[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => สมถภาวนา - อภิญญาจิต => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 15 มิถุนายน 2563 10:08:17



หัวข้อ: จุดเริ่มต้นของความเป็นมงคลทั้งหลาย โดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 15 มิถุนายน 2563 10:08:17

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/58650654678543_97570039_2943949978976267_7265.jpg)

จุดเริ่มต้นของความเป็นมงคลทั้งหลาย

การกระทำที่เป็นมงคลที่เป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นมงคลทั้งหลาย เริ่มต้นอยู่ที่การรู้จักคบคน ถ้าคบคนพาล คนพาลคือคนอย่างไร คนพาลในทางศาสนาหมายถึงคนโง่ หมายถึงคนไม่ดีคนไม่ฉลาด ส่วนบัณฑิตคือคนฉลาดคนดี ถ้าเราคบกับคนโง่คนไม่ดี เขาก็จะพาให้เราโง่พาให้เราไม่ดีไปกับเขา ถ้าเราคบคนดีคบคนฉลาดเขาก็จะพาให้เราดี พาให้เราฉลาดไปกับเขานั่นเอง จึงต้องรู้จักเลือกคบคน เพราะชีวิตของเรานี้ไม่ได้อยู่คนเดียวตามลำพัง เราเป็นมนุษย์สังคมที่จำเป็นที่จะต้องอยู่ร่วมกัน ต้องพึ่งพาอาศัยกัน เขาอาศัยเรา เราอาศัยเขา เราถึงจะอยู่กันได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข ถ้าเราอยู่ตามลำพังเราก็จะอยู่อย่างยากลำบากเวลาที่เกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมา หรือเกิดความอดอยากขาดแคลนขึ้นมา ถ้าเราอยู่คนเดียวก็จะไม่มีใครมาช่วยเหลือเรา แต่ถ้าเราอยู่ร่วมกันหลายคน เช่นในครอบครัวเรามีพ่อแม่มีพี่น้องอยู่ร่วมกัน เวลาคนใดคนหนึ่งเป็นอะไรขึ้นมา ก็ยังมีคนอื่นมาช่วยกันดูแลบรรเทาความทุกข์ยากเดือดร้อนให้กันได้ ดังนั้นเราต้องอยู่ร่วมกัน เราอยู่คนเดียวไม่ได้ เมื่อเราอยู่คนเดียวไม่ได้เราต้องอยู่กับคนอื่น เราก็ต้องรู้จักเลือกคน เลือกคนดีเลือกคนฉลาดเพราะคนดีเขาก็จะสอนให้เราดีพาให้เราดี คนฉลาดเขาก็จะพาให้เราฉลาด คนโง่ก็จะสอนให้เราโง่ คนไม่ดีก็จะสอนให้เราไม่ดีตามเขา นี่คือการคบคนเพื่อให้เกิดประโยชน์ให้เกิดความสุขความเจริญจึงต้องคบคนดี ไม่คบคนไม่ดี ทีนี้คนดีเราจะรู้ได้อย่างไรว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร เราก็มีมาตรฐานของคนดีเป็นตัวอย่างในพระพุทธศาสนา

คนดีทางพระพุทธศาสนา คนฉลาดของพระพุทธศาสนาที่ฉลาดที่สุดและดีที่สุดก็คือพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านั่นเอง เพราะการกระทำของท่านแต่ละรูปไม่มีข้อตำหนิไม่มีข้อบกพร่อง ไม่มีการกระทำที่ทำให้เกิดความเสียหายเดือดร้อนแก่ผู้อื่น มีแต่การกระทำที่มีคุณมีประโยชน์กับผู้อื่น ผู้ใดที่ได้เข้าพบปะได้รู้จักได้เข้าใกล้พระพุทธเจ้าหรือพระอริยสงฆ์สาวก จะได้รับแต่ประโยชน์สุขเพียงอย่างเดียว จะไม่ได้รับโทษไม่ได้รับความทุกข์ นี่แหละคือบุคคลที่เรียกว่าบัณฑิต บัณฑิตที่ฉลาดที่สุดก็คือพระพุทธเจ้าตามด้วยพระอริยสงฆ์สาวกที่ได้เลือกพระพุทธเจ้าเป็นผู้คบค้าสมาคมด้วย จึงได้ดิบได้ดีจากพระพุทธเจ้า ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลจากพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าจะไม่ใครสามารถที่จะบรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้เลย มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถสอนปุถุชนอย่างพวกเราให้เป็นพระอริยบุคคลขึ้นมา ให้เป็นพระโสดาบัน ให้เป็นพระสกิทาคามี ให้เป็นพระอนาคามี ให้เป็นพระอรหันต์ นี่แหละคือบัณฑิตที่เราควรจะเข้าหากัน ตอนนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ได้จากไปแล้ว คือสรีระร่างกายของพระพุทธเจ้าได้จากไป แต่ความรู้ของพระพุทธเจ้านี้ยังอยู่กับพวกเรา อยู่ในพระไตรปิฎก อยู่ในคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาที่พวกเราสามารถที่จะศึกษาหาความรู้ความฉลาดจากพระคัมภีร์ได้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าพวกเราจะไม่ได้อยู่ปราศจากพระพุทธเจ้า ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะได้จากพวกเราไปแต่คำสั่งคำสอนอันประเสริฐของพระพุทธเจ้ายังอยู่กับพวกเรา ถ้าเราเข้าหาคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เท่ากับเราได้เข้าหาพระพุทธเจ้าโดยตรง นี่คือเราต้องเข้าหาบัณฑิตคือพระธรรมคำสอน นอกจากพระธรรมคำสอนเรายังมีพระอริยสงฆ์สาวกที่ได้ศึกษาได้ร่ำเรียนจากคำสอนหรือจากพระพุทธเจ้า และจากพระอริยสงฆ์สาวกที่ได้ศึกษาจากพระพุทธเจ้ามาตามลำดับ มาจนถึงยุคปัจจุบันนี้ การผลิตพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนายังมีการผลิตอย่างต่อเนื่อง เหมือนโรงงานที่ผลิตรถยนต์ มีการผลิตรถยนต์มาอย่างต่อเนื่อง มีไม่ขาดตอน มีรถรุ่นใหม่ๆ ออกมาให้ผู้ที่สนใจได้ซื้อได้เอาไปขับ

ฉันใดพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านี้ก็เช่นกัน เป็นเหมือนนักศึกษาที่ได้จบระดับปริญญาต่างๆ แล้วหลังจากที่ได้จบปริญญาแล้วก็มาทำหน้าที่เป็นครูเป็นอาจารย์กัน เผยแผ่ธรรมะคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าอันประเสริฐให้แก่ผู้ที่มีความสนใจต่อไป ผู้ที่มีความสนใจพอได้ศึกษาได้ร่ำเรียน ไม่ช้าก็เร็วก็จะได้จบปริญญาของทางศาสนา ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล เวลาที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดไว้ก็มีอยู่ตั้งแต่ ๗ วัน ๗ เดือน และ ๗ ปี ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถความฉลาดของผู้ที่ศึกษาร่ำเรียน ไม่มีเวลาตายตัวเหมือนในมหาวิทยาลัยที่กำหนดไว้ ๔ ปี แต่ทางศาสนานี้กำหนดตามความรู้ความสามารถของผู้ที่ศึกษา บางท่านก็สามารถบรรลุได้ภายใน ๗ วัน บางท่านก็บรรลุได้ภายใน ๗ เดือน บางท่านก็บรรลุได้ภายใน ๗ ปี นี่เป็นหลักประกันคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเป็นผู้รับรองด้วยพระองค์เอง ว่าถ้าใครได้ศึกษาจากพระพุทธเจ้าหรือจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือจากพระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าจะสามารถบรรลุพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ได้ภายในระยะเวลา ๗ วัน ๗ เดือน หรือ ๗ ปี นี่แหละคือการเข้าหาบัณฑิต การคบกับคนฉลาดคบกับคนดี จะทำให้เราเป็นคนฉลาดเป็นคนดี คบกับพระพุทธเจ้า พระธรรม หรือพระอริยสงฆ์จะทำให้เราได้เป็นพระอริยบุคคลกัน ถ้ายังไม่ถึงขั้นพระอริยบุคคลเราก็จะเป็นระดับพรหมหรือระดับเทวดา หรือเป็นระดับมนุษย์ที่ดี มนุษย์เราก็รู้กันว่ามีทั้งดีและไม่ดี มีทั้งสุขและมีทั้งทุกข์ แต่ถ้าเราคบกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์แล้ว เราจะได้แต่ความสุขและความดี ความรู้ความฉลาด ขึ้นอยู่กับความพากเพียรของพวกเราเองว่า เราจะมีความพากเพียรพยายามที่จะตักตวงความรู้ตักตวงประโยชน์จากพระพุทธศาสนาได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้นเอง ไม่มีใครมาห้ามเพราะความรู้และประโยชน์ของพระศาสนานี้มีจำนวนไม่อั้น ไม่เหมือนกับสถาบันการศึกษาต่างๆ ที่จะรับนักศึกษาได้ตามปริมาณที่มีสถานที่รองรับไว้ จะรับเกินไม่ได้ แต่ทางศาสนาพุทธนี้รับได้หมด ใครต้องการสมัครเป็นพระอริยบุคคลรับสมัครทุกคน ไม่ต้องสอบเอ็นทรานซ์ ใครต้องการขอให้เข้าหาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอให้ศึกษาวิธีการดำเนินชีวิตของพระพุทธเจ้า ชีวิตของพระอริยสงฆ์สาวก ขอให้ศึกษาคำสั่งคำสอนที่เป็นวิธีดำเนินชีวิตของท่าน ถ้าเราได้ศึกษาแล้วเราได้กระทำตามที่ท่านได้สั่งได้สอนได้ปฏิบัติได้ทำกัน ไม่ช้าก็เร็วเราก็จะได้เป็นเหมือนท่าน

นี่คือเรื่องของการคบบัณฑิต ไม่คบคนพาล ถ้าคบคนพาลเราจะไปอีกทางหนึ่งเพราะคนพาลนี้เป็นคนโง่ เป็นคนไม่ดี คนพาลนี้จะชอบทำในสิ่งที่ไม่ดี ทำสิ่งที่เป็นโทษกับตนเองและกับผู้อื่น ถ้าไปอยู่กับเขาไปคบค้าสมาคมกับเขา เขาก็จะชวนให้เราไปทำตามเขา อะไรคือการกระทำของคนพาลของคนโง่ ก็คือการกระทำบาป การเสพอบายมุข นี่เป็นการกระทำของคนพาลของคนโง่ที่บัณฑิตจะไม่ทำโดยเด็ดขาด ถ้าไปคบกับคนที่ชอบเสพอบายมุขชอบทำบาป เขาก็จะดึงเราหรือชวนเราให้ไปเสพอบายมุขให้ไปทำบาป ถ้าเขาชอบดื่มสุราเขาก็จะชวนเราไปดื่มสุรา ถ้าเขาชอบเล่นการพนันเขาก็จะชวนเราไปเล่นการพนัน ถ้าเขาชอบเที่ยวเตร่เขาก็จะชวนเราไปเที่ยวเตร่ ถ้าเขาชอบความเกียจคร้านเขาก็จะชวนให้เราเกียจคร้าน นี่คืออบายมุขที่เราต้องอย่าไปเกี่ยวข้องด้วยเพราะคำว่า “อบายมุข” นี้แปลว่าทางเข้าของอบาย อบายคืออะไร คือความเสื่อมของจิตใจที่จะดึงจิตใจของมนุษย์ให้ต่ำลงไปนั่นเอง จากมนุษย์ก็จะไปเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นนรก เกิดจากการเสพอบายมุขเป็นเหตุ การเสพอบายมุขนี้เท่ากับการไปอยู่ที่ทางเข้าของอบาย ผู้ที่อยู่ปากทางเข้าของอบายกับผู้ที่อยู่ห่างไกลจากทางเข้าของอบาย ใครจะเข้าง่ายกว่ากัน คนที่อยู่ปากทางแล้วพอจะเข้าก็เข้าไปเพียงย่างก้าวเดียวก็เข้าไปแล้ว แต่ผู้ที่ไม่เสพอบายมุขนี้อยู่ไกลจากอบาย จะเข้าอบายได้ยากกว่า เพราะอะไร เพราะเวลาเสพอบายมุขนี้มีแต่รายจ่าย มีแต่การสูญเสียทรัพย์สินต่างๆ ไปนั่นเอง และถ้าใช้อย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าก็เร็วทรัพย์สินก็จะไม่พอใช้ พอไม่พอใช้ก็จะต้องไปทำบาปเพื่อหาทรัพย์สินมาใช้ต่อนั่นเอง เพราะคนที่เสพอบายมุขนี้จะไม่ไปทำงานทำการ ไปหาเงินหาทองโดยวิธีสุจริต ก็จะต้องไปหาเงินทองโดยวิธีทุจริต ก็คือการทำบาป หาเงินทองด้วยการโกหกหลอกลวง หาเงินทองด้วยการลักขโมย หรือหาเงินทองด้วยการปล้นการจี้การฆ่าผู้อื่น นี่แหละคือผลที่จะเกิดจากการที่ไปคบคนพาลคนไม่ดี จึงควรที่จะหลีกเลี่ยง แล้วจะปลอดภัยจากภัยต่างๆ ที่จะมากระทบกับจิตใจ จิตใจจะไม่ถูกกระชากลงต่ำ จิตใจลงต่ำหรือขึ้นสูงนี้เกิดจากการกระทำของเราเอง เกิดจากการคบกับคนอื่น คบกับคนอื่นเขาชวนเราทำ คบกับบัณฑิตเขาก็ชวนให้เราดึงจิตใจของเราให้สูงขึ้น คบกับคนพาลเขาก็จะดึงจิตใจของเราให้ลงต่ำ นี่คือมงคลที่พระพุทธเจ้าทรงสอน


ธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๒
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี