หัวข้อ: พระเทพโมลี (สิน) ปฐมเจ้าอาวาส “วัดบวรนิเวศวิหาร” เมื่อแรกสถาปนา เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 23 มิถุนายน 2563 12:13:04 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/53776777080363_wat_B_696x519_320x200_.jpg) วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งถ่ายจากถนนสิบสามห้าง ราวสมัยรัชกาลที่ ๕ (ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร) พระเทพโมลี (สิน) ปฐมเจ้าอาวาส “วัดบวรนิเวศวิหาร” เมื่อแรกสถาปนา สมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดใหม่ขึ้นในที่ปลงศพ เจ้าจอมมารดาน้อย ของพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดาราวดี พระอัครชายาของพระองค์ เดิมเรียกว่า “วัดใหม่” สมเด็จกรมพระราชวังบวรพระองค์นั้นได้ทูลขอ พระเทพโมลี (สิน) วัดมหาธาตุ มาครองวัดเมื่อแรกสถาปนาพระเทพโมลี (สิน) องค์นี้ เป็นพระราชาคณะที่ พระอริยวงษ์ มาแต่รัชกาลที่ ๑ ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ โปรดให้เลื่อนขึ้นเป็นพระเทพโมลี รัชกาลที่ ๓ ทรงพระราชศรัทธาอย่างมาก ได้พระราชทานวอเป็นเครื่องยศ เป็นกรณีพิเศษ เมื่อมาครอง “วัดใหม่” ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานนามว่า “วัดบวรนิเวศวิหาร” ได้ไม่นาน ท่านก็ได้ทูลลาสึก จากนั้นก็สืบความไม่ได้ ต่อมา จึงได้อัญเชิญทูลกระหม่อมพระ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฏ ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดสมอราย มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร [ข้อมูลจาก พระมหาปกรณ์ กิตฺติธโร] ในหนังสือ “ตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร” ปรากฏความว่า “วัดบวรนิเวศวิหาร สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๓ ทรงสถาปนาขึ้น เมื่อไร ยังไม่ทราบแน่ แต่พึงกำหนดได้โดยอนุมาน ดังนี้ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ได้ทรงรับอุปราชาภิเษกเมื่อ พ.ศ.๒๓๖๗ (จ.ศ.๑๑๘๖)...” และในจดหมายเหตุโหรฉบับพระยาประมูลธนรักษ์ ระบุว่าความ “ปีวอก จ.ศ.๑๑๘๖ วันอาทิตย์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๗ พระหน้าตัก ๙ ศอกมาแต่เมืองเพชรบุรี” ซึ่งก็คือ พระพุทธสุวรรณเขต พระประธาน (องค์หลัง) ภายในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหารในปัจจุบัน จึงพออนุมานได้ว่า การก่อพระฤกษ์พระอุโบสถและการเริ่มสร้างวัดบวรนิเวศวิหารเกิดขึ้นในปีนั้น ...ตั้งแต่ทรงสถาปนาขึ้นแล้ว ใครเป็นอธิบดีสงฆ์พระอารามนี้ แลมีพระสงฆ์มากน้อยเท่าไรไม่ปรากฏ จนเมื่อจวนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาอยู่ครองฯ คือก่อน พ.ศ.๒๓๗๙ (ปีวอก จ.ศ.๑๑๙๘) สักหน่อย ได้ยินว่า พระเทพโมลี (สิน) เป็นเจ้าอาวาส มีพระสงฆ์เพียง ๕ รูป ต่อมาพระเทพโมลี (สิน) ลาสิกขา” |