[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => สมถภาวนา - อภิญญาจิต => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 21 กรกฎาคม 2563 13:43:25



หัวข้อ: ความทุกข์ที่เกิดจากการมาเกิด พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโตวัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 21 กรกฎาคม 2563 13:43:25
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/40100507562359_109891565_3111776115526985_521.jpg)

ความทุกข์ที่เกิดจากการมาเกิด

เคยพิจารณาดูบ้างหรือเปล่าว่า ทำไมเราต้องทำบาปกัน ทำไมเราต้องทำบุญกัน ก็เกิดจากความอยากของเรานี่แหละ บางทีเราอยากได้อะไร แล้วได้โดยวิธีไม่ทำบาปไม่ได้ เราก็เลยเลือกเอาวิธีทำบาป เราถึงจะได้ เวลาเราอยากได้อะไร บางทีเราก็ต้องโกหกถึงจะได้ ถ้าไม่โกหกก็ไม่ได้ บางทีต้องโกงถึงจะได้ ถ้าไม่โกงก็ไม่ได้ แล้วเราทำไมต้องโกง ทำไมต้องโกหก ก็เพราะเราอยากได้นั่นเอง เรามีภวตัณหา อยากได้อยากมีอยากเป็น อยากเป็นใหญ่เป็นโต ยกตัวอย่าง ต่อไปก็จะมีการเลือกตั้ง เลือกตั้งเขาก็มีกฎระเบียบว่าห้ามซื้อเสียง ห้ามขายเสียง การซื้อเสียงขายเสียงก็ถือว่าบาป ผิดกฎกติกา การทำผิดกฎระเบียบของสังคม อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นการทำบาป แต่เรานอยากจะเป็น ส.ส. ถ้าไม่ซื้อเสียงก็จะไม่ได้เป็น ก็ต้องซื้อ ก็ยอมทำบาปกัน แล้วก็มาเอาเงินคืนทีหลัง พอเราเป็น ส.ส. เราก็จะมีโอกาสที่จะคอรัปชั่นได้ เราก็จะได้เอาเงินจากคอรัปชั่นมาใช้กับเงินที่เราใช้กับการซื้อเสียงไป ถ้าเราไม่อยากเป็น ส.ส. เราก็ไม่ต้องมาทำบาปกัน ไม่ต้องมาคอรัปชั่นกัน นี่ยกตัวอย่างว่า การทำบาปของพวกเรานี้เกิดจากความอยากของพวกเรากัน อยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ อยากทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ อยากไปที่นั่น อยากมาที่นี่ มันมีค่าใช้จ่าย ต้องมีเงินทอง แล้วเวลาไม่มีเงินทอง เราก็ต้องไปหาเงินทองด้วยการทำบาปกัน แต่ถ้าเราสามารถหยุดความอยากได้ ไม่ทำตามความอยากได้ เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำบาป ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อยู่แบบไม่ได้ไป อยู่แบบขอทานไป ถึงแม้เป็นขอทานก็ยังดี ขอทานยังไม่ทำบาป ขอทานเพียงแต่นั่งขอทาน การขอทานนี้ไม่เป็นบาป การไปขโมยเงินทองถึงจะเป็นบาป

นี่คือเรื่องของจิตใจของพวกเราที่มาเกิดมาแก่มาเจ็บมาตายกัน มามีร่างกายกัน แล้วก็มาทำบุญทำบาปกัน แล้วพอเวลาตายไป ก็ไปรับผลบุญผลบาปกัน แล้วพอได้ร่างกายอันใหม่ ก็กลับมาทำบุญทำบาปกันใหม่ เราทำอย่างนี้มาอย่างต่อเนื่อง นับไม่ถ้วน จำนวนการเกิดแก่เจ็บตายของเรา มีมาก พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า จะให้เขียนด้วยตัวเลขนี้เขียนไม่ได้ มันมากเกินไปที่จะเขียน ถ้าเราอยากจะรู้ว่าเรากลับมาเกิดมาแก่มาเจ็บมาตายกี่ครั้ง ก็ให้เราเอาน้ำตาที่เราหลั่งในแต่ละครั้งที่เรามาเกิดนี้ มารวบรวมกันไว้ ชาตินี้เราร้องไห้ได้น้ำตาถึงถ้วยหนึ่งหรือยัง ถึงแก้วหนึ่งหรือยัง สมมุติว่าชาตินี้มาเกิด เราร้องไห้ได้น้ำตามาหนึ่งถ้วยกาแฟแล้ว ท่านบอกว่าให้เราเอาน้ำตาที่เราหลั่งในแต่ละภพแต่ละชาตินี่ มารวมกันแล้วมันจะมากยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทร นี่คือจำนวนของภพชาติของการที่เรามาเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามาเกิดกันมาก แล้วเราก็มาร้องห่มร้องไห้กัน เพราะว่าเวลาเราเกิดแล้ว เดี๋ยวเราก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายกัน ต้องพลัดพรากจากกัน พอเวลาต้องพลัดพรากจากกัน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาตายนี่ จะมีแต่การร้องห่มร้องไห้กัน นี่คือความทุกข์ที่เกิดจากการมาเกิด ไม่มีใครอยากจะแก่ ไม่มีใครอยากจะเจ็บ ไม่มีใครอยากจะตายกัน แต่ก็ต้องมาเจอความแก่ความเจ็บความตายกัน เพราะอยากมาเกิดกันนั่นเอง อยากจะมาหาความสุขผ่านทางร่างกาย ก็เลยทำให้เรามาเกิดกัน แล้วการมาเกิดของเรานี้ เราไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่า เรามาเกิดได้อย่างไร เรารู้เพียงอย่างเดียวว่าเราเกิดแล้ว เราต้องหาความสุขผ่านทางร่างกายกัน เราต้องใช้ตาหูจมูกลิ้นกาย หาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะกัน ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง วิธีทำบาปก็ได้ วิธีไม่ทำบาปก็ได้ เพราะเวลาเราเกิดความอยากหาความสุขแล้ว ถ้าหาไม่ได้นี้ เราจะรู้สึกทรมานใจเป็นอย่างยิ่ง เราก็เลยต้องดิ้นรนกัน ทำบาปกัน

นี่คือปัญหาของพวกเรา ปัญหาแรกคือเราไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่าเรามาเกิดกันกี่ครั้งแล้ว มาเกิดกันแล้วเราไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่ทำให้เรามาเกิดกัน แล้วเราก็ไม่รู้ว่าอะไรที่จะทำให้เราไม่ต้องกลับมาเกิดกัน และการไม่กลับมาเกิดนี้จะดีไม่ดี เราก็ไม่รู้อีก เราจึงไม่ค่อยสนใจกับเรื่องราวเหล่านี้ เรายอมทนกับความทุกข์ที่จะตามมา เวลาที่เราแก่ เวลาที่เราเจ็บ เวลาที่เราตายกัน เพราะเราคิดว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป พอตายแล้วมันก็จบ แต่มันไม่จบ เดี๋ยวมันก็จะกลับมาเริ่มต้นใหม่ กลับมาเกิดใหม่ กลับมาเจอความทุกข์อย่างที่พวกเรากำลังเจอกันอยู่ในขณะนี้ เราต้องรอมาพบกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ท่านจะมาสอน มาบอกสถานภาพของพวกเราว่าเราเป็นอะไรกันแน่ และการเป็นของเรานี่ดีหรือไม่ดี เราเป็นดวงจิตดวงใจ ที่มาเกิด มารับร่างกายจากพ่อแม่ของเรา แล้วเราก็เอาร่างกายนี้เป็นเครื่องมือหาความสุขต่างๆ แต่ความสุขที่เราได้นั้น มันไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่เราได้จากการมาเกิด นอกจากความสุขแล้ว เราก็ได้ความทุกข์ควบคู่มาด้วย เพราะความสุขที่เราได้ผ่านทางร่างกาย เดี๋ยวไม่ช้าก็เร็ว มันก็ต้องจากเราไปหรือหมดไป พอมันหมดไป มันก็ทำให้เราเกิดความทุกข์ใจขึ้นมา เวลาเราสูญเสียสิ่งที่เรารักไป เป็นอย่างไร เสียอกเสียใจกัน ร้องห่มร้องไห้กัน แต่เราก็ไม่เข็ด พอเสียไปเดี๋ยวเราก็ไปหาใหม่มา เพราะเราอยู่โดยไม่มีสิ่งต่างๆ มาให้ความสุขกับเราไม่ได้ เราก็เลยต้องดิ้นรนหาความสุขจากสิ่งต่างๆ ไปเรื่อยๆ หาได้มากได้น้อย เดี๋ยวก็ต้องมีการพลัดพรากจากกัน

นี่คือสถานภาพของพวกเรา พวกเรามาเกิดเพื่อมาหาความสุขกัน แต่ความสุขในโลกนี้มันมีความทุกข์พ่วงมาด้วย เรามาหาความทุกข์ด้วย นี่คือการมาเกิดของพวกเรา เราคิดว่าเรามาหาความสุขกัน แต่ความจริงเราได้ความทุกข์มากกว่าได้ความสุขกัน แต่เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เราเป็นเหมือนตกกระใดพลอยโจน เมื่อมาเกิดแล้วก็ต้องดิ้นรนกันไป พยายามหาความสุขให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้ หาได้มากน้อยเท่าไร เดี๋ยวก็ต้องเจอความทุกข์ตามมาต่อไป อันนี้ก็เป็นปัญหาของพวกเราที่เราจะแก้ได้ก็ต่อเมื่อเราได้มาพบกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็จะสอนให้พวกเรามายุติความอยากกัน ยุติการเกิดแก่เจ็บตายกัน ด้วยการทำบุญ ด้วยการละบาป ด้วยการปฏิบัติธรรม ให้เรามาทำ ๓ ข้อนี้ คือให้เราทำบุญเพื่อเราจะได้มีความสุข ให้เราละบาปเพื่อเราจะได้ไม่มีความทุกข์ แล้วให้เรามาชำระความอยากให้หมดไปจากใจ ด้วยการปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยการเจริญสมาธิ ด้วยการเจริญปัญญากัน นี่แหละคือสิ่งที่เราจะได้รับจากการที่เราได้มาพบกับพระพุทธศาสนา ถ้าเราไม่ได้พบกับพระพุทธศาสนานี้ เราจะเวียนว่ายตายเกิด เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ กลับมาเกิด มาหาความสุข แล้วก็มาร้องห่มร้องไห้เวลาที่เราต้องพลัดพรากจากสิ่งต่างๆ ไป แล้วตายไป เราก็จะไปรับผลบุญผลบาป หลังจากนั้นเราก็จะกลับมาเกิดใหม่ แต่ถ้าเราได้มาพบกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท่านก็จะสอนให้เรามาทำบุญกัน เอาเงินที่เราจะไปซื้อความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายกัน เอาไปทำบุญแทน จะได้ความสุขที่ไม่มีความทุกข์ตามมา แล้วให้เราละบาปกัน อย่าทำบาปกัน แล้วให้เรามาปฏิบัติธรรมกัน มาหัดนั่งสมาธิ มาใช้ปัญญาสอนใจ ไม่ให้ไปทำตามความอยากต่างๆ ถ้าเราทำได้แล้ว จิตใจของเราก็จะไม่ต้องกลับมาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาตายอีกต่อไป


ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๑
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี