หัวข้อ: พระนามอันไพเราะ "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลภาเทวี" สตรีผู้อาภัพรัก เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 14:24:16 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/76960253591338__320x200_.jpg)
พระราชทาน พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลภาเทวี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลภาเทวี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี พระนามเดิม หม่อมเจ้าวรรณวิมล วรวรรณ มีพระนามเรียกกันในหมู่พระญาติว่า ท่านหญิงเตอะ หรือ ท่านหญิงขาว เป็นพระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ กับหม่อมอินทร์ วรวรรณ ณ อยุธยา ประสูติเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๓๕ เป็นที่รู้จักในฐานะเป็นอดีตพระคู่หมั้นในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) และได้รับการสถาปนาเป็น พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี เล่ากันว่า ท่านสวยงาม มีสง่าและทันสมัยยิ่งนัก พระองค์เป็นผู้ริเริ่มการสวมเครื่องประดับที่คาดศีรษะจนเป็นที่นิยมของสตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้รับการศึกษาและมีวิถีชีวิตเยี่ยงสตรีสมัยใหม่ ทรงมีความคิดอ่านอิสรเสรี ซึ่งพระบิดา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เป็นผู้ที่มีความสามารถ มีความรู้และความคิดที่กว้างไกลทันสมัย แม้กระทั่งการอบรมเลี้ยงดูพระโอรส-ธิดา ก็ทรงให้ได้รับการศึกษาสมัยใหม่ ไม่เข้มงวดดังการประพฤติปฏิบัติอย่างกุลสตรีโบราณ ทำให้เหล่าพระธิดาในกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์มีความคิดเห็นกว้างขวาง และกล้าที่จะแสดงออกในวัตรปฏิบัติผิดแผกแตกต่างไปสตรีส่วนมากในยุคสมัยนั้น ในเรื่องนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ ทรงเล่าไว้ใน เกิดวังปารุสก์ ตอนหนึ่งว่า "... ไม่มีผู้หญิงคนไทยครอบครัวใดที่จะช่างคุยสนุกสนานเท่าองค์หญิงตระกูลวรวรรณ เท่าที่ข้าพเจ้าเคยรู้จักพบมา..." พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะนั้นทรงมีพระชนมายุถึง ๔๐ พรรษา แต่ยังไม่เคยทรงรักใครมาก่อนเลย นับตั้งแต่ทรงเถลิงถวัลย์ราชสมบัติตั้งแต่พระชนมพรรษา ๓๑ พรรษา ก็ยังมิได้ราชาภิเษกสมรสหรือมีฝ่ายในดังพระมหากษัตริย์องค์ก่อนๆ ได้ทรงพบกับหม่อมเจ้าวัลภาเทวีครั้งแรกในงานประกวดภาพเขียนที่พระราชวังพญาไท ซึ่งนับเป็นงานชุมนุมของพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งผู้ใหญ่และหนุ่มสาว ในงานนี้บรรดาท่านหญิงทั้งหลายของราชสกุลวรวรรณจึงเสด็จมาในงานนี้ด้วยหลายองค์ ซึ่งในเรื่องนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ ทรงเล่าเกี่ยวกับการพบกันครั้งแรกของทั้งสองพระองค์ในหนังสือ เกิดวังปารุสก์ ความตอนหนึ่งว่า "... ข้าพเจ้าทูลว่า 'ทูลหม่อมลุงครับ ที่ห้องทางโน้นเขาเล่นไพ่บริดจ์กัน' ท่านทรงตอบว่า 'อย่างงั้นหรือ ลุงต้องไปดู บางทีจะไปเล่นกับเขาบ้าง' เมื่อท่านเสด็จไปเล่นจริงๆ ก็เลยไปพบท่านหญิงขาว..." ภายหลังจากนั้นก็ลือกันว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงพบรักครั้งแรกในชีวิตของพระองค์แล้ว ต่อมาไม่นานนัก ก็มีพระบรมราชโองการประกาศหมั้น พร้อมกับโปรดเกล้าฯ สถาปนาพระคู่หมั้นขึ้นเป็น “พระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลภาเทวี” โปรดเกล้าฯ ให้พระวรกัญญาปทาน ประทับในพระราชวังสวนจิตรลดา ขณะที่พระองค์เองทรงประทับอยู่ที่พระราชวังพญาไท ซึ่งอยู่ใกล้กัน ตลอดเวลาที่อยู่ในฐานะพระคู่หมั้น พระเจ้าอยู่หัวทรงแสดงความรักด้วยการเสด็จเยี่ยมเยือน โปรดเสด็จเสวยของว่างและโทรศัพท์คุยหากัน ทรงรับไปประพาสตามที่ต่างๆ ด้วยรถยนต์พระที่นั่ง ทรงออกงานสังคมร่วมกันอยู่เสมอ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ตรัสเล่าความว่า "...ทูลหม่อมลุงเสด็จเสวยของว่างที่นั่นทุกวัน ข้าพเจ้าก็ไปเฝ้าท่านที่นั่น บางเวลาเมื่อข้าพเจ้านั่งเฝ้าท่านอยู่ที่วังพญาไทเวลาทรงพระอักษร ทูลหม่อมลุงก็ทรงคุยกับคู่หมั้นของท่านโดยโทรศัพท์สังเกตว่าโปรดมาก..." เพียงปีเดียวยังไม่ทันจะทรงเข้าสู่พิธีราชาภิเษกสมรส ก็กลับมีพระบรมราชโองการให้ถอนหมั้น เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๔ และโปรดเกล้าฯ ให้ออกพระนามว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลภาเทวี ตอนหนึ่งว่า "...มีความเสียพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มาทรงทราบตระหนักแน่ชัดขึ้นว่า การจะไม่เป็นไปโดยเรียบร้อย สมพระราชประสงค์อันดีที่กล่าวมาแล้ว เพราะเหตุที่พระราชอัธยาศัยของพระวรกัญญาปทาน พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีมิได้ต้องกัน...จึงโปรดให้เป็นพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลภาเทวี สืบไป ตัดพระนามว่า ‘พระวรกัญญาปทาน’ ออกเสีย..." แล้วเชิญเสด็จพระองค์เจ้าวัลภาเทวี เสด็จไปประทับในพระบรมมหาราชวังต่อไป มิให้เสด็จออกมาภายนอก เล่ากันว่า พระองค์เจ้าวัลภาเทวี ทรงพบพระเจ้าอยู่หัวครั้งแรก ในขณะมีพระชนมายุถึง ๒๘ ปี ทรงเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว การที่ทรงมีชนมายุสูง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด มีความคิดที่ล้ำสมัยสตรีไทยในยุคนั้น และมีพระนิสัยค่อนข้าง “แข็ง” จึงไม่เป็นที่สบอารมณ์ของข้าราชบริพารสนิทในพระเจ้าอยู่หัว และข้อที่สนับสนุนพระนิสัย “แข็ง” ของพระองค์ เห็นได้จากบทความที่ทรงเขียนในเรื่อง ดำริหญิง ตีพิมพ์ในหนังสือดุสิตสมิธรายสัปดาห์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๓ ความว่า "...ความเข้าใจของข้าพเจ้าคิดว่ามนุษย์ทุกคนมีความบกพร่องอยู่ในตัวอย่างที่ไม่รู้จักกันพอ เช่น หญิงชายแรกคบกันคงจะต้องสรรท่าที่ตัวคิดว่าดีออกอวดกัน ต่างคนก็บูชากันว่าเป็นผู้วิเศษในขณะนั้น ความพอใจย่อมมีต่อกันมาก ก็อาจให้สัญญาต่อกันทุกอย่างในความต้องการของฝ่ายใด ครั้นเมื่อคุ้นกันเข้า ความบกพร่องซึ่งเป็นของธรรมดาตามมากน้อยก็ต้องเกิดความรู้กันขึ้นทั้งสองฝ่าย ความนับถือซึ่งกันก็ย่อมซาไป…” นอกจากนี้ บทความของพระองค์ที่ทรงนิพนธ์ขึ้น ยังแสดงให้เห็นถึงความมั่นพระทัยในบทบาทและความสามารถของสตรี รวมถึงสามารถผลักดันบุรุษให้ทำกิจการต่างๆ ความว่า “ข้าพเจ้าผู้หนึ่งเป็นหญิง มีประสงค์จะสนทนาระหว่างเพื่อนหญิงด้วยกันด้วยเรื่อง ‘ผู้หญิงเป็นควาย ผู้ชายเป็นคน’ เสียสักที เพราะความจริงเราก็คนผู้หนึ่ง มิได้ผิดไปจากมนุษย์ธรรมดาไปด้วยประการใดเลย คืออย่างไร? หญิงโดยมากมักจะบูชาว่าชายเป็นมนุษย์ที่วิเศษกว่าตัวเทือกเทวดา ทั้งนี้ก็เพราะในบ้าน โดยมากชายเป็นเจ้าบ้าน มีอำนาจบังคับบัญชากดขี่หญิง การที่ชายได้อำนาจไปมากเช่นนั้น ตามความเข้าใจของข้าพเจ้า คิดว่าคงเป็นเพราะหญิงมิได้ถือหน้าที่ที่ตนควรประพฤติ…” ในตอนท้ายบทความ ทรงนิพนธ์เน้นถึงบทบาทของผู้หญิงในสมัย ๑๐๐ ปีมาแล้วว่า “ผู้หญิงถ้าไม่มีโอกาสได้ทำประโยชน์ช่วยชาติบ้านเมือง ซึ่งนับว่าเป็นส่วนใหญ่ของเรา แม้แต่ได้กระทำตนให้ถูกต้องตามหน้าที่ในครอบครัว ก็ควรจะพอใจอยู่แล้ว หญิงทำงานได้เท่าชายก็มี เช่น เป็นอาจารย์ หรือนางพยาบาลเหล่านี้ แต่ไม่ใช่ทั่วไป ส่วนหน้าที่ผู้หญิงแทบทุกคนจะต้องประพฤติอย่างไร ดังที่ข้าพเจ้าอธิบายมาข้างต้น เมื่อในบ้านมีสุขกันดีอยู่แล้ว เมืองจะทุกข์ไปได้ไฉน ถ้าช่วยกันพร้อมใจ รู้หน้าที่แห่งธรรมชาติของตน อาจเป็นผลแก่ชาติบ้านเมืองได้มากๆ ข้าพเจ้าเห็นว่ามือเบาๆ ของหญิงนี่แหละ อาจลูบหลังชายให้ออกไปต้านศึกได้ง่ายๆ ยิ่งกว่าจะใช้ปืนจ้องให้ต้องกลับหลังหันไป ขอเพื่อนหญิงทุกคนเมื่อได้ดำริ จงอิ่มใจ ช่วยกันคิดเลิกเป็นควาย จะได้ช่วยกันบำรุงชาติบ้านเกิดเมืองมารดรของเราให้เจริญ” สำนวนโวหารของพระองค์ บ่งบอกถึงสติปัญญา ความคิดความอ่านของพระองค์ ที่มีพระประสงค์ส่งเสริมให้สตรีมีความเท่าเทียมกับบุรุษ ทรงเห็นว่าสตรีก็มีความสามารถ แต่ก็มีพระประสงค์ให้บุรุษเข้าใจและเคารพสถานภาพของสตรี รู้จักหน้าที่ของบุรุษตามแบบสากล และขณะเดียวกันก็สนับสนุนให้สตรีรู้จักทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม บทความนิพนธ์ ดำริหญิงดังกล่าวได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก กับทั้งยังมีพระวิสัยถือพระองค์จากเหตุการณ์สะบัดมือ เล่ากันว่า ครั้งหนึ่งเมื่อพระวรกัญญาปทานเสด็จมาถึงพระราชวังพญาไท มหาดเล็กคนโปรดในพระเจ้าอยู่หัวได้เข้าไปเพื่อจะรับพระหัตถ์ตามธรรมเนียมตะวันตก แต่พระองค์ไม่ทรงยินยอม ครั้นเมื่อเรื่องไปถึงพระกรรณพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็กลายเป็นว่าทรงสะบัดมือ และแสดงพระกิริยาดูถูกมหาดเล็กคนนั้น ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกริ้ว และอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการถอดถอนหมั้น และเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระพิโรธ และประพันธ์กลอนเชิงบริภาษว่า
แต่ด้วยทรงพระทิฐิมานะ เมื่อมีเหตุทำให้พระองค์ทรงผิดหวัง จึงมิได้ทรงกำสรดโศรกมากมาย พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีจึงไม่ทรงทูลขอพระราชทานอภัย ด้วยเหตุนี้ จึงทรงถูกจำขังลงโซ่ตรวนทองคำอยู่ในพระบรมมหาราชวังนับแต่นั้นจนตลอดรัชกาล ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) จึงมีพระบรมราชโองการให้ปลดปล่อยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีออกจากพระบรมมหาราชวัง และพระราชทานวังที่ประทับให้อยู่บริเวณสี่แยกพิชัย ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ พระบิดา ประทานชื่อว่า พระกรุณานิวาสน์ ขณะทรงได้รับการปล่อยออกมานั้น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวี มีพระชันษา ๓๓ ปี ทรงประทับอยู่ที่วังพระกรุณานิวาสน์ และสนพระทัยในพระพุทธศาสนาตลอดมา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวัลลภาเทวีเข้าประทับรักษาพระองค์ในโรงพยาบาลศิริราชด้วยโรคพระวักกะพิการเป็นเวลา ๖๐ วัน โดยพระองค์ได้สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๔ สิริพระชันษา ๕๘ ปี |