[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ => ประสบการณ์ ผี ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 23 ธันวาคม 2552 00:46:25



หัวข้อ: เรื่องเล่าสยองขวัญ เหตุระทึก ในมหา'ลัย
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 23 ธันวาคม 2552 00:46:25
   เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวผมเองเลยในช่วงที่เรียนมหา'ลัย   มันเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4 ปีก่อนครับ  ตอนนั้นผมเรียนอยู่ที่มหา'ลัยรัฐบาลแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ต่างจังหวัด  แต่ไม่ได้ไกลจากกรุงเทพฯ หรอกนะครับ  บรรยากาศที่นั่นก็ดูร่มรื่นดีมากเพราะเป็นป่าซะเป็นส่วนใหญ่  อากาศเลยค่อนข้างสะอาดบริสุทธิ์มากในตอนเช้าๆ  ขนาดว่าผมเป็นภูมิแพ้เวลาอยู่บ้านมักจะจามหรือไออยู่เรื่อย  แต่ตอนอยู่ที่นั่นเรียกได้ว่าผมแทบจะไม่ป่วยอะไรเลย  เย็นๆ หนุ่มสาวนักศึกษาที่เป็นแฟนกันก็จะมานั่งกินลมชมวิวเป็นแบบกึ่งๆ ปิคนิคกันตามริมทะเลสาบ  หรือบ่อน้ำที่ร่มรื่น  ชวนให้ผ่อนคลายสมอง  แต่เมื่ออาทิตย์ตกความเงียบและมืดมิดชวนวังเวงก็คลอบคลุมบรรยากาศรอบๆ มหา'ลัยในทันที  ยิ่งตอนผมเข้ามาใหม่ๆ ล่ะยิ่งเงียบเหงาชวนให้เสียวสันหลังเวลาค่ำคืนยิ่งนัก  แต่ด้วยความที่หอใน(มหาลัย)ห้องหนึ่งอยู่กันตั้ง 6 คนจึงช่วยบรรเทาความรู้สึกเหล่านั้นไปได้  

    ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมอยู่ปี 3 เทอม 1  ในเวลานั้นมหาลัยกำลังต้องการรับนักศึกษาปี 1 เพิ่ม (ทั้งๆ ที่จริงๆ ปีนึงก็รับมาอยู่แล้ว) เลยเร่งสร้างผลงานโดยการปรับปรุงทัศนวิสัยตรงโน้นตรงนี้  และสร้างตึกอะไรต่อมิอะไรเพิ่ม   ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือตึกคอมของคณะผมที่มีแผนกันว่าจะสร้างตรงพื้นที่ว่างข้ามตึกของคณะที่ผมใช้เรียนอยู่ในตอนนั้น   พื้นที่ตรงนั้นแต่เดิมในสายตาของผมก็เป็นแค่ป่าที่มีการทำถนนไว้เป็นเส้นเล็กๆ สำหรับเป็นทางลัดจากหอพักในไปสู่คณะครับ (ผมใช้เส้นทางนี้บ่อยถึงบ่อยมาก)  ดังนั้นเมื่อพื้นที่ตรงนี้ต้องนำมาใช้ในการก่อสร้างมันก็ถูกปิดล้อมรั้วไปอย่างแน่นหนาก็เป็นอันว่าทางลัดนี้ห้ามใช้ไปอีกพักหนึ่งครับ  แต่หลังจากที่มีการเริ่มก่อสร้างไปได้ประมาณสิบกว่าวันก็มีข่าวว่ารุ่นน้องปี 1 ของผมในคณะเดียวกันประสบอุบัติเหตุโดยมอเตอร์ไซค์ที่เค้าขี่ไปอัดเข้ากับสิบล้อที่สี่แยกหน้ามหา'ลัย  คนขี่เสียชีวิตทันที  ในฐานะรุ่นพี่พวกเราก็ไปร่วมงานศพกันพร้อมด้วยคณาอาจารย์  ตอนนั้นในสายตาของผมคิดว่าเป็นอุบัติเหตุธรรมดาๆ เพราะหน้ามหาลัยจะมีร้านข้าวอร่อยๆ   รวมทั้งผับและสถานบันเทิงอื่นๆ ด้วยจึงเป็นเรื่องปกติที่นักศึกษาส่วนใหญ่ชอบขี่รถออกไป  แล้วมันก็เป็นไปได้ว่าน้องเค้าอาจจะโชคร้ายที่ต้องมาประสบอุบัติเหตุนี้  ไม่นานข่าวเรื่องนี้ก็เริ่มเงียบลงแต่มันก็เป็นไปได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้นเพราะเดือนต่อมาก็มีเรื่องอีกเมื่อรุ่นน้องของผมที่อยู่ปี 2 ขี่มอเตอร์ไซค์แล้วเสียหลักหลุดโค้งแล้วชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ข้างทางอย่างแรง  คนขับอาการโคม่าแล้วไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล  หลักฐานคือต้นไม้ที่อยู่ข้างทางออกมหาลัยต้นนั้นที่เห็นได้ชัดว่าโดนชนซะเปลือกไม้แตกกระจายพร้อมด้วยคราบเลือดแถวๆ นั้น  เนื่องจากรุ่นน้องคนนี้เป็นคนที่ผมคุ้นหน้า  และเป็นสายรหัสของเพื่อนผมด้วย  มันเลยทำให้ผมสลดใจอย่างบอกไม่ถูกและอดสงสัยไม่ได้ว่าเด็กคณะเราอีกแล้วเหรอที่เสียชีวิต   ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่คิดถึงเรื่องนี้เพราะคนอื่นๆ ในมหา'ลัยก็เริ่มมีการจับกลุ่มกันพูดคุยและวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องนี้กันอย่างแพร่หลาย  

    แต่ยังไม่ทันได้ข้อสรุปอะไรเพิ่มเติมต้นเดือนต่อมาก็มีการเสียชีวิตของคนในคณะอีก  เรื่องนี้ผมไม่ทราบรายละเอียดชัดเจนแต่เพื่อนผมที่อ้างว่าสนิทกับยามตรงประตูทางออกหลังมหาลัยเล่าว่า   ทุกๆ เช้ามืดลูกจ้างฝ่ายธุรการของคณะผมคนหนึ่งจะมาส่งแฟนขึ้นรถไปทำงาน  วันนั้นก็เป็นเหมือนทุกวันขณะที่เค้ามามองดูแฟนก้าวขึ้นรถแล้วก็จ้องดูรถแล่นออกไปนั้น  ก็มีรถมอเตอร์ไซค์ของคนละแวกนั้นพุ่งเข้าชนเค้าจากด้านหลัง  ตามปากคำของยามก็คือชนแรงมากจนลูกจ้างคนนั้นกระเด็นสูงขึ้นจากพื้นต่อหน้าต่อตายามที่นั่งอยู่ในป้อมเลย  รายละเอียดเพิ่มเติมจากนั้นทางมหาลัยพยายามปิดข่าวอย่างสุดฤทธิ์แต่สิ่งที่ไม่สามารถปิดได้คือคราบเลือดรอยใหญ่ชวนสยองตรงแถวประตูนั้น  เรื่องนี้เรียกได้ว่าทำให้เด็กคณะผมเริ่มออกอาการแปลกๆ กันไปหมด  ข่าวลือมากมายเริ่มแพร่สะพัดไปทั่วและหนึ่งในนั้นเป็นสิ่งที่หลายๆ คนค่อนข้างพูดตรงกัน "ที่ตรงนั้นที่จะสร้างตึกคอมน่ะ  มันเป็นป่าช้าเก่านะ  คนเก่าคนแก่ของที่นี่เค้าก็พูดกันแต่คณบดีเรา  ไม่ยอมฟัง  ไม่ยอมทำพิธีอะไรเลย"  นอกจากนี้ก็มีประมาณว่ามีใครซักคนที่เป็นผู้ใหญ่ในคณะฝันว่ามีผู้หญิงชุดไทยมาบอกว่า " มึงสร้างตึกทับที่กู  กูจะเอาชีวิตคนรอบตัวมึงไปอยู่กับกู"    แม้ผมจะเป็นคนที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า "พื้นดินทุกที่ที่เรายืนอยู่ปัจจุบันมันก็อาจจะเป็นที่ฝังศพของใครๆ ก็ได้ทั้งนั้นแหละวะ"  เพราะฉะนั้นผมเลยอดไม่ได้ที่จะพูดกับเพื่อนที่เล่าข่าวลือนี้ว่า "ใต้ดินที่นายยืนอยู่เนี่ย  ก็ต้องมีใครบางคนถูกฝังอยู่แหละ  อย่าไปเชื่อเลยเวลามีใครมาบอกว่าตรงโน้นตรงนี้เป็นป่าช้าอะไรพวกนั้นน่ะ  เราคนนึงล่ะไม่เชื่อ"  

   ผมจำได้ว่าตอนเย็นของวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันหยุด  ผมไปนั่งเล่น internet ที่ตึกที่มี wireless ฟรีซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆหอพัก  แต่ด้วยภายในตัวตึกเป็นห้องกิจกรรมที่กำลังใช้รับน้องปี 1 ของคณะศึกษาศาสตร์ อยู่  ผมจึงนั่งเล่นที่ม้าหินด้านนอกข้างๆ ต้นไม้ใหญ่ที่เก่าแก่จนแทบจะกลายเป็นส่วนเดียวกับตึกไปแล้ว  แต่เล่นไปได้ไม่ทันไรท้องฟ้าโปร่งของวันนั้นก็มืดครึ้มลงอย่างรวดเร็วจนเหมือนเป็นเวลากลางคืน  ลมกรรโชกแรงมากๆ  ตัวผมตอนนั้นกำลังนั่งโหลดหนังอยู่เลยไม่อยากปิดเครื่องถึงแม้ลมจะหอบเอาใบไม้แถวนั้นพัดมาอย่างแรงแต่ผมก็เอากระเป๋าโน้ตบุ๊คบังเครื่องไว้ไม่ให้เศษไม้หรือเศษดินเลอะเครื่องแล้วก็ยังคงนั่งเล่นอยู่ที่เดิมในขณะที่หลายๆ คนที่นั่งอยู่ก่อนเริ่มลุกเก็บข้าวของกลับหอไปแล้ว  ขณะนั้นเองก็มีผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาไม่คุ้นชะโงกหน้าออกมาจากห้องกิจกรรมที่ค่อนข้างมืดเพราะดูเหมือนว่าไฟจะดับไปแล้ว  เธอบอกผมว่า "เข้ามาหลบในนี้ก่อนก็ได้นะ"  (ผมเดาว่าเป็นพวกปี 3 หรือปี 4 ที่กำลังร่วมกิจกรรมรับน้องอยู่ในห้องกิจกรรมนั้น  เพราะปี 1 จะต้องใส่ชุดนิสิตส่วนคนนี้เค้าใส่ชุดเสื้อวอร์มสีดำ)  "อ๋อ  ไม่เป็นไรครับ  ผมจะไปแล้ว" ผมตอบอย่างดื้อดึงเพราะขี้เกียจจะมานั่งโหลดใหม่    "น่าเข้ามาเถอะนะ  ลมแรงจะตายอยู่แล้ว"  ในที่สุดผมเลยตัดสินใจยกโน้ตบุ๊คขึ้นโดยไม่ได้ปิดเครื่องแล้วเดินเข้าไปในห้องกิจกรรม  ทันทีที่ผมก้าวเข้าห้องกิจกรรมก็มีเสียงดังโครม!!! ที่บริเวณม้าหินที่ผมนั่งอยู่เมื่อสักครู่นี้   พอผมมองออกไปก็เห็นว่ากิ่งไม้ขนาดใหญ่มากหล่นลงมาบนม้าหินจนเก้าอี้ที่ผมนั่งตะกี้บิ่นไปเลยครับ  ตอนนั้นผมตกใจมากจนโน้ตบุ๊คเกือบหล่นจากมือเพราะนึกในใจว่าถ้าผมไม่ลุกมาเมื่อกี้ผมจะเป็นยังไงเนี่ย  บอกตรงๆ ว่าอยู่มหาลัยมา 2 ปีไม่เจอพายุแรงขนาดนี้มาก่อนเลย  ในใจก็คิดว่าต้องขอบคุณคนที่เรียกให้ผมเข้ามา  แต่ทั้งที่ผมจำหน้าเค้าได้  พอผมจะขอบคุณเค้า  ผมกลับมองหาเค้าไม่เจอเลยทั้งที่พวกปี 3 - 4 ในห้องก็ไม่ได้มีเยอะ  สักพักฝนก็ตกอย่างหนัก  ผมเลยอาศัยห้องนั้นหลบฝนและเก็บเรื่องนี้ไปเล่าให้เพื่อนฟังทันทีที่มีโอกาส  ผมก็เลยได้ฟังข่าวลืออีกเรื่องจากเพื่อนเป็นการแลกเปลี่ยนว่า  รถคณบดีคณะผมก็มีกิ่งไม้ใหญ่ตกลงไปใส่จนหลังคาบุบเลยโชคดีที่ไม่มีคนอยู่  ตอนนั้นเองผมเลยฉุกคิดถึงเรื่องที่ผมพูดแนวๆ ลบหลู่เรื่องป่าช้าที่เพื่อนผมเล่าขึ้นมาได้  ผมเลยยกมือขึ้นไหว้ขอขมาสิ่งที่ผมพูดไป  

    นอกจากเรื่องที่ผมเจอในเย็นวันนั้นและข่าวลือเกี่ยวกับรถคณบดีแล้ว  วันรุ่งขึ้นผมยังได้ทราบว่ามีเรื่องเกิดขึ้นในห้องของรุ่นน้องปี 2 ที่ตายไปด้วย  โดยรูมเมทเค้าเล่าให้เพื่อนผมที่เป็นสายรหัสของรุ่นน้องที่ตายไปคนนี้ฟังว่า   เมื่อวานเค้าหลับอยู่ในห้องคนเดียวเพราะเมทคนอื่นกลับบ้านกันหมด  พอตื่นขึ้นก็เห็นว่าฝนตกหนักมากห้องก็มืดไปหมด  จะเดินไปเปิดไฟก็ต้องอาศัยคลำๆ ทางไปจากเป็นคนไม่กลัวแต่พอเจออย่างนี้ก็อดจินตนาการถึงเพื่อนที่ล่วงลับไม่ได้  ยิ่งพอคลำไปถึงสวิทซ์แล้วพยายามเปิดเท่าไหร่ไฟก็ไม่ติดเพราะว่าตอนนั้นไฟมันดับทั้งมหาลัยเลยก็ว่าได้   ใจก็ยิ่งเต้นไม่เป็นจังหวะ  เลยรีบตรงเข้าไปหาประตูและเปิดออกเพื่อให้แสงจากข้างนอกส่องเข้ามาให้พอไล่ความกลัวไปได้บ้าง  ได้ผลครับแสงข้างนอกส่องเข้ามาพอให้เห็นอะไรๆ ภายในห้องได้บ้าง  น้องคนนี้เค้าเลยคิดว่าจะเดินไปที่โต๊ะหยิบกระเป๋าตังและมือถือมาเพราะกะจะไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ที่ห้องอื่น  พอจังหวะหมุนตัวไปที่โต๊ะเท่านั้นเองเค้าก็เห็นผู้ชายอีกคนนั่งหันหลังก้มหน้าอยู่ที่เก้าอี้หน้าโต๊ะนั้น  ตอนนั้นน้องเค้าก็ตกใจสุดขีดจนแทบจะร้องแหกปากแต่ก็เหมือนมีก้อนอะไรมาจุกที่คอ  น้ำตาไหลพราก  เมื่อไม่รู้จะทำยังไงเค้าก็เลยพยายามหันหลังให้กับภาพที่เห็นและเดินจากมาอย่างยากเย็นโดยที่ไม่ได้ปิดประตูห้องเลยด้วยซ้ำ   วันรุ่งขึ้นน้องคนนี้เค้าป่วยเลยครับถึงขนาดต้องเรียกรถพยาบาลของทางมหาลัยไปส่งตัวที่ร.พ.ใกล้ๆ   เรื่องนี้เลยไปถึงหูอาจารย์หลายๆ ท่านและคงจะถึงหูคณบดีด้วย

    ไม่กี่วันจากนั้นช่วงประมาณบ่ายๆ ผมก็ได้ยินข่าวจากแฟนผมว่าวันนี้จะมีการเชิญพระและพราหมณ์มาทำพิธีที่ตึกคอมซึ่งตอนนี้สร้างไปได้พอสมควรแล้ว  ผมก็เลยนึกอนุโมทนาสาธุว่าก็ดีเหมือนกัน  เรื่องร้ายๆ จะได้จบไปซะที  และคิดว่าพิธีก็คงจะไม่มีอะไรมากนอกจากโยงสายสิญจน์รอบตึกแล้วก็คงสวดมนต์  เจิมประตู  สาดน้ำมนตร์  อะไรพวกนี้  ผมก็เลยทำอะไรต่างๆ เหมือนปกติ   พวกอาจารย์เองก็ไม่ได้พูดถึงพิธีเลยซักนิดก็เลยยิ่งทำให้ผมคิดว่าคงจะไม่มีอะไรหรอกวันนี้  แต่พอตอนหัวค่ำผมขี่รถมาพาแฟนผมไปขี่รถเล่นในมหา'ลัยซึ่งผมทำเป็นปกติแทบทุกวันที่ว่าง  ก็ปรากฎว่ายามที่หน้าหอหญิงซึ่งคุ้นเคยกันดีเค้าก็ทักขึ้นมาว่า
"วันนี้อย่าไปไหนเลยนะน้อง"  
ผมได้ฟังก็เลยงงและถามแกไปว่า "ทำไมล่ะพี่"  
"วันนี้เค้าทำพิธีกันน้อง  มันอาจจะไม่ดี...."
ผมได้ฟังก็ยิ่งงงว่ามันจะเกี่ยวอะไรกันขนาดนั้นเลยเหรอ  ผมเลยถามว่า "แรงขนาดนั้นเลยเหรอ"
"ไม่รู้สิ  พี่ก็ว่าจะแอบๆดูหน่อย  เห็นอาจารย์เค้าบอกไว้ว่าถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นก็ให้อยู่หอกันนะคืนนี้"
อึ้งเลยครับ  ได้แต่คิดในใจว่า "ขนาดนั้นเลยเหรอวะ"  แต่ก็ไม่กล้าขัดครับ  ก็พอดีแฟนลงมาจากหอ  ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรเธอก็บอกผมแบบเดียวกับยามเลย  ผมก็เลยเออออไปด้วย  ที่สำคัญเธอกำชับกับผมด้วยว่า "พอเข้าห้องให้หันหัวรองเท้าออกนะ  แล้วถ้าไม่มีอะไรก็อยู่ในห้องไว้นะ"  ผมถามเธอว่าใครบอกให้ทำอย่างงี้  เธอก็บอกเพียงแค่ว่า "เค้าบอกต่อๆ กันมา"     คงจะจริงอย่างเธอว่าเพราะผมก็เห็นว่ายามหญิงที่คุยกับผมตะกี้ก็พยายามบอกนิสิตชายคนอื่นๆ ที่มารับสาวๆ    รวมถึงนิสิตหญิงที่กำลังจะขี่รถผ่านป้อมยามแบบเดียวกับที่บอกผม

    ผมเดาว่าหลายคนคงจะทราบข่าวนี้แล้วเพราะรถหรือผู้คนที่มาเดินบนถนนตอนนี้มีไม่เยอะเหมือนเวลาปกติ  ผมกลับมาห้องและพบว่ารองเท้าของรูมเมททุกคนในห้องผมถูกวางหันหัวออกเรียบร้อยแล้วทุกคู่  ไม่เว้นรองเท้าผ้าใบเน่าๆ ของผมที่ไม่ได้ใส่นานแล้วด้วย  พอเข้าห้องไปพวกเค้าก็ทักว่าถอดรองเท้าแล้ววางแบบพวกเค้ารึยัง  ตอนนี้รูมเมทของผมบางคนก็กำลังกระจายข่าวนี้ไปให้คนอื่นๆ ด้วย  ทำให้ผมอดคิดไม่ได้เลยว่าถ้านี่เป็นการอำกันก็คงเป็นการอำที่หลอกลวงคนได้เยอะแยะจริงๆ  แต่ทุกๆ คนก็ไม่ได้สีหน้าล้อเล่นอะไรแต่อย่างใด  ออกจะเครียดๆด้วยซ้ำ     ต้องยอมรับจริงๆ ว่าบรรยากาศมันทำให้คนเปลี่ยนทัศนคติไปได้เหมือนกัน  เพราะว่าถ้าเกิดผมไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ตรงนี้ผมคงจะหาว่าคนที่ทำหรือที่เชื่ออะไรแบบนี้ค่อนข้างงมงาย  แต่ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ผมเองก็คงต้องยอมรับเหมือนกันว่าผมกลัว   คืนนั้นผ่านไปด้วยใจที่ลุ้นระทึก  ผมนอนหลับๆ ตื่นๆ  บางครั้งก็ได้ยินเสียงก่อกๆ แก่กๆ นิดหน่อย  ที่ประตูบ้าง  หน้าต่างบ้าง  ก็ได้แต่บอกตัวเองว่าเรากำลังกลัวและกำลังมองหาสิ่งผิดปกติต่างๆ เอามาหลอนตัวเอง  เพราะถ้าเป็นสภาวะปกติเราอาจจะไม่ได้สนใจเสียงเหล่านี้ด้วยซ้ำ  จนสุดท้ายรุ่งเช้าก็มาถึง

    ผมตื่นมาแบบงัวเงีย  และรีบอาบน้ำแต่งตัวไปเรียนเช่นเดียวกันเมทคนอื่นด้วยความกระหายใคร่รู้ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นบ้าง  ซึ่งเพื่อนที่คณะของผมก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง  "ว่ากันว่าเมื่อวานเค้าเชิญวิญญาณกันเว้ย  เพื่อที่จะทำพิธีสวดส่งวิญญาณน่ะ  เห็นมีคนบอกด้วยนะเว้ยว่ามีรุ่นน้องเราที่ตายไปด้วยอ่ะ  เหมือนว่าญาติเค้าไม่ได้มาเชิญวิญญาณเค้าไปจากที่เกิดเหตุแหละ  น้องเค้าเลยกลับมาที่คณะเรา  พวกพราหมณ์เค้าบอกด้วยนะเว้ยว่าที่นี่อ่ะแรง"  นี่คือสิ่งที่ผมได้ยินจากเพื่อนๆ  แล้วมันก็ค่อนข้างจะตรงกับยามหน้าหอหญิงที่เค้าบอกว่าจะไปแอบดู  หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ  นิสิตก็มีเสียชีวิตกันบ้างแต่ไม่ถี่และไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับคณะผมคณะเดียวเหมือนแต่ก่อน   ผมเองไม่ทราบว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะเป็นจริงรึเปล่า  แต่ผมกล้าบอกได้ว่าเรื่องที่ผมเล่ามานั้นเป็นเรื่องที่ผมได้รับรู้มาจริงๆ  เรื่องที่เกิดขึ้นกับผมนั้นก็เป็นเรื่องจริง   การเสียชีวิตเกิดขึ้นจริงๆ  การสร้างตึกมีขึ้นจริงๆ  การทำพิธีโดยเชิญพราหมณ์หรือพระมานั้นเป็นเรื่องจริง  ความกลัวและความเชื่อที่เกิดขึ้นในคืนวันทำพิธีของคนในมหาลัยหลายๆ คนก็เป็นเรื่องจริง  แต่ข่าวลือทั้งหลายที่ผมทราบ   ผมไม่อาจจะไปพิสูจน์ถึงข้อเท็จจริงกับใครได้  แต่ยังไงผมก็อยากจะจดจำเรื่องทั้งหมดนี้ไว้ว่านี่คือ เหตุระทึกในมหา'ลัย ที่ครั้งนึงในชีวิตมันเกิดขึ้นกับผม

   ปล. หลังจากที่เกิดเรื่องนี้เพื่อนผมมันไปดูหมอ  แล้วหมอดูก็ทักว่าที่ๆ เรียนอยู่สร้างทับป่าช้านะ คือมันไม่ใช่แค่เฉพาะจุดที่สร้างตึกคอมอย่างที่พวกเราเข้าใจในทีแรก   ซึ่งก็ตรงกับการบอกเล่าของลุงที่มาประกอบอาชีพหลังเกษียณอยู่ในมหาลัยมาช้านาน (ลุงคนนี้แกเชื่อได้เพราะแกเป็นผู้พิพากษามาก่อน  ถ้าใครรู้จักจะเชื่อว่ามาดอย่างแกไม่ได้เป็นคนชอบพูดเล่นหรอก)



 (:DY:) (:NT:) (:DY:) (:NT:) (:DY:)


ที่มา: ShockFM (http://ghost.osk119.net/forum/index.php/topic,1181.0.html)