[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => สมถภาวนา - อภิญญาจิต => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 26 พฤษภาคม 2563 12:40:42



หัวข้อ: เป้าหมายของการปฏิบัติธรรม พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 26 พฤษภาคม 2563 12:40:42

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/46790891264875_100086170_2957473940957204_487.jpg)

เป้าหมายของการปฏิบัติธรรม

ประชุมเพลิงพระสรีระร่างกายของท่านพระอาจารย์สุดใจ ทันตมโน

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ เป็นวันที่เราได้มาพบกันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อมาฟังเทศน์ฟังธรรม วันนี้ก็เป็นวันที่จะมีการประชุมเพลิงพระสรีระร่างกายของพระอาจารย์สุดใจ ทันตมโน พระอาจารย์สุดใจนี้ ท่านกับเราเป็นเหมือนนักศึกษารุ่นเดียวกัน คือได้เข้าไปศึกษาและปฏิบัติธรรมที่วัดป่าบ้านตาดในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้รับอนุญาตจากหลวงตาให้อยู่จำพรรษาศึกษากับท่าน ในพรรษานั้นก็มีพระที่พอจะจำได้ดังนี้ คือ หลวงตา ท่านเป็นหัวหน้า เป็นอาจารย์ใหญ่ แล้วรองลงมาก็หลวงปู่บุญมี ถัดนั้นก็เป็นหลวงปู่ลี แล้วก็พระอาจารย์อินทร์ถวาย พระอาจารย์ปัญญา พระอาจารย์เชอรี่ แล้วก็มีพระบางรูปที่ท่านอยู่ไม่นาน จำไม่ได้ ต่อจากนั้นก็มีพระอาจารย์เยื้อน ตอนนี้ท่านก็อยู่ที่จังหวัดสุรินทร์ แล้วก็พระอาจารย์สุดใจ แล้วก็เรา แล้วก็มีพระที่น้อยกว่าพรรษา บวชอยู่ชั่วคราว ก็ไม่ได้บวชไปนาน ลาสิกขาไป จึงจำชื่อหน้าตาท่านไม่ได้

นี่คือจำนวนพระที่ท่านทั้งหลายอาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านมา ซึ่งก็เสียไปเกือบจะหมดแล้ว เหลือก็มีพระอาจารย์อินทร์ถวาย พระอาจารย์เชอรี่ ท่านเป็นชาวแคนาดา มีพรรษาเท่ากับพระอาจารย์อินทร์ถวาย มีพระอาจารย์เยื้อนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ พระอาจารย์สุดใจท่านก็สิ้นไปแล้ว ก็เรายังอยู่ ยังมีลมหายใจอยู่ แต่จะหมดเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้เหมือนกัน พระอาจารย์สุดใจ ท่านกับเราพรรษาห่างกัน ๒ พรรษา ท่านแก่กว่า ๒ พรรษา ท่านเป็นชาวสมุทรปราการ ท่านจึงบวชที่วัดอโศการาม หลังจากนั้นท่านก็ขึ้นอีสาน ไปอยู่กับหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่จังหวัดอุดรธานี เห็นว่าอยู่ ๒ พรรษาด้วยกัน พอพรรษาที่ ๓ ท่านก็มาขออยู่กับหลวงตามหาบัว ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ จึงได้พบท่านในปีนั้น และรู้จักมักคุ้นกันดี เพราะว่ามักจะนั่งติดกันเวลาที่ฉันจังหัน เพราะพรรษาท่านกับเราก็ห่างกันเพียง ๒ พรรษา แล้วพอดีกุฏิท่านกับเราก็อยู่ตรงกันข้ามกัน ก็มีโอกาสได้คุยกันบ้าง เพราะที่นั่นเวลาสรงน้ำนี้เราจะไปสรงที่บ่อน้ำ มีบ่อน้ำให้เราอาบกันที่บ่อน้ำ ก็จะเป็นช่วงที่มีโอกาสได้ทักทายได้คุยกันบ้าง

ตามประวัติท่านก็จบปริญญาตรีจากธรรมศาสตร์ แล้วจบโทจากนิด้า ท่านก็มีความรู้ทางโลกมากพอสมควร ทางภาษา ท่านจึงเป็นผู้ถอดเทปต่างๆของหลวงตามหาบัว ถอดมาแล้วก็ตรวจทาน ช่วงแรกๆก็ส่งไปให้หลวงตาท่านตรวจ แต่ต่อมาหลวงตาท่านก็ไม่ว่างไม่ค่อยมีเวลาตรวจ ท่านก็มีความไว้วางใจในพระอาจารย์สุดใจ ให้ท่านเป็นผู้ตรวจเอาเอง แล้วท่านก็คัดออกมาพิมพ์หนังสือเป็นเล่มๆ ส่วนเราก็มีหน้าที่จัดส่งหนังสือเวลามีผู้ที่สนใจอยากจะได้หนังสือ เขียนจดหมายมาขอกับหลวงตา หลังจากที่หลวงตาอ่านเสร็จ ท่านก็จะเขียนข้อความสั้นๆว่า ให้หนังสือเล่มนั้นเล่มนี้อย่างละกี่เล่ม เราก็จัดการห่อแล้วก็ส่งไปทางไปรษณีย์ หนังสือทุกเล่มที่ท่านแจกก็ไม่เก็บสตางค์ แม้แต่ค่าส่งท่านก็ไม่รับ บางคนขอหนังสือแล้วก็เกรงใจ ก็ส่งเงินค่าส่งมาด้วย ท่านก็ส่งกลับไป เพราะท่านต้องการแจกธรรมทาน เพราะเห็นคุณค่าของธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่มีคุณค่าเหนือกว่าราคาทั้งปวง แล้วจะได้ไม่เป็นการปิดกั้นสำหรับผู้ที่ไม่มีฐานะเงินทองที่จะซื้อหนังสือธรรมะมาอ่านได้

ธรรมของพระพุทธเจ้านี้เป็นธรรมทานตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์แรก พระพุทธเจ้าแสดงธรรมนี้จะไม่มีบาตรไปรับกัณฑ์เทศน์ ไม่มีไปรอรับกัณฑ์เทศน์เหมือนกับค่าจ้างเทศน์ ท่านเทศน์ด้วยความกรุณาด้วยความเมตตา ด้วยความสงสารสัตว์โลกที่ยังติดข้องอยู่กับวัฏสงสาร โลกของการเวียนว่ายตายเกิด โลกของการเกิดแก่เจ็บตาย ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วน้อมนำเอาไปปฏิบัติจะไม่มีวันที่จะหลุดพ้นจากวัฏสงสารแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้เลย

พวกเราทุกคนตอนนี้ก็ยังติดอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ภพนี้เราได้มาเกิดแล้ว เดี๋ยวต่อไปเราก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ แล้วก็ต้องตายไป แต่คำที่ว่าเรานี้คือร่างกายนี้ ความจริงมันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นตุ๊กตาตัวหนึ่งที่เราได้รับจากพ่อแม่ ตามอำนาจความอยากของเรา ใจของพวกเรามีตัณหาคือความอยากที่จะเสพความสุขต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้ เราจึงต้องมีร่างกาย เราจึงมารอรับร่างกายช่วงที่เราไม่มีร่างกาย ช่วงที่เราเป็นดวงวิญญาณ ช่วงที่เราตายจากร่างกายอันก่อน เราก็มารอรับร่างกายอันใหม่ พอได้พบกับพ่อแม่คนใหม่ได้จับจองร่างกายที่พ่อแม่สร้างขึ้นมา เราก็ติดยึดติดเป็นตัวเราของเราเลย พอออกมาจากท้องแม่เราก็คิดว่าเราเป็นร่างกาย เพราะตัวเรานี้ไม่มีรูปร่างหน้าตาที่เราจะสามารถเห็นตัวเราเองได้ เราเห็นเพียงแต่ร่างกายที่เรามาเกาะมายึดมาติด มาใช้ให้พาเราไปหาความสุขต่างๆผ่านทางตาหูจมูกลิ้นกาย เรากับร่างกายก็เลยกลายเป็นคนเดียวกันขึ้นมา การที่ไปเห็นว่าร่างกายเป็นคนเดียวกันนี้ เป็นต้นเหตุของความเครียดของความทุกข์ต่างๆ เพราะว่าร่างกายนี้มันเป็นธรรมชาติที่มีเจริญแล้วมันก็ต้องมีวันเสื่อม ในช่วงแรกๆของชีวิตก็จะมีแต่ความเจริญ ร่างกายก็จะโตวันโตคืน ตอนเป็นเด็กก็ดีอกดีใจ ตอนต้นก็คลาน เดี๋ยวก็ได้ยืน เดี๋ยวก็ได้เดิน เดี๋ยวก็ได้ไปทำอะไรต่างๆตามที่อยากจะทำ ช่วงแรกๆจึงหลงใหลไปกับร่างกาย เพราะว่าไม่มีส่วนที่เป็นความทุกข์มาแสดง นอกจากโรคภัยไข้เจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นบางครั้งบางเวลาเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วร่างกายจะไม่มีอาการเจ็บปวดต่างๆ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเหมือนกับคนแก่คนชรา เราก็เลยหลงใหลไปกับร่างกาย แล้วก็ไม่เคยไปสนใจว่าอนาคตของร่างกายเราจะเป็นอย่างไรต่อไป ถึงแม้เราจะเห็นคนแก่เห็นคนตาย เห็นปู่ย่าตายายที่เป็นคนแก่แล้วก็เป็นคนตาย เราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะเป็นเหมือนท่าน เราก็จะคิดว่าเรานี้จะเป็นหนุ่มเป็นสาวไปเรื่อยๆ เราก็เลยหมกมุ่นกับการใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุขชนิดต่างๆ ไปจนกว่าจะได้ไปเจอกับความทุกข์ของร่างกาย อาจจะเจอโรคภัยไข้เจ็บ อย่างตอนนี้ทุกคนก็เจอโรคภัยไข้เจ็บของร่างกาย ก็เริ่มมีความรู้สึกทุกข์รู้สึกกังวลหวาดกลัวกับภัยที่จะมากระทบกับร่างกายขึ้นมา แต่ถ้าไม่ได้มาศึกษาธรรมะคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะไม่รู้วิธีที่จะปฏิบัติกับร่างกายอย่างไรดี เมื่อไม่รู้ใจก็จะเครียด ใจก็จะทุกข์วิตกกังวลหวาดกลัว ไม่มีความสุข

แต่ถ้าได้มีโอกาสได้มาศึกษาพระธรรมคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้เรียนรู้ว่าร่างกายกับเรานี้เป็นคนละคนกัน เราไม่ได้แก่ไม่ได้เจ็บไม่ได้ตายไปกับร่างกาย เราเป็นผู้รู้ผู้คิด ผู้สั่งให้ร่างกายทำอะไรต่างๆ แล้วก็ไปยึดไปติดไปอยากให้ร่างกายอยู่ไปนานๆ อยู่แบบแข็งแรง อยู่แบบไม่เจ็บไข้ได้ป่วย อยู่แบบไม่ตาย แต่พอเวลาที่เราไปพบกับความเจ็บไข้ได้ป่วย หรือพบกับความตาย มันก็จะทำให้ใจเราหวาดกลัวขึ้นมา แต่ถ้าเราได้มาศึกษาได้มาเรียนรู้ความจริงว่า ร่างกายกับเรานี้เป็นคนละส่วนกัน เป็นคนละคนกัน เราเป็นนาย ร่างกายเป็นบ่าว เราเป็นผู้สั่งให้ร่างกายพาเราไปไหนมาไหน พาเราไปทำอะไรต่างๆ เราไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย แต่การที่เราจะเอาความรู้นี้มาใช้ประโยชน์ มาสอนใจได้ จำเป็นที่จะต้องมีการปฏิบัติธรรม มีการแยกใจออกจากร่างกาย ด้วยการบำเพ็ญจิตตภาวนา และการจะบำเพ็ญจิตตภาวนาได้ก็ต้องมีศีลเป็นผู้สนับสนุน มีสถานที่สงบวิเวก ถึงจะสามารถที่จะบำเพ็ญจิตตภาวนา เพื่อทำจิตใจให้สงบได้ พอจิตใจสงบแล้วก็จะเห็นว่าร่างกายกับจิตใจนี้เป็นคนละส่วนกัน แต่จะเห็นเพียงชั่วคราว เพราะจะไม่ได้อยู่ในสมาธินานนั่นเอง เดี๋ยวก็ต้องออกมารวมกับร่างกายใหม่ พอเวลากลับมารวมกับร่างกายก็ไปคิดว่าร่างกายเป็นเราใหม่

ดังนั้นเวลาที่ออกมาจากสมาธิมารวมกับร่างกายแล้ว สิ่งที่เราต้องคอยเตือนใจอยู่เรื่อยๆ ก็คือเตือนว่าเราไม่ได้เป็นร่างกาย ร่างกายต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ไม่มีใครไปห้ามได้ สิ่งที่เราต้องสอนใจก็คือ เราต้องปล่อยวาง อย่าไปอยากให้ร่างกายไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย เพราะความอยากไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายนี้เอง ที่เป็นเหตุทำให้เกิดความเครียดขึ้นมาในใจ ไม่ใช่ความแก่ความเจ็บความตาย พระพุทธเจ้าพระอรหันตสาวกนี้ท่านก็อยู่กับความแก่ความเจ็บความตายในช่วงที่ร่างกายของท่านมีชีวิตอยู่ แต่ใจท่านไม่เครียดกับความแก่ความเจ็บความตายของร่างกาย เพราะท่านมีปัญญาแยกแยะ คอยเตือนใจสอนใจให้ปล่อยวาง ไม่ให้ไปยึดไปติด ไม่ให้ไปอยากให้ร่างกายไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย สอนใจให้รับกับความแก่รับกับความเจ็บรับกับความตาย ถ้าใจรับได้ ใจก็จะสงบ ความเครียดก็จะหายไป ความอยากไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายก็จะไม่มีในใจ ใจก็อยู่ไปอย่างสบาย อยู่กับร่างกายไปจนถึงวาระสุดท้าย ร่างกายจะตายแบบไหนก็ไม่เป็นปัญหา

พระอรหันต์นี่ท่านมีท่านิพพานต่างๆ บางท่านก็นิพพานในท่ายืน บางท่านก็นิพพานในท่านั่ง บางท่านก็นิพพานในท่านอน คือใจของท่านไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย ท่านก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามความเหมาะสม ท่าจะนั่งตายก็ได้ยืนตายก็ได้ ตายในปากเสือก็มี ใจท่านปล่อยวางร่างกายได้ จะไม่ยึดไม่ติด เห็นด้วยปัญญาว่าร่างกายเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง มีเกิดมีแก่มีเจ็บมีตาย ร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวรู้ตัวคิด ตัวรู้ตัวคิดไม่ได้เป็นร่างกาย สั่งไม่ได้ห้ามไม่ได้ เรื่องของร่างกาย ดูแลได้ในกรอบเท่าที่จะดูแลได้ แต่พอถึงเวลาที่มันจะเป็นอะไรขึ้นมา ก็ห้ามมันไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ ทำได้อย่างเดียวก็คือทำใจ ทำใจปล่อยวาง ทำใจให้นิ่ง ทำใจให้เป็นอุเบกขา เพราะเวลาใจเป็นอุเบกขา ใจจะไม่ทุกข์ ใจจะไม่ยึดไม่ติด ใจจะไม่มีความอยาก ไม่มีความรักชังกลัวหลง นี่แหละคือเป้าหมายของการปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะทำให้ใจนี้ไม่ทุกข์กับความเป็นความตายของร่างกาย


ธรรมหน้ากุฏิ
 วันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
 พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
 วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
 ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/82866686458388_100890595_2957486327622632_868.jpg)