หัวข้อ: "พระโสดาบัน" แปลว่า เป็นผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564 20:49:46 (https://kalyanamitra.org/th/images/dailydhamma/2560/04/600415_01jpg..jpg) "พระโสดาบัน" แปลว่า เป็นผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน ทั้งนี้เพราะอะไร หรือว่าถ้าเราไม่มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ไม่มีความเคารพในพระธรรม ไม่มีความเคารพในพระสงฆ์ ศีลก็มีไม่ได้ เป็นอันว่า ตามพระบาลีท่านกล่าวว่าองค์ของพระโสดาบันมี ๔ คือ ๑. เคารพในพระพุทธเจ้า ๒.เคารพในพระธรรม ๓.เคารพในพระอริยสงฆ์ ๔. มีศีล ๕ บริสุทธิ์ หากแต่ว่าถ้าหากว่า อารมณ์ของท่านจะทรงอยู่ในการเคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ มีศีล ๕ บริสุทธิ์ เราก็ยังไม่มั่นใจกันนัก ว่าจะเป็นพระโสดาบันกันจริงหรือไม่จริง ฉะนั้น ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ใช้กำลังใจอีกนิดหนึ่งว่า เรามีความพอใจในพระนิพพาน การทำงานทุกอย่างเพื่อความดี เราไม่ต้องการเกิดเป็นมนุษย์ เราไม่ต้องการเกิดเป็นเทวดา เราไม่ต้องการเกิดเป็นพรหม ความดีทั้งหมดที่ทำนี่ เราต้องการพระนิพพานอย่างเดียว "ถ้าจิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทมีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีศีลบริสุทธิ์ จิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ อย่างนี้ท่านเรียกว่าพระโสดาบัน" ไม่ยากเลย ยากไหม มันของไม่ยาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเรื่องศีลนี่ เราต้องการให้คนอื่นมีศีลเพื่อเรา แต่บางทีเราก็เผลอไป เราไม่อยากจะมีศีลเพื่อคนอื่น อาตมาจะไม่อธิบายเรื่องศีล เพราะพูดมามากแล้ว "อารมณ์จิตของบรรดาท่านพุทธบริษัททรงได้เท่านี้ ชื่อว่าท่านเป็นพระโสดาบัน" "พระโสดาบัน" นี่ท่านแปลว่า "เป็นผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน" พอท่านทั้งหลายเข้าถึงพระโสดาบัน เรื่องอบายภูมิ ๔ ไม่มีสำหรับท่าน ถึงแม้ว่าท่านจะทำกรรมที่เป็นอกุศลมามากเท่าไรก็ตามที กรรมที่เป็นอกุศลทั้งหมดเดิม ไม่มีโอกาสจะให้ผล การเกิดของท่านก็จะเป็นแค่คนกับเทวดาหรือพรหม สลับกันไป ถ้าเป็นพระโสดาบันประเภทจิตอ่อน กำลังจิตยังอ่อนอยู่ ที่เรียกกันว่า "สัตตักขัตตุง" ก็เกิดเป็นเทวดากับคนสลับกันอย่างละ ๗ ชาติก็ถึงพระนิพพาน ถ้ามีกำลังปานกลางที่เรียกว่า "โกลังโกละ" ก็จะเกิดเป็นเทวดากับคนสลับกันเพียง ๓ ชาติก็ถึงพระนิพพาน ถ้าเป็นพระโสดาบันขั้นมีจิตแก่กล้าที่เรียกว่า "เอกพิชี" เกิดเป็นเทวดาครั้งเดียวมาเกิดเป็นคนก็ถึงพระนิพพาน คือเป็นพระอรหันต์ นี่หมายความว่า ถ้าเรายังไม่มีโอกาสที่จะฝึกจะพบพระพุทธเจ้า แต่ทว่าถ้าเวลานี้ใครเป็นพระโสดาบันก็ดี หรือว่าไม่ได้เป็นพระโสดาบัน แต่ว่ามีความพอใจในการปฏิบัติความดี อย่างที่บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่านมานั่งในเวลานี้ จะเห็นว่ากำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทมีอารมณ์แก่กล้า ถ้าไม่แก่กล้าจริงๆ มานั่งไม่ได้ มานั่งอยู่แบบนี้แล้ว ก็ตั้งใจสร้างความดี มันก็ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง บางทีทรงความดี บางครั้งก็เผลอไปทำความชั่วเสียบ้าง สลับกันไป แต่ว่าจิตใจมุ่งความดีเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นพุทธานุสสติก็ดี ธัมมานุสสติก็ดี สังฆานุสสติก็ดี จะว่าสีลานุสสติ เทวตานุสสติ จาคานุสสติ เดี๋ยวไม่รู้เรื่องเลย เป็นอันว่าพอใจในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ พอใจในศีล หรือว่าพอใจกรรมฐานกองใดกองหนึ่งที่เรารักที่สุด เพียงเท่านี้ถ้าตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดา พอเกิดเป็นเทวดาแล้ว ว่างจากพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าองค์นี้ว่างไป ๑ พุทธันดร จะใช้เวลาประมาณล้านปีเศษ ใช้เวลาสั้นๆ แค่ล้านปีเศษนะ นิดเดียว นิดเดียวเพราะอะไร เพราะว่าถ้าบังเอิญเราไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก กว่าคนมานั่งที่นี่เป็นแถวนี่ มีหวังไปเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์กันหมด แต่ระวังจิตเวลาก่อนจะตาย อย่าให้มีอารมณ์หยาบ ที่พูดนี่ไม่ได้พูดอย่างผู้วิเศษ แต่พูดตามแบบฉบับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส เพราะอะไร หนึ่ง ตั้งใจมาสมาทานศีล สอง ตั้งใจมาเจริญพระกรรมฐาน ก็การเจริญพระกรรมฐานขั้นขณิกสมาธิ ได้บ้างไม่ได้บ้าง เขาก็เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว จาก : หนังสือ คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม ๖๐ หน้าที่ ๑๒๐-๑๒๑ โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน เพจ พระพุทธศาสนา |