หัวข้อ: พระอภัยมณีเป่าปี่กี่ครั้ง ? เริ่มหัวข้อโดย: ฉงน ฉงาย ที่ 05 พฤษภาคม 2564 20:27:59 พระอภัยมณีเป่าปี่กี่ครั้ง ? ผลงานเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งของสุนทรภู่คือ “พระอภัยมณี” ซึ่งมีเค้าโครงเรื่องสนุก จินตนาการล้ำยุค ตัวละครจากหลากหลายชนชาติ ฯลฯ ตัวเอกของเรื่องคือพระอภัยมณีมีความสามารถในวิชาปี่ พระอภัยเป่าปี่หลายต่อหลายครั้งเพื่อการศึก, เกี้ยวสาว ฯลฯ ซึ่งเป็นประเด็นหนึ่งที่มีการกล่าวถึวกันมากมาย สมชาย พุ่มสอาด ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวจำนวนครั้งที่พระอภัยเป่าปี่และอธิบายเหตุที่เป่า เขียนไว้ใน บทความชื่อ“ปี่พระอภัย” โดย ตีพิมพ์ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนมิถุนายน 2527 ที่หลายท่านว่าพระอภัยเป่าปี่ 10 ครั้ง แต่สมชาย พุ่มสอาด ค้นคว้าและสรุปว่าพระอภัยเป่าปี่ 13 ครั้ง ซึ่งขอคัดย่อและเรียบเรียงมานำเสนออีกครั้งเพื่อระลึกถึงสุนทรภู่ เป่าปี่ครั้งที่ 1 พระอภัยเป่าปี่ครั้งแรกตอนเรียนวิชากับท่านศาสตราจารย์ดร.ทิศาปาโมกข์อธิการบดีแห่งจันตคาม University หลังจากที่ฟัง Lecture ภาคทฤษฎีแล้วอาจารย์ก็พาไปเรียนภาคปฏิบัติ “แล้วพาไปยอดเขาให้เป่าปี่ ที่อย่างดีสิ่งใดก็ได้สิ้น แต่เสือช้างกลางไพรถ้าได้ยิน ก็ลืมกินน้ำหญ้าเข้ามาฟัง” เป่าปี่ครั้งที่ 2 เมื่อพระอภัยมณีและศรีสุวรรณถูกขับไล่ออกจากเมืองมาพบกับ 3 พราหมณ์ซึ่งสงสัยว่าไปเรียนทำไม่วิชาปี่ พระอภัยจึงอธิบายให้ฟังว่า “ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช จตุบาทกลางป่าพนาสิน แม้ปี่เล่าเป่าไปให้ได้ยิน ก็จุดสิ้นโทโสที่โกรธา ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญาณ์ จงนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง” ส่วนเพลงปี่ที่ใช้ก็กล่าวว่า “ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย ยังไม่เคยได้ชิดพิสมัย ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย” ผลก็คือทั้งคณะหลับกันหมดส่วนนางผีเสื้อสมุทรที่ได้ยินแล้วไม่หลับเพราะไม่ใช่มนุษย์ครุฑเทวดาและสัตว์ 4 เท้า แต่เป็นอมนุษย์ จึงไม่เข้าข่าย เป่าปี่ครั้งที่ 3 ตอนที่ 14 เมื่อนางผีเสื้อสมุทรตามอาละวาดด้วยความแค้นที่พระอภัยหนีมาจึงเที่ยวทำร้ายผู้คน พระอภัยต้องเป่าปี่ให้นางขาดใจตาย ก่อนที่จะเป่าปี่พระอภัยบอกให้พรรคพวกของตนเอาน้ำลายมาอุดหู ตัวเองก็ลาเพศฤษี เพื่อจะได้ไม่ทุศีล แล้วเริ่มภาวนาคาถาอาคมตามตำรับไสยเวทก่อนจะลงมือเป่าปี่ “แล้วทรงเป่าปี่แก้วให้แจ้วจับใจ สอดสำเนียงนิ้วเอก วิเวกหวาน พวกโยคีผีสางทั้งนางมาร ให้เสียวซ่านวาบวับจับหัวใจ” ฝ่ายนางผีเสื้อสมุทรเมื่อได้ยินเพลงปี่ “แต่เพลินฟังนั่งโยกจนโหงกหงุบ ลงหมอบซุบซวนซบสลบไสล พอเสียงปี่ที่แหบหายลงไป ก็ขาดใจยักษ์ร้ายวายชีวา” อนุสาวรีย์สุนทรภู่ และพระอภัยมณี ที่จังหวัดระยอง เป่าปี่ครั้งที่ 4 ตอนที่ 18 พระอภัยมณีโดยสารเรืออุศเรนเป่าปี่เรียกสินสมุทร “พระเป่าปี่เปิดเสียงสำเนียงเอก เสนาะดังฟังวิเวกกังวานหวาน ละห้อยหวนครวญเพลงบรรเลงลาน โอ้สงสารสุริย์ฉายจะบ่ายคล้อย ที่คลาดแคล้วแก้วตามาว้าเหว่ ท้องทะเลแลเปล่าให้เศร้าสร้อย ป่านนี้น้องสองคนกับลูกน้อย จะล่องลอยไปอยู่หนตำบลใด สินสมุทรไม่มาหาบิดาเลย พ่อจะเชยใครเล่าเจ้าพ่ออา” สินสมุทรได้ยินเสียงปี่ก็รู้ทันทีว่าพ่อเรียกหา ก็รีบเดินทางมาทันที เป่าปี่ครั้งที่ 5 ตอนที่ 27 เป็นการเป่าปี่เพื่อจับเจ้าละมานที่อาสามาตีเมืองเพราะหวังในตัวนางละเวงพระอภัยทราบข่าวก็สั่งให้ตีกรงเหล็กรอไว้ขังเจ้าละมานเมื่อยกทัพมาถึงว่าแล้วพระอภัยก็เป่าปี่ “หยิบปี่แก้วแล้วชูขึ้นบูชา พอลมมาเพลาเพลาทรงเป่าพลัน เปิดสำเนียงเสียงลิ่วถึงนิ้วเอก หวานวิเวกวังเวงดังเพลงสวรรค์ ให้ชื่นเฉื่อยเจื่อยแจ้วถึงแก้วกรรณ เหล่าพวกฟันเสี้ยมฟังสิ้นทั้งทัพ ยืนไม่ตรงลงนั่งยิ่งวังเวก เอกเขนกนอนเคียงเรียงลำดับ เจ้าละมานหวานทรวงง่วงระงับ ล้มลงหลับลืมกายดังวายปราณ” เหตุการณ์ตอนนี้มีบางท่านว่าคล้ายประวัติศาสตร์สมัยรัชกาลที่ 3 ตอนจับตัวเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์มาขังไว้ที่สนามหลวงเนื่องจากคิดขบถ เป่าปี่ครั้งที่ 6 ตอนที่ 30 พระอภัยตีเมืองลังกา นางละเวงวางกลดักพระอภัย พระอภัยเสียทีแต่เมื่อตั้งสติได้ก็หยิบปี่ขึ้นมาเป่าแก้สถานการณ์ “ตกพระทัยในอารมณ์ไม่สมประดี จึงทรงปี่เป่าห้ามปรามณรงค์ วิเวกหวีดกรีดเสียงสำเนียงสนั่น คนขยั้นยืนขึงตะลึงหลง ให้หวิววาบซาบทรวงต่างง่วงงง ลืมณรงค์รบสู้เงี่ยหูฟัง พระโหยหวนครวญเพลงวังเวงจิต ให้คนคิดถึงถิ่นถวิลหวัง ว่าจากเรือนเหมือนนกมาจากรัง อยู่ข้างหลังก็จะแลชะแงคอย วิเวกแว่วแจ้วเสียงสำเนียงปี่ พวกโยธีทิ้งทวนชนวนเขนง ลงนั่งโยกโงกหงับทับกันเอง เสนาะเพลงเพลินหลับระงับไป” หุ่นขี้ผึ้งชุด “พระอภัยมณี” ที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย จังหวัดนครปฐม หัวข้อ: Re: พระอภัยมณีเป่าปี่กี่ครั้ง ? เริ่มหัวข้อโดย: ฉงน ฉงาย ที่ 05 พฤษภาคม 2564 20:29:15 เป่าปี่ครั้งที่ 7-9 (เป่าปี่ 3 ครั้ง) ตอนที่ 31 พระอภัยเป่าเรียกนางละเวง “แล้วนึกได้วิชาพฤฒาเฒ่า จะลองเป่าปี่ประโลมนางโฉมศรี ให้งามสรรพกลับมาให้พาที แล้วทรงปี่เป่าเกี้ยวประเดี๋ยวใจ” พอนางละเวงได้ฟังเพลงปี่ก็ “คิดกำหนัดอัดอั้นหวั่นวิญญาณ์ นั่งนึกน่าจะใคร่ปะพระอภัย เธอพูดดีปี่ดังฟังเพราะ จะฉอเลาะลูบต้องทำนองไหน” แล้วนางละเวงก็มาหาพระอภัย พอนางละเวงมาถึงพระอภัยก็วางปี่เข้าคว้าไขว่ นางละเวงพอรู้สึกตัวก็ขับม้าหนีไป พระอภัยเป่าปี่อีก นางก็ไม่กลับมาเหนื่อยไปเอง เป่าปี่ครั้งที่ 10 พระอภัยก็เป่าปี่ปลุกทัพถ้าไม่เป่าปี่มีหวังยุ่งชุลมุนกันตายเพราะคนทั้งสองทัพตกจำนวนแสนมาหลับกันหมดถ้าหากจะปล่อยให้ตื่นเองคนละทีสองทีก็อาจเหยียบกันตายไม่รู้ว่าชาวฝรั่งชาวไทยคนจะสับสนน่าดูจะบังคับบัญชากันไม่ติดนางละเวงจึงขอร้องให้พระอภัยปลุกทัพคือให้ตื่นก่อนกำหนดโดยการเป่าถอนอำนาจปี่ “ดำริพลางทางลงแล้วทรงปี่ เรียกโยธีไพร่นายทั้งซ้ายขวา ให้วาบแว่วแก้วหูรู้วิญญาณ์ ต่างลืมตาตกใจทั้งไพร่นาย” เป่าปี่ครั้งที่ 11 ตอนที่ 35 นางยุพาผกาทำอุบายให้พระอภัยเป่าปี่ ตอนติดท้ายรถเข้าเมืองลังกา “พระฟังคำรำลึกพอนึกได้ ดีพระทัยที่จะชมประสมสอง หยิบขี้ผึ้งที่เธอทำขึ้นสำรอง โยนให้ย่องตอดบ้างทั้งธิดา อันปรอทหยอดหูสู้ไม่ได้ มันเหลวไหลเข้าในหนังในมังสา แล้วแลดูสุริยนพอสนธยา หยิบปี่มาเป่าเพลงวังเวงใจ” พอนางหลับหมดพระอภัยก็ปลอมตัววเป็นนางละเวงนั่งรถเข้าลังกาสบายไป เป่าปี่ครั้งที่ 12 ตอนที่ 44 ชั้นลูกหลาน พระอภัย ศรีสุวรรณ เกิดรบทัพชุลมุนวุ่นวาย พระอภัยจึงเป่าเรียกนางละเวงและกองทัพทังหมด “แล้วพระองค์ลงจากม้าที่นั่ง ขึ้นหยุดยั้งอยู่บนเนินเชิงเทินผา คิดรำพึงถึงลูกสาวเจ้าลังกา หยิบปี่มาเป่าดังเป็นกังวาน แต่ไม่ให้ไพร่พลผู้คนหลับ ให้วาบวับแว่วเพลงวังเวงหวาน วิเวกโหวยโหยไห้อาลัยลาน โอ้ดึกป่านนี้แล้วแก้วกลอยใจ” เรื่องร้อนถึงพระฤษีเกาะแก้วพิสดารต้องมาเทศน์โปรดจนเกิดความสามัคคีกันแก่ทัพทั้ง 2 ว่า “กูคนซื่อถือสัตย์จะตัดสิน ให้หายสิ้นโมโหที่โทษา ด้วยแรกเริ่มเดิมนั้นนางวัณฬา จะลวงฆ่าพระอภัยเสียให้ตาย ข้างโน้นมีปี่เป่าเป็นเจ้าเล่ห์ ฝ่ายข้างนี้มีเสน่ห์เหมือนนึกหมาย แต่สตรีดีกว่าจึงพาชาย ให้หลงตายติดขังอยู่วังใน” เป่าปี่ครั้งที่ 13 ตอนที่ 61 พระอภัยเป่าปี่ครั้งสุดท้ายเนื่องจากลูกหลานเกิดรบกันอีก ร้อนถึงพระอภัยต้องเป่าปี่จับ วลายุกาวายุพัฒน์หัสกัน “ฝ่ายองค์พระอภัยเห็นใกล้คํ่า จึงวักน้ำลูบปี่อธิษฐาน เป่าเสียงสูงฝูงคนเหลือทนทาน ก้องกังวานวาบวับเสียวจับใจ” แน่นอนการเป่าปี่แต่ละครั้งแสดงถึงความรู้ความสามารถของพระอภัยซึ่งสมชายพุ่มสอาดอธิบายไว้ว่า “อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ระดับ คือ ในระดับแรกเป็นความรู้ในทางปฏิบัติจริงๆ นั่นก็คือ ความชำนาญในการเป่าปี่หรือดีดพิณ ซึ่งมีลักษณะเดียวกับการรบพุ่งและการนี้ก็จำเป็นต้องมีเครื่องมือที่ดี คือ ปี่ที่เป่า เพราะเสนาะเสียง ยินสำเนียงถึงไหนก็ใหลหลง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความสำเร็จอันแรกนี้ย่อมขึ้นกับความรู้ในระดับที่สอง นั่นก็คือ ความรู้ในเล่ห์กลโลกาห้าประการ คือ รูป รส กลิ่น เสียง เคียงสัมผัส เพื่อว่าจะได้ เอาปี่เป่าเล้าโลมน้ำใจคนได้…” เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ เมื่อ 26 มิถุนายน พ.ศ.2560 https://www.silpa-mag.com/culture/article_10298 (https://www.silpa-mag.com/culture/article_10298) |