[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => สมถภาวนา - อภิญญาจิต => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 15:55:25



หัวข้อ: มองทุกอย่างให้เห็นว่าเป็นธาตุ พระอาจารยสุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 15:55:25
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/70406282237834_84680083_2715089245195676_3938.jpg)

มองทุกอย่างให้เห็นว่าเป็นธาตุ

ถ้าเราพิจารณาความจริงของร่างกาย เราจะมองเห็นว่ามันไม่มีตัวตนในร่างกายนี้ มันมีเพียงดินน้ำลมไฟ ที่มาผสมกันมารวมกัน แล้วก็มาทำให้เป็นขนหรือเป็นผมเป็นเล็บเป็นฟัน แล้วพอของพวกนี้มันตกลงไปในดิน มันก็กลับไปเป็นดินเห็นไหม ผมถ้าทิ้งเข้าไปในดิน ต่อไปมันก็จะกลายเป็นดิน ฟันทิ้งไว้ในดินต่อไปมันก็จะกลายเป็นดิน กลับคืนไปสู่สภาพเดิม น้ำที่เราดื่มเข้าไปเวลาเราถ่ายมันออกมา มันก็กลับไปสู่น้ำ น้ำกลับไปรวมกับน้ำใหม่ มันก็รีไซเคิลนี่ น้ำที่เราดื่มเข้ามาแล้วเราถ่ายออกไปเดี๋ยวมันก็ระเหยบ้าง ลงไปในดินแล้วเดี๋ยวมันก็ซึมลงไปในแหล่งน้ำต่อไป แล้วเดี๋ยวเราก็เอามันขึ้นมาดื่มใหม่ วนกันไปเวียนกันไปอย่างนี้ ถ้าเราศึกษาซะหน่อยเราจะเห็นว่าร่างกายของทุกคนนี้ทำมาจากธาตุ ๔ คือดินน้ำลมไฟ ไม่มีตัวตนในร่างกายอันนี้ ตัวตนนี้เป็นการสมมุติขึ้นของใจเท่านั้นเอง ใจที่มาครอบครองร่างกาย ใจกับร่างกายนี้เป็นคนละคนกัน เหมือนกับมือถือกับคนที่ใช้มือถือ มือถือนี้คนใช้มือถือไปซื้อมา ไปซื้อมาแล้วก็ไปใส่ข้อมูลต่างๆ ไว้ในมือถือ แล้วก็ไปคิดว่าเป็นของเราขึ้นมา เป็นตัวเราของเราในมือถือขึ้นมา มีภาพมีอะไรต่างๆ ในมือถือ แล้วเวลาเกิดมือถือหายไปเราก็เสียใจ เพราะเราไปรักมือถือไปหวงมือถือเพราะคิดว่ามันเป็นของเรา แต่พอเวลามันไม่เป็นของเราๆ ก็เสียใจ ทั้งนั้นแหละ

ความทุกข์ของเรา ความไม่สบายใจของเราเกิดจากความหลงที่ไปยึดสิ่งที่ไม่ใช่เป็นของเราว่าเป็นของเรา ไปยึดในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราว่าเป็นตัวเราเท่านั้นเอง พออะไรเป็นเราแล้วมันก็จะเกิดความโลภเกิดความอยากให้มันดี อยากให้มันอยู่กับเราไปตลอด แต่พอมันไม่อยู่กับเรา มันจากเรา เราก็เสียอกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ทุกข์ทรมานใจกัน อันนี้เราแก้ได้นะความทุกข์ใจความร้อนใจที่เกิดจากความหลง ต้องแก้ด้วยธรรมะคือความจริง ต้องศึกษาให้เห็นแบบที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นธรรมชาติทั้งนั้น ล้วนทำมาจากธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่ไม่ได้เป็นธาตุ ต้องเป็นธาตุใดธาตุหนึ่งหรือหลายๆ ธาตุรวมกัน เช่น ร่างกายเรานี้เป็นการรวมตัวของธาตุ ๔ ต้นไม้ใบหญ้าก็เป็นการรวมตัวของธาตุ ๔ ถ้าธาตุไม่ครบ ๔ อย่างนี้จะไม่มี เช่น ถ้าไปอยู่ที่ทะเลทรายนี้ ขาดธาตุอะไร ธาตุน้ำ ไม่มีธาตุน้ำต้นไม้ก็ขึ้นไม่ได้ มีธาตุดินมีธาตุลมมีอากาศ มีธาตุไฟมีความร้อนแต่ไม่มีธาตุน้ำ แต่ถ้าในทะเลทรายบางแห่งมีน้ำตรงนั้นก็จะมีต้นไม้ขึ้น เป็นเหมือนเกาะ เกาะเล็กๆ ในกลางทะเลทราย เพราะตรงนั้นมีธาตุ ๔ ครบ มีดินมีน้ำมีลมมีไฟ แต่ที่ตรงไหนไม่มีน้ำตรงนั้นจะไม่มีต้นไม้ มีแต่ธาตุดินคือทรายล้วนๆ มีแต่ธาตุไฟคือความร้อนล้วนๆ มีแต่ธาตุลมคือลมพัด แต่ตรงนั้นไม่มีธาตุน้ำ ในทางตรงกันข้ามถ้าไปทะเลเห็นไหม มีธาตุน้ำแต่ไม่มีธาตุดิน มีธาตุลม มีธาตุไฟ แต่ธาตุดินก็ขึ้นไม่ได้ ต้นไม้ก็ขึ้นในทะเลไม่ได้ ขึ้นในแม่น้ำลำคลองไม่ได้เพราะไม่มีธาตุดิน ต้องมีธาตุทั้ง ๔ ครบถึงจะทำให้เกิดต้นไม้ใบหญ้าต่างๆ ได้ ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะเป็นธาตุเดี่ยวๆ เช่นธาตุน้ำเดี่ยวๆ น้ำในแม่น้ำ น้ำในทะเลก็เป็นธาตุน้ำอย่างเดียว อาจจะมีธาตุดินผสมอยู่บ้างเวลาน้ำขุ่น น้ำขุ่นนี่ก็แสดงว่ามีดินที่มันถูกน้ำซัดขึ้นมาทำให้มันขุ่น มันเลยไปผสมอยู่ในน้ำชั่วคราว แต่ถ้าทิ้งไว้สักระยะหนึ่งเดี๋ยวมันก็จะตกตะกอน มันก็จะแยกตัวออกจากน้ำไป

มองทุกอย่างให้เห็นว่าเป็นธาตุแล้วเราจะสบายใจ เราจะได้ไม่ไปยึดไปติดไปถือว่าเป็นตัวเราของเรา ตัวเราของเราไม่มี ทุกอย่างเป็นธาตุหมดแม้แต่ใจก็เป็นธาตุรู้ ธาตุรู้นี่ผู้รู้ผู้คิดนี่ก็มาจากธาตุรู้ ผู้คิดนี่แหละไปคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาต่างๆ คิดปรุงแต่งขึ้นมาหลอกตัวเอง หลอกว่าร่างกายเป็นตัวเราของเรา หลอกว่าข้าวของเงินทองเป็นของเรา พอมันหลอกแล้วมันก็เชื่อด้วย ยึดติดอันนี้เป็นของเรา ใครแตะไม่ได้ใช่ไหม พออะไรเป็นของเรานี้ใครแตะไม่ได้ แตะแล้วโกรธใครเอาไปแล้วโกรธ พอมันจากไปก็เสียใจเพราะเราไม่ได้ศึกษาธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ว่า มันไม่ได้เที่ยงแท้แน่นอน มันไม่อยู่เหมือนเดิม วันนี้อยู่ตรงนี้ พรุ่งนี้มันขยับไปอยู่ตรงนู้นแล้ว วันนี้ใหม่เดี๋ยวพรุ่งนี้เก่าแล้ว วันนี้ใช้ได้เดี๋ยวพรุ่งนี้ใช้ไม่ได้แล้ว พอมันไม่เป็นไปตามความอยากของเรามันก็ทำให้เราทุกข์ เพราะเราไม่ไปคิดไว้ล่วงหน้าก่อนว่ามันเป็นไปตามความอยากของเราไม่ได้เสมอไป บางทีมันก็เป็นบางทีมันก็ไม่เป็น ถ้าไม่อยากจะเสียใจไม่อยากจะทุกข์ใจ ก็อย่าไปอยากให้มันเป็น เอามันตามมีตามเกิด เขาเรียกว่า “ยินดีตามมีตามเกิด” วันนี้มันดีก็ยินดีกับมัน พรุ่งนี้มันไม่ดีก็ยินดีกับมัน ยินดีกับทุกสภาพของสิ่งต่างๆ ที่มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อากาศบางวันก็ร้อนบางวันก็เย็น บางวันก็ฝนตกบางวันก็ไม่ตก คือถ้าเราไม่ไปมีความอยากกับสิ่งต่างๆ แล้วเราจะไม่เดือดร้อน แต่พอเราไปมีความอยากกับสิ่งนั้นสิ่งนี้คนนั้นคนนี้ พอเขาไม่ได้เป็นไปตามที่เราอยากมันก็ทำให้เราไม่สบายใจ ทำให้เราทุกข์ใจทำให้เราไม่พอใจทำให้เราโกรธขึ้นมา

ปัญหาของเราอยู่ที่เรามองไม่เป็น มองไม่เห็นว่าสิ่งต่างๆ ในโลกนี้ล้วนเป็นธรรมชาติ เป็น “อนัตตา” ไม่มีตัวไม่มีตน เป็นเหมือนลมพัดเป็นเหมือนแสงแดดที่จะต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ที่มีขึ้นมีลงมีเกิดมีดับ ส่วนไหนที่เราเห็นเป็นธรรมชาติเราจะไม่ค่อยทุกข์กับมันใช่ไหม เราไม่ทุกข์กับฝนฟ้าอากาศ เราไม่ทุกข์กับดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ใช่ไหม พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกนี่เราไม่ได้ไปดีใจไปเสียใจกับมัน เพราะเรามองว่ามันเป็นธรรมชาติ แต่คนเกิดคนตายนี่เราไม่มองว่าเป็นธรรมชาติ คนเกิดเราก็ดีใจกัน พอคนตายก็ร้องห่มร้องไห้เสียอกเสียใจกัน ทั้งๆ ที่มันก็เป็นการเกิดของธาตุ ๔ การรวมตัวของธาตุ ๔ เวลาเกิดมันก็เป็นการรวมตัวของธาตุ ๔ แล้วเวลาตายก็เป็นการแยกตัวของธาตุ ๔ ใช่ไหม ร่างกายตายไปมันอยู่เหมือนคนเป็นหรือเปล่า ทิ้งไว้เดี๋ยวเดียวเดี๋ยวมันก็ย่อยสลายกลายเป็นดิน น้ำก็แยกออกไป ลมก็แยกออกไป ความร้อนก็แยกออกไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ร่างกายไม่ว่าจะเป็นของใคร ทิ้งไปสักระยะหนึ่งกลายเป็นดินน้ำลมไฟไปหมด เคยเป็น นาย ก นาย ข มีตำแหน่งนั้นมีตำแหน่งนี้ พอมันแยกตัวกันไปหายไปหมด เหลืออยู่แต่ในความทรงจำของเรา คนที่ตายไปแล้วหลายปีแต่เรายังไม่ยอมให้มันตายใช่ไหม เวลาเราจำเขาเรายังจำเขาตอนที่เขาเป็นอยู่ใช่ไหม เวลานึกถึงพ่อแม่ที่ตายไปแล้วเรานึกถึงตอนนี้หรือเปล่า ตอนที่เขาเป็นดินน้ำลมไฟ ไม่ได้นึกหรอก นึกทีไรก็นึกถึงหน้าตาเขาสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่ เหมือนกับเขายังไม่ได้ตายไปอย่างนั้นแหละ แต่ตัวร่างกายของเขาจริงๆ มันหายไปไหนหมดแล้ว ถ้าจะเหลือก็เหลือแต่ขี้เถ้ากับเศษกระดูกที่เราเก็บไว้บรรจุไว้ในผอบไว้บูชาเท่านั้นเอง เวลาคิดถึงพ่อแม่ที่ตายไป เราไม่ไปเปิดผอบดู เราไปเปิดภาพที่ถ่ายไว้ดู ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ไม่ดูของจริงชอบดูของปลอม เพราะเราไปติดภาพไปติดว่านั่นแหละคือพ่อคือแม่เรา แต่พอกลายเป็นขี้เถ้ากลายเป็นเศษกระดูกแล้ว นี่ไม่ได้เป็นพ่อเป็นแม่เราแล้ว ก็เขาไม่เคยเป็นพ่อเป็นแม่เรา เราไปตู่เอาว่าเขาเป็นพ่อเป็นแม่เรา ตอนที่ร่างกายเขายังไม่ได้แยกตัวยังไม่ได้ย่อยสลายบุบสลาย อย่างที่มีอาการ ๓๒ ครบ เราก็ไปว่าเขานี่แหละคือพ่อเราคือแม่เรา พี่น้องเราปู่ย่าตายายเรา แต่พอเขาแยกสลายบุบสลายกลายเป็นดินไปแล้ว กลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว เราไม่เคยไปดูเขาเลยว่านี่แหละคือเขาตอนนี้ ตอนนี้เขาเหลืออยู่แค่นี้แหละ อยู่แค่กระดูกหรืออยู่แค่ขี้เถ้า

ต้องศึกษานี่แหละธรรมะ ธรรมะคือการศึกษาเรียนรู้ความจริง จะได้แก้ความหลง ความหลงนี่ทำให้เราโลภทำให้เรารักทำให้เราชังทำให้เราโกรธ แต่ถ้าเรารู้ว่าเป็นธรรมชาติแล้ว ต่อไปเราจะไม่โลภเพราะเรารู้ว่าเราโลภกับธรรมชาติไม่ได้ ธรรมชาติมันไม่แน่นอน บางทีมันก็ให้เรา บางทีมันก็ไม่ให้เรา บางทีเราอยากได้มันก็ให้เรา บางทีมันก็ไม่ให้เรา เวลามันให้มาแล้วบางทีมันจะเอาคืนไปมันก็เอาคืนไป มันไม่ให้เราเก็บไว้ตลอดเวลา ได้อะไรมาแล้วเดี๋ยวมันก็เอาคืนไป นี่คือเรื่องของธรรมชาติ ธรรมะนี่ คำว่า “ธรรมะ” นี่ก็มาเป็นธรรมชาติ ธรรมะก็คือธรรมชาตินั่นเอง ธรรมะนี้เป็นผู้สร้างและเป็นผู้ทำลาย ธรรมชาติสร้างตัวเองขึ้นมาแล้วก็ทำลายตัวเองขึ้นมา คนศาสนาอื่นเขาก็เรียกธรรมชาติว่าพระเจ้าเท่านั้นเอง แต่ความจริงแล้วเขาก็หมายถึงตัวธรรมชาตินี้แหละที่เป็นผู้สร้างโลกขึ้นมา ธรรมชาตินี่แหละเป็นผู้สร้างโลก และธรรมชาตินี่แหละจะเป็นผู้ทำลายโลกต่อไป


ธรรมะบนเขา
วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๒
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน