[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => นิทาน - ชาดก => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 30 เมษายน 2563 16:28:52



หัวข้อ: วิโจนชาดก • อรรถกถากัณฏกวรรค ที่ ๑๕ พระโพธิสัตว์ปฏิสนธิ์ในกำเนิดไกรษรสีหราช
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 30 เมษายน 2563 16:28:52
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/82879204551378_nt153_1_.gif)
ขอขอบคุณภาพประกอบ "วิโจนชาดก" จาก เว็บไซต์ธรรมะไทย

• อรรถกถากัณฏกวรรค ที่ ๑๕
๓.วิโจนชาดก

ลสี จ เต นิปฺผลิตาติ อิทํ สตฺถา เวฬุวเน วิหรนฺโต เทวทตฺตสฺส คยาสีเส สุคตาลยสฺส ทสฺสิตภาวํ อารพฺภ กเถสิ ฯ

พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน ทรงพระปรารภความที่พระเทวทัตแสดงท่าทางอย่างพระสุคต ณ คยาสีสะประเทศ ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ลสี จ เต นิปฺผลิตา ดังนี้.

เรื่องพิสดารมีว่า พระเทวทัตฌานเสื่อมแล้วเลยเสื่อมจากลาภ จากลาภสักการะหมดเลย คิดว่า ยังมีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง  กราบทูลขอวัตถุ ๕ ประการกะพระศาสดา เมื่อไม่ได้ ก็ชวนภิกษุ ๕๐๐ รูป สัทธิวิหาริกของพระอัครสาวกทั้งสอง ผู้บวชได้ไม่นาน ยังไม่ฉลาดในพระธรรมวินัย ไปสู่คยาสีสะประเทศ แยกหมู่กระทำสังฆกรรมแผนกหนึ่ง ในสีมาเดียวกัน พระศาสดาทรงทราบเวลาที่ความรู้ของภิกษุพวกนั้นแก่กล้า ทรงส่งพระอัครสาวกทั้งสองไป พระเทวทัตเห็นท่านทั้งสองนั้นแล้วดีใจ คิดว่า เราจะแสดงธรรมตลอดคืน ทำทีท่าอย่างพระพุทธเจ้า เมื่อแสดงท่าทีอย่างพระสุคต กล่าวว่า ท่านสาริบุตร ภิกษุสงฆ์ยังไม่ง่วงเหงาหาวนอน ธรรมิกถาจงอาศัยท่านแจ่มกระจ่างแก่ภิกษุทั้งหลายเถิด เราเมื่อยหลังนัก จักขอเหยียดหลังสักหน่อย แล้วเข้านอน  พระอัครสาวกทั้งสองแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น ให้ตื่นทั่วกันด้วยมรรคผลทั้งหลาย แล้วพากลับมาสู่พระเวฬุวันวิหารทั้งหมดทีเดียว พระโกกาลิกะเห็นวิหารว่างจึงไปสู่สำนักพระเทวทัต พูดว่า ท่านเทวทัต อัครสาวกทั้งสองทำลายบริษัทของท่านเสียแล้ว พากันไปเสียจนวิหารว่างไปแล้ว ส่วนท่านยังมัวนอนหลับเสียได้  แล้วกระตุกผ้าห่มของเทวทัตออกเสีย เอาส้นกระทืบลงไปที่ตรงหัวใจ เหมือนตอกหมุดที่ฝาเรือน ทันใดนั้นเอง เลือดก็ทะลักออกจากปากของพระเทวทัต ตั้งแต่นั้นก็เป็นไข้ไปเลย พระศาสดาทรงถามพระเถระเจ้าว่า สารีบุตร เวลาที่เธอพากันไป เทวทัตได้กระทำอะไร พระเถระเจ้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเทวทัตเห็นข้าพระองค์ทั้งสองแล้ว คิดจักกระทำลีลาษณ์อย่างพระพุทองค์ เแสดงท่าทีอย่างพระสุคต เลยถึงความพินาศใหญ่หลวง. พระศาสดาตรัสว่า ดูกรสาริบุตร มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เทวทัตทำตามอย่างเรา ถึงความพินาศ แม้ในครั้งก่อนก็เคยถึงพินาศมาแล้วเหมือนกัน พระเถระเจ้ากราบทูลอาราธนา ทรงอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้

อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺเต รชฺชํ กาเรนฺเต ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นไกรษรสีหราช อาศัยอยู่ในถ้ำทอง ในประเทศหิมพานต์ วันหนึ่งออกจากถ้ำทอง สะบัดกาย มองดูทิศทั้งสี่ บันลือสิงหนาท แล้วย่างออกหาอาหาร ฆ่ากระบือใหญ่กินเนื้อแล้ว ลงสู่สระดื่มน้ำมีสีเหมือนแก้วมณีเต็มท้องแล้ว มุ่งเดินไปสู่ถ้ำ  ครั้งนั้น จิ้งจอกตัวหนึ่งกระเสือกกระสนหาเหยื่อ พบราชสีห์เข้าทันทีทันใด ไม่อาจจะหลีกหนีได้ทัน ก็เลยนอนหมอบลงแทบเท้าเบื้องหน้าราชสีห์ เมื่อราชสีห์กล่าวว่า อะไรเล่าเจ้าจิ้งจอก ก็บอกว่า ข้าแต่นาย ข้าพเจ้าหมายมุ่งจะบำรุงบาทของท่าน ราชสีห์กล่าวว่า ดีละ เจ้ามาเถิด บำรุงข้าเถิด ข้าจักให้เจ้าได้กินเนื้อดีๆ แล้วพาจิ้งจอกไปสู่ถ้ำทอง ตั้งแต่นั้นจิ้งจอกก็คอยกินเดนราชสีห์ ล่วงมาได้สองสามวันก็มีร่างกายอ้วนพี ครั้นวันหนึ่ง ราชสีห์นอนอยู่ในถ้ำ บอกมันว่า ไปซี เจ้าจิ้งจอก เจ้ายืนบนยอดเขา อยากจะกินเนื้อของสัตว์ใดในกระบวน ช้าง ม้า กระบือ เป็นต้น ที่ท่องเที่ยวอยู่ที่เชิงเขา จงมองหาสัตว์นั้น แล้วบอกเราว่า ข้าพเจ้าอยากกินเนื้อสัตว์อย่างโน้น แล้วจงบอกว่า นายเอ๋ย ท่านจงแผดเสียงเถิด ข้าจักฆ่าสัตว์นั้นกินเนื้ออร่อยๆ แล้วแบ่งให้เจ้าบ้าง  จิ้งจอกจึงขึ้นไปสู่ยอดเขา มองดูฝูงมฤคนานาชนิด ครั้นนึกอยากกินเนื้อของสัตว์ชนิดใด ก็เข้าไปสู่ถ้ำทองบอกสัตว์นั้นแก่ราชสีห์ แล้วหมอบลงแทบเท้า กล่าวว่า นายเอ๋ย เชิญท่านแผดเสียงเถิด ราชสีห์วิ่งไปโดยเร็ว ถ้าแม้เป็นช้างพลายตกมัน ก็ฆ่าให้ตายตรงนั้น ตนเองกินเนื้อดีๆ บ้าง ให้แก่จิ้งจอกบ้าง จิ้งจอกกินเนื้อจนอิ่มท้องแล้ว เข้าถ้ำนอนหลับ

ครั้นนานๆ ไป มันชักกำเริบใจขึ้นว่า แม้ตัวกู ก็เป็นสัตว์สี่เท้าเหมือนกัน เหตุไรจะต้องให้คนอื่นเขาเลี้ยงทุกๆ วันอยู่เล่า ตั้งแต่บัดนี้กูจักฆ่าช้างเป็นต้นกินเนื้อ แม้แต่ราชสีห์ผู้เป็นมฤคราช อาศัยข้อที่เรากล่าวว่า นายเอ๋ย เชิญท่านแผดเสียงเถิด ดังนี้เท่านั้น ฆ่าช้างทั้งหลายได้ กูต้องให้ราชสีห์พูดกะกูบ้างว่า จิ้งจอกเอ๋ย เชิญแผดเสียงเถิด ดังนี้ คงฆ่าช้างตัวหนึ่งกินเนื้อได้ มันเข้าไปหาราชสีห์กล่าวคำนี้ว่า นายเอ๋ย ข้าพเจ้ากินเนื้อช้างพลายที่ท่านฆ่าตายมานานแล้ว ข้าพเจ้าเล่าก็อยากจะฆ่าช้างตัวหนึ่งกินเนื้อมัน เหตุนั้น ข้าพเจ้าต้องขอนอนในถ้ำทองบนที่ที่ท่านนอน ท่านช่วยคอยดูช้างพลายที่ท่องเที่ยว ณ เชิงเขา แล้วมาสู่สำนักข้าพเจ้า กล่าวว่า จิ้งจอกเอ๋ย เชิญแผดเสียงเถิด ขอเพียงเท่านี้แหละ ท่านอย่าได้หวงแหนเลย   ครั้งนั้น ราชสีห์บอกมันว่า จิ้งจอกเอ๋ย เจ้าไม่สามารถจะฆ่าช้างได้ดอก ขึ้นชื่อว่า หมาจิ้งจอกที่บังเกิดในสกุลสีหะ สามารถฆ่าช้างที่ข้าฆ่ากินเนื้อได้ไม่มีเลยในโลก เจ้าอย่าพอใจอย่างนี้เลยนะ อยู่คอยกินเนื้อช้างที่ข้าฆ่าแล้วไปถ่ายเดียวเถิด ถึงถูกราชสีห์พูดอย่างนี้ มันก็ไม่ปรารถนาจะเลิก คงเซ้าซี้อยู่นั่น ราชสีห์ เมื่อไม่อาจห้ามปรามมันได้ ก็รับคำ กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงเข้าไปที่อยู่ของเรานอนคอยเถิด ให้จิ้งจอกนอนในถ้ำทอง ตนเองคอยดูช้างซับมันที่เชิงเขา แล้วไปที่ประตูถ้ำบอกว่า จิ้งจอกเอ๋ย เชิญแผดเสียงเถิด  จิ้งจอกออกจากถ้ำทอง สะบัดกาย มองสี่ทิศ หอนสามคาบ คิดว่าเราต้องกระโดดลงตรงกระพองช้างซับมัน พลาดไปตกที่ใกล้เท้าช้าง ช้างยกเท้าขวาขึ้นเหยียบหัวมัน กะโหลกแตกแหลกไปเลย ทีนั้นช้างก็เอาเท้าคลึงร่างของมันทำเป็นกองไว้ ขี้รดข้างบน แล้วร้องก้องโกญจนาทแปดแสงไปซี แล้วกล่าวคาถานี้ว่า


ลสี  จ เต  นิปฺผลิตา           มตฺถโถ จ  ปผาลิโต
สพฺพา  เต  ผาสุกา  ภคฺคา             อชฺช  โช  ตุวํ  วิโรจสิ
 

แปลว่า มันสมองของเจ้าทลักออกมาแล้ว และหัวสมองก็ถูกขยี้เสียแล้ว ซี่โครงของเจ้าทุกซี่หักหมดแล้ว เพราะเจ้าแผเสียงในวันนี้แล" ดังนี้.

พระโพธิสัตว์กล่าวคาถานี้แล้ว ดำรงอยู่ตลอดอายุ แล้วไปตามยถากรรม

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า หมาจิ้งจอกในครั้งนั้น ได้มาเป็นเทวทัต ส่วนราชสีห์ ได้มาเป็นเราแล ฯ