[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => สมถภาวนา - อภิญญาจิต => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 10:27:17



หัวข้อ: วันพระ วันธัมมัสสวนะ พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 10:27:17

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/77750337910320_73306389_2479627792075157_3689.jpg)

วันพระ วันธัมมัสสวนะ

ความสุขของพระนิพพานเป็นความสุขที่สูงสุดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ถาวรที่ไม่มีวันเสื่อมไม่มีวันหมด ไม่เหมือนความสุขที่ได้ผ่านทางร่างกาย ความสุขต่างๆ ที่ได้ผ่านทางร่างกาย ร่างกายตายไปก็หายไปหมด ใจไม่สามารถเอาติดตัวไปได้เลยแม้แต่นิดเดียวก็ตาม ความสุขที่ได้จากลาภยศสรรเสริญ ความสุขที่ได้จากรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ พอร่างกายตายไปไม่มีใครเอาไปได้ มหาเศรษฐีก็เอาเงินทองไปไม่ได้ พระราชามหากษัตริย์ก็เอาตำแหน่งไปไม่ได้ เอาพระราชวังไปไม่ได้ ไม่มีใครเอาอะไรไปได้พอร่างกายนี้ตายไปแล้ว แต่สิ่งที่เราทำให้กับใจที่ติดอยู่กับใจนี้ใจเอาไปได้หมด บำบัดทุกข์บำรุงสุขได้มากน้อยเพียงไรก็จะติดไปกับใจ บำบัดทุกข์ที่จะไปเกิดในอบายได้ก็ไม่ต้องไปเกิดในอบาย บำรุงสุขด้วยสวรรค์ชั้นต่างๆ ก็เอาไปได้หมด ถ้าเป็นเทพก็เอาไปได้ เป็นพรหมก็เอาไปได้ เป็นพระอริยบุคคลก็เอาไปได้ นี่คือความวิเศษของพระธรรมคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้านี้ทรงเห็นความสำคัญเห็นประโยชน์ที่พุทธสนิกชนพึงจะได้รับ จึงต้องบัญญัติวันพระขึ้นมา ถ้าพระพุทธเจ้าไม่สั่งก็ไม่มีใครเข้าวัดกัน เห็นไหม พอมีวันพระวันเดียวก็เข้าแค่วันเดียว อีก ๖ วันนี้ชอบเถลไถลไปที่อื่นกัน ชอบไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายกัน ชอบไปหาลาภยศสรรเสริญ หารางวี่รางวัล นักกีฬานี่โอ้โฮวิ่งหาเหรียญทองกันวุ่นไปหมด นักการเมืองก็หาตำแหน่งวุ่นไปหมด เศรษฐีก็หาโครงการต่างๆ วุ่นไปหมด โครงการหมื่นล้านแสนล้าน ก็เลยไม่มีเวลาที่จะมาวัดกัน

พระพุทธเจ้าท่านรู้ ไม่ได้ตั้งวันพระขึ้นมาก็จะไม่มีใครเข้าวัดกัน เมื่อไม่เข้าวัดก็จะไม่รู้จักธรรมะคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า สมัยพระพุทธเจ้านี้มันมีทางเดียวเท่านั้นที่จะได้ยินได้ฟังธรรม ก็คือต้องไปวัดเพราะสมัยก่อนไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยนี้เรามีสื่อต่างๆ ที่เราสามารถบันทึกธรรมและเผยแผ่ธรรมะได้ ไม่จำเป็นต้องไปวัดก็ได้สมัยนี้ถ้าต้องการฟังธรรม เดี๋ยวนี้ธรรมะอยู่ในมือถือเรานี้เอง อยู่ในกำมือของเรา แต่ก็ไม่ยอมเปิดดูกันซักที ชอบไปดูไอ้เรื่องบ้าบอคอแตกพวกไร้สาระต่างๆ ดูแล้วหัวเราะเอิ๊กๆ เห็นอะไรแปลกๆ นี้ชอบดู แต่ของที่มีสาระมีคุณมีประโยชน์ต่อจิตใจกลับไม่ชอบดูกัน ถึงแม้จะมีธรรมะอยู่ในมือก็ตามก็เหมือนกับไม่มี นี่คือปัญหาของพวกเราเป็นพวกเรียกว่า “ไก่ได้พลอย” เคยได้ยินนิทานไก่ได้พลอยไหม ไก่มันทำมาหากินด้วยวิธีไหนล่ะ มันก็ขุดคุ้ยเขี่ยหาหนอนหาไส้เดือนกิน พอมาเจอพลอยเข้ามันก็เขี่ยทิ้งๆ เพระไม่รู้จะเอาไปทำอะไร มันไม่รู้จักคุณค่าของพลอยของเพชรว่ามีคุณค่าราคา ถ้ารู้ว่าเก็บแล้วเอาไปขายนี้สามารถเอาไปซื้อตัวหนอนไส้เดือนเป็นแสนเป็นล้านตัว ได้ไปเพียงเม็ดเดียวนี่สบายไม่ต้องมาขุดคุ้ยหาตัวหนอนตัวไส้เดือนไปตลอดชีวิต แต่มันโง่ไงมันไม่ฉลาดมันไม่รู้คุณค่าของเพชรของพลอย พอเจอเพชรเจอพลอยมันก็เขี่ยทิ้งๆ พวกเราก็เหมือนกัน มีธรรมะอยู่ในกำมือแท้ๆ ก็ยังไม่เปิดดู เปิดแต่พวกตัวหนอนตัวไส้เดือนต่างๆ หาแต่ตัวหนอนตัวไส้เดือน หาดูแต่ดูหนังดูละคร ฟังเพลง หาเรื่องหาราวดู คนนั้นเป็นอย่างนี้ คนนี้เป็นอย่างนั้น ดูแล้วมีความเพลิดเพลินใจ แต่ไม่สามารถที่จะบำบัดความทุกข์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ พอถึงเวลานั้นก็ไม่มีที่พึ่ง ถึงเวลานั้นจะเข้าหาธรรมะมันก็สายเกินไป เพราะธรรมะนี้กว่าที่เราจะอามาใช้ประโยชน์ได้ก็เหมือนต้นไม้ ต้นไม้ถ้าเราไม่ปลูกเสียตั้งแต่วันนี้ แล้วเราจะเอาผลจากต้นไม้ทันทีทันใดเอาไม่ได้ ต้องปลูกทิ้งไว้ก่อน ปลูกทิ้งไว้ เช่น ถ้าเราเป็นแม่ครัว เราก็ต้องปลูกพวกตะไคร้ พวกพริกพวกอะไร มะเขือไว้ก่อน พอถึงเวลาจะแกงก็จะสามารถไปเด็ดพริกเด็ดมะเขือ เอาตะคงตะไคร้อะไรมาทำครัวได้

สมัยก่อนชาวบ้านเขาก็ทำอย่างนี้ เขามีสวนครัวกัน เวลาเขาจะทำกับข้าวเขาก็ไปที่ในสวนนั้นแหละ อยากจะได้อะไรเขาก็เด็ดมา มะนาวเขาก็ปลูกเอง ตะไคร้ขิงข่าอะไรต่างๆ เวลาจะทำแกงทำอะไรเขาก็สามารถที่จะไปเด็ดมาได้ มะพงมะพร้าวกล้วยเห็นไหม มีทุกอย่างพร้อมหมด สมัยก่อนไม่ต้องไปตลาดเหมือนสมัยนี้ สามารถทำอาหารที่บ้านได้ แต่เขาต้องปลูกต้นไม้เหล่านี้ไว้ก่อน ไม่ใช่ปลูกวันที่จะใช้นี้มันไม่ทันการ พอวันนี้จะทำแกง เอ้าไปปลูกตันมะนาวไปปลูกต้นอะไร แล้วเมื่อไหร่มะนาวมันจะออกลูกมาให้เราใช้ได้ล่ะ นี่ก็คือธรรมะถึงแม้จะวิเศษวิโสขนาดไหน มันก็ต้องใช้เวลาปลูกฝังให้มันเกิดขึ้นมาภายในใจของเรา ไม่ใช่เหมือนกับไฟฟ้า เปิดสวิทช์ปั๊บก็ไฟก็สว่างขึ้นมาปุ๊บ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ธรรมะต้องใช้เวลาศึกษา ใช้เวลาปฏิบัติ ศึกษาและปฏิบัติเหมือนกับการปลูกต้นไม้ ปลูกแล้วก็ต้องทำนุบำรุงดูแลรักษาคอยกำจัดวัชพืช กำจัดแมลงต่างๆ ไม่ให้มากัดมาทำลายต้นไม้ที่เราปลูกเอาไว้ พอได้รับการปลูกได้รับการดูแล เดี๋ยวไม่นานดอกผลของต้นไม้ก็จะออกมา แล้วตอนนั้นแหละต้องการจะใช้อะไรก็สามารถไปเด็ดไปหยิบมาได้เลย นี่คือความจำเป็นที่พวกเราต้องเข้าหาธรรมะกันตั้งแต่เนิ่นๆ ตั้งแต่ตอนที่เรายังไม่ต้องอาศัยธรรมะ เพราะต่อไปนี้เราจะต้องเจอทุกข์ในรูปแบบต่างๆ มากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะเพื่อนฝูงที่เรารู้จักต่อไปก็แก่ขึ้นๆ ต่อไปก็เจ็บไข้ได้ป่วย ต่อไปก็ตายกันจากกันไป คนที่เรารู้จักคนที่เราเคยสนิทสนม วันดีคืนดีเขาก็ลาจากเราไป ตอนนั้นแหละเราต้องรีบไปเด็ดผลของธรรมะมาบำบัดความทุกข์ใจที่เกิดขึ้น

ถ้าไม่มีธรรมะปลูกไว้ ไม่มีผลที่จะไปเด็ดมาใช้ ก็ต้องมีแต่ความเศร้าโศกเสียใจซึมเศร้า บางทีก็อยากจะตายไปกับคนที่ตายไปก็มี อยากจะฆ่าตัวตายไปก็มี นี่เพราะไม่เคยเข้าวัดไม่เคยศึกษาพระธรรมคำสั่งคำสอน ไม่เคยปฏิบัติธรรมนั่นเอง พอถึงเวลาจะอาศัยธรรมะเป็นสรณะเป็นที่พึ่งก็ไม่มีให้พึ่ง ธรรมะจะวิเศษขนาดไหนเราต้องเป็นผู้ปลูกฝังธรรมะให้เกิดขึ้นมาภายในใจของเรา ถ้าเกิดขึ้นภายในใจแล้วทีนี้เวลาที่เราต้องการใช้ธรรมะก็ใช้ได้ทันที เวลามีความเศร้าโศกเสียใจก็ใช้ธรรมะมาดับได้ทันที เวลามีความทุกข์กับใครกับเรื่องอะไร พอเอาธรรมะมาปั๊บความทุกข์เหล่านั้นก็จะหายไป เวลาอยากจะมีความสุขก็เอาธรรมะมาผลิตให้กับใจได้ทันที อยากจะได้ความสุขพอมีธรรมะปั๊บก็สามารถเรียกความสุขมาหาเราได้ทันที เหมือนเปิดสวิทช์ไฟ สวิทช์ไฟนี่กว่าจะใช้การได้มันก็ต้องเดินสายต่อสายไปถึงโรงไฟฟ้านู่นแหนะเห็นไหม โรงไฟฟ้าอยู่ไกลขนาดไหนก็ต้องต่อไปให้ถึง ถ้าไม่ถึงโรงไฟฟ้า ต่อให้มีสวิทช์ไฟมีหลอดไฟมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ใช้ไม่ได้ ฉันใด ธรรมะถึงแม้จะวิเศษขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าเราไม่เอามาปลูกฝังไว้ในใจเรา เราจะไม่มีธรรมะเป็นที่พึ่งเวลาที่เราต้องการธรรมะมาบำบัดทุกข์มาบำรุงสุขให้กับเรา นี่แหละคือทำไมเราจึงต้องมีวันพระ ภาษาบาลีท่านเรียกวันพระว่า “วันธัมมัสสวนะ” “ธัมมัสสวนะ” ภาษาบาลีแปลว่าวันฟังธรรม ฟังธรรมศึกษาธรรม สมัยก่อนวิธีศึกษาต้องศึกษาด้วยการฟัง เพราะสมัยก่อนคนส่วนใหญ่ไม่มีการเรียนหนังสือกัน ไม่มีการเขียนไม่มีการอ่านหนังสือ ธรรมะนี่ไม่มีบันทึกเป็นตัวอักษร บันทึกไว้ในความจำของพระแต่ละรูปที่มาบวชในพระพุทธศาสนา ที่บทสวดมนต์ต่างๆ นี้ก็คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้นแหละ พระสูตรต่างๆ เช่น มงคลสูตร มงคล ๓๘ “อะเสวนา จะ พาลานัง บัณฑิตานัญจะ เสวะนา” ไอ้นี่เป็นคำสอน ลองมาแปลดูซิ “อะเสวนา จะ พาลานัง” แปลว่าอะไร อย่าคบคนพาลคนโง่ ให้คบบัณฑิต“ปูชา จะ ปูชะนียานัง” ให้บูชาบุคคลที่สมควรต่อการบูชา เช่น บิดามารดาผู้มีพระคุณทั้งหลาย เป็นบุคคลที่เราควรจะบูชา ควรที่จะแสดงความกตัญญูกตเวที เพราะคนที่มีความกตัญญูกตเวทีเป็นคนดีนั่นเอง


สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๖๒
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน