังหาร บ้านพรานนก ผ่านนครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ครั้นถึงเมืองระยอง พระระยองพาพรรคพวกออกมาต้อนรับแต่โดยดี แต่ก็ยังมีกรมการเมืองบางส่วนคิดแข็งข้อ บังเอิญพระยาตากรู้ตัวเสียก่อน จึงวางแผนปราบผู้คิดร้ายแตกพ่ายไป และเข้ายึดเมืองระยองเป็นสิทธิ์ขาด พวกบริวารจึงเรียกว่า "เจ้าตาก" แต่นั้นมา ขณะนั้นทางกรุงศรีอยุธยายังไม่เสียแก่พม่า เจ้าตากจึงระวังตัวมิให้คนทั้งหลายเห็นว่าเป็นกบฏและให้เรียกคำสั่งเพียง พระประศาสน์ อย่างเจ้าเมืองเอก (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/21163754744662_3.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/59880959077013_4.JPG) ประชาชนจำนวนมากเข้าสักการะ บรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช บริเวณสี่แยกถนนจรดวิถีถ่อง อ.เมือง จ.ตาก (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/46869092020723_5.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/11546314342154_2.JPG) ภาพประวัติศาสตร์แสดงพระราชภารกิจการกอบกู้เอกราชคืนจากพม่า คราวเสียกรุงครั้งที่ ๒ มีต่อ โปรดติดตามตอนต่อไป หัวข้อ: Re: ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จ.ตาก เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 15 ธันวาคม 2561 15:44:47 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/88135586182276_8.JPG) ครั้นถึงเดือน ๕ พ.ศ.๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ราชบัลลังก์ทะลายสิ้นสูญ เมืองไทยก็ว่างกษัตริย์ เป็นจลาจล ความคิดของบรรดาผู้มีกำลังอำนาจก็เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ บางพวกก็คิดตั้งตัวเป็นใหญ่ แม้แต่พระยาจันทบุรีซึ่งเดิมเคยสัญญาว่าจะเป็นไมตรีกับเจ้าตากก็ไม่ทำตามสัญญา เจ้าตากจึงยกทัพไปปราบ ระหว่างทางผ่านเมืองชลบุรี นายทองอยู่นกเล็กก็พาสมัครพรรคพวกออกมาสวามิภักดิ์ เจ้าตากจึงตั้งให้เป็น พระยาอนุราฐบุรี ผู้ว่าการเมืองชลบุรี จากนั้นยกทัพไปยึดจันทบุรีและตราดตามลำดับ หลังจากยึดเมืองตราดได้แล้วเจ้าตากก็ยกทัพกลับมาตั้งมั่นที่จันทบุรีและใช้เป็นที่จัดเตรียมเสบียงอาหารและอาวุธ ระหว่างนั้นก็ได้แม่ทัพนายกองมาเพิ่มเติม ที่สำคัญคือ นายสุดจินดา มหาดเล็กหุ้มแพร (สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) หลังจากฤดูมรสุม เจ้าตากก็ยกทัพออกจากจันทบุรีเข้าปากแม่น้ำพระยาในเดือน ๑๒ ปีเดียวกัน เมื่อยึดธนบุรีได้แล้วจึงบุกเข้าโจมตีค่ายโพธิ์สามต้นที่พระนครศรีอยุธยา และสามารถยึดค่ายโพธิ์สามต้นได้ใน ๒ วัน การที่เจ้าตากมีชัยชนะเหนือพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้นนั้น เปรียบเสมือนเจ้าตากกอบกู้เอกราชของชาติไทยกลับคืนมาได้อีกครั้ง รวมเวลาไทยสูญเสียเอกราชแก่พม่าคราวนั้นเพียง ๗ เดือน ครั้นยึดค่ายโพธิ์สามต้นเป็นที่มั่นได้แล้ว เจ้าตากได้จัดการบ้านเมืองให้อยู่ในสภาพปกติ จัดหาที่ประทับให้แก่บรรดาเจ้านายที่ถูกพม่าควบคุมตัวไว้แต่ยังไม่ทันส่งไปพม่า จัดการปลดปล่อยผู้คนที่ถูกกักขังพร้อมทั้งแจกจ่ายทรัพย์สินเครื่องอุปโภคบริโภคโดยถ้วนหน้า แล้วให้จัดการพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าเอกทัศอย่างสมพระเกียรติ จากนั้นก็อพยพผู้คนมาตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองธนบุรี เพราะมีชัยภูมิเหมาะสมกว่ากรุงศรีอยุธยาหลายประการ เมื่อย้ายมาประทับที่กรุงธนบุรีแล้ว เจ้าตากทำพิธีปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติ แต่ไม่มีหลักฐานปรากฏชัดเจนว่าเมื่อใด ทางราชการจึงกำหนดเอาวันแรกสุดที่เสด็จออกขุนนางตามที่ปรากฏในจดหมายเหตุโหร เป็นวันคล้ายวันปราบดาภิเษก คือ วันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๑๑ ภายหลังปราบดาภิเษกแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงดำเนินการสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงทันที โดยนอกจากจะทรงทำสงครามขับไล่พม่าแล้ว ยังทรงปราบปรามบรรดาคนไทยที่แยกตัวไปตั้งเป็นชุมนุมต่างๆ ดังนี้ ๑.ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) เป็นเจ้าพระยาเมืองพิษณุโลก เมื่อนับกุงโปแม่ทัพหน้าของเนเมียวสีหบดียกลงมาจากเชียงใหม่เมื่อเดือนเจ็ด ปี พ.ศ.๒๓๐๘ นั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ทรงโปรดให้เจ้าพระยาพิษณุโลกคนนี้ เกณฑ์กองทัพฝ่ายเหนือต่อสู้รบกันที่เมืองสุโขทัย ในระหว่างที่เจ้าพระยาพิษณุโลกเรืองสู้รบกับกองทัพพม่า ณ เมืองสุโขทัยนั้น อยู่ข้างหลัง เจ้าฟ้าจืดขึ้นไปเมืองพิษณุโลกจับครอบครัวของเจ้าพระยาพิษณุโลกขังไว้แล้ว เจ้าฟ้าจืดขึ้นนั่งเมืองเสียเอง ครั้นเจ้าพระยาพิษณุโลกเรืองทราบเข้าก็กลับมาจับเจ้าฟ้าจืดถ่วงน้ำเสีย แล้วก็ไม่กลับไปรบพม่าอีก เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า เจ้าพระยาพิษณุโลกเรืองจึงตั้งตัวเองขึ้นเป็นเจ้า มีอาณาเขตตั้งแต่เมืองพิษณุโลกลงมาถึงเมืองนครสวรรค์ ๒.ชุมนุมเจ้าพระฝาง (เรือน) เจ้าพระฝางคนนี้ นามเดิมชื่อ เรือน เป็นชาวเมืองเหนือ ได้มาเล่าเรียนพระไตรปิฎก ณ กรุงศรีอยุธยา ได้เป็นมหา เรียกกันว่า “มหาเรือน” ต่อมาได้เป็นพระราชาคณะที่พระพากุลเถร สำนักวัดศรีอโยธยา ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็น พระสังฆราชาเมืองสวางคบุรี คือ เมืองฝางนั้นเอง เจ้าพระฝางมีคนนับถือมาก ลูกศิษย์ลูกหาทั่วบ้านทั่วเมือง ครั้นรู้ว่ากรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าข้าศึก เจ้าพระฝางก็เกลี้ยกล่อมหาสมัครพรรคพวกหลายเมือง ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าทั้งๆ อยู่ในสมณะเพศ นุ่งห่มผ้าแดง ผู้คนเกรงกลัวมาก มีอำนาจตั้งแต่เหนือเมืองพิษณุโลกขึ้นไป จนถึงเมืองแพร่ น่าน และหลวงพระบาง เป็นการแปลกประหลาดเท่าที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ไทย เจ้าพระฝางตั้งแม่ทัพนายกองเป็นพระสงฆ์องค์เจ้าทั้งนั้น มีนามปรากฏว่าเป็นพระครูศิริมานนท์ พระครูเพ็ชรัตน พระอาจารย์ทอง พระอาจารย์เกิด พระอาจารย์จันทร์ เป็นต้น แล้วเจ้าพระฝางก็ยกทัพมาตีเมืองพิษณุโลก ตั้งค่ายล้อมเมืองพิษณุโลกไว้ทั้งสองฟากแม่น้ำ เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ก็ยกกองทัพออกต่อสู้รบกันอยู่ประมาณ ๖ เดือน เมืองพิษณุโลกก็ไม่แพ้ เจ้าพระฝางจึงเลิกกองทัพกลับไป ๓.ชุมนุมเจ้าพระยานครศรีธรรมราช (หนู) เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งตั้งตัวเป็นเจ้านครครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา เดิมคือ หลวงสิทธิ์นายเวร ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งออกไปจากรุงศรีอยุธยา มีอำนาจทางการปกครองบ้านเมือง แต่เนื่องจากเจ้าพระยานครศรีธรรมราชมีความผิดถูกถอดกลับเข้ากรุงศรีอยุธยา ก็บังเอิญเกิดศึกพม่าจนกระทั่งเสียกรุงศรีอยุธยา จึงตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าครองเมืองนครศรีธรรมราช คนทั้งหลายเรียกว่าเจ้านคร มีอาณาเขตปกครองตั้งแต่เมืองปะทิว เมืองชุมพร ตลอดแดนเมืองมลายู ผู้คนทางปักษ์ใต้นิยมนับถือ นับว่ามีอำนาจมากอยู่ในยุคจลาจลครั้งนั้น ๔.ชุมนุมเจ้าพิมาย หรือกรมหมื่นเทพพิพิธ พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ซึ่งได้รวบรวมสมัครพรรคพวกพร้อมด้วยพระยารัตนาธิเบศหนีพม่าไปจากเมืองปราจีนบุรี ตั้งแต่เดือน ๘ ปี ๒๓๐๙ ไปตั้งมั่นอยู่ ณ ด่านโคกพระยา เมืองนครราชสีมา แล้วไปอยู่อาศัย ณ เมืองพิมาย ครั้นเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก จึงยกขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดิน เรียกว่า เจ้าพิมาย มีอาณาเขตทางทิศตะวันออกไปจนถึงแดนกรุงศรีสัตนาคนหุต และกรุงกัมพูชาทางใต้ลงไปถึงเมืองสระบุรีตลอดลำน้ำแควป่าสัก นับว่าเป็นชุมนุมที่มีหัวหน้าเป็นเจ้านายราชวงศ์ไทย มีขุนนางและผู้มีศักดิ์หนีพม่าไปพึ่งพระบารมีเป็นจำนวนมาก กระทั่งถึง พ.ศ.๒๓๑๓ ในที่สุดแห่งการต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมือง เจ้าตากสินจึงสามารถมีชัยเหนือชุมนุมต่างๆ ได้ทั้งหมด ส่งผลให้ชาติไทยกลับมารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้ง ในขณะเดียวกันก็ทรงดำเนินการแผ่ขยายพระราชอาณาเขตของกรุงธนบุรีออกไปอีกจนกว้างใหญ่ไพศาลกว่าสมัยกรุงศรีอยุธยา กล่าวคือ ทิศเหนือตลอดอาณาจักรล้านนา ทิศใต้ตลอดเมืองไทรบุรี และตรังกานู ทิศตะวันออกตลอดกัมพูชาจดญวนใต้ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือตลอดเวียงจันทน์ หัวเมืองพวน และนครหลวงพระบาง หัวพันห้าทั้งหก ทิศตะวันออกเฉียงใต้ตลอดเมืองพุทไธมาศ ทิศตะวันตกจดเมืองมะริดและตะนาวศรี ออกมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งในการขยายพระราชอาณาเขตของกรุงธนบุรีตลอดจนการทำสงครามขับไล่ข้าศึกศัตรูแต่ละครั้งนั้น แม่ทัพคนสำคัญที่มีบทบาทตลอดสมัยกรุงธนบุรีคือสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก และเจ้าพระยาสุรสีห์ น้องชาย (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ตามลำดับ) แม้ว่าตลอดรัชสมัยจะเต็มไปด้วยการศึกสงคราม พระองค์ก็ยังทรงเอาพระทัยใส่ดูแลทำนุบำรุงบ้านเมือง โปรดให้ชำระกฎหมายขึ้น โปรดให้พิจารณาตัดสินคดีความต่างๆ ตามปกติไม่ให้คั่งค้างแม้ในยามสงคราม โปรดให้ส่งสำเภาหลวงไปค้าขายถึงเมืองจีนตลอดถึงอินเดียตอนใต้ โปรดให้สร้างถนนขุดคูคลองเพื่อประโยชน์ด้านการค้าขายและด้านยุทธศาสตร์ไปพร้อมกัน นอกจากนี้ยังทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ไว้ถึง ๔ เล่มสมุดไทย โปรดให้บำรุงการศึกษาตามวัดวาอารามต่างๆ ให้ตั้งหอหนังสือหลวง รวบรวมตำราต่างๆ ที่กระจัดกระจายเมื่อคราวเสียกรุง โปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามใหม่และให้คัดลอกพระไตรปิฎกที่ยังหลงเหลือสร้างเป็นฉบับหลวง เป็นต้น ครั้นล่วงปลายรัชกาล พระราชพงศาวดารบันทึกว่าเกิดจลาจลในกรุงธนบุรี ด้วยเหตุว่า สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงใฝ่พระทัยในทางศาสนาทำให้สำคัญพระองค์ว่าบรรลุโสดาบัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชวิจารณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมของสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ไว้ในจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีว่า มิได้ทรงมีสัญญาวิปลาสอย่างที่เข้าใจกัน หากแต่ทรงอยู่ในลักษณะของคนที่รู้เท่าแต่หลงหน่อยๆ พระสติก็อยู่ข้างจะฟั่นเฟือง เกิดความวุ่นวายทั้งแผ่นดิน ผู้คนถูกลงโทษโดยปราศจากความผิดมีเพิ่มขึ้นทุกวัน ชาวกรุงเก่าบางพวกจึงรวมตัวกันก่อการกบฏ โปรดให้พระยาสรรค์ขึ้นไปปราบกบฏ แต่พระยาสรรค์กลับเข้าด้วยกับพวกกบฏยกทัพมาตีกรุงธนบุรีบังคับให้ทรงออกผนวช ซึ่งก็ทรงยินยอมแต่โดยดี ในระหว่างนั้นกรุงธนบุรีเกิดความวุ่นวายฆ่าฟันกันไม่เว้นแต่ละวัน เกิดสงครามกลางเมือง ระหว่างกรมขุนอนุรักษ์สงคราม(พระเจ้าหลานเธอในสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ) กับพระยาสุริยอภัย (กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช) โดยพระยาสุริยอภัยเป็นฝ่ายมีชัยในที่สุด และเมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกซึ่งกำลังยกทัพไปตีเขมรทราบข่าวการจลาจลก็รีบเลิกทัพกลับกรุงธนบุรีทันที หลังจากไต่สวนจนทราบเหตุการณ์ทั้งปวงและให้บรรดาข้าราชการทั้งปวงพิจารณาปรึกษาโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ แล้วก็ให้สำเร็จโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เสีย หลังจากนั้นเหล่าไพร่ฟ้าประชาราษฎร์จึงอัญเชิญสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สืบต่อมา สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สวรรคตในวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ พระชนมพรรษาได้ ๔๘ พรรษา รวมเวลาครองสิริราชสมบัติ ๑๕ ปี (วันสวรรคตนี้ยังหาข้อยุติไม่ได้ จดหมายเหตุโหรว่าวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๙ ว่าวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ และพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ว่า วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ.๒๓๒๕ เนื่องจากทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้มีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่แก่ปวงชนชาวไทย ทางราชการจึงกำหนดให้วันที่ ๒๘ ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และให้มีรัฐพิธีถวายสักการะ ณ พระบรมราชานุสาวรีย์ที่วงเวียนใหญ่ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๗ สืบมาทุกปี และวันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๒๕ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้เทิดพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ภาพพระราชภารกิจสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในการกอบกู้เอกราชคืนจากพม่า คราวเสียกรุงครั้งที่ ๒ จิตรกรรมฝาผนัง ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช อ.เมือง จ.ตาก (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/51598311919305_1_2_.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/92098352230257_2_2_.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/67362453912695_3_2_.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/19610952958464_4_2_.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/51919825830393_5_2_.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/99422866975267_6_2_.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/69991008316477_7.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/30931018085943_9.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/64680053955978_10.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/80345909918347_11.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/47347319291697_12.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/75018016497294_13.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/27557768838273_14.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/60977992456820_15.JPG) |