หัวข้อ: วัดทุ่งลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 05 สิงหาคม 2563 16:05:09 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/78198383334610_1_640x480_.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/89413770743542_2_640x480_.JPG)
วัดทุ่งลาดหญ้า หมู่ ๑ ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี วัดทุ่งลาดหญ้า หรือชาวบ้านเรียกวัดนี้ว่า “วัดลาดหญ้า” สังกัดมหานิกาย อยู่ในเขตการปกครองคณะสงฆ์ ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี สถานที่ตั้ง : วัดทุ่งลาดหญ้าตั้งอยู่ที่ ๒๖๒ บ้านลาดหญ้า หมู่ ๑ ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี มีเนื้อที่ตั้งวัด ๔๖ ไร่ ๗๗ ตารางวา อาณาบริเวณวัดทุ่งลาดหญ้า : - ทิศเหนือ จด แนวถนน กาญจนบุรี – เขื่อนศรีนครินทร์ฯ - ทิศใต้ จด ตลาดบ้านลาดหญ้า - ทิศตะวันออก จด ถนนพระครูสอน -ทิศตะวันตก จด แม่น้ำแควใหญ่ ประวัติก่อนการสร้างวัด : เหนือบริเวณวัดทุ่งลาดหญ้าออกไปประมาณ ๒ กิโลเมตร เดิมเป็นที่ตั้งของเมืองกาญจนบุรีเก่า ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของไทยเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยตั้งอยู่ริมแม่น้ำแควใหญ่ ใกล้เขาชนไก่ มีผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ ๑๘๐ เมตร ยาว ๓๖๐ เมตร มีป้อมมุมเมือง ๔ มุม มีแม่น้ำแควใหญ่ เป็นเสมือนคูเมือง ด้านทิศตะวันตก และลำน้ำลำตะเพินเป็นคูเมือง ด้านทิศเหนือ มีป้อมเป็นเนินดิน ๔ มุม ภายในเมืองมีซากวัดต่างๆ ถึง ๗ วัด คือ วัดขุนแผน วัดนางพิมพ์ วัดแม่หม้ายเหนือ วัดแม่หม้ายใต้ วัดมอญ วัดจีน วัดป่าเลไลย์ และมีบริเวณที่เรียกกันว่าตลาดนางทองประศรี ความสำคัญของเมืองกาญจนบุรีเก่า เป็นเมืองหน้าด่านตะวันตก ที่คอยสกัดทัพพม่าที่ยกเข้ามาทางด้านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นเส้นทางโบราณ ระหว่างเมืองมอญกับไทย มี ๒ เส้นทาง คือ เส้นทางเหนือหรือเรียกว่าทางด่านแม่ละเมา และทางด่านเจดีย์สามองค์ เมืองกาญจนบุรี โดยออกจากเมืองเมาะตะมะ ข้ามแม่น้ำอัตรัน (เมืองเชียงกราน) เมืองสมิ ข้ามแม่น้ำกษัตริย์ และข้ามภูเขา เข้าแดนไทยทางด่านเจดีย์สามองค์ มาลงน้ำแควน้อย จากสามสบล่องลงมาทางเมืองไทรโยคเก่า (ปัจจุบัน คือ บริเวณวัดดงสัก ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค แล้วตัดข้ามช่องกระบอก มาลงลำน้ำแควใหญ่ที่เมืองศรีสวัสดิ์ หรือที่เมืองท่ากระดานด่านกรามช้างแล้วเดินเลียบแม่น้ำแควใหญ่จนถึงเมืองกาญจนบุรีเก่า ที่ทุ่งลาดหญ้า จากนั้นจะเป็นที่ราบเดินทางสะดวก เข้าสู่เมืองสุพรรณบุรี วิเศษไชยชาญ และเข้าตีกรุงศรีอยุธยา เมืองกาญจนบุรีเก่า เป็นเมืองหน้าด่านสำคัญทางทิศตะวันตก ที่คอยสกัดกั้นทัพพม่าที่ยกทัพเข้ารุกรานไทย ๒ เส้นทาง คือ เส้นทางเหนือหรือเรียกว่าทางด่านแม่ละเมา และทางด้านเจดีย์สามองค์ ซึ่งเป็นเส้นทางโบราณ ระหว่างเมืองมอญกับไทย มาตั้งแต่สงครามครั้งแรก คราวรบพม่าที่เมืองเชียงกราน ในปี พ.ศ.๒๐๘๑ และกลายเป็นเส้นทางเดินทัพไทย-พม่า ที่ทำสงครามต่อกันไม่น้อยกว่า ๑๕ ครั้ง ครั้งสุดท้ายที่เราเสียกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่สองเมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ ต่อมาไทยย้ายเมืองมาตั้งที่กรุงธนบุรี ก็ต้องทำศึกกับพม่าอีก ๒ ครั้ง จนเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงย้ายราชธานีมาอยู่ กรุงเทพฯในปี พ.ศ.๒๓๒๕ ได้เพียงสามปี คือ พ.ศ.๒๓๒๘ พม่าก็ยกทัพมาตีไทยถึง ๙ ทัพ ยกเข้ามา ๕ ทาง จำนวนพลกว่า ๑๔๔,๐๐๐ คน เราเรียกสงครามครั้งนี้ว่า “การรบพม่าที่ทุ่งลาดหญ้า” สงครามครั้งนี้ กองทัพหลวงพระเจ้าปะดุง ยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ พร้อมกองทัพอีก ๔ กองทัพ ผ่ายไทยได้ให้กรมพระราชวังบวร มหาสุรสีหนาท มาสกัดทัพพม่าที่ทุ่งลาดหญ้า ซึ่งเป็นวิธีคิดใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ เพราะทรงพิจารณาเห็นว่า ที่ทุ่งลาดหญ้าเป็นทางที่พม่าต้องเดินทัพเข้ามา ถ้าไทยสามารถรักษาทุ่งลาดหญ้าไว้ได้ กองทัพพม่าต้องตั้งอยู่บนภูเขาซึ่งเป็นที่กันดาร จะหาเสบียงอาหารเลี้ยงกองทัพและจะเดินทัพก็ยาก เปรียบเหมือนข้าศึกต้องอยู่ในตรอก ไทยคอยสกัดกั้นอยู่ปากตรอก ถึงกำลังน้อยกว่าก็สู้ได้ ในที่สุดพม่าก็พ่ายทัพกลับไป ไม่สามารถยกทัพผ่านทุ่งลาดหญ้าไปได้ หลังจากสงครามเก้าทัพ สงครามไทย-พม่า ก็เริ่มเบาบางลง เส้นทางเดินทัพเปลี่ยนไป เมืองกาญจนบุรีเก่า จึงถูกทิ้งร้าง ถอยร่นลงมาสกัดทัพที่ปากแพรก หรือลิ้นช้าง ในครั้งแรกเพียงแต่ปักเสาระเนียดบนเชิงเทิน จนในสมัยรัชกาลที่ ๓ โปรดให้สร้างกำแพงเมือง ก่ออิฐถือปูน ในบริเวณที่ตั้งเมืองใหม่ ซึ่งเป็นที่รวมของแม่น้ำแควน้อย และแม่น้ำแควใหญ่ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๔ เพื่อป้องกันข้าศึก และติดต่อค้าขายกับเมืองในลุ่มน้ำแม่กลอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสไทรโยคได้บันทึกเกี่ยวกับกาญจนบุรีไว้ว่า “แต่เมืองที่ตั้งอยู่ตำบลปากแพรก เดี๋ยวนี้ไม่เป็นทางพม่าข้าศึกเข้ามาเลย ถ้าโดยจะเดินกองทัพมา คงข้ามที่เขาชนไก่เมืองเดิม ตัดไปสุพรรณบุรีเข้ากรุงทีเดียว ถ้าจะลงทางล่างก็เข้าราชบุรีไปเล่นสวนบางช้างสมุทรสงคราม แต่ที่ปากแพรกนี้เป็นที่ค้า ท่าขาย ด้วยเขาชนไก่เมืองเดิมนั้นขึ้นไปตั้งเหนือมาก มีแก่งถึงสองแก่ง ลูกค้าจะไปมาลำบาก จึงลงมาตั้งอยู่ที่ปากแพรกนี้ เป็นทางไปมาแต่เมืองราชบุรีง่าย เมืองที่ตั้งก่อกำแพงไว้นี้อยู่ที่แม่น้ำสามแยกตรงทางแม่น้ำน้อย เหมือนหนึ่งจะคิดรับทางเรือ แต่กองทัพของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ยกมาครั้งนั้น ต้องส่งทัพหน้าไปตั้งที่ลาดหญ้ารับทางพม่าข้าศึก ทัพหลวงจึงตั้งอยู่ที่ลิ้นช้างกาญจนบุรี เมืองกาญจนบุรีเมื่อก่อนก็เป็นระเนียดไม้มาตลอด...” และเสด็จพระราชดำเนินทรงม้าถึงทุ่งลาดหญ้า ทรงบันทึกว่า “ ...ถึงหนองบัว ลาดหญ้า จนถึงเขาชนไก่ ทาง ๕๙๐ เส้น ที่ลาดหญ้ามีหญ้ามากถ้าจะเลี้ยงช้างสักกี่ร้อยก็เลี้ยงได้ เป็นที่สำคัญในการศึก เมื่อเรายังทำศึกอยู่กับพม่า กองทัพเราตั้งรับ หรือกองทัพข้าศึกจะมาตั้ง ก็มักจะชิงเอาที่นี่ไว้ในกองทัพด้วยเป็นที่อุดม ได้อาศัยเลี้ยงพาหนะในกองทัพได้มาก ที่เขาชนไก่นั้น เป็นเมืองเก่าที่ยังมีวัดร้างอยู่ที่นั่น..” เมื่อย้ายเมืองกาญจนบุรีมาอยู่ปากแพรกแล้ว มีการบูรณะสร้างวัดวาอารามขึ้นใหม่ เช่น วัดไชยชุมพลชนะสงคราม (วัดใต้) วัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) วัดถาวรวราราม (วัดญวณ) ทำให้วัดต่างๆ ที่เมืองกาญจนบุรีเก่า ถูกทิ้งร้าง ต่อมาได้มีการนำเอาพระพุทธรูปในวัดร้างไปเป็นพระประธานในอุโบสถ เช่น ที่วัดถาวรวราม (วัดญวณ) เป็นต้น ประวัติการสร้างวัดลาดหญ้า : หลังจากสิ้นสงคราม ไทย-พม่า ในสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา ประชาชนเริ่มมาตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนริมน้ำแควใหญ่มากขึ้น การคมนาคมในสมัยนั้นต้องใช้ทางน้ำสัญจรไปมาจากเมืองท่ากระดาน เมืองศรีสวัสดิ์ ซึ่งอยู่เหนือขึ้นไป โดยการใช้แพหรือเรือล่องตามลำน้ำแควใหญ่ ผ่านบ้านลาดหญ้ามาเมืองกาญจนบุรีที่ปากแพรก ขากลับทวนน้ำจะต้องเดินทางบก ทั้งไปและกลับจะต้องผ่านบริเวณบ้านลาดหญ้า ต่อมาชุมชนเริ่มหนาแน่นขึ้น จึงได้มีการก่อสร้างวัดขึ้นบริเวณลำน้ำแควใหญ่ ณ บ้านลาดหญ้า ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมืองฯ จังหวัดกาญจนบุรี จากหลักฐานที่ปรากฏ มีรายนามเจ้าอาวาสปกครองวัด ดังต่อไปนี้ รูปที่ ๑ พระอธิการช่วงไม่พบหลักฐานว่าเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดมาแต่ปีใด จากหนังสือทำเนียบสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๓ (พ.ศ. ๒๓๔๗) ปรากฏว่าท่านเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัด มาก่อนแล้วในสมัยรัชกาลที่ ๕ รูปที่ ๒ พระอธิการแมว รูปที่ ๓ พระอธิการกล่อม รูปที่ ๔ พระกาญจนวัตรวิบูล (สอน อินฺทสโร) เกิดเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๓๔ มรณภาพ เมื่อวันที่ ๒๘กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๐๙ ปกครองวัดตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๖๐-๒๕๐๙ รูปที่ ๕ พระมงคลสิทธิคุณ (ลำใย ปิยวณฺโณ) เกิดเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๔๖๘ มรณภาพ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๖ ปกครองวัดตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๙-๒๕๔๖ รูปที่ ๖ พระครูสิทธิกิจจานุวัตร (ประเสริฐ อติเมโธ) เกิดเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๒ ปกครองวัดเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๖-ปัจจุบัน (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/40328270321090_7_640x480_.JPG) วัดลาดหญ้าเดิม มีอุโบสถหลังเล็กๆ อยู่ริมน้ำ ต่อมาถูกน้ำเซาะตลิ่งพัง จึงสร้างอุโบสถขึ้นใหม่ ในสมัยท่านเจ้าคุณ พระกาญจนวัตรวิบูล (สอน อินฺทสโร) เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๗ ในปี พ.ศ.๒๕๑๕ ทางกองทัพบกได้สร้างกองพลที่ ๙ ขึ้น ณ บริเวณทุ่งลาดหญ้า เพื่อเป็นการประกาศเกียรติประวัติยุทธภูมิทุ่งลาดหญ้า ที่เคยเป็นสมรภูมิที่ไทยชนะสงครามครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์สงคราม ไทย-พม่า ที่เรียกว่า “สงคราม ๙ ทัพ” ทางกองพลที่ ๙ ได้จัดพิธีทางศาสนา บำเพ็ญกุศลในวันสำคัญต่างๆ ที่วัดทุ่งลาดหญ้าสม่ำเสมอ จึงได้มีการก่อสร้าง กุฏิ ศาลา และอุโบสถหลังใหม่ขึ้น ได้รับพระราชทาน วิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๕ ในปี พ.ศ.๒๕๒๕ พระครูกาญจโนปมคุณ (ลำใย ปิยวณฺโณ) ได้เปลี่ยนชื่อ “วัดลาดหญ้า” เป็น “วัดทุ่งลาดหญ้า” เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น และเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ เมื่อครั้งสงครามเก้าทัพ วัดทุ่งลาดหญ้าเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างของกรมการศาสนากระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี พ.ศ.๒๕๒๖ กรมการศาสนาได้จัดประชุมเจ้าอาวาสวัดพัฒนาตัวอย่างที่วัดทุ่งลาดหญ้า เมื่อวันที่ ๑๘-๒๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๐ มีการเปิดทำการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๕๙ เป็นต้นมา โดยเปิดสอนนักธรรมชั้น ตรี โท เอก และได้ส่งพระภิกษุสามเณรไปศึกษาบาลีกับสำนักต่างๆ ต่อมา ปี พ.ศ.๒๕๓๐ ก็ได้เปิดเป็นสำนักศาสนศึกษาบาลี และได้มีการเรียนการสอนสืบต่อมา (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/93271252471539_8_640x480_.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/96041584677166_3_640x480_.JPG) รูปปั้นหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/19233657254112_6_640x480_.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/18889523007803_9_640x480_.JPG) หน้าบันอุโบสถวัดทุ่งลาดหญ้า ประดับด้วยพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ โดยมีพญาช้างปาลิเลยยกะ และลิง คอยปรนนิบัติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/47588854779799_4_640x480_.JPG) ที่มาข้อมูล : วิกิพีเดีย |