[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => สมถภาวนา - อภิญญาจิต => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 03 กรกฎาคม 2563 14:41:26



หัวข้อ: ประโยชน์ของการฟังธรรม โดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 03 กรกฎาคม 2563 14:41:26
.

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/52656805308328_1_320x200_.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/67119482780496_2_320x200_.jpg)

ประโยชน์ของการฟังธรรม

การฟังธรรมตามกาลตามเวลาตามวาระ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เป็นประโยชน์สุขต่อจิตใจ เพราะการฟังธรรมนี้เหมือนกับการอัดฉีด เป็นการให้กำลังใจต่อผู้ศึกษาต่อผู้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ทางสายปฏิบัติท่านให้ความสำคัญต่อการแสดงธรรมอบรมสั่งสอนอย่างมากโดยเฉพาะหลวงตามหาบัว สมัยที่ไปอยู่กับท่าน ช่วงแรกๆ ช่วงนั้นท่านยังไม่มีญาติโยมไปรบกวนท่านมาก ท่านเลยมีเวลาอบรมสั่งสอนพระเณรอยู่อย่างสม่ำเสมอ ทุก ๔ – ๕ วัน ท่านก็จะเรียกพระเณรมาอบรม มาแสดงธรรมให้ฟัง ๑ ครั้ง ทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟังธรรม หลังจากที่ได้ยินแล้วก็จะรู้สึกมีกำลังจิตกำลังใจที่จะปฏิบัติมากขึ้น ก่อนแสดงธรรมนี้เหมือนกับคนจะตาย คนหมดเรี่ยวหมดแรง ถ้าเป็นต้นไม้ก็กำลังจะเฉากำลังจะเหี่ยว พอฟังธรรมปั๊บนี่เหมือนกับต้นไม้ได้น้ำ จิตใจได้ธรรมนี้เหมือนจิตใจได้น้ำ ความหมดเรี่ยวหมดแรงนี้หายไปหมด กำลังวังชาไม่รู้มาจากที่ไหน มีศรัทธามีวิริยะขึ้นมาอย่างมากมาย พร้อมที่จะกลับไปสู้กับกิเลสต่อไป ฟังธรรมเสร็จกลับไปก็เดินจงกรมต่อได้ นั่งสมาธิต่อได้ วันไหนที่ไม่ได้ฟังธรรมนี้ จะรู้สึกไม่ค่อยอยากจะปฏิบัติเท่าไหร่ นี่แหละคือประโยชน์ของการฟังธรรม เป็นการอัดฉีดเป็นการเพิ่มพลังให้กับจิตใจในการที่จะต่อสู้กับกิเลสตัณหาโมหะอวิชชา ผู้ที่คอยฉุดลากจิตใจให้ติดอยู่กับวัฏสงสาร วัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิด คือ เกิดแก่เจ็บตาย ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้จักจบจักสิ้น

อย่างพวกเราที่มาเกิดกันในชาตินี้ เดี๋ยวก็ต้องเจอความแก่ความเจ็บความตายกัน จะเจอกันเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่เท่านั้นเอง ต่างกันตรงนี้ เพราะชาตินี้พวกเราโชคดีได้มาพบกับพระพุทธศาสนา ได้มาฟังพระธรรมคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่จะพาให้เราได้หลุดออกจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ ที่จะทำให้การแก่การเจ็บการตายของเราในชาตินี้เป็นครั้งสุดท้ายได้ ถ้าพวกเราศึกษาแล้วก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติแบบสุปฏิปันโณ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติแบบถูกต้อง ปฏิบัติแบบเต็มร้อย ปฏิบัติดีก็เต็มร้อย ปฏิบัติชอบก็ถูกต้องตามคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆ ประการ การฟังธรรมจะได้ให้เรารู้ว่าการปฏิบัติของเราจะพาเราไปสู่ที่ใดบ้าง การปฏิบัตินี้เป็นเหมือนกับการเดินทาง การเดินทาง ถ้าเราเดินทางไปในทางที่เราไม่เคยไป เราก็จะต้องคอยดูแผนที่ เพราะเราจะได้รู้ว่าเราจะไปถึงที่ไหนบ้างอย่างไรนั้นเอง ถ้าไม่มีแผนที่เราก็ไม่รู้ว่า เอ๊ะไปถึงไหนกัน การศึกษาธรรมนี้จึงเป็นเหมือนกับการดูแผนที่ ดูจุดหมายปลายทางที่เราจะไปกัน ว่าจะไปอย่างไร จะต้องผ่านจุดไหนบ้าง ถึงจะไปถึงจุดหมายปลายทางที่เราต้องการไปกันได้ ธรรมะคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้านี้เป็นคำสอนที่จะพาจิตใจของพวกเราให้ก้าวไปสู่ที่สูงขึ้นตามลำดับ จนในที่สุดจนถึงขั้นสูงสุด ขั้นหลุดออกจากวัฏสงสาร หลุดออกจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด

ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงมีแบ่งไว้เป็น ๒ ระดับด้วยกัน คือ ระดับโลกิยะ และระดับโลกุตตระ ระดับโลกิยะนี้คือระดับที่ยังติดอยู่ในวัฏสงสาร ติดอยู่ในไตรภพ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ แล้วก็มีธรรมะอีกระดับหนึ่งที่เรียกว่าโลกุตตรธรรม โลกุตตรธรรมนี้เป็นธรรมที่จะพาให้ผู้ที่ปฏิบัติโลกิยธรรมที่ขั้นสูงสุดได้ก้าวออกจากโลกแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ ออกจากวัฏสงสาร ออกจากไตรภพ นี่คือธรรม ๒ ระดับด้วยกันที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราปฏิบัติกัน ธรรมระดับโลกิยะนี้มีอะไรบ้าง ธรรมระดับโลกิยะก็มี ๑.คือการทำบุญทำทาน ๒.การรักษาศีล ๓.การฝึกสมาธิทำจิตใจให้สงบ ให้เข้าฌานในระดับต่างๆ นี่คือธรรมระดับโลกิยะที่มีอยู่ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะมาบวชมาปฏิบัติ ธรรมเหล่านี้มีผู้ศึกษามีผู้ปฏิบัติกันมาอยู่ทุกยุคทุกสมัย แต่เป็นธรรมที่ไม่สามารถที่จะทำให้ผู้ปฏิบัตินั้นหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ ต้องรอให้มีคนฉลาดอย่างพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ที่จะมาศึกษามาปฏิบัติแล้วก็มาค้นคว้าหาโลกุตตรธรรม มาต่อยอด ต่อยอดจากการปฏิบัติทาน ศีล สมาธิ คือขั้นที่ ๔ ขั้นโลกุตตรธรรมคือขั้นปัญญา ปัญญานี้แหละจะเป็นผู้ที่จะปลดเปลื้องจิตใจของสัตว์โลกที่ติดอยู่ในกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดนี้ ให้หลุดออกจากการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างถาวรได้อย่างสมบูรณ์ ปัญญานี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ในวันเพ็ญเดือน ๖ ที่เราเรียกว่าวันวิสาขบูชา วันที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่โคนต้นโพธิ์ และตั้งสัจจะอธิษฐานว่าจะนั่งปฏิบัติเจริญภาวนาไปจนกว่าจะได้พบโลกุตตรธรรม ถ้าตราบใดยังไม่พบกับโลกุตรธรรม พระองค์จะไม่หยุดการปฏิบัติ ถ้าเลือดในร่างกายจะเหือดแห้งไปก็ยอมให้มันเหือดแห้งไป แต่จะไม่หยุดไม่ลุกจากที่นั่งอันนี้ไปเป็นอันขาด จะนั่งปฏิบัติภาวนาไปจนกว่าจะได้พบกับธรรมที่จะพาให้พระทัยของพระองค์นี้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง นี่คือธรรม โลกุตตรธรรมขั้นปัญญา ที่ไม่มีอยู่ในโลกนี้ในช่วงที่ไม่มีพระพุทธเจ้า จะมีได้ก็มีในช่วงที่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เท่านั้น ช่วงที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ก็จะมีแต่ธรรมระดับ ทาน ศีล สมาธิ แต่พอมีพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติมาตรัสรู้ ก็จะมีธรรมขั้นปัญญาที่จะเป็นผู้ที่จะพาให้จิตใจของสัตว์โลกที่ติดอยู่ในวัฏสงสาร อยู่ในไตรภพนี้ได้หลุดออกจากไตรภพ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องกลับมาเกิดแก่เจ็บตายอีกต่อไป


ธรรมะหน้ากุฏิ
วันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๓
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี