[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ => ประสบการณ์ ผี ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 22 มิถุนายน 2554 23:55:39



หัวข้อ: ผีเฝ้าทุ่งนา
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 22 มิถุนายน 2554 23:55:39
ผีเฝ้าทุ่งนา

ดิฉันเป็นคนเมืองสิงห์บุรีค่ะ เรื่องผีดุน่ะไม่น้อยหน้าใครหรอกคุณ ส่วนมากเป็นผีสมัยโบราณครั้งสงครามไทยกับพม่า ผู้คนตายซับตายซ้อน ทับถมกันเป็นภูเขาเลากา วิญญาณนับพันนับหมื่นต้องกระเสือกกระสนอยู่ด้วยความทุกข์ทรมานเพราะไม่มีใครทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้

ต่อมาก็ชักซาๆ ลงแล้วนะคะ คงมีสาเหตุมาจากคนเกิดมากกว่าคนตาย หรือพูดง่ายๆ ว่าคนมากกว่าผีนั่นเอง...โธ่! ผีเขาก็กลัวคนเหมือนกันนะคุณ!

สมัยเด็กๆ บ้านดิฉันที่อินทร์บุรีก็ได้ชื่อว่าผีดุไม่เบา เป็นหมู่บ้านใกล้ๆ แม่น้ำ ผู้คนก็ทำไร่ทำนาและค้าขายตามถนัด พวกเงินหนาก็รับซื้อของกินของใช้จากเรือที่ขึ้นมาจากกรุงเทพฯ แล้วมาขายส่ง ขายปลีกอีกที

แถวบ้านมีหมอรักษาริดสีดวงจมูกชื่อดัง ขนาดคนจากจังหวัดใกล้ๆ ยังมาหาเลยค่ะ บางทีญาติดิฉันจากชัยนาทหรืออ่างทองก็มาค้างคืนเพื่อรักษาโรคนี้ เวรกรรมต้องมาตกที่ยายแป้น...คือตัวดิฉันนี่แหละ มีหน้าที่พาญาติไปหาหมอ

ที่ว่าเป็นเวรกรรมก็เพราะคุณหมอคนเก่งน่ะจะเปิดบ้านรักษาเฉพาะตอนเย็นๆ ไปจนถึงมืดค่ำ ต้องเดินออกทางหลังบ้านไปทางหัวคันนา ยอดตาลโดนลมพัดส่งเสียงซู่ซ่าๆ เล่นเอาอกใจเต้นโครมๆ ไหนจะต้องเลี้ยวเข้าทางเดินแคบๆ ร่มครึ้ม ไม่รู้ว่าจะมีตัวอะไรซุกซ่อนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ๆ สองข้างทางหรือเปล่า?

กว่าจะถึงบ้านหมอเล่นเอาอกอีแป้นแทบแตกจริงๆ เจ้าค่ะ!

ไม่ใช่ว่ารอดจากโดนผีหลอกมาได้แล้วจะปลอดภัยนะคะ เพราะต้องผจญกับไอ้นิล-หมาเปรตอะไรก็ไม่รู้ มันดุยิ่งกว่าดุ เห็นหน้ากันมานมนานก็ไม่ยอมคุ้นเคยด้วย แยกเขี้ยวคำรามแฮ่...เล่นเอาต้องเกาะหางกระเบนคุณป้าคุณยายที่เราพาแกมาหาหมอ...บางทีแกยังถอยกรูดๆ เล่นเอาเราหวิดหกล้มซะอีกแน่ะ

ป้าเพี้ยนคนหันคานี่จำได้ว่าแกแสบมากๆ เลย ไอ้นิลแยกเขี้ยวเข้าใส่จนหัวใจดิฉันหวิดลงไปกองที่ตาตุ่ม ป้าเพี้ยนแกยังหันมาถามว่า...มันทำไหมอีหนู?

ความหมายก็คือ มันกัดไหม? ใครจะไปรู้ล่ะป้าจ๋า... ปัดโธ่!

อ้อ! ขึ้นบ้านหมอแล้วยังต้องรอตามคิวอีกด้วย กว่าจะได้ฤกษ์ก็ค่ำมืด คุณหมอลงไปเด็ดใบพลูอ่อนๆ มาลูบไล้ตามจมูกคนไข้ ท่องคาถาพึมพำ ตะเกียงกระป๋องนมวูบไปวูบมาจะดับมิดับแหล่ โอ๊ย...อยากจะกลั้นใจตายซะเลย

บรรยากาศรอบๆ บ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูงนั่น นอกจากเสียงคลื่นซัดฝั่ง ยอดไม้ไหวซู่ซ่า มีเสียงกอไผ่เสียดสีกันดังออดแอด...สำหรับเด็กอย่างยายแป้นถือว่าสยองสุดๆ

วันดีคืนร้ายก็โดนผีหลอกเข้าเต็มเปา!

ย่าริ้วน้องสาวย่าแฉล้มมาจากเดิมบางฯ สุพรรณบุรีโน่น แกเป็นริดสีดวงจมูกเรื้อรังมานานแล้ว ได้ข่าวที่นี่มีหมอเก่งก็เลยมาหา เวรกรรมก็ตกลงมาเต็มตักอีแป้นจนได้ แต่รายนี้ตัดใจเพราะเราถูกชะตากันมานาน เห็นหน้าเมื่อไหร่เป็นอุ้มนั่งตัก บอกว่าโตเป็นสาวละก็สวยจนถึงลือทีเดียว

แหม! ใครจะไม่ชอบกินลูกยอล่ะคะ เล่นเอาเด็กหญิงแป้นยิ้มแก้มบานไปเลย

ย่าริ้วมีร่องรอยว่าเมื่อสาวๆ คงสวยมาก แต่ทำไมถึงชื่อริ้วที่แปลว่า "ขี้เหร่" ย่าแฉล้มอธิบายว่าเมื่อสาวๆ ย่าริ้วสวยไม่มีตัวจับ หนุ่มๆ มาติดกันกรอ ส่วนชื่อริ้วน่ะคนสมัยก่อนใครมีลูกสาวหน้าตาสวยมากก็จะตั้งชื่อว่า "ริ้ว" เพื่อหลอกผีไม่ให้มันเอาตัวไปได้!

เย็นนั้น ดิฉันเดินนำหน้าพาย่าริ้วไปจนถึงบ้านหมอ...กว่าจะเสร็จพิธีก็ราวทุ่มเศษ ขากลับย่าริ้วขอบอกขอบใจหลานแป้นคนสวยไม่ขาดปาก อิอิ! จนพ้นทางเดินใต้ร่มไม้มาออกทุ่งนาเพื่อลัดเข้าบ้าน ก็พอดีเห็นตาแกสักกะเท้าง่อนแง่นจากหัวคันนาเดินสวนมา

ย่าริ้วทักถามว่าจะไปไหนมืดๆ ค่ำๆ คุณตาก็เงยหน้าเพราะหลังโกง บอกว่าจะไปหาหมอน่ะซี! แล้วก็เดินผ่านเราไป...

ก่อนจะก้าวขึ้นคันนาก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งทั้งที่ลมสงบ ย่าริ้วร้องเอ๊ะ! เราหันขวับไปมองพร้อมๆ กัน แต่ไม่มีวี่แววของตาแก่หลังโกงคนนั้นเลย อย่าว่าแต่แกใช้ไม้เท้าเลยค่ะ ต่อให้วิ่งก็ไม่มีทางไหนพ้นสายตาเราแน่ๆ ยกเว้นแต่แกจะหายตัวได้...

แล้วอะไรจะหายตัวได้ล่ะเจ้าคะ นอกจากผี! บรื๋อส์... ตั้งแต่นั้นมาดิฉันไม่ยอมพาใครไปหาหมออีกเลย เข็ดจนตายค่ะ