[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => สมถภาวนา - อภิญญาจิต => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 30 มีนาคม 2563 13:02:58



หัวข้อ: ฉลาดแต่ไม่เฉลียว พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 30 มีนาคม 2563 13:02:58
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/32256209229429_91500053_2819851384719461_6626.jpg)

ฉลาดแต่ไม่เฉลียว

พวกเรารู้หรือไม่ว่าเรากำลังจะเข้าไปสู่ความแก่ความเจ็บความตายกัน พอเรามาเกิดแล้วนี้ เรานี่เหมือนทำสัญญากับยมบาลไว้ล่วงหน้าแล้วว่าขอให้มารับเรานะ ถึงเวลาที่สมควร เราจะมอบร่างกายนี้ให้กับยมบาลไป เพราะเมื่อมาเกิดแล้ว ร่างกายนี้ก็จะต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายกัน ผู้ที่ได้ยินคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะกลัวการเกิดกัน เพราะรู้ว่าเมื่อเกิดแล้ว จะต้องเจอความแก่ความเจ็บความตายกัน ก็จะพยายามตัดเหตุที่จะพาให้มาเกิดมาแก่มาเจ็บมาตายกัน ก็คือการมาปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้เราหาอาหารหรือความสุขชนิดใหม่ที่จะทำให้เราไม่ต้องกลับมาเกิดมาแก่มาเจ็บมาตายกัน อาหารที่เรากำลังหากันอยู่ ความสุขที่เรากำลังหากันอยู่ในขณะนี้ เป็นความสุขที่จะพาให้เราต้องกลับมาเกิดมาแก่มาเจ็บมาตายกันอยู่เรื่อยๆ เพราะความสุขที่เราหานี้ต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ เราจึงต้องมาเกิด เราถึงจะสามารถหาความสุขผ่านทางร่างกายได้ หาความสุขจากลาภยศสรรเสริญ หาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะได้ แต่ร่างกายของเรามันก็ไม่จีรังถาวร มันมีเกิดมีแก่มีเจ็บมีตายไปตามลำดับ พอมันตายไป ความสามารถที่จะหาความสุขผ่านทางร่างกายก็ต้องหยุดชะงักไป แล้วก็ต้องรอให้เราได้ไปรับร่างกายอันใหม่ก่อน แล้วเราถึงจะกลับมาหาความสุขต่อไปได้ นี่คือลักษณะการหาความสุขของพวกเรา ที่ต่างจากการหาความสุขของพระพุทธเจ้าและของพระสาวกทั้งหลาย

เมื่อก่อนนั้นพระพุทธเจ้าและพระสาวกก็หาความสุขเหมือนกับที่พวกเรากำลังหากันอยู่ในขณะนี้ ท่านก็หาลาภยศสรรเสริญ หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายกัน แต่ท่านนอกจากฉลาดแล้ว ท่านยังเฉลียวด้วย พวกเราฉลาดแต่เราไม่เฉลียว พวกเราไม่เห็นความแก่ความเจ็บความตายที่จะคืบคลานเข้ามาทำลายความสุขที่เรากำลังหากัน มีพระพุทธเจ้านี่แหละเป็นผู้ที่มีความเฉลียว ที่นอกจากมีความฉลาดแล้ว ฉลาดในการหาลาภยศสรรเสริญสุขแล้ว ยังมีความเฉลียวที่เห็นพิษเห็นภัย เห็นอันตรายของการหาความสุขทางหาลาภยศสรรเสริญสุขด้วย เห็นว่าต่อไปร่างกายของพระองค์จะต้องแก่จะต้องเจ็บจะต้องตาย เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่สามารถหาความสุขแบบที่กำลังหาอยู่ได้ พวกเราก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเหมือนกัน แต่ทำไมพวกเราถึงไม่มองไม่เห็นกัน ก็พวกเราฉลาดแต่ไม่เฉลียวนั่นเอง ฉลาดในการหาความสุขผ่านทางร่างกาย แต่ไม่เคยเฉลียว ไม่เคยเอะใจเลย ไม่เคยถามตัวเองเลยว่า “เฮ้ย ต่อไปกูแก่ กูเจ็บ กูตาย กูจะทำยังไงวะ” นี่ไม่เคยคิดกันเลย ไม่ยอมคิดกัน ไม่กล้าคิดกัน คำว่า “แก่” คำว่า “เจ็บ” คำว่า “ตาย” นี้อยากจะลบออกจากพจนานุกรมเลย อยากจะให้มันไม่มีในภาษาไทยเลย แต่มันลบไม่ได้ เพราะมันเป็นความจริงที่ไม่มีใครไปลบล้างได้ การที่ไม่ไปสนใจ ไม่ไปคิดถึงมันนี้ ไม่ไปลบล้างมัน มันกลับทำให้เราไม่เฉลียว กลับทำให้เราโง่มากขึ้น กลับทำให้เราทุกข์มากขึ้น เพราะมันจะทำให้เรากลัวความแก่ กลัวความเจ็บ กลัวความตายกัน ความกลัวความแก่ กลัวความเจ็บ กลัวความตายนี้แหละเป็นตัวทำให้เราทุกข์กัน ไม่ใช่ความแก่ความเจ็บความตาย ที่ทำให้เราทุกข์กัน ความแก่ความเจ็บความตายมันอยู่ที่ร่างกาย มันไม่ได้อยู่ที่ใจ ใจไม่ได้แก่ไม่ได้เจ็บไม่ได้ตายไปกับร่างกาย แต่ที่ใจทุกข์เพราะว่าใจไม่อยากให้ร่างกายแก่ ไม่อยากให้ร่างกายเจ็บ ไม่อยากให้ร่างกายตายเท่านั้น

นี่คือสาเหตุของความทุกข์ใจ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในอริยสัจ ๔ นี่ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าความทุกข์ต่างๆ ของใจนี้ ไม่ได้เกิดจากสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ แต่เกิดจากความอยากของใจที่ไปยุ่งกับสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ เท่านั้นเอง ไปอยากในสิ่งไม่เที่ยงให้มันเที่ยง ไปอยากในสิ่งไม่เป็นของเราให้เป็นของเรา พอไปอยากในสิ่งเป็นไปไม่ได้ พอมันไม่เป็นของเรา พอมันไม่เที่ยง มันก็ทำให้เราทุกข์กัน เท่านั้นเอง แต่ถ้าเรามีความฉลาดมีความเฉลียว มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ เช่น ลาภยศสรรเสริญ เช่น ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย นี่มันเป็นของไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถครอบครองเป็นสมบัติของเราไปได้ตลอด ไม่ช้าก็เร็ว วันใดวันหนึ่งเราจะต้องมีการพลัดพรากจากกันไป ถ้าเรามีความฉลาดและมีความเฉลียว เห็นว่าต่อไปเวลาร่างกายเราแก่เราเจ็บเราตายนี้ เราจะต้องมีการพลัดพรากจากลาภยศสรรเสริญ พลัดพรากจากความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายไป ถ้าเราเห็นแล้วเราจะได้รู่ว่านี่เป็นการหาความทุกข์ ไม่ใช่เป็นการหาความสุข เราจะได้ข้อสรุปว่า การหาลาภยศสรรเสริญ การหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายนี้ มันเป็นการหาความทุกข์ เป็นเหมือนกับการหาเบ็ดนั่นเอง เบ็ดมันอยู่ของมันดีๆ เราไปหามันเอง ปลาโง่ซิ ปลาที่ไม่เฉลียว เห็นเหยื่อที่ติดอยู่ปลายเบ็ด ไม่รู้ว่ามีเบ็ดอยู่ ก็ว่ายไปกัดไปกินเหยื่อ แล้วก็ไปถูกตะขอเบ็ดเกี่ยวปากเอา เบ็ดมันอยู่ของมันเฉยๆ เราโง่เอง เราไปหามันเอง

ความทุกข์ในลาภยศสรรเสริญสุข ก็มันก็อยู่ของมันอยู่อย่างนั้น เงินก็อยู่ในธนาคาร อยู่ในกระเป๋าคนนั้นคนนี้ เราไปหามันเอง ไปหามัน แล้วก็ไปทุกข์กับมันเพราะไปติดเบ็ด พอไปมีมันแล้วก็ต้องติด พอได้มาแล้วก็ติด ต้องมีเรื่อยๆ พอไม่มีแล้วมันก็ทุกข์ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราเลิกหาลาภยศสรรเสริญ สุขทางตาหูจมูกลิ้นกายกัน แล้วมาหาความสุขที่ไม่มีความทุกข์ตามมา คือความสุขที่เกิดจากความสงบนี้เอง



ธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๑
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัด ชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน