หัวข้อ: ความรู้เกี่ยวกับ โอเมก้า 3 และ โอเมก้า 6 เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 19 มิถุนายน 2554 12:51:24 โอเมก้า ๓ และ โอเมก้า ๖
(http://www.vcharkarn.com/uploads/160/160309.jpg) ความสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม จากกระแสกรดไขมันโอเมก้า ๓ ที่ถาโถมเข้ามาในตลาดผู้บริโภคที่รักสุขภาพ ทำให้กรดไขมัน โอเมก้า ๓ เป็นชื่อที่คุ้นหูและทุกคนต่างเห็นถึงความจำเป็น แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่ากรดไขมันโอเมก้า ๖ ที่ต้องมีควบคู่กับกรดไขมันโอเมก้า ๓ นั้น ก็มีความสำคัญไม่ต่างกัน จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ เพราะอาจเสียสมดุลในร่างกายได้ ทั้งนี้ บางคนอาจกินตามกระแสว่ากรดไขมันโอเมก้า ๓ มีประโยชน์ ต่อร่างกายแต่ไม่ได้ศึกษาว่ามีความจำเป็นอย่างไร กินแล้วจะได้ประโยชน์หรือโทษอะไรบ้าง ดังนั้น ก่อนที่จะกินโอเมก้า ๓ ควรทำความรู้จักก่อนเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพตัวท่านเอง “หมอชาวบ้าน” ได้รับความรู้เรื่องกรดไขมันโอเมก้า ๓ และ ๖ จาก ดร.สมเกียรติ โกศัลวัฒน์ หัวหน้าห้องปฏิบัติการเคมีทางอาหาร สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ดังนี้ โอเมก้า ๓ โอเมก้า ๓ เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีพันธะหลายตำแหน่ง กรดไขมันโอเมก้า ๓ มีอยู่ ๓ ชนิดที่สำคัญคือ ๑. กรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก (Alpha linolenic acid : ALA) ๒. กรดไขมันอีพีเอ (Eicosapentaenic acid : EPA) ๓. กรดไขมันดีเอชเอ (Docosahexaenoic acid : DHA) ซึ่งเป็นตัวที่ได้ยินค่อนข้างบ่อย ในโฆษณา เพราะเป็นตัวหนึ่งที่ผู้ประกอบการนิยมเติมลงไปในผลิตภัณฑ์ กรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก : ALA เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีพันธะคู่หลายตำแหน่ง โดยมีความสำคัญต่อร่างกายคือ เป็นกรดไขมันที่ร่างกายเรา ไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น กรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก : ALA เป็นกรดไขมัน ต้นตอที่ร่างกายนำไปสร้างเป็นกรดไขมันอีพีเอ : EPA และกรดไขมันดีเอชเอ : DHA ได้ หากเรากินอาหาร ที่ไม่มีกรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก : ALA เลย เราอาจจะขาดกรดไขมันโอเมก้า ๓ ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว กรดไขมันโอเมก้า ๓ มีอยู่ในอาหารหลายชนิดด้วยกัน แหล่งของกรดไขมันโอเมก้า ๓ กรดไขมันแอลฟาไลโนเลนิก (ALA) ส่วนใหญ่จะได้จากอาหารที่เป็นไขมันจากพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง หรือน้ำมันอีกหลายๆ ชนิด และน้ำมันรำข้าวซึ่งมีเล็กน้อย หรือในอาหารที่เป็นถั่วโดยตรงก็มีอยู่ในธรรมชาติ ถั่วเมล็ดแห้งหลายชนิด และมาจากน้ำมันพวกอื่นๆ ในอาหาร รวมถึงพืชผักต่างๆ ด้วย ส่วนกรดไขมันอีพีเอ (EPA) และดีเอชเอ (DHA) จะได้จากสัตว์ โดยเฉพาะปลาทั้งปลาทะเล และปลาน้ำจืด ทั้งอีพีเอและดีเอชเอจะมีมากน้อยแล้วแต่ชนิดของปลา โดยทั่วไปมีอยู่เล็กน้อย และขึ้นอยู่กับ ปริมาณไขมันที่มีอยู่ในปลาด้วย เมื่อเราย่อยไขมันแล้วก็จะได้กรดไขมัน ซึ่งร่างกายเราจะนำมาย่อย แล้วนำไปใช้ประโยชน์ในลักษณะต่างๆ คนทั่วไปเมื่อพูดถึงกรดไขมันโอเมก้า ๓ แล้วมักคิดว่ามีอยู่แต่ในปลาทะเลน้ำลึกของต่างประเทศเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง มีข้อมูลปริมาณกรดไขมันโอเมก้า ๓ และโอเมก้า ๖ ในปลาทะเลและปลาน้ำจืดไทย เช่นเดียวกัน ข้อมูลสื่อ File Name : 383-010 นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม : 383 เดือน-ปี : 03/2554 คอลัมน์ : เรื่องเด่นจากปก นักเขียนหมอชาวบ้าน : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล นักเขียนหมอชาวบ้าน : นิชานันท์ นาไชย Tue, 01/03/2554 - 00:00 — thanyaporn |