[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => สมถภาวนา - อภิญญาจิต => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 16 มกราคม 2563 13:53:44



หัวข้อ: อย่าไปยึดอย่างอื่นเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 16 มกราคม 2563 13:53:44
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/88426662360628_1_320x200_.jpg)

“อย่าไปยึดอย่างอื่นเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง”

ภาพของครูบาอาจารย์นี้แจก ให้เอาไปบูชา เป็นสังฆานุสติ คิดถึงท่านว่าเมื่อก่อนท่านก็เป็นเหมือนเรา แต่ท่านมีศรัทธาวิริยะสติมีสมาธิปัญญา ท่านก็เลยได้เป็นสรณะเป็นที่พึ่งของเรา ตอนต้นก็เป็นที่พึ่งของท่านก่อน เมื่อท่านพึ่งท่านได้แล้ว ท่านก็มาเป็นที่พึ่งของพวกเรา ท่านก็เป็นเหมือนพวกเรา ตอนนี้เรายังเป็นที่พึ่งของเราไม่ได้ ก็ต้องพึ่งท่านไปก่อน พึ่งพระพุทธเจ้าพึ่งพระธรรมพึ่งพระสงฆ์ จนกว่าจะเป็นที่พึ่งของเรา ต่อไปก็จะเป็นที่พึ่งของผู้อื่น ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เพศอยู่ที่วัย หญิงก็เป็นได้ ชายก็เป็นได้ นักบวชก็เป็นได้ ฆราวาสก็เป็นได้ อยู่ที่ความประพฤติ ๔ ประการคือ สุปฏิ อุชุ ญายะ สามีจิ ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้ง ๔ ประการนี้ ก็จะเป็นที่พึ่งของตนและเป็นที่พึ่งของผู้อื่น รูปภาพของครูบาอาจารย์มีไว้ให้เราระลึกอย่างนี้ เป็นการเจริญสังฆานุสติ ทำให้ไม่ท้อแท้ต่อการบำเพ็ญต่อการปฏิบัติ ว่าเราก็เป็นเหมือนท่าน ท่านก็เป็นเหมือนเรา สิ่งที่เรายังไม่เป็นเหมือนท่านในตอนนี้ ก็ตรงที่เรายังขาดคุณธรรม ที่จะทำให้เราเป็นที่พึ่งของเราและของผู้อื่น คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา เรามีอยู่บ้างแต่มีไม่มากพอ ที่จะเป็นที่พึ่งที่ยึดเหนียวของจิตใจ ถ้าบำเพ็ญไปเรื่อยๆ เจริญสติไปเรื่อยๆ ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ ก็จะเกิดศรัทธาเพิ่มมากขึ้น อย่างวันนี้ที่เรามาฟังเทศน์ฟังธรรมกัน จะทำให้เกิดศรัทธา ต่อพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์มากขึ้น แล้วก็จะมีกำลังใจ มีความขยันหมั่นเพียรที่จะปฏิบัติตาม จะเจริญสติให้มากขึ้น จะนั่งสมาธิให้มากขึ้น จะเจริญปัญญาให้มากขึ้น เมื่อทำให้มากขึ้นจนพอกับความต้องการแล้ว ก็จะกลายเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา ไม่มีอะไรลึกลับเลยในทางพระพุทธศาสนา ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล มีตัวอย่างที่เป็นเหตุ มีตัวอย่างที่เป็นผล ทุกอย่างเปิดเผยหมด ใจของพวกเราที่มันถูกความหลงปิดบังเอาไว้ ทำให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างลึกลับไปหมด มีอะไรก็ทรงแสดงออกมาหมด ทั้งเหตุและผลที่ประเสริฐ

พวกเราตอนนี้ขาดเหตุ คือคุณธรรมทั้ง ๕ ประการ ศรัทธาวิริยะสติสมาธิและปัญญา ที่จะทำให้เราทุ่มเทชีวิตจิตใจต่อธรรมะ ตอนนี้เรายังแทงกั๊กกันอยู่ ยังเสียดายทางโลก ทางโลกก็อยากได้ ทางธรรมก็อยากได้ อย่างนี้จะไปไม่ได้ เขาเรียกว่าเหยียบเรือ ๒ แคม อย่าไปรักพี่เสียดายน้อง เอาคนใดคนหนึ่งไปเลย เวลาภรรยามีสามี ๒ คนก็ทุกข์นะ เอาคนเดียวดีกว่า ทางโลกทางธรรมก็เหมือนกัน เอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเอาทางโลกก็ยังจะทุกข์ทรมานใจต่อไป ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ถ้าเอาทางธรรมก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ หลุดพ้นจากเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเข้าหาผู้รู้ เข้าหาครูบาอาจารย์ พระสุปฏิปันโน ท่านจะพูดโน้มน้าวให้เกิดศรัทธา ให้เห็นความสามารถของเรา ว่าเรามีสิทธิที่จะครอบครองสมบัติอันประเสริฐ ที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายได้ครอบครองได้ เพราะท่านกับเราไม่มีความแตกต่างกัน ท่านมีอาการ ๓๒ เราก็มีอาการ ๓๒ ท่านเป็นมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ ท่านมีกิเลส เราก็มีกิเลส แตกต่างกันก็ตรงที่เรายังไม่มีศรัทธา ที่จะทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับการปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ ถ้ามีศรัทธามากขึ้นก็จะทุ่มเทมากขึ้น จะเจริญสติ เจริญสมาธิ เจริญปัญญาได้มากขึ้น พอเริ่มเห็นผลแล้ว ก็จะเกิดศรัทธายิ่งกว่าการได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์ เพราะไม่มีอะไรจะโน้มน้าวศรัทธาของเรา ได้เท่ากับผลที่เกิดจากการปฏิบัติ เหมือนกับทำงานแล้วไม่ได้เงินเดือน ก็จะไม่มีกำลังใจที่จะทำ ถ้าทำแล้วได้รับเงินเดือน ก็จะมีกำลังใจทำ นี่ก็เหมือนกัน ถึงแม้จะมีศรัทธาแต่ปฏิบัติยังไม่เห็นผล ก็จะไม่มีศรัทธาที่จะทุ่มเทอย่างเต็มที่ แต่พอได้พบกับความสงบ ได้เห็นจิตรวมเป็นครั้งแรก จะทุ่มเทหมดเลย จะตัดจะละได้หมด ออกบวชออกปฏิบัติได้อย่างเต็มที่เลย

เป้าหมายแรกคือการทำจิตให้รวมลงให้ได้ เจริญสตินั่งสมาธิให้มาก นั่งแล้วเจ็บปวดก็อย่าลุก บริกรรมพุทโธไป ถ้าผ่านตรงนี้ได้ จะเกิดศรัทธาอย่างมากเลย พอจิตรวมลงแล้ว ถึงแม้เวทนาจะไม่หายก็ตาม แต่จิตจะสงบเย็นสบาย ไม่วุ่นวายกับความเจ็บปวดของร่างกาย ทีนี้จะมีกำลังใจมีศรัทธาจริงๆ เป็นศรัทธาที่ไม่สั่นคลอน ไม่มีใครมาโน้มน้าวให้กลับไปทำแบบเดิมๆ ได้อีกแล้ว เพราะรู้แล้วว่าทางนี้เป็นทางเดียวเท่านั้น ที่จะพาไปสู่ความสุขที่แท้จริง เพราะได้เห็นหนังตัวอย่างแล้ว ได้พบกับความสุขที่เกิดจากความสงบ แม้จะเป็นเพียงชั่วขณะเดียว ใหม่ๆ นี้จะวูบไปเดี๋ยวเดียว แต่มีอำนาจต่อจิตใจมาก มีอิทธิพลต่อศรัทธามาก พอได้เห็นอย่างนี้ครั้งเดียวแล้ว ก็รู้ว่าสามารถทำได้อีก ก็จะทุ่มเทเวลาให้กับความสงบ อะไรที่เป็นอุปสรรค เช่นการงานต่างๆ ถ้ายังจำเป็นต้องทำ ก็ทำให้น้อยลงไป ทำเท่าที่จำเป็น ถ้าไม่จำเป็นก็ลาออกจากงานเลย จะได้ออกปฏิบัติได้อย่างเต็มที่ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วไม่เกิน ๗ ปี อย่างที่พระพุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์ไว้ ถ้าจิตรวมลงแล้วปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จะไม่เกิน ๗ ปีอย่างแน่นอน ถ้าได้อยู่กับครูบาอาจารย์ที่ได้ผ่านมาแล้ว จะสำเร็จเร็วขึ้น ไม่เสียเวลาคลำทาง ไม่หลงทาง ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์เวลาพบกับดัก จะทำให้หลงได้ แต่จะไม่หลงออกนอกลู่นอกทาง เพียงทำให้ช้าลงไป ถ้ามีครูบาอาจารย์คอยชี้คอยบอกอยู่ทุกระยะ พอมาถึงตรงนี้ก็รู้เลยว่า จะต้องเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาหรือต้องตรงไป ถ้าไม่มีก็ต้องทดลองเลี้ยวซ้ายไปก่อน ถ้าไม่ใช่ทาง ก็ต้องเลี้ยวขวา ถ้าไม่ใช่ก็ต้องตรงไป ก็จะเสียเวลา ถ้ามีคนคอยบอกทาง พอถึงสามแยก ก็จะบอกให้ไปทางไหน อย่างนี้ก็จะไม่เสียเวลา

การที่มีครูบาอาจารย์หรือมีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ไม่หลงทาง ขณะที่ปฏิบัติก็ยังต้องศึกษาด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว ต้องทำอะไรต่อ ทำถูกหรือทำไม่ถูก อยู่ศึกษากับครูบาอาจารย์แล้ว ก็ขอลาไปปลีกวิเวกไปบำเพ็ญ แล้วก็กลับมาฟังเทศน์ฟังธรรมต่อ มีปัญหาอะไรก็กลับมาถาม เพื่อจะได้ไม่หลงทาง ไม่เสียเวลา ถ้ามีความเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ที่สั่งสอนเรา ว่าท่านเป็นผู้รู้จริงเห็นจริง เวลามีปัญหาก็รีบกลับมาถาม ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ก็ต้องคลำทางไปเอง อย่างหลวงตาช่วงที่หลวงปู่มั่นมรณภาพไปแล้ว ท่านก็ต้องคลำทางไปเอง ตอนนั้นเป็นช่วงสุดท้ายของการปฏิบัติ ท่านต้องเสียเวลาไป ๓ เดือน ตอนที่ปรากฏเป็นปริศนาธรรมขึ้นมาในจิตของท่านว่า ที่ไหนมีจุดมีต่อมที่นั้นคือภพชาติ ท่านก็ไม่ทราบคำตอบ ท่านบอกว่าถ้าหลวงปู่มั่นยังอยู่ตอนนั้น ถ้าไปกราบถวายท่านปั๊บ ท่านจะบอกคำตอบให้เลยว่าอยู่ตรงนี้ ก็จะตัดภพชาติได้ในเวลานั้นเลย แต่ท่านต้องแบกกลดไปธุดงค์อีก ๓ เดือน แล้วก็กลับมาที่ปริศนาธรรมเกิด ก็ได้คำตอบว่าอยู่ที่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่เขาลูกนั้นเขาลูกนี้ ที่เป็นจุดเป็นต่อมอยู่ในจิตนี่เอง นี่คือความแตกต่างระหว่างการมีครูบาอาจารย์กับการไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีครูบาอาจารย์ก็ยังไปได้อยู่ ถ้าได้เข้าสู่กระแสธรรมแล้ว ได้มีดวงตาเห็นธรรม ได้บรรลุธรรมขั้นแรกแล้ว จะไม่มีทางหลง เหลือ ๗ ชาติเป็นอย่างมาก ถ้ามีครูบาอาจารย์ ก็จะบรรลุได้ในชาตินี้เลย ๗ วันหรือ ๗ ชั่วโมงก็บรรลุได้ อย่างพระปัญจวัคคีย์นี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเพียง ๒ - ๓ ครั้ง ภายในเวลา ๒ - ๓ วัน ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์กันหมด ไม่ยากเลยถ้าจิตเข้าสู่กระแสแล้ว

ถ้าลองจิตได้เข้าสู่ความสงบแล้ว จะจับประเด็นได้ จะรู้ว่าต้องปฏิบัติอย่างไร ผลของปฏิบัติเป็นอย่างไร ถ้ายังไม่ได้เข้าสู่จุดนี้ก็ยังจะวนไปวนมา จะสงสัยจะท้อแท้อยู่เรื่อยๆ ไม่กล้าทุ่มเทชีวิตจิตใจอย่างเต็มที่ พวกเราจึงควรเชื่อพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อย่างเต็มที่ ฝากเป็นฝากตายไว้กับพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ อย่าไปยึดอย่างอื่นเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง อย่าไปยึดรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะเป็นที่พึ่ง ตัดไปให้หมด ไม่ต้องดูไม่ต้องฟัง นั่งสมาธิดีกว่า เจริญสติดีกว่า พิจารณาธรรมดีกว่า ฟังเทศน์ฟังธรรมดีกว่า เป็นสิ่งที่เราควรทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างต่อเนื่อง ทำให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ รับรองได้ว่าผลจะต้องตามมาอย่างแน่นอน ไม่มีทางอื่น มีทางนี้ทางเดียวคือ มัชฌิมาปฏิปทา อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน อย่าไปรอพระพุทธเจ้าองค์หน้า จะได้ปฏิบัติอย่างสะดวก ฟังธรรมหนเดียวแล้วบรรลุได้เลย ถ้าเราสร้างพื้นฐานสร้างบุญบารมีสร้างไว้ในชาตินี้ เวลาไปพบพระพุทธเจ้าองค์หน้า ก็เหมือนพบกับพระพุทธเจ้าองค์นี้ จะไม่มีภาชนะรองรับธรรมที่ท่านจะมอบให้กับเรา เราต้องสร้างภาชนะรองรับธรรมไว้ก่อน สร้างสมาธิให้ได้ก่อน พอมีสมาธิแล้วก็จะรองรับวิปัสสนาได้อย่างเต็มที่ ต้องเน้นเรื่องการปฏิบัติให้มาก ต้องเน้นการภาวนาให้มาก เรื่องทานก็ทำให้หมดๆไปเลย อย่าไปติดอยู่กับการให้ทาน ต้องไปงานบุญนั้นงานบุญนี้อยู่ตลอดเวลา จะเสียเวลาภาวนาไป อยู่บ้านก็ภาวนาได้ ทำบุญด้วยการส่งเช็คไปหรือฝากผู้อื่นไปก็ได้ ไม่ต้องไปเอง อยู่บ้านรักษาศีลภาวนาดีกว่า หรือไปอยู่วัดที่สงบไปภาวนา ไม่ต้องไปงานบุญต่างๆ จะเดินถอยหลัง ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นมัธยมแล้ว อย่ากลับไปเรียนชั้นประถม ต้องก้าวขึ้นสู่ชั้นอุดมศึกษา ก้าวไปข้างหน้าด้วยการภาวนา ทานเป็นชั้นประถม เราอยู่ในชั้นภาวนา อยู่ในชั้นอุดมศึกษาแล้ว.


พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร. สัตหีบ. ชลบุรี