[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ใต้เงาไม้ => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 25 มิถุนายน 2564 13:44:36



หัวข้อ: พระรถคำฉันท์ วรรณกรรมร้อยกรองสมัยอยุธยา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 25 มิถุนายน 2564 13:44:36
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/73088319930765_206410617_1171834013332277_653.jpg)

พระรถคำฉันท์

 คำนำ

บรรพชนไทยได้สร้างสรรค์วรรณกรรมร้อยกรองจำนวนมากไว้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ วรรณกรรมดังกล่าวย่อมสะท้อนถึงความคิด ความเชื่อ วิถีชีวิตและความเป็นไปของสังคมในยุคสมัยที่แต่งเรื่องนั้นๆ อาจกล่าวได้ว่าวรรณกรรมเป็นจดหมายเหตุรูปแบบหนึ่งซึ่งกวีเป็นผู้บันทึก ดังนั้นข้อมูลต่างๆ ที่สอดแทรกอยู่ในแต่ละเรื่อง จึงมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษาสืบค้นเรื่องราวในอดีต

สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ได้ตรวจสอบชำระและจัดพิมพ์เผยแพร่วรรณกรรมของชาติมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีวรรณกรรมโบราณอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดำเนินการ วรรณกรรมเหล่านี้บันทึกไว้ในเอกสารสมุดไทยซึ่งนับวันจะชำรุดสูญสลายไปตามกาลเวลา หลายเรื่องสูงด้วยคุณค่าในเชิงวรรณศิลป์สมควรที่จะเผยแพร่และรักษาสืบทอดให้คงอยู่เป็นสมบัติของชาติสืบไป

เรื่อง พระรถคำฉันท์ นี้สันนิษฐานว่าน่าจะแต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีสำนวนโวหารไพเราะ กรมศิลปากรยังไม่เคยจัดพิมพ์มาก่อน ต้นฉบับเป็นเอกสารสมุดไทย เก็บรักษาไว้ที่กลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากรพิจารณาเห็นว่า เรื่องดังกล่าวมีคุณค่าต่อการศึกษาด้านวรรณกรรมและอักษรศาสตร์ จึงมอบให้นายบุญเตือน ศรีวรพจน์ นักอักษรศาสตร์ ๘ ว. ข้าราชการสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์เป็นผู้ตรวจสอบชำระและจัดพิมพ์เผยแพร่

อนึ่ง เรื่อง พระรถเสนหรือที่ชาวไทยรู้จักในชื่อ พระรถเมรี เป็นนิทานที่ได้รับความนิยมตั้งแต่สมัยอยุธยาสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน กวีไทยนำมาสร้างสรรค์เป็นวรรณกรรมร้อยกรองหลายรูปแบบ เช่น กาพย์ขับไม้ คำกลอนและบทละครซึ่งสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์กำลังตรวจสอบชำระเพื่อจัดพิมพ์ในโอกาสต่อไป

กรมศิลปากรหวังว่าหนังสือ พระรถคำฉันท์นี้ จะอำนวยประโยชน์ต่อนักเรียน นักศึกษาและผู้สนใจวรรณกรรมไทยโดยทั่วกัน

อธิบดีกรมศิลปากร

สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์
๘ เมษายน ๒๕๔๘




อธิบายเรื่อง พระรถคำฉันท์

[๑]เรื่องพระรถเมรี หรือ เรื่องนางสิบสอง เป็นนิทานพี้นบ้านที่ชาวไทยรู้จักแพร่หลายมาตั้งแต่สมัยอยุธยาหรือก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อพระเถระชาวเชียงใหม่รจนาคัมภีร์ปัญญาสชาดกได้นำเรื่องนี้ไปปรับเป็นชาดกด้วยเรื่องหนึ่ง วรรณคดีสำคัญๆ หลายเรื่องที่แต่งในสมัยอยุธยาอ้างถึงเรื่องพระรถเมรีไว้เช่น

โคลงนิราศหริภุญไชย

กังรีนิราศร้าง รถเสน
หวานหว่านในดินเดน     ด่านนํ้า
นางยักษ์ผูกพันเวร มรโมฐ วันนา
อันพี่พลัดน้องซํ้า เร่งร้ายระเหระหน ฯ
กาพย์ห่อโคลงพระศรีมโหสถ .
เกลือกเหมือนเงื่อนบพิตรรถสิทธิสนิทนนทา
รุกริบสิบสองพะงา ควักตาให้ใส่ขุมขัง
เกลือกเหมือนเงื่อนท้าวผ่าน สากล
กักมารดาลมัวมนท ข่าวไข้
สิบสองจองทัณฑ์อน สิบสองจองทัณฑ์อน
แล้วส่งลงขุมให้ ร่ำร้อนฤๅเสบย ฯ

กวีไทยสมัยอยุธยานิยมนำเรื่องพระรถเสน มาแต่งเป็นคำประพันธ์หลายรูปแบบ เช่น กาพย์ขับไม้ คำฉันท์และบทละคร เป็นต้น กาพย์ขับไม้เรื่องพระรถเสนนั้นสันนิษฐานว่า น่าจะแต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น คำศัพท์ที่ปรากฏมีลักษณะใกล้เคียงกับลิลิตพระลอ เนื้อหาเท่าที่พบเป็นตอนอภิเษกพระรถเสนกับนางเมรี กาพย์ขับไม้สำนวนนี้ใช้เป็นบทสำหรับ “ขับไม้” ในพระราชพิธีสมโภชมาตั้งแต่สมัยอยุธยา สืบมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

หนังสือจินดามณีของพระโหราธิบดีซึ่งเชื่อกันว่าแต่งขึ้นใน รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตอนที่ว่าด้วยการแต่งคำประพันธ์ “สุรางคณาปทุมฉันท์” นำข้อความจากเรื่องนางสิบสองมาเป็นตัวอย่าง ดังนี้


....๏ โอ้อกกูเอ๋ย
เมื่อก่อนกูเคย                    สมบัติครามครัน
ทำบุญบ่เบื่อ เชื่อชอบทุกอัน
จึงได้จอมขวัญ ลูกน้อยนงพาล
๏ ถึงบุญเราถอย
สิ่งสินยับย่อย ยากพ้นประมาณ
บาปใดมาให้ พ่อเจ้าบันดาล
กำจัดสงสาร สิบสองเสียไกล ฯ

ตัวอย่างที่ปรากฏในหนังสือจินดามณี ไม่พบฉบับที่เป็นเรื่องยาวหรือเอกสารอื่นๆ คำประพันธ์ดังกล่าวน่าจะตัดมาจากตอนต้นของเรื่องพระรถเมรีซึ่งสันนิษฐานว่าต้นฉบับน่าจะสูญไปแล้ว

บทละครนอกสมัยอยุธยาเรื่องพระรถเสนนั้น พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) ได้ต้นฉบับมาแต่เมืองเพชรบุรี แล้วคัดลอกถวายสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เนื้อหาในบทละครสำนวนนี้เป็นตอนพระรถเสนกับนางเมรี “ลงสวน” ดำเนินเรื่องไปจนถึงพระรถเสนเตรียมที่จะหนี

ส่วน เรื่อง พระรถคำฉันท์ เท่าที่พบในการตรวจสอบชำระครั้งนี้มีหลายสำนวน สำนวนที่พิมพ์อยู่ในหนังสือนี้ เริ่มเนื้อความตั้งแต่นางเมรีบรรทมตื่นไม่พบพระรถเสนก็ออกติดตาม ดำเนินไปจนจบเรื่อง สันนิษฐานว่า คำฉันท์สำนวนนี้น่าจะแต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ดังจะอธิบายรายละเอียดต่อไปข้างหน้า




เรื่องย่อ

เนื่องจากกวีนิพนธ์คำฉันท์เรื่องพระรถเสนทุกสำนวนมิได้ดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นไปจนจบบริบูรณ์ ในที่นี้จึงขอนำเรื่องย่อจากรถเสนชาดกในปัญญาสชาดกมาประกอบดังนี้

ครั้งศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเศรษฐีผู้หนึ่งนามว่านนท์ได้นำกล้วยน้ำว้า ๑๒ ผล ไปถวายพระพุทธเจ้าแล้วอธิษฐานขอให้มีบุตรธิดาไว้สืบสกุล อยู่มาภรรยาก็ตั้งครรภ์ไห้กำเนิดธิดา ๑๒ คน โดยลำดับ ตั้งแต่นางสิบสองเกิดมาเศรษฐีก็เริ่มยากจนลง กระทั่งไม่มีอาหารพอเพียงที่จะเลี้ยง จึงพาธิดาทั้งหมดขึ้นเกวียนนำไปปล่อยเสียในป่า นางพากันเดินหลงทางไปจนถึงสวนเมืองคชปุรนครของนางยักขิณีสันธมาร นางยักษ์พบเข้าก็เมตตานำไปเลี้ยงไว้ อยู่มานางสิบสองรู้ว่านางสันธมารเป็นยักขิณี จึงหนีไปจนถึงเมืองกุตารนครของพระราชารถสิทธิ์ พากันขึ้นไปอยู่บนต้นไทรริมสระ นางทาสีไปตักนํ้าสรงพบเข้าจึงมาทูลท้าวรถสิทธ์ๆ จึงรับนางทั้งสิบสองไว้เป็นมเหสี ฝ่ายนางสันธมารมีความโกรธแค้นยิ่ง ครั้นทราบข่าวว่านางสิบสองไปเป็นมเหสีของท้าวรถสิทธ์จึงออกติดตามไปจนถึงกุตารนคร แปลงร่างเป็นนางงามนั่งอยู่บนต้นไทรริมสระน้ำเช่นเดียวกับนางสิบสอง เมื่อท้าวรถสิทธิ์ทราบจึงให้รับนางมาตั้งเป็นอัครมเหสี คราวหนึ่งนางสันธมารแปลงแกล้งทำเป็นป่วยแล้วทูลท้าวรถสิทธ์ว่า หากควักดวงตานางสิบสองเสียจึงจะหายจากโรค ท้าวรถสิทธ์ต้องเสน่ห์จึงยอมให้นางยักษ์ควักดวงตานางสิบสองเสียทั้งสองข้าง เว้นแต่นางน้องสุดท้องนั้นควักตาออกเพียงข้างเดียว แล้วฝากกองลมให้นำดวงตาทั้งหมดไปส่งให้นางกังรีผู้เป็นธิดาเก็บรักษาไว้ที่เมืองคชปุรนคร ขณะนั้นพี่สาวทั้งสิบเอ็ดคนกำลังตั้งครรภ์ ท้าวสักกเทวราชจึงอาราธนาพระโพธิสัตว์ให้มาปฏิสนธิในครรภ์ของน้องคนสุดท้อง ท้าวรถสิทธิ์ให้ขังนางสิบสองไว้ในอุโมงค์

เมื่อครบกำหนดนางผู้พี่ทั้งสิบเอ็ดคนก็คลอดบุตร ด้วยความอดอยากจึงฉีกเนื้อบุตรแบ่งกันกิน ภายหลังพระโพธิสัตว์จึงคลอดจากครรภ์มารดา นางน้องสุดท้องเฝ้าถนอมเลี้ยงดูจนเจริญวัยให้นามว่า “รถเสน” อยู่มารถเสนกุมารก็ออกมาจากอุโมงค์ได้ด้วยอำนาจบารมี เที่ยวเล่นชนไก่พนันแลกอาหารมาเลี้ยงมารดากับฟ้า ไก่ของพระรถเสนชนะพนันทุกคราวจนความเลื่องลือไปถึงท้าวรถสิทธิ์ จึงให้นำตัวไปเฝ้า เมื่อทราบว่าเป็นโอรสก็มีความรักใคร่ นางสันธมารทราบเข้าก็คิดหาอุบายที่จะกำจัดพระรถเสน นางแสร้งทำเป็นป่วยหนัก ทูลท้าวรถสิทธิ์ว่า ยาที่จะรักษาได้มีอยู่ที่เมีองคชปุรนคร ขอให้พระรถเสนไปนำมาให้ พระรถเสนทูลอาสาแล้วเลือกม้าพระที่นั่งตัวหนึ่งเป็นพาหนะสำหรับเดินทาง นางสันธมารแปลงเขียนจดหมายฉบับหนึ่งผูกคอม้าไปเป็นความว่า ถ้าพระรถเสนไปถึงเมืองยักษ์เมื่อไรให้ฆ่าเสีย ม้าพาพระรถเสนเหาะไปถึงกลางทางก็พากันแวะพักที่อาศรมของพระฤๅษี พระฤๅษีมีความเมตตาจึง “แปลงสาร” เปลี่ยนข้อความในจดหมายเสียใหม่

ครั้นถึงเมืองคชปุรนครพบไพร่พลยักษ์ขวางอยู่เป็นจำนวนมาก จึงแก้จดหมายที่คอม้าทิ้งลงไป เสนายักษ์อ่านข้อความแล้วก็จัดการต้อนรับอย่างเอิกเกริกและขัดการอภิเษกกับนางกังรีให้ครอบครองบ้านเมืองตามความในจดหมาย เวลาล่วงไป ๗ เดือน ม้าทูลเตือนให้พระรถเสนกลับไปหามารดา พระรถเสนจึงออกอุบายขอให้นางกังรีพาไปประพาสอุทยานเพื่อนำต้นบุนนากและคิรีบุนนาก[๒]ไปให้นางสันธมาร เมื่อได้สมปรารถนาแล้วก็กลับมายังตำหนัก ลวงให้นางกังรีดื่มสุราจนลืมสติแล้วพระรถเสนก็ถามถึงที่เก็บดวงตานางสิบสองและสรรพคุณยาวิเศษทั้ง ๗ ห่อ นางกังรีหลงกลก็บอกให้ทั้งหมด

ครั้นนางกังรีหลับพระรถเสนก็ฉวยห่อดวงตาและห่อยาทั้งหมดขึ้นหลังม้าหนีไปกลางดึก ตอนเช้านางตื่นขึ้นไม่เห็นสามีก็รีบยกไพร่พลออกติดตามไป พระรถเสนก็โปรยยาห่อหนึ่งเป็นมหาสมุทรขวางหน้าไว้ นางกังรีรำพันขอร้องให้พระรถเสนกลับมาก็ไม่เป็นผล ในที่สุดนางเสียใจจนดวงหทัยแตกออกเป็น ๗ ภาค สิ้นชีวิตอยู่ริมฝั่งมหาสมุทรนั้น ฝ่ายพระรถเสนกลับมาถึงกุตารนครโดยสวัสดิภาพ นางสันธมารทราบว่า ถูกพระรถเสนซ้อนกลก็เสียใจจนถึงแก่ความตาย พระรถเสนรีบนำยาไปรักษาดวงตาให้แม่และป้าจนหายเป็นปกติ ท้าวรถสิทธิ์จึงตั้งนางสิบสองเป็นมเหสีดังเดิมและอภิเษกให้พระรถเสนครอบครองบ้านเมืองต่อไป



การชำระต้นฉบับ

การตรวจสอบชำระเรื่องพระรถคำฉันท์เพื่อพิมพ์เผยแพร่ครั้งนี้ ใช้สำเนาเอกสารซึ่งถ่ายจากต้นฉบับสมุดไทยที่เก็บรักษาไว้ ณ หอสมุดแห่งชาติ จำนวน ๗ ฉบับ ได้แก่

เอกสารเลขที่ ๑๑ หมวดวรรณคดี หมู่ฉันท์ เรื่องพระรถ (รถเสน - เมรี) ประวัติ หอพระสมุดฯ ซื้อ พุทธศักราช ๒๔๕๐ มีข้อความในหน้าต้นว่า “หน้าต้นพระรถคำหวนณท่านเอย เล่ม ๑ ฯะ”

เอกสารเลขที่ ๑๒ หมวดวรรณคดี หมู่ฉันท์ เรื่องพระรถ (รถเสน - เมรี) ประวัติ พระวิเชียรธรรมคุณาธาร (โสด) วัดโมลีโลกยาราม ให้หอพระสมุดฯ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๐ มี ข้อความในหน้าต้นว่า “สมุดพระรฐนิราชคำฉันท์ เล่ม ๑”

เอกสารเลขที่ ๑๓ หมวดวรรณคดี หมู่ฉันท์ เรื่องพระรถ (รถเสน - เมรี) ประวัติ หลวงธรรมาภิมณฑ์ (ถึก จิตรกถึก) ให้หอพระสมุดฯ พุทธศักราช ๒๔๕๐ มีข้อความในหน้าต้นว่า “ต้นเมรีย ฯะ”

เอกสารเลขที่ ๑๔ หมวดวรรณคดี หมู่ฉันท์ เรื่องพระรถ (รถเสน - เมรี) ประวัติ หอพระสมุดฯ ซื้อ พุทธศักราช ๒๔๕๐

เอกสารเลขที่ ๑๕ หมวดวรรณคดี หมู่ฉันท์ เรื่องพระรถ (รถเสน - เมรี) ประวัติ พระองค์เจ้าหญิงพิมพับศรสร้อย ประทานเมื่อ พุทธศักราช ๒๔๖๐ (ตอนต้นและตอนปลายสมุดชำรุด)

เอกสารเลขที่ ๑๖ หมวดวรรณคดี หมู่ฉันท์ เรื่องพระรถ (รถเสน - เมรี) ประวัติ ได้มาจากวัดอนงคาราม เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๗๔ มีข้อความในหน้าต้นว่า “หน้าต้น หนังสือพระรทคำฉันท์ เล่ม ๑”

เอกสารเลขที่ ๑๗ หมวดวรรณคดี หมู่ฉันท์ เรื่องพระรถ (รถเสน - เมรี) ประวัติ หอพระสมุดฯ ซื้อ พุทธศักราช ๒๔๕๐ (มีตำรายาไทยอยู่ตอนต้น)

เอกสารทั้ง ๗ ฉบับดังกล่าวจำแนกออกได้เป็น ๓ สำรับคือ

เอกสารสำรับที่ ๑ ได้แก่ เอกสารเลขที่ ๑๒ เอกสารเลขที่ ๑๓ และเอกสารเลขที่ ๑๔ เอกสารสำรับนี้เป็นเรื่องพระรถคำฉันท์สำนวนที่เมื่อตรวจสอบชำระแล้วนำมาประมวลเข้าด้วยกันได้เนื้อความสมบูรณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ (พิมพ์อยู่ในหนังสือนี้ ตั้งแต่หน้า ๒๑ ถึงหน้า ๗๒) ในจำนวนเอกสารทั้ง ๓ ฉบับดังกล่าว เอกสารเลขที่ ๑๔ มีเนื้อความบริบูรณ์ที่สุดเพียงฉบับเดียว (ดำเนินเนื้อความตั้งแต่บทนมัสการไปจนจบเรื่อง) ขาดหายไปเพียงบทนมัสการตอนต้นซึ่งแต่งเป็นอินทรวิเชียร ฉันท์ ๑๑ จำนวน ๑๐ บท เอกสารฉบับดังกล่าวเริ่มต้นตั้งแต่คำประพันธ์บทที่ ๑๑ คือ

  
๏ ขอจงนฤทุกขแลโศก        นฤโรคแลพยา
ธินินทาครหา จงอย่าได้มาแผ้วพาน
๏ จะกล่าวนิพันธ์ฉันท์แสดงโดยอนุมาน
อันมีในนิทาน วรปัญญาสพาหิรา
๏ พระรถเรื่องเมรีรัตน์ วรราชชายา
ชาเยนทรมรณา มรณังริมฝั่งชล ฯะ

ในการตรวจสอบชำระได้นำเนื้อหาจากเอกสารเลขที่ ๑๒ และเอกสารเลขที่ ๑๓ มาเติมไว้จนได้ความครบบริบูรณ์ เอกสารเลขที่ ๑๒ เริ่มเนื้อความตั้งแต่บทนมัสการต้นเรื่อง แต่งเป็นอินทรวิเชียร ฉันท์ ๑๑ ดังนี้

๏ นโมข้าประนมหัตถ์         โสมนัสสุเบญจางค์
เหนือเศียรสุบาทาง คชิเนนทรทรงญาณ
๏ อันพระองค์เสด็จขจัด ปรปักขเบญจมาร
นำสัตว์ออกจากสงสาร เข้าสู่ห้องพระศีวา
๏ แล้วข้าชุลีกร นวโลกุตรธรรมา
อันโปรดสัตวโลกา ให้พ้นภัยอันเดือดร้อน
๏ หนึ่งข้าประนมน้อม กฤษดาญชุลีกร
แก่สงฆสังวร วรพุทธเวไนย
๏ ผู้ทรงสำรวมศีล สละบาปให้ขาดไกล
จำเริญศรัทธาไท ให้สัมฤทธิ์สำราญผล
๏ แล้วข้าก็อภิวันท์ วรเทพยเบื้องบน
แต่พื้นเมทนีดล ตลอดล่วงฉกามา
๏ อนึ่งข้าก็บังคม บรมกรุงกระษัตรา
ผู้ผ่านไอศวรรยา นครเทพยธาตรี
๏ แล้วข้าก็อภิวาท วรบาทชนนี
พระคุณอยู่เกศี สุดจะร่ำจะรำพัน
๏ ทั้งคุณพระบิดา จะพรรณนาก็มหันต์
สิ่งใดจะเทียมทัน แลจะเท่าก็ไป่มี
๏ ด้วยเดชข้าประณาม กรนบประนมศรี
สรรเพชญโมลี แลพระสงฆธรรมา

เอกสารเลขที่ ๑๒ หมดหน้าสมุดลงตรงคำประพันธ์บทที่ ๓๑๕ ตอนนางขุชชาค่อมโต้ตอบกับนางเมรี แต่งเป็นสุรางคนางค์ กาพย์ ๒๘ ว่า “มิรู้เป็นโทษ กลับทรงพระโกรธ ด่าเล่นเปล่าเปล่า” ในหน้าต้นของสมุดไทยเล่มนี้มีข้อความว่า “สมุดพระรฐนิราชคำฉันท์ เล่ม ๑” แสดงว่ายังมีเล่ม ๒ ต่อไปอีกแต่ไม่พบต้นฉบับ

เอกสารเลขที่ ๑๓ เริ่มต้นตั้งแต่บทนมัสการ เนื้อความตรงกับเอกสารเลขที่ ๑๒ หมดหน้าสมุดลงตรงคำประพันธ์บทที่ ๓๔๔ คือ


๏ แล่นโลดไล่โดนโจนคะนอง สัตว์สิงลำพอง
ละพวกก็เทาถิ่นตน

วรรคสุดท้ายของคำประพันธ์บทดังกล่าวต่างจากเอกสารฉบับที่ ๑๔ ซึ่งพิมพ์อยู่ในหนังสือนี้ และมีข้อความบอกว่า “สิ้นฉบับ”

เนื่องจากเอกสารต้นฉบับสมุดไทยคัดลอกด้วยลายมือ แต่ละฉบับจึงมีความลักลั่นทั้งด้านอักขรวิธีและการคัดลอกตกหล่น ในการตรวจสอบชำระได้นำข้อความจากฉบับที่สมบูรณ์มาเติมลงในฉบับที่บกพร่อง อนึ่ง ตั้งแต่คำประพันธ์บทที่ ๓๔๕ เป็นต้นไปปรากฏในเอกสารเลขที่ ๑๔ เพียงฉบับเดียว จึงไม่สามารถสอบทานกับฉบับอื่นได้

เรื่องพระรถคำฉันท์ตามเอกสารสำรับที่ ๑ นี้ไม่มีข้อความตอนใดระบุถึงยุคสมัยที่แต่ง แต่จากข้อมูลที่ปรากฏ สันนิษฐานว่าน่าจะแต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ระหว่างรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชถึงรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา ทั้งนี้พิจารณาจากสมมุติฐาน ๔ ประเด็น ได้แก่

ประเด็นที่ ๑ เนื้อความในคำฉันท์ตอนนางเมรียกไพร่พลออกจากเมืองเพื่อติดตามพระรถเสนตั้งแต่คำประพันธ์บทที่ ๑๑๔-๑๒๒ กล่าวถึงสถานที่ต่าง ๆ ดังนี้


๏ เสียดายปรางค์มาศรจนา สัตตรัตน์รมยา
มณีวิจิตรดำเกิง
๏ ที่นั่งร้อนที่นั่งเย็นสำเริง สำราญบันเทิง
บรรเทาภิรมย์เปรมปรีดิ์
๏ เปรมปราสองสุขเกษมศรี ศรีสวัสดิควรนี
นีราศร้างแรมไกล
๏ ไกลทั้งสระแก้วน้ำใส ใสสุทธิอำไพ
ไพบูลย์ดั่งแก้วแพรวพราย
๏ พรายเพริศสัตตบงกชหลาย หลายเล่ห์กำจาย
กำจรตรลบเสาวคนธ์
๏ เสาวภาคย์เคยสรงสนานชล ชลเอ๋ยจะร้างหน
หนใดจะกลับคืนสถาน
๏ สถานที่พิจิตรหน้าพระลาน ลานเลี่ยนสุริย์กานต์
สุริยาจำรัสรังสรรค์
๏ สรรค์แสร้งแกล้งไว้เฉลิมขวัญ ขวัญเมืองจรัล
จะรานิราศร้างศรี
๏ สีทองก็หมองเป็นราคี ราคินเศร้าศรี
สีแก้วบแววเห็นโฉม

“ที่นั่งเย็น” ที่กล่าวในคำประพันธ์ข้างต้นน่าจะมีความหมายโดยนัยถึง “พระที่นั่งเย็น” หรือ “พระที่นั่งไกรสรสีหราช” ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดฯ ให้สร้างขึ้นสำหรับประทับสำราญพระราชอิริยาบถ บนเกาะกลางทะเลชุบศร เมืองลพบุรี พระที่นั่งองค์นี้อยู่ห่างจากพระราชวังนารายณ์ราชนิเวศ ประมาณ ๓ กิโลเมตร ในบันทึกของคณะราชทูตฝรั่งเศสระบุว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงใช้เป็นที่ประทับเวลาเสด็จประพาสจับช้างป่าและเคยเป็นที่ประทับทอดพระเนตรจันทรุปราคาร่วมกับคณะราชทูตฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๒๒๘ “ไกลทั้งสระแก้วนํ้าใส” น่าจะมีความหมายโดยนัยถึง “สระแก้ว” ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดฯ ให้สร้างขึ้นนอกเมือง เป็นที่พักนํ้าจากทะเลชุบศรและห้วยซับเหล็กแล้วต่อท่อเข้ามาใช้ในพระราชวังเมืองลพบุรีตามที่กล่าวในพระราชพงศาวดาร ซึ่งสอดคล้องกับโคลงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์มหาราชของพระศรีมโหสถที่ว่า

มีสินธุ์สายสีตซึ้ง                ชลใส
เติมแต่เศขรใน ซอกซั้น
พุพวยหลั่งลงไหล เซ็งซ่าน
วางท่อทางด้นดั้น สู่ท้องวังเวียง ฯ
ขึ้นเขาในเงื้อมแง่ เศขร
พุ่งผุดโชนเซาะซอน คล่าวแคล้ว
ออกมุขแห่งไกรสร สีหราช
ลงสระอัญจลแก้ว ซ่านซ้องชลถวาย ฯ
สรงเสร็จเล็ดลอดดั้น โดยทาง
ท่อหลั่งไหลเวียนวาง วิ่งนํ้า
ฉวัดเฉวียนชำเนียนฉวาง วารีศ
ขึ้นออกเกสรกลํ้า กลีบแก้วโกมล ฯ

โคลงทั้ง ๓ บทดังกล่าว สอดคล้องกับคำฉันท์ตอนนางเมรี เดินทางผ่านสระน้ำนอกเมืองว่า “ไกลทั้งสระแก้วนํ้าใส” และในคำฉันท์อีกตอนหนึ่งที่ว่า

๏ ครวญพลางนางเร่งจรลี   ถึงสร้อยสระศรี
สโรชพิศาลโสภณ
๏ โกมุทบุษบันอุบล เบิกสร้อยเสาวคนธ์
ขจรเลวงเวหา
          ฯลฯ    

ประเด็นที่ ๒ การแต่งฉบัง กาพย์ ๑๖ เป็นกลบทนาคบริพันธ์ในพระรถคำฉันท์ตั้งแต่คำประพันธ์บทที่ ๑๑๕ - ๑๒๖ เป็นลักษณะที่นิยมในสมัยอยุธยา ดังมีตัวอย่างอยู่ในเรื่องราชาพิลาปคำฉันท์และหนังสือจินดามณีของพระโหราธิบดีนำมาเป็นตัวอย่างการประพันธ์ซึ่งน่าจะมีอิทธิพลต่อกวีผู้แต่งคำฉันท์เรื่องนี้ด้วย

ประเด็นที่ ๓ บทพรรณนาในคำฉันท์ตอนนางเมรีถึงแก่มรณกรรม มีนัยประหวัดถึงเหตุการณ์ตอนปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้แก่


๏ พระศอแหบแห้ง
สุดสิ้นกระแสง                  
หิวโหยโรยรา พักตราสลดไสล
พักตร์ผิดเผือดไป สิ้นไห้รำพัน
๏ ดังลำกล้วยทอง
อันเกิดในห้อง ฟากฟ้าสวนสวรรค์
มีชายผู้หนึ่ง เข้มขึงแข็งขัน
จิตใจมักกะสัน ฤทธิ์แรงราวี
๏ ได้ดาบคมกล้า
แปลบปลาบเวหา จับแสงสุรีย์ศรี
กวัดแกว่งรำฉวาง เยื้องย่างคระวี
ฟาดฟันกัทลี ขาดเด็จเป็นสิน

ตอนปลายแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเกิด “กบฏแขกมักกะสัน” ขึ้นที่เมืองบางกอก ตามบันทึกของเชวาลิเอร์ เดอ ฟอร์บัง นายทหารฝรั่งเศส ซึ่งเดินทางเข้ามาพร้อมกับคณะราชทูตเมื่อพุทธศักราช ๒๒๒๘ และสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงขอตัวไว้ใช้ในราชการตั้งเป็นขุนนางมีบรรดาศักดิ์ที่ออกพระศักดิ์สงคราม ฟอร์บังได้รับคำสั่งจากราชสำนักให้เป็นผู้ปราบปรามกบฏแขกมักกะสัน พวกกบฏครั้งนั้นมีพฤติการณ์เหี้ยมโหดต่อสู้แบบพลีชีพทำให้กองทหารชาวยุโรปล้มตายลงเป็นอันมาก การที่เรื่องพระรถคำฉันท์กล่าวเปรียบเทียบว่า “จิตใจมักกะสัน ฤทธิ์แรงราวี” นั้นน่าจะแสดงว่า ความร้ายกาจของกบฏแขกมักกะสันยังอยู่ในความทรงจำของกวีผู้แต่ง ดังนั้นคำฉันท์สำนวนนี้จึงน่าจะแต่งขึ้นหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่นานนัก

ประเด็นที่ ๔ คำศัพท์ที่ใช้มีลักษณะร่วมสมัยกับวรรณกรรมเรื่องอื่นๆ ที่แต่งในสมัยอยุธยาเช่น ลาลด เสี่ยมสาร ภัยภิต จรล่ำ เป็นต้น คำศัพท์ดังกล่าวไม่นิยมใช้ในวรรณกรรมที่แต่งสมัยรัตนโกสินทร์

จากสมมุติฐานทั้ง ๔ ประเด็นดังกล่าว ในที่นี้จึงสันนิษฐานว่าเรื่องพระรถคำฉันท์สำนวนนี้น่าจะเป็นวรรณกรรมสมัยอยุธยา

เอกสารสำรับที่ ๒ ได้แก่เอกสารเลขที่ ๑๕ เอกสารเลขที่ ๑๖ และเอกสารเลขที่ ๑๗ เอกสารทั้ง ๓ ฉบับดังกล่าวมีเนื้อความเดียวกัน ไม่มีบทนมัสการตอนต้น

เอกสารเลขที่ ๑๕ เริ่มความตั้งแต่นางเมรีบรรทมตื่นไม่พบพระรถเสน หมดความลงในหน้าสมุดสุดท้าย ตอนพระรถเสนไปถึงอาศรมของพระฤๅษีแล้วลงสรงน้ำในสระว่า


๏ ตริแล้วก็ลงสรง               ในสระแก้ววิเชียรฉาย
ชมเบญจบัวราย ประทุมมาศสลับสลอน ฯะ

เอกสารเลขที่ ๑๖ เริ่มความเหมือนกับเอกสารเลขที่ ๑๕ ดำเนินเรื่องไปจนหมดเล่มสมุดตอนพระรถเสนกลับไปหามารดาและป้ายังอุโมงค์ที่ถูกคุมขังแล้วเล่าความให้นางสิบสองฟังว่าได้รอดชีวิตกลับมาเพราะความช่วยเหลือของนางเมรี

๏ พระสดับพจนารถแสดงคุณ นางหนึ่งสรรพสุน
ทเรศลํ้าสตรี ฯะ

เอกสารเลขที่ ๑๗ ตอนต้นสมุดเป็นตำรายาไทย เริ่มความในคำฉันท์เหมือนกับเอกสารเลขที่ ๑๕ ดำเนินความไปจนสิ้นสมุดเมื่อม้าพาพระรถเสนจากนางเมรีที่ริมฝั่งน้ำไปพักอยู่ที่เชิงเขาใกล้อาศรมของพระฤๅษี

๏ เปลวปล่องช่องภูผา        ศิลาแลมลังเมลือง
แสงแก้วประเทืองเรือง จำรัสรุ่งเจริญตา ฯะ

เรื่องพระรถคำฉันท์ที่ปรากฏในเอกสารสำรับที่ ๒ นี้ เข้าใจว่าเป็นฉบับที่ปรับปรุงแก้ไขสำนวนโวหารจากสำนวนเอกสารสำรับที่ ๑ ทั้งนี้อาจเพื่อต้องการให้ตรงตามบังคับฉันทลักษณ์ตามความเห็นของกวีผู้ปรับแก้และอาจต้องการตัดส่วนที่เยิ่นเย้อในสำนวนแรกออกไปเพื่อให้การดำเนินเรื่องกระชับยิ่งขึ้น คำฉันท์ในเอกสารสำรับที่ ๒ เริ่มต้นด้วยวสันตดิลก ฉันท์ ๑๔ ดังนี้

๏ ป่างนั้นพระนุชวรนาฏ     เยาวราชนฤมล
พลิกฟื้น ธ ตื่นกระบัดก็ยล บ่มิพบพระภัสดา
๏ ทรงกริ่งกระมลจิตรก็โศก วิโยคแสนสหัสสา
หัสปลุกสุรางค์สุรคณา คณะนางบำเรอเรียง
๏ ค้นหาทุกห้องทิศดำกล ทุกไพชยนต์ประเวศเวียง
วังหลวงระลวงกลก็เทียง ทุกถิ่นฐานละลานแด
๏ จุดเทียนประทีปชวาลาส่อง ทุกแห่งห้องบเห็นแห
ไปหาทุกทิศชลแล ชลาเปล่าก็เศร้าใจ
๏ โรงรถแลโรงอัศวคเชนทร์ ที่นเรนทรเคยไคล
บพบประสบพระภูวไนย ทั้งกัณฐัศว์ก็สูญหาย
๏ กลับผังยังองค์พนิดทูล ประมูลแจ้งคดีฉลาย
ค้นหาทุกถิ่นทิศทุกภาย บมิพบพระภูธร
๏ เห็นแจ้งประจักษ์เป็นกลแกล้ง    ธ หากแสร้งมาโลมสมร
สมานแล้วแลละพระนุชจร แลมาพรากไปจากองค์
๏ มิ่งม้าวลาหกอันชาญ ที่นฤบาล ธ เคยทรง
บมิพบประสบพระวรองค์ ธเรศท้าว ธ หนีสูญ
๏ นางท้าว ธ ฟังพจนถ้อย ยุบลสรรพ์สนมทูล
กลุ้มกลัดฤทัยทุมนพูน ทุกขเพียงพิราลัย
๏ บ่ายพักตรทอดทัศนะบน ก็บยลกำพดไชย
โอสถประสิทธิ์ทิพประไพ ทั้งดวงเนตรบเห็นหาย
๏ โอ้โอ้พระยอดเยาวเสน่ห์ มาลวงเล่ห์ด้วยอุบาย
เบื่อแล้วแลละสมรสาย สวาดิไว้ให้โหยหา
๏ เวรใดมาจองจิตประจำ โอ้กรรมใดสนองมา
หมายใจว่าท้าวจะกรุณา ดรุณน้องเป็นทางธรรม์

เนื้อหาคำฉันท์ตอนนางเมรีจะจากเมืองซึ่งในเอกสารสำรับที่ ๑ แต่งเป็นกลบทนาคบริพันธ์ ในคำประพันธ์บทที่ ๑๑๕ - ๑๒๖ นั้น คำฉันท์ในเอกสารสำรับที่ ๒ ได้แก้ไขใหม่โดยไม่คงกลบทไว้ดังนี้

๏ ที่ประพาสร้อนเย็นสำเริง  สำราญบันเทิง
บรรเทาภิรมย์เปรมปรีดิ์
๏ เสียดายสระสวนมาลี เคยประพาสเกษมศรี
ภิรมย์สำราญหฤทัย
๏ เสียดายสระนํ้าเย็นใส ชลหอมเอาใจ
ดังคนธรสรำเพย
๏ มีบุษบงกชกอเกย แย้มกลีบระเหย
กำจัดซึ่งสร้อยเสาวคนธ์
๏ พระองค์เคยสรงสนานชล ชลธีจะร้างหน
กี่เมื่อจะกลับคืนสถาน
๏ เสียดายสนามหน้าพระพลาน ลาดแก้วสูริย์กาญจน์
ดังเทพบรรจงแสร้งสรรค์
๏ เป็นที่ประลองคชกรรม์ สินธพชาติอัน
ทั้งหมู่พลาอสุรี
๏ พระองค์เคยทอดทฤษฎี ด้วยนุชเปรมปรีดิ์
บแหบห่างร้างโฉม
๏ เยียใดพระไม่อยู่โลม ละไว้ให้โทม
นัสเปลี่ยวเปล่าใจ


หัวข้อ: Re: พระรถคำฉันท์ วรรณกรรมร้อยกรองสมัยอยุธยา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 25 มิถุนายน 2564 13:48:53
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/65921157474319_29612_640x480_.jpg)

การปรับแก้ไขสำนวนเรื่องพระรถคำฉันท์ในเอกสารสำรับที่ ๒ นี้ น่าจะทำในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่ต้นฉบับเอกสารสมุดไทยที่พบไม่มีฉบับใดมีเนื้อหาบริบูรณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ (โปรดดูสำเนาต้นฉบับเอกสารเลขที่ ๑๖ ซึ่งพิมพ์เป็นภาคผนวกของหนังสือนี้)

เอกสารสำรับที่ ๓ เป็นเรื่องพระรถคำฉันท์อีกสำนวนหนึ่ง ซึ่งมีเนื้อความต่างจากที่กล่าวมาแล้ว พบต้นฉบับเพียงเล่มสมุดไทยเดียว คือเอกสารเลขที่ ๑๑ มีข้อความในหน้าต้นว่า “หน้าต้นพระรถคำหวนณท่านเอย เล่ม ๑” ตอนต้นเป็นบทนมัสการ เริ่มเนื้อเรื่องตั้งแต่พระรถเสนอยู่กับนางเมรี ม้าพระที่นั่งส่งเสียงเตือนให้รีบออกเดินทาง พระรถเสนจำต้องจากนางไปทั้งยังอาลัยรัก หมดหน้าสมุดลงตรงนางเมรีคร่ำครวญอยู่ที่ริมฝั่งนํ้าตามลำพังว่า


๏ ระทวยทอดฤทัยครวญ กันแสงสวรไม่เสื่อมสร่าง
เหน็บหนาวทั้งสารพางค์ เพียงพินาศบนรถทรง
๏ โอ้แม่มนทามาร ดังจะลาญชีพปลดปลง
เห็นของวิเศษจง นเรศท้าวเธอเอาไป ฯะ

ความต่อจากนี้น่าจะมีอยู่สมุดไทย เล่ม ๒ แต่ไม่พบต้นฉบับ สำนวนโวหารในเรื่องพระรถคำฉันท์หรือพระรถคำหวนสำนวนนี้จัดว่าไพเราะมีคุณค่าทางวรรณศิลป์ แต่ไม่สามารถกำหนดยุคสมัยที่แต่งได้แน่นอน

เรื่องพระรถคำฉันท์ที่พิมพ์อยู่ในหนังสือนี้ประกอบด้วย พระรถคำฉันท์สำนวนที่ตรวจสอบชำระจากเอกสารสำรับที่ ๑ พระรถคำหวนซึ่งตรวจสอบชำระจากเอกสารเลขที่ ๑๑ และสำเนาเอกสารเลขที่ ๑๖ ซึ่งเป็นฉบับหนึ่งในเอกสารสำรับที่ ๒ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ที่สนใจศึกษาได้เห็นความแตกต่างของเรื่องพระรถคำฉันท์ทั้ง ๓ สำนวน


[๑]  นายบุญเตือน ศรีวรพจน์ เรียบเรียง
[๒] ในบทละครครั้งกรุงเก่าว่า “มะงั่วหาวมะนาวโห่” แต่ในคำกลอนที่แต่งครั้งกรุงรัตนโกสินทร์ว่า “มะม่วงหาวมะนาวโห่”


อินทรวิเชียร ฉันท์ ๑๑
[๑] ๏ นโมข้าประนมหัตถ์ โสมนัสสุเบญจางค์
  เหนือเศียรสุบาทาง คชิเนนทรทรงญาณ
[๒] ๏ อันพระองค์เสด็จขจัด ปรปักขเบญจมาร
  นำสัตว์ออกจากสงสาร เข้าสู่ห้องพระศีวา
[๓] ๏ แล้วข้าชุลีกร นวโลกุตรธรรมา
  อันโปรดสัตว์โลกา ให้พ้นภัยอันเดือดร้อน
[๔] ๏ หนึ่งข้าประนมน้อม กฤษดาญชุลีกร
  แก่สงฆสังวร วรพุทธเวไนย
[๕] ๏ ผู้ทรงสำรวมศีล สละบาปให้ขาดไกล
  จำเริญศรัทธาไท ให้สัมฤทธิ์สำราญผล
[๖] ๏ แล้วข้าก็อภิวันท์ วรเทพยเบื้องบน
  แต่พื้นเมทนีดล ตลอดล่วงฉกามา
[๗] ๏ อนึ่งข้าก็บังคม บรมกรุงกระษัตรา
  ผู้ผ่านไอศวรรยา นครเทพยธาตรี
[๘] ๏ แล้วข้าก็อภิวาท บวรบาทชนนี
  พระคุณอยู่เกศี สุดจะร่ำจะรำพัน
[๙] ๏ ทั้งคุณพระบิดา จะพรรณนาก็มหันต์
  สิ่งใดจะเทียมทัน แลจะเท่าก็ไป่มี
[๑๐] ๏ ด้วยเดชข้าประณาม กรนบประนมศรี
  สรรเพชญโมลี แลพระสงฆธรรมา
[๑๑] ๏ ขอจงนฤทุกขแลโศก นฤโรคแลพยา
  ธินินทาครหา จงอย่าได้มาแผ้วพาน
[๑๒] ๏ จะกล่าวนิพันธ์ฉันท์ แสดงโดยอนุมาน
  อันมีในนิทาน วรปัญญาสพาหิรา
[๑๓] ๏ พระรถเรื่องเมรีรัตน์ วรราชชายา
  ชาเยนทรมรณา มรณังริมฝั่งชล ๚ะ
วสันตดิลก ฉันท์ ๑๔
[๑๔] ๏ ปางยอดเยาวมาลย์วิมลมาศ สมรมั่งผู้นฤมล
  สร่างหายได้สติสมประฤดีดล นางเขยื้อนขยับกาย
[๑๕] ๏ ยอกรก่ายกรกระหวัด บปะหัตถ์ก็เห็นหาย
  วาบจิตดั่งใครปลิดชีวาวาย ตระบัดตื่นจากแท่นทอง
[๑๖] ๏ เหลือบเล็งเพ่งพิศพระวรพักตร์ ไม่ประจักษ์ก็มลหมอง
  ดังใครเด็ดเอาดวงหทัยปอง ไปจากกายทำลายลาญ
[๑๗] ๏ ทรงพระกริ้วกระมลก็โศก วิโยคด้วยภูบาลชาญ
  ปลุกนางสนมอนงคบริพาร บริภาษสำเนียงเพียง
[๑๘] ๏ นางดีดแลสีซอคนก็ขับ บ้างหลับทับประเอนเอียง
  ฉับฉิ่งพริ้งเพราะเสนาะกลพิณเพียง ที่จำเรียงบำรุงนาง [๑]
[๑๙] ๏ ลางหลับละเมอเพ้อจิตละไล บ้างก็ไห้คระหึมคราง
  แว่วเสียงพระยาวราชอนุชนาง ก็ต่างตื่นตะลึงลาน
[๒๐] ๏ ค้นหาทุกแห่งห้องทิศตำบล ทุกไพชนตชัชวาล
  สนามน้ำฉนวนชลสนา ตำหนักน้ำสระสรงองค์
[๒๑] ๏ บพบพระผู้พงศขัตติย์นเรศ เฉลิมเกศอนงค์ยง
  ก็กลับคืนยังนิเวศพระเวียงวง ตำหนักนางที่ปรางค์จันทน์
[๒๒] ๏ เผยรูดพระวิสูตรสุวรรณประหวัด จรัสแจ่มจรูญจรัล
  ส่องแสงสว่างศรีรวิวรรณ ไม่พานพบพระภูธร
[๒๓] ๏ จุดเทียนประทีปก็ชวนกันส่อง ทั่วแห่งห้องบนบรรจถรณ์
  ที่เกยแก้วกาญจนกุญชร ไม่เห็นโฉมประโลมแด
[๒๔] ๏ รองวังพระนิเวศรวรตำหนัก ไม่พบพักตร์ก็ผันแปร
  หาทั่วทุกทิศชลชแล ชลาเปล่าก็เศร้าใจ
[๒๕] ๏ โรงรถคชอัศวคเชนทร์ ที่นเรนทร์เธอเคยไคล
  ค้นหามิพบพระภูวไนย ทั้งมิ่งม้าก็สูญหาย
[๒๖] ๏ กลับคืนชุลีกรบังคมทูล ประมูลแจ้งคดีสาย
  ข้าหาทุกทิศแลทุกภาย บพิพบพระภูธร
[๒๗] ๏ เห็นแท้ประจักษ์เป็นกลแกล้ง ฤาท้าวแสร้งมาโลมสมร
  สมานแล้วดังฤๅมาเจียรจร นิราศร้างไปจากองค์
[๒๘] ๏ ม้ามิ่งมงคลอัศวชาญ ที่นฤบาลเธอเคยทรง
  สูญแล้วบเห็นบวรองค์ ธิบดินทร์ ธ หนีสูญ
[๒๙] ๏ นางท้าว ธ ได้สวนาวัจนสดับ พจนศัพท์ประมวลมูล
  กลุ้มกลัดมนัสหัทยพูน ทุกขเพียงประลาญลัย
[๓๐] ๏ บ่ายเบือนพระพักตร์ทัศนบน ก็มิยลกำพดไชย
  โอสถบปรากฏทิพยประไพ ทั้งดวงเนตรบเห็นโทม
[๓๑] ๏ โอ้โอ๋พระยอดวรเสน่ห์ มาลวงเล่ห์ประลองโลม
  ลาแล้วนิฤๅพระมาร้างโฉม สวาดิไว้ให้โหยหา
[๓๒] ๏ เวรใดมาจองจิตมาจำ โอ้กรรมใดนิราศา
  หมายใจว่าท้าวจะกรุณา ดรุณน้องเป็นทางธรรม์
[๓๓] ๏ บัดนี้ไป่เหมือนประหนึ่งว่าหมาย มาหน่ายรักไปจากกัน
  จะร้างจรจะแรมนิราขวัญ ชีวันน้องเพียงสิ้นชนม์
[๓๔] ๏ ทั้งนี้เป็นต้นเพราะกลอัสดร มันก่อก่อนจึ่งจำดล
  พาท้าวประเวศจรจากมณ เฑียรที่ก็ดูดาย
[๓๕] ๏ อกเอ๋ยจะอยู่ไปเยียไฉน ให้ชนไพครหาหาย
  โหยไห้กระทุ่มกรก็ฟาย ชลเนตรนัยน์นอง
[๓๖] ๏ ทุ่มทอดพระอรองคลงกลาง ระหว่างราชเรือนทอง
  สาวสนมบังคมกรประคอง ประเคียงข้างเข้าโลมลวน
[๓๗] ๏ อ้าแม่อย่าโศกปริเทวนัยน์ จะร่ำไห้จะหมองนวล
  โศกนักเกลือกจักทุกขรัญจวน ประชวรแล้วจะเสียความ
[๓๘] ๏ ควรเราจะคิดกลอุบาย จะยักย้ายไปติดตาม
  ชุมพลพหลสกลคาม พิริย์จัตุรงค์เนืองนันต์
[๓๙] ๏ น่าจะพบประสบเป็นแม่นแท้ พระแม่เจ้าอย่าโศกศัลย์
  มนุษย์ฤๅจะหนีฤทธิเราทัน ด้วยพลยักษเนืองเนา
[๔๐] ๏ นางท้าวได้สวนาพจนถ้อย ทุกขถอยลงบางเบา
  เห็นชอบจึ่งตอบพจนเสา วนีย์นางให้เร่งพล
[๔๑] ๏ อย่าช้าจงฆาตไชยเภรี อันเป็นที่ประชุมชน
  ยักษาวราฤทธิคำรน คำรามรับพระบัญชา ๚ะ
ฉบัง กาพย์ ๑๖
[๔๒] ๏ เอิกเกริกเร่งกันโกลา โกลีสหัสสา
  กระบัดกระทุ่มเภรี
[๔๓] ๏ เภรากึกก้องเสียงสีห์ สหัสแสนเสนี
  อเนกมากก่ายกอง
[๔๔] ๏ พลมารตรับฟังเสียงกลอง       ผกผาดผันผยอง
  ระเห็จระหันเหิรหาว
[๔๕] ๏ ลางมารตาเติบกาววาว ขบเขี้ยวฟันขาว
  คระเครงคระครื้นสำแดง
[๔๖] ๏ ลางมารทะมึดเมฆทะมัดทะแมง     ตาเหลือกเกลือกแขง
  กระลอกกระลับน่ากลัว กำยำโตตัว
[๔๗] ๏ ลางหมู่ดูพิลึกสยองหัว กำยำโตตัว
  ก็เต้นเข้าถอนต้นตาล
[๔๘] ๏ ฉับไวโดยใจขุนมาร สามต้นบมินาน
  เข้าบิดตระบัดเป็นตระบอง
[๔๙] ๏ เผ่นโผนโจนด้วยกำลอง กำลังฤทธิ์ปอง
  จะปราบให้ย่นจนอินทร์
[๕๐] ๏ คำแหงห้าวเหี้ยมโหดหิน คล้ายฤทธิ์ขุนอิน
  ทรชิตบุตรเจ้าลงกา
[๕๑] ๏ ลางเหล่าแลพิฦกเหลือตรา แสร้งแปลงรูปา
  เป็นเสือคระหึมครึมเสียง
[๕๒] ๏ บ้างเป็นสิงหราชไกรเกรียง ร้องก้องสำเนียง
  สะท้านสะเทือนธรณี
[๕๓] ๏ สิงสัตว์แดนดงพงพี ลุกล้มแล่นลี้
  ละล้าละลังลนลาน
[๕๔] ๏ ต่างตนต่างรณฤทธิราญ ฮึกเหี้ยมห้าวหาญ
  ประหาตประหัตศัตรู
[๕๕] ๏ ลางมารสังวาลคืองู พันโพกเศียรดู
  พิฦกเสียวสยดแสยง
[๕๖] ๏ กรกุมหอกถือเท้งแทง ไม่ระย่อต่อแย้ง
  จะแยงจะยุทธสุริยา
[๕๗] ๏ ลางหมู่มุหงิดมฤจฉา โถมถีบภูผา
  ตระเพิ่นตระพังจักรวาฬ
[๕๘] ๏ ง้างหินเหาะระเห็จทะยาน ฟ้าผ่าทะลักทลาย
  ทะลุถล่มแหลกลง
[๕๙] ๏ ดั่งเสียงอสุนีฟาดสาย ฟ้าผ่าทะลักทลาย
  ทะลุถล่มแหลกลง
[๖๐] ๏ เพื่อนกันตกใจไม่ดำรง แล่นถลาล้มลง
  กระทบประทะกันอึง
[๖๑] ๏ บ้างล้มพะพาดกันผึง ผ้าลุ่ยแลลึงค์
  ก็ล่อนก็แล่นโล่งแล
[๖๒] ๏ ชายหญิงวิ่งอออึงแอ เบียดเสียดเซ็งแซ่
  บ้างตี่นตระลึงแลดู
[๖๓] ๏ ยังยักษ์ตนหนึ่งหางหนู เชิดขวานหมูชู
  แล้วร้องอิไหล้หลังกัน
[๖๔] ๏ ขบเขี้ยวเคี้ยวเขี้ยวขบฟัน ขี่หมูเขี้ยวตัน
  สำแดงนุภาพเดโช
[๖๕] ๏ ตัวกูมีฤทธิ์อิศโร ทรงอานุภาโว
  ไปปราบสุกรบอนเบือ
[๖๖] ๏ พลมารลางตนชาวเหนือ ทรหดล้นเหลือ
  แล้วกุมอิเหน็บแกว่งไกว
[๖๗] ๏ ร้องถามภาษาเกือไก๋ ล้มสุกรกินไก่
  อาพัดสุราเคี้ยวชาม
[๖๘] ๏ขันฤทธิ์อวดฤทธิ์ติดตาม ท้นเข้าบมิขาม
  อิเหน็บจะแทงพุงทะลุย
[๖๙] ๏ ขุนหนึ่งชาวละครรำซุย ขนเคราเพราพรุย
  เป็นรกเป็นรอบขอบอก
[๗๐] ๏ ขัดฟันงอนงอนคือกระจก ชูกเลหวังยก
  แล้วร้องโนแนแค่ไหน
[๗๑] ๏ภูมีหนีเมรีไป กูจะอาสาไท
  จับท้าวจะเอารางวัล
[๗๒] ๏ลำพองลองฤทธิ์มหันต์ ตัวเติบโตตัน
  สองตาเท่าดวงอาทิตย์
[๗๓] ๏ ล่ำไหล่มูทูมุหงิด กุมตระบองแบกบิด
  ตระบัดเป็นเพลิงโพลงพลาม
[๗๔] ๏ ขบเขี้ยวกรีดเกรี้ยวเคี้ยวกราม คิ้วย่นขนสยาม
  สยางสยุมสยองผม
[๗๕] ๏ ตาปลิ้นลิ้นแลบร้องระงม โถมถลายิ่งลม
  พยุหพัดเพชรหึง

โปรดติดตามตอนต่อไป


หัวข้อ: Re: พระรถคำฉันท์ วรรณกรรมร้อยกรองสมัยอยุธยา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 06 กรกฎาคม 2564 17:58:09
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/65921157474319_29612_640x480_.jpg)

[๗๖] ๏ ขุนหนึ่งดูถมึงคึง ล่ำทู่ดูทะมึง
  ทะมัดทะแมงมั่นหมาย
[๗๗] ๏ ลไพร่ไล่จับมฤคควาย กินเล่นเป็นสบาย
  ได้ยินสำเนียงเสียงกลอง
[๗๘] ๏ โผโผนโจนหันผันผยอง สูงสามโยชน์ปอง
  เข้าง้างเอาเขาพระสุเมรุ
เข้าง้างเอาเขาพระสุเมรุ [๗๙] ๏ เทพดาระอาฤทธิ์ระเนน กลัวฤทธิ์ขุนเกรน
  ก็แล่นออกขอบจักรวาฬ
[๘๐] ๏ พื้นพวกพหลพลมาร กราดเกรี้ยวเกณฑ์การ
  สกอสกรรจ์กำแหง
[๘๑] ๏ ลางตนรณฤทธิ์ราญแรง เรืองเดชขันแขง
  จะปลิดเอาเดือนดาวราย
[๘๒] ๏ บ้างทำสิงหนาทหลากหลาย โผนผกยกกาย
  จะป่ายจะปล้นสุริโย
[๘๓] ๏  สุริยาเพียงปราชัยโช เรืองฤทธิ์วโร
  อานุภาพปราบสงคราม
[๘๔] ๏ ลางเหล่าแลบลิ้นเพลิงลาม กลั่นแกล้วกลางสนาม
  จะเข่นจะเคี้ยวศัตรู
[๘๕] ๏ พลมารพรึบพร้อมพรั่งพรู เพียบพื้นธรณู
  ธรณีเพียงจะลัยลาญ
[๘๖] ๏ อาวุธถ้วนมือขุนมาร กึกก้องเกณฑ์การ
  บรู้กี่โกฏิไตรตรา
[๘๗] ๏ ต่างต่างแข็งขันอาสา สำแดงเดชา
  ตรลบข้างพื้นทิฆัมพร
[๘๘] ๏ เสร็จแล้วเรียบเสนากร พลมารแลสลอน
  สะพรั่งสะพร้อมเตรียมกัน
[๘๙] ๏ ฝ่ายนาฏมหิษีดวงจันทร์ บมิสรงชลสุคันธ์
แต่ทรงพระโศกแสนทวี [๙๐] ๏ พร้อมเสร็จนางเสด็จจรลี จึ่งมีเสาวนีย์
  ให้หาซึ่งพฤฒาจารย์ ๚ะ
สัททุลวิกกีฬิต ฉันท์ ๑๙
[๙๑] ๏  โหรเฒ่าก้มเกล้าประนมกรกราบกราน    
  นางจึ่งศุภสาร โหรา
[๙๒] ๏ เราจะกรีพลบาตรบ่ายบทจรคลา
  ไคลตามพระภัสดา ไฉน
[๙๓] ๏  พฤฒาทูลประมูลอรรถแจ้งคดีไข
  ฤกษ์ดีสวัสดิไป จะทัน
[๙๔] ๏ แต่ท้าวไม่กลับคืนคงสถิตยเหมือนพระทัยฝัน    
  ฝ่ายแม่จะไห้ศัลย์ ละลาน
[๙๕] ๏ พระเคราะห์ร้ายนักแม่จะมุ่งบมิเป็นการ
  ปิ้มชีพลัยลาญ อย่าจร
[๙๖] ๏ ป่างโพ้นข้าก็พร่ำกล่าวคำทูลชะอ้อนวอน
  แม่บ่เออมาราญรอน กำจาย
[๙๗] ๏ บัดนี้สิเหมือนคำข้าพฤฒาแกล้งทาย
  แม่ท้าวจะผันผาย จะลาญ
[๙๘] ๏ นางสดับพจนศุภถ้อยคดีสาร
  แม้ชีพลัยลาญ ก็ตาม
[๙๙] ๏ จะอยู่เยียไฉนมาได้ทุกขเหลือลาม
  ปากคนจะหยันหยาม ประจญ
[๑๐๐] ๏ เป็นตายแต่พอได้พบประสบบวรบาทยุคล
  แม้ชีพสุดสกนธ์ บคิด
[๑๐๑] ๏ ตรัสพลางนางเร่งพหลสกลวิวิธ
  ล้วนมารอันเรืองฤท ธิรณ ๚ะ
ฉบัง กาพย์ ๑๖
[๑๐๒] ๏ เมื่อนั้นวรราชนฤมล นฤมาณเรียบพล
  ก็พร้อมประดับสรรพสรรพ์
[๑๐๓] ๏ จึ่งมีเสาวนีย์แถลงพลัน แก่ขุนสิทธิกรรม์
  อันรู้กระบวนเกณฑ์การ
[๑๐๔] ๏ ท่านผู้ทรงเวทเชี่ยวชาญ คุมพลมารหาญ
  ไปตามจงทันจุมพล
[๑๐๕] ๏  ทันแล้วพาท้าวจรดล คืนสู่พระมณ
  เฑียรราชนิเวศวังเรา
[๑๐๖] ๏ ม้าร้ายทรยศหยักเหยา อย่าไว้จงเอา
  ประหารชีวิตให้ลาญ
[๑๐๗] ๏ ขบเคี้ยวกินเป็นอาหาร มันทำรำคาญ
  ลำเคืองให้เลื่องฦๅขจร
[๑๐๘] ๏ สิทธิกรรม์ก้มเกล้าถวายกร รับพจนสุนทร
  ให้เคลื่อนพหลโยธา
[๑๐๙] ๏ ฝ่ายองค์อัคเรศชายา เสด็จสู่เลียงผา
  สุรางคล้อมรายเรียง
[๑๑๐] ๏ น้องท้าวเสด็จคลาดจากเวียง วังเย็นสงัดเสียง
  วิเวกหวาดหวั่นทรวง
[๑๑๑] ๏ ทรงโศกโทมนัสแดดวง พระทัยเป็นห่วง
  ไปแล้วมิกลับมาเห็นวัง
[๑๑๒] ๏ แสนโศกรุมรึงหน้าหลัง โอ้เอ็นดูวัง
  นิราศร้างแรมโรย
[๑๑๓] ๏ ที่สุขจะกลับทุกข์ร่ำโหย รี้พลจะร่วงโรย
  บ่มีพฤนทโยธา
[๑๑๔] ๏ เสียดายปรางค์มาศรจนา สัตตรัตน์รมยา
  มณีวิจิตรดำเกิง
[๑๑๕] ๏ ที่นั่งร้อนที่นั่งเย็นสำเริง สำราญบันเทิง [๒]
  บรรเทาภิรมย์เปรมปรีดิ์
[๑๑๖] ๏ เปรมปราสองสุขเกษมศรี ศรีสวัสดิควรนี
  นีราศร้างแรมไกล
[๑๑๗] ๏ ไกลทั้งสระแก้วน้ำใส ใสสุทธิอำไพ
  ไพบูลย์ดั่งแก้วแพรวพราย
[๑๑๘] ๏ พรายเพริศสัตตบงกชหลาย หลายเล่ห์กำจาย
  กำจรตรลบเสาวคนธ์
[๑๑๙] ๏  เสาวภาคย์เคยสรงสนานชล ชลเอ๋ยจะร้างหน
  หนใดจะกลับคืนสถาน
[๑๒๐] ๏ สถานที่พิจิตรหน้าพระลาน ลานเลี่ยนสุริย์กานต์
  สุริยาจำรัสรังสรรค์
[๑๒๑] ๏ สรรค์แสร้งแกล้งไว้เฉลิมขวัญ ขวัญเมืองจรัล
  จะรานิราศร้างศรี
[๑๒๒] ๏ สีทองก็หมองเป็นราคี ราคินเศร้าศรี
  สีแก้วบแววเห็นโฉม
[๑๒๓] ๏  โฉมเฉลิมบพิตรอยู่โลม โลมแล้วจะร้างโฉม
  โฉมสวัสดิไว้อยู่แห่งใด
[๑๒๔] ๏ ใดเอ๋ยแม้นรู้จักไป ไปแล้วมิได้
  มิได้ไม่กลับคืนวัง
[๑๒๕] ๏ วังเวงวิเวกสงัดเสียงสั่ง ดั่งหมู่ชนัง
  ชนานิกรนรชน
[๑๒๖] ๏ ชนจงอยู่สุขสถาผล สถาพรอำพน
  ผ่องแผ้วดังแก้วแกมกาญจน์
[๑๒๗] ๏ เราไซร้บมิได้คืนสถาน โอ้แสนศฤงคาร
  แต่นี้จะเปล่าเปลี่ยวใจ
[๑๒๘] ๏ สาวสนมกรมนางนอกใน ฟังสารลานใจ
  ระทดระทวยโศกา
[๑๒๙] ๏ กรฟายอัสสุชลธารา เอ็นดูชายา
  ชาเยนทร์มาเศร้าโศกศรี
[๑๓๐] ๏ ครวญพลางนางเร่งจรลี ถึงสร้อยสระศรี
  สโรชพิศาลโสภณ
[๑๓๑] ๏  โกมุทบุษบันอุบล เบิกสร้อยเสาวคนธ์
  ขจรเลวงเวหา
[๑๓๒] ๏ ภาคพื้นรื่นราบรจนา เรี่ยรายพาลุกา
  คือแก้ววิเชียรโรยรอง
[๑๓๓] ๏ พราวพราวพรายพรายใสส่อง จับพักตร์ละออง
  ลออจำรัสรัศมี
[๑๓๔] ๏ ภุมราภุมรีหวี่หวี่ เอารสเกสรี
  เข้าเฟ้นเข้าฟั้นฟานฟอน
[๑๓๕] ๏ เกสินสิ้นซาบเกสร ภุมรินบินจร
  ไปจากบุปผาราโรย
[๑๓๖] ๏ เหมือนอกเมรีนี้โดย กินทุกข์กอบโกย
  ระกำด้วยท้าวเธอจรหาย
[๑๓๗] ๏ เหลือบแลแปรพักตร์ผันผาย เล็งยลชลสาย
  บริสุทธิคือแก้วแพรวพรรณ
[๑๓๘] ๏ นานามัจฉคณะต่างพันธุ์ เคล้าคู่เคลียกัน
  บ้างแอบใบบัวบังบัว
[๑๓๙] ๏ ตะเพียนทองท่องท้องแปลนตัว เป็นคู่เมียผัว
  แลว่ายคคลายฝั่งแฝง
[๑๔๐] ๏ ปลากระโห้กระแหหางแดง ปลากระดี่หนีแหนง
  เข้าแฝงริมฝั่งเล็มไคล
[๑๔๑] ๏ ปลาหลดหลิดหลา สลุมพรเวียรไว
  ดสลามไหล
[๑๔๒] ๏ ทุกังตะโกกกดอินทรี แปลงปลักหมอมี
  เขมาขมองโกรยกราย
[๑๔๓] ๏ ยี่สนสร้อยซ่าซิวสวาย ตระลุมพุกแล่นผาย
  เทโพเทพาหางแพน
[๑๔๔] ๏ คางเบือนหาเพื่อนแล่น แก้มชํ้าคล้ำแคลนแปลน
  ไปหาปลาหมอหมอดู
[๑๔๕] ๏ปลาแมวปลาม้าปลา ปลาเสือสู่รูหมู
  เข้าแฝงริมฝั่งพ่นฟอง
[๑๔๖] ๏ โลมาราหูผันผยอง โลดแล่นลำพอง
  ตระผากประพากไยไพ
[๑๔๗] ๏ปลาเล็กแล่นแปลนปลา หลดขุดโคลนไคลใหญ่
  ตระบัดปลาอื่นตื่นตอม
[๑๔๘] ๏ ปลาพรมปลาพรามตาม ปลาเป้าแป้นปลอม
  เข้าปนระคนผายผัน
[๑๔๙] ๏ นานาวิหคาหลากพันธุ์ สุรเสียงจำนรรจ์
  จะแจ้วจ้อจับสลับสรลอน
[๑๕๐] ๏ คู่เคียงเมียงม่ายเมียจร ฉวยฉาบคาบเกสร
  ละอบละเอิบอาบชล
[๑๕๑] ๏ ลอยกลาดเกลื่อนกลีบโกมล เลวงรสเสาวคนธ์
  เสาวคันธหอมโหยหวน
[๑๕๒] ๏ ฉุนชื่นฤทัยอนงค์นวล ประหวัดคิดจิตหวน
  ถึงองค์พระยอดสวามี
[๑๕๓] ๏ น้องเคยพาท้าวจรลี โอ้พระนฤบดี
  มาหนีนุชน้องเร่งจร
[๑๕๔] ๏ กลิ่นพระแก้วคล้ายกลิ่นเกสร เคยแนบนุชนอน
  ยังติดอุระเมียมา
[๑๕๕] ๏ นางเร่งทรงโทมนัสา พลางทอดทัศนา
  พระเนตรเหลือบเล็งยล
[๑๕๖] ๏ เห็นโศกริมสระสาชล สาขากิ่งกล
  ร่มรกประปรกครึมคลุม
[๑๕๗] ๏ ชื้อชิดใบชัฏชรอุ่ม ก้านกิ่งเข้าประชุม
  เป็นฉัตรระบายเบญจรงค์
[๑๕๘] ๏ ภูมิภาคผ่องแผ้วบมีผง คลีที่จะลอยลง
  จังหวัดนั้นร่มรื่นสบาย
[๑๕๙] ๏ วายุพัดโบกโบยใบระบาย เหมือนจะกวักกรกราย
  ให้นั่งสำราญชวนเชิญ
[๑๖๐] ๏ นางหงส์ส่งเสียงหวนเหิร เสนาะฟังพลางเพลิน
  บรรเลงดังเพลงขับสวรรค์
[๑๖๑] ๏ นกหกร่อนร้องเรียงรัน เคล้าคู่เคลียกัน
  จะจ้อจะแจ้วเจรจา
[๑๖๒] ๏ นกแก้วจับกิ่งกรรณิการ์ เปล้าจับเปล้าหา
  สามีบเห็นก็โหยหวน
[๑๖๓] ๏ รังนานจับไม้นางนวล เขาจับข่อยครวญ
  แล้วส่งสำเนียงขันคู
[๑๖๔] ๏ จากพรากพรากคู่เหมือนตู เอองค์เดียวดู
  บมีเพื่อนพร้องสองสม
[๑๖๕] ๏ มีแต่หมู่นางนักสนม ไป่ชื่นชูชม
  เหมือนโฉมพระยอดยาใจ
[๑๖๖] ๏ หอมกลิ่นภูษาผ้าสไบ ฉุนชื่นหฤทัย
  ประทับประแทบกับถัน
[๑๖๗] ๏ แว่วเสียงสาลิกาจำนรรจ์ พระทัยสำคัญ
  ว่าเสียงภูมินทร์เสด็จมา
[๑๖๘] ๏ เหลือบแลแปรพระพักตรา บ่ประสบราชา
  ชายายิ่งโศกแสนทวี
[๑๖๙] ๏ รีบเดินเมิลมุขรุกขี จำปาจำปี
  ประยงค์ประยอมแย้มยวน
[๑๗๐] ๏ สายหยุดพุทธชาติโชยชวน ดูกกล่ำลำดวน
  ฤดูระดะดอกดวง

โปรดติดตามตอนต่อไป


หัวข้อ: Re: พระรถคำฉันท์ วรรณกรรมร้อยกรองสมัยอยุธยา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 12 กรกฎาคม 2564 14:52:42
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/65921157474319_29612_640x480_.jpg)

[๑๗๑] ๏ อินจันผลพลับพลองพลวง อัมพาพัวพวง
  จะย้อยจะยานโยนเยน
[๑๗๒] ๏ หว้าหวายสวาดก้านพุมเสน ต้องลมเอนระเนน
  ระโน้มก็น้อมไปมา
[๑๗๓] ๏ รุกขชาติดุจมีวิญญาณ์ เหมือนจะถามพระยุพา
  ยุพินนี้ตรอมเพื่อใด
[๑๗๔] ๏ สงสารวรนุชสุดสมัย เทพยสิงไม้ไทร
  ก็พลอยการุญเทพินทร์
[๑๗๕] ๏ คิดคิดจะใคร่อุ้มเมริน ไปสมภูมินทร์
  พระรถอันเรืองภุชพล
[๑๗๖] ๏ เทพยไทรใคร่ดูโดยกล แจ้งในญาณยล
  ว่านางจะถึงกาลกรรม
[๑๗๗] ๏ กูไซร้ไม่ควรจะนำ เทพยเจ้าแต่รำ
  พึงแล้วก็เสด็จสิงไทร
[๑๗๘] ๏ ฝ่ายองค์อัคเรศวิไล เสด็จจรคลาไคล
  ประทับที่สระขวาพลัน
[๑๗๙] ๏ นางมีเสาวนีย์รำพัน โอ้แต่นี้นับวัน
  สวนขวัญจะรกแรมรา
[๑๘๐] ๏เสียดายผลไม้นานา มังคุดมุดสีดา
  ตระขบตระเคียนแคคาง
[๑๘๑] ๏ ปริกปรงเปรียงปริงปรูปราง กรูดกรดไกรกร่าง
  สล้างเสลาหลากหลาย
[๑๘๒] ๏ อัมพาผลพะวาหว้าหวาย ขานางย่างทราย
  สะเดากระโดนโคนเคียง
[๑๘๓] ๏ ดูกดันกระทังหันหาดเหียง ร่มรักรังเรียง
  เหมีอนรักมาร้างแรมรา
[๑๘๔] ๏ ชมชวนรสเร้ามาลา มาลัยจำปา
  จำปีประยงค์หอมขจร
[๑๘๕] ๏ รวยรื่นรสเร้าเกสร ภุมราเวียนจร
  เอารสตรลบอบอาย
[๑๘๖] ๏ บุนนากรสเร้าโชยชาย วายุพัดพาย
  รำเพยซึ่งกลิ่นรวยริน
[๑๘๗] ๏ นางเร่งรันทดมโนถวิล คิดถึงภูมินทร์
  ครั้นแล้วก็เคลื่อนพลจร
[๑๘๘] ๏ หัวหน้าเคลื่อนคลาพลสลอน เรืองฤทธิราญรอน
  สำแดงนุภาพเดชา
[๑๘๙] ๏ โลดโผนโจนถีบภูผา รุกโรมโถมถา
  ครครึกครเครงครางเสียง
[๑๙๐] ๏ ไม้ไหล้ลู่ล้มเอนเอียง อึงอื้อสำเนียง
  สนั่นดังฟ้าฟาดสาย
[๑๙๑] ๏ สิงสัตว์จัตุบาทหลากหลาย แรดช้างกวางทราย
  ระเนนพินาศดาษดิน
[๑๙๒] ๏ ผงคลีกลบกลุ้มปัฐพิน ชรอุ่มแสงทิน
  กรจรดบดบัง
[๑๙๓] ๏ ลั่นฆ้องหึ่งหึ่งโห่ประนัง เพียงจักรพาฬพัง
  พิภพทำลายแหลกลง
[๑๙๔] ๏ ตั้งริ้วเรียงรายไสวธง โบกสะบัดถวัดวง
  ไสวสว่างคัคนานต์
[๑๙๕] ๏ พื้นทหารฮักเหี้ยมห้าวหาญ โยนตาวเต้นทะยาน
  ไม่ท้อขยาดศัตรู
[๑๙๖] ๏ พลมารเพรียกพร้อมพรั่งพรู ติดตามพระภู
  ธรไกรสมเด็จภูมินทร์
[๑๙๗] ๏ คล้ายคล้ายเคลื่อนพหลพลพฤนท์ ลัดลอดเมฆิน
  ละลับละลิ่วแลลาน
[๑๙๘] ๏ สิทธิกรรม์รีบรันพลมาร โผโผนโจนทะยาน
  เช้ากลุ้มรุมรบราชา ๚ะ
อินทรวิเชียร ฉันท์ ๑๑
[๑๙๙] ๏ ป่างนั้นบรมนเรศ บรเมศอิศรา
  อิศรภาพมหา เธอบ่หลบบ่หลีกภัย
[๒๐๐] ๏ ทรงทอดซึ่งโอสถ อดิเรกเกรียงไกร
  ตระบัดเป็นเปลวไฟ ลุกลามไหม้ทั่วหาวหน
[๒๐๑] ๏ สิทธิกรรม์เพื่อนทรงเวท อันเรืองเดชด้วยทิพมนตร์
  แก้ได้บัดเดี๋ยวดล แลเพลิงนั้นก็หายแสง
[๒๐๒] ๏ ตระบัดเป็นลมฝน พยุพัดจรัดแรง
  เมฆหมอกออกกลุ้มแสง ชรอุ่มชรอ่ำเย็น
[๒๐๓] ๏ หนาวเหน็บสะท้านทั่ว แลมืดมัวมิแลเห็น
  ขนสยองแสยงเย็น อรุ่มรอบทั้งคัคนานต์
[๒๐๔] ๏ ขุนยักษ์ก็ผันผาย ด้วยกลแก้ชำนาญชาญ
  ลมฝนบทนทาน ทั้งเมฆมืดก็เหือดหาย
[๒๐๕] ๏ เร่งรีบติดตามไป บ่มิได้จะคลาดคลาย
  พระองค์จึ่งโปรยปราย ซึ่งห่อยาอันสำคัญ
[๒๐๖] ๏ ผุดเป็นคิรีเรียง สัตตรัตนานันต์
  อเนกอนันต์ครัน ทั้งเจ็ดชั้นคิรีศรี
[๒๐๗] ๏ เป็นฝั่งฟากทั้งสองข้าง ระยะทางนัทีมี
  เต่าปลาย่อมราวี อเนกพ้นจะสังขยา
[๒๐๘] ๏ แม้ว่าใครจะทรงเวท อันเรืองเดชมหิมา
  บ่มิอาจจะข้ามสา คเรศนั้นก็ป่วยปอง
[๒๐๙] ๏ อสุราทั้งหลายเห็น ดูพิฦกสยดสยอง
  แสยงเกล้าโลมังพอง ระทวยระทดสลดใจ
[๒๑๐] ๏ สุดรู้ก็สุดฤทธิ์ สุดที่คิดจะแก้ไข
  สุดที่จะข้ามไป ก็สุดสิ้นกำลังโดย
[๒๑๑] ๏ บ้างก็ล้มกับฝั่งแฝง สุดสิ้นแรงก็ราโรย
  บ้างก็ไห้ละห้อยโหย อาหารทอนกำลังลง
[๒๑๒] ๏ นางสนมบ่เคยยาก มาลำบากด้วยเดินดง
  บุกป่าพนาระหง ทุเรศกว้างหนทางไกล
[๒๑๓] ๏ บาทาก็พุพอง ระบุหนองโลหิตไหล
  หนามเหนี่ยวเกี่ยวสไบ สะบัดพลัดจากกายพลัน
[๒๑๔] ๏ บ้างก็เหนี่ยวเกี่ยวเผ้าผม เปิดผ้าห่มจนเห็นถัน
  พักตร์ผ่องดังผลจัน บ่รู้สึกว่าความอาย
[๒๑๕] ๏ ฝ่ายนาฏพระเทพี ต้องแสงศรีพระสุริย์ฉาย
  พักตร์เฉกศศิหมาย มาเศร้าสร้อยสลดลง
[๒๑๖] ๏  อาหารบ่พานพบ แต่ปรารภกันแสงทรง
  โศกไห้ระทวยองค์ ประทับแทบชลาลัย
[๒๑๗] ๏ เห็นองค์พระทรงภุช เธอยืนหยุดมโนมัย
  เหนือเงื้อมชะง่อนไศล สละแล้วบ่เป็นการ
[๒๑๘] ๏ จึ่งกล่าวมธุรส พจนารถสำเนียงหวาน
  เชิญเสด็จพระภูบาล มาปกเกล้าบำรุงครอง
[๒๑๙] ๏ โทษน้องบ่มีผิด ฤๅบพิตรมาควรปอง
  หนีหน้านิราศน้อง นุชนี้ก็ดูดาย
[๒๒๐] ๏ เชิญพระมาดับโศก วิโยคให้วายคลาย
  เคลื่อนแล้วจงผันผาย กิจนั้นไป่เคืองควร ๚ะ
วสันตดิลก ฉันท์ ๑๔
[๒๒๑] ๏ พระได้เสาวนาวรสดับ สุรศัพท์สำเนียงนวล
  โหยไห้รันทดจิตรัญจวน อุระร้อนดังเพลิงผลาญ
[๒๒๒] ๏ โอ้โอ้เอ็นดูวรวิไล ประไพภาคยเพ็ญพาล
  ผ่องพักตรเพียงศศินวาร บูรณ์แจ่มในเมฆัง
[๒๒๓] ๏ หาไหนจะได้เหมือนเยาวรูป พระวิลาสเลขัง
  เลขาพระนุชรจนัง รจนาไม่ปานปูน
[๒๒๔] ๏ แม้กูมิตอบวัจนถ้อย พระน้องน้อยจะเศร้าสูญ
  เสียดายสวัสดิ์วรวิบูลย์ วิมานฟ้าไม่เทียมสอง
คิดแล้ว ธ จึ่งกล่าวมธุเรศ [๒๒๕] ๏ แก่ชาเยศประโลมลอง
  อ้าแม่อย่าโศกสุชลนอง ณ ท่าน้ำลำเนาเขา
[๒๒๖] ๏ อ้าแม่อย่าศัลย์จิตวิโยค ระงับโศกแต่บางเบา
  เรียมฤๅจะร้างให้นุชเนา อรัญเวศแต่เดียวขนาง
[๒๒๗] ๏ อ้าพระมิร้างกลใดพ่อ จึ่งมาล่อมาลวงนาง
  ได้แจ้งอรรถารหัสทาง สุขุมนั้นก็หันหวน
[๒๒๘] ๏ น้องชื่อมาเสียด้วยความเสน่ห์ พระแต่งเล่ห์มาโลมชวน
  เชิญให้เสวยไชยบานหวน ครั้นเมาแล้วก็ได้ที
[๒๒๙] ๏ ลวงถามยุบลกลประเภท อันวิเศษเสมอชี
  วิตแจ้งแถลงนฤบดี บดินทร์ได้ไม่หลอหลง
[๒๓๐] ๏ ทั้งนี้เป็นต้นเพราะกลรัก จึ่งทุกข์หนักมาถึงองค์
  แม้ท้าวมิโปรดดรุณทรง ชีวาตม์น้องบ่กลับคืน
[๒๓๑] ๏ อ้าแม่อย่ากล่าวกลแสดง สดับถ้อยดูโหดหืน
  เรียมไปมิช้าจรจักคืน มากล่อมแก้วอย่าโศกศัลย์
เป็นสัจจะพี่กระนี้นะแท้ [๒๓๒] สมรแม่อย่าเดียดฉันท์
  จงคืนยังปรางค์ปราสาทจันทน์ ตำหนักรัตน์บุรีเรือง
[๒๓๓] ๏ ครอบครองประชานิกรราษฎร์ พฤฒามาตย์อีกพลเมือง
  อย่าขุ่นรำคาญกมลเคือง จงเปลื้องโศกให้สร่างเบา
[๒๓๔] ๏ อันเรียมนี้เล่าเนาบมิช้า จะกลับมาบุราเรา
  โฉมเฉกอัปสรบวรเยาว์ ยุพยอดอย่าทุกข์ทน
[๒๓๕] ๏ สงวนองค์อนุชอย่าราคี เป็นจามรีเสน่ห์ขน
  เจ้ายอดสมรวรวิมล สดับเรียมที่รำพัน
[๒๓๖] ๏ ใช่เชิงจะกลอกกลกลั่นแกล้ง มาแต่งรักประโลมขวัญ
  มิ่งเมืองประเทืองสมรสวรรค์ จงเห็นรักที่โซมทรวง
[๒๓๗] ๏ ที่แท้เป็นต้นด้วยอัศวเรศ ทำก่อเหตุจึ่งใหญ่หลวง
  มันพาพี่จากนุชคือดวง หทัยเรียมจงเห็นใจ ๚ะ
อินทรวิเชียร ฉันท์ ๑๑
[๒๓๘] ๏ นางสดับวัจนแสดง แถลงถ้อยคดีไข
  ควรฤๅพระภูวไนย มาแต่งลิ้นคารมคม
[๒๓๙] ๏ เสสรวลเอาพาชี มิพินิจก็เห็นสม
  ชั้นเชิงชะลอลม ผู้ใดใครจะเท่าเทียม
[๒๔๐] ๏ วาจาช่างหวานฉ่ำ ทุกคำเพราะแต่ล้วนเรียม
  เสนาะคมในลมเลียม แต่พื้นรักคุ้มสิ้นชนม์
[๒๔๑] ๏ สมดังพระวาจา ที่ว่าไว้ก็เป็นผล   
  จริงแจ้งประจักษ์จน อุระน้องเพียงโทรมพัง
[๒๔๒] ๏ โอ้โอ้เจ้าแนบเนื้อ ไม่ควรเชื่อในสัจจัง
  ความรักประจักษ์หวัง นุชพี่มิเห็นจริง
[๒๔๓] ๏ แสนรักพี่สุดเสน่ห์ พี่ไม่ประเวประวิงหญิง
  ถึงพาราสัจจาจริง จะคืนกลับมาสมศรี
[๒๔๔] ๏ เสาวภาคย์อย่าไห้โหย จงโดยกลับบุรีลี
  ลาเล่นเกษมศรี จะทุกข์ไยให้เสียนวล
[๒๔๕] ๏ ช่างกล่าวพระวาจา เมื่อคิดมาก็น่าสรวล
  พระมิไปจะให้นวล ไปครองกรุงแต่ผู้เดียว
[๒๔๖] ๏ วิธวาอยู่เอโก ผู้ใดใครจะแลเหลียว
  สตรีเป็นหม้ายเดียว ผู้ใดใครจะควรยำ
[๒๔๗] ๏  เหมือนแหวนไม่มีหัว แลช่างผูกเป็นเรือนทำ
  แล้วด้วยสุวรรณัม บ่ห่อนงามจำเริญตา
[๒๔๘] ๏ เหมือนบุษราชรถ อันปรากฏเห็นรจนา
  งอนงามแก่โลกา ระเหิดระหงเพราะธงไชย
[๒๔๙] ๏ หนึ่งราชพารา หาราชาจะราชัย
  จะรุ่งเรืองมาแต่ไหน สำหรับยับเป็นสาธารณ์
[๒๕๐] ๏ หญิงชั่วแลผัวร้าง ให้อางขนางอยู่แดดาล
  ทนทุกขทรมาน อุระชํ้าระกำครวญ
[๒๕๑] ๏ เสนาพฤฒามาตย์ จะประมาทสำรวลสรวล
  ว่าข้าพิรากวน จึ่งไทท้าวเอาตัวหนี
[๒๕๒] ๏ เป็นหม้ายนี้ลำบาก ก็สุดยากนิแสนทวี
  กรมใจใช่พอดี ดังกองเพลิงเข้าสุมทรวง
[๒๕๓] ๏  กฤติศัพท์จะเลื่องฦๅ ระบือทั่วทุกเมืองหลวง
  ไทท้าวทั้งปักษ์ปวง จะเย้ยเยาะทำหยาบหยัน
ว่าข้าอยู่เอกี [๒๕๔] ๏ สวามีเธอเหินหัน
  หญิงนี้กระลีครัน จึ่งชายหน่ายไม่นำพา
[๒๕๕] ๏ โอ้อกของเมรี ก็จะมีแต่โศกา
  กินเทวษทุกเวลา ฤๅไป่ชื่นสักวันวาร
[๒๕๖] ๏ น้องไซร้ใช่หญิงชั่ว ไม่เกลือกกลั้วเหมือนหญิงพาล
  ผัวร้างอยู่รำคาญ ช่างชะเล้นยังเล่นตัว
[๒๕๗] ๏ หน้าสดไม่มีหมอง กระจกส่องแล้วหวีหัว
  ตั้งใจจะแต่งตัว แสวงผัวไม่เว้นวัน
[๒๕๘] ๏ หนุ่มหนุ่มประชุมชวน ทำลามลวนเกษมสันต์
  ยักคิ้วหลิ่วตากัน บ้างเข้าหยอกเข้าหยิกกร
[๒๕๙] ๏  อุปรมาเสมือนรุ้ง คณะกาตะลอนซอน
  ตามเต็มวะว้าว่อน เป็นกลุ่มกลุ้มไม่เกรงใจ
[๒๖๐] ๏ น้องนี้ไม่ขอคืน ยังนิเวศพระเวียงไชย
  ขอตามเสด็จไป บำเรอบาทพระภัสดา
[๒๖๑] ๏ เป็นตายจะสู้ม้วย ชีพด้วยพระราชา
  คำคนจะนินทา ชนแซ่จะติฉิน
ค่อนขิ่งว่าหญิงโหด [๒๖๒] ๏ ยกเอาโทษประมาทหมิ่น
  ขึ้นชื่อพลูเดนกิน ผู้ใดชายจะดูดี
[๒๖๓] ๏ โปรดเถิดพระเลิศฟ้า เมตตาข้าผู้เมรี
  สู้ม้วยด้วยพันปี นุชไม่มีผัวสอง
[๒๖๔] ๏ เชิญชักพาชีกลับ มารับข้าอันหม่นหมอง
  น้องขอเป็นบัวทอง ฉลองบาทพระจักรี
[๒๖๕] ๏ แม้นพระมิโปรดเล่า มาตัดเกล้าเอาเกศี
  ไปด้วยกับพาชี จะฝากผีพระภูวไนย
[๒๖๖] ๏ โอ้เจ้าลำเพาพักตร์ ไม่เห็นรักมาตัดใย
  เรียมฤๅจะร้างไกล ให้นุชเดียวอยู่เปลี่ยวปอง
[๒๖๗] ๏ ม้วยดินแลสิ้นฟ้า สมุทรสาชลานอง
  แสนเสนหเราสอง ปห่อนพรากไปจากกัน
[๒๖๘] ๏ ตราบเทาบุรีรัตน์                อมัตโมกขไกวัล
  นั้นแลจะหักหัน เห็นว่ารักพี่แรมรา
[๒๖๙] ๏ นางฟังพระภูเบนทร์ บริรักษนาถา
  กล่าวแกล้งแสดงมา ก็ตอบถ้อยคดีกล
[๒๗๐] ๏ เห็นแล้วว่าพระรัก ประจักษ์ทั่วธราดล
  เกลื่อนกลุ้มประชุมพล มาตามรักพระภูธร
[๒๗๑] ๏ กฤติศัพท์ก็ฦๅทั่ว ตรลอดโลกขจายจร
  ว่าปิ่นนรินทร พระจอมจักรเธอรักนาง
[๒๗๒] ๏ พระรักประจักษ์จริง จึ่งทิ้งไว้ให้อางขนาง
  มิเสียที่ว่ารักนาง พอได้แล้วก็เหิรหงส์
[๒๗๓] ๏ ม้วยดินแลสิ้นฟ้า พระว่าไยให้เมียหลง
  รักแล้วไม่เหมือนจง ฤๅมากลับมากลอกกลาย
[๒๗๔] ๏ เป็นหญิงนี้ใจด่วน มาลวนลิ้นด้วยลมชาย
  เมื่อคิดมาก็น่าอาย ช่างร้างไว้เป็นสาธารณ์
[๒๗๕] ๏ สาสมสิน้ำใจ ไม่วินิจพิจารณ์การ
  หลงเล่ห์ด้วยลมหวาน แลหวานนักก็พลันรา
[๒๗๖] ๏ อกเอยมาได้ทุกข์ เทวษไห้นิราศา
  เพราะผัวไม่นำพา การุญน้องก็ถ้าจน
[๒๗๗] ๏ พระไม่เอ็นดูเมีย มาซัดเสียที่กลางหน
  ตกหล่มอยู่กลางชล ผู้ใดใครจะอินัง
[๒๗๘] ๏ เห็นแต่จอมกระหม่อมเมีย ช่างละเสียไม่เหลียวหลัง
  อกข้าเพียงผ่าพัง พินาศแน่ไม่เห็นใจ
[๒๗๙] ๏ ดวงสมรเจ้าแนบเนื้อ เมื่อไม่เชื่อจะทำไฉน
  ใครเลยจะเห็นใจ ประจักษ์แจ้งในเชิงความ
[๒๘๐] ๏ ว่าสวาดิพี่มาดมิ่ง ไม่ทอดทิ้งพะงางาม
  จากเจ้าคือเพลิงลาม อุระร้อนหทัยเทียม
[๒๘๑] ๏ ถึงกระนี้เจ้าเพื่อนเข็ญ ยังไม่เห็นอุระเรียม
  เพลิงไหม้ระกำเกรียม ผู้ใดเลยจะเห็นรัก
[๒๘๒] ๏  ถ้าแตระแหวะอุระได้ จะผ่าให้เห็นประจักษ์
  ว่านี่แนะความรัก ประจักษ์แจ้งแก่ใจนวล
[๒๘๓] ๏ พี่รำพันสักเท่าใด พระนุชไม่มายินยวล
  โหยไห้พิไรครวญ ว่าเรียมไซร้ไม่ดูดาย
[๒๘๔] ๏ โลมเจ้าพี่เฝ้าปลอบ ก็มิชอบอารมณ์สาย
  สมรพี่มิหนีหน่าย ชะรอยว่าเวรแต่ปางหลัง
[๒๘๕] ๏ ฤๅเราได้พรากพลัด สัตวให้ไปจากรัง
  เวรานุเวรหลัง นั้นตามทันมาถึงเรา
[๒๘๖] ๏  มาเจาะจงจำนงผลาญ ประหารรักให้โศกเศร้า
  เสาวภาคย์ลำเพาเยาว์ พธูแม่อย่าไห้โหย
[๒๘๗] ๏ พี่คิดคำนึงหนัก ไม่ทิ้งรักให้แรมโรย
  อ้าแม้อย่าดิ้นโดย อุระร้อนกันแสงทรง
[๒๘๘] ๏ เรียมร้างนิราศสวาดิ เพียงชีวาตย์จะปลดปลง
  เรียมฤๅจะร้างอนงค์ นุชพี่อย่าเดียดฉันท์
[๒๘๙] ๏ วรลักษณพึงคิด วิจิตรจรัสดั่งดวงจันทร์
  เยาวรูปผู้ใดทัน ฤๅจะทัดจะเทียมสม
[๒๙๐] ๏ เวรใดให้จากนุช วรลักษณ์พนมชม
  ทรวงพี่ระบมกรม ระบุชํ้าระกำหนอง
[๒๙๑] ๏ แม้เรียมนี้เรืองเวท จะเพี้ยนเภทแปรเป็นสอง
  ภาคหนึ่งจะไปปอง ด้วยมิ่งม้าอาชาชาญ
[๒๙๒] ๏ ภาคหนึ่งจะสู่สม ภิรมย์ร่วมสุดามาลย์
  รตินทิวาวาร บ่ห่อนรู้จะหน่ายหนำ
[๒๙๓] ๏ นี่สุดรู้ที่สังเกต ไป่เรืองเวทนิรันทำ
  จิตเรียมระกำจำ จะจากนุชพี่ขอลา ๚ะ

โปรดติดตามตอนต่อไป


หัวข้อ: Re: พระรถคำฉันท์ วรรณกรรมร้อยกรองสมัยอยุธยา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 19 กรกฎาคม 2564 16:17:53
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/65921157474319_29612_640x480_.jpg)

สุรางคนางค์ กาพย์ ๒๘
[๒๙๔] ๏ ป่างนั้นชาเยนทร์ 
  สดับสารภูเบนทร์            บพิตรภัสดา
  ว่าจักจรไกล            นางไห้โหยหา
  โอ้พระผ่านฟ้า            จะราแรมนวล
[๒๙๕] ๏ แรกรักร่วมรส
  เมียเล่าบอกหมด            กลเล่ห์แยบยวล
  ถี่ถ้วนแถลงถวาย            บรรยายตามควร
  เสร็จสิ้นทุกกระบวน            แจ้งแจงให้เห็น
[๒๙๖] ๏ คิดว่าพระรัก
  มาเป็นปิ่นปัก            กรุงมารรานเข็ญ
  ปักผมร่มเกล้า            น้องเล่าอยู่เย็น
  เมียคิดไม่เห็น            จักเป็นอุบาย
[๒๙๗] ๏ วันเมื่อชมสวน
  ผลไม้ย่อมสงวน            หักยับลุยลาย
  คำหนึ่งน้องรัก            ห่อนจักให้สลาย
  พระทัยเมียหมาย            จะฝากชีวัน
[๒๙๘] ๏ ชีวาตม์ไม่คิด
  จะฝากชีวิต            ไว้แก่ทรงธรรม์
  ควรฤๅพระแก้ว            หน่ายแล้วเหินหัน
  หนีน้องจรัล            จะราแรมไกล
[๒๙๙] ๏ ไม่เอ็นดูน้อง
  เสียแรงพระทอง            ครอบครองพิสมัย
  น้องรักสมัครมั่น            ผูกพันภูวไนย
  ควรฤๅหาไม่            เอื้อเฟื้ออินัง
[๓๐๐] ๏ นุชอยู่เอองค์
  ผู้เดียวโดยจง            ใครจักเหลียวหลัง
  เห็นแต่พักตร์บพิตร            ไม่คิดอนิจจัง
  พระมาเชื่อฟัง            คำม้าเดียรถีย์
[๓๐๑] ๏ พระตอบคำน้อง
  เจ้าอย่าพร่ำพร้อง            เรียมไม่หน่ายหนี
  สู้ม้วยด้วยนุช            สุดสิ้นชีวี
  ม้าร้ายตัวนี้            มันทำจังฑาล
[๓๐๒] ๏ พี่จักชักคืน
  มันทำขัดขืน            เคืองแค้นรำคาญ
  มิให้พี่มา            หานุชเยาวมาลย์
  อกเรียมเปรียบปาน            เพลิงไหม้ดวงแด
[๓๐๓] ๏ จำพี่จะวิโยค
  สมรแม่อย่าโศก            เรียมฤๅจะแห
  ควรฤๅพระแก้ว            หน่ายแล้วเหินหัน
  หันห่างร้างรัก            วรพักตร์คือแข
  สัจจังจริงแม่            นุชอย่าขุ่นเคือง
[๓๐๔] ๏ ฝ่ายนางขุชชา
  ผู้เป็นบริจา            วัลภานางเมือง
  เจ็บร้อนด้วยเจ้า            กล่าวถ้อยคำเคือง
  อ้ายม้าซองเมือง            มาทำเคืองเข็ญ
[๓๐๕] ๏ ทำให้ระสาย
  ระส่ำทุกภาย            มิพอที่จะเป็น
  ไพร่พลได้ยาก            ลำบากยากเย็น
  อ้ายม้าเสียเช่น            ชาติเชื้อเดียรฉาน
[๓๐๖] ๏ เนื้อมึงเท่านั้น
  ไม่พอปากมัน            คือเขี้ยวขุนมาร
  จะขบเคี้ยวเล่น            กินเป็นอาหาร
  อ้ายม้าสาธารณ์            พาท้าวเหาะพวย
[๓๐๗] ๏ พาชีตอบสาร
  ดูดู๋อีมาร            เล่ห์ลิ้นลมชวย
  ทั้งเจ้าทั้งข้า            ไม่มาเข็ดขวย
  แร่ตามชายรวย            ไม่มาอายเหนียม
[๓๐๗] ๏ พาชีตอบสาร
  ดูดู๋อีมาร            เล่ห์ลิ้นลมชวย
  ทั้งเจ้าทั้งข้า            ไม่มาเข็ดขวย
  แร่ตามชายรวย            ไม่มาอายเหนียม
[๓๐๘] ๏ พระไม่เอื้อเฟื้อ
  มึงคือหยากเยื่อ            ติดเท้าท่านเทียม
  หน้าด้านร้องด่า            ไม่มาอายเหนียม
  พูดกระแซะและเลียม            จะเล่นพาชี
[๓๐๙] ๏ สัญชาติเช่นเรา
  ไม่ขออยากเอา            อียักษ์กระลี
  อย่าฉินหมิ่นเล่น            ว่ากูพาชี
  ชู้เก่าเรามี            ดีกว่ามึงมาร
[๓๑๐] ๏ กูไม่อยากเล่น
  อีชะล่าหน้าชะเล้น            เล่ห์ลิ้นสาละวาน
  ลอยหน้าลอยตา            คารมลมจ้าน
  กูเป็นขี้คร้าน            จะตอบพาที
[๓๑๑] ๏ กูไม่จงรัก
  เช่นเชื้ออียักษ์            เสียศักดิ์เสื่อมศรี
  แล่นตามผู้ชาย            ความอายไม่มี
  อีค่อมหลังรี            ขุชชาลามปาม
[๓๑๒] ๏ นางท้าวสดับฟัง
  ชลนัยน์ไหลหลั่ง            อกคือเพลิงลาม
  ดูดู๋ขุชชา            เจ้ามาทำความ
  เออสิดีงาม            ปากกล้าด่าเขา
[๓๑๓] ๏ ไม่ถูกแต่ตัว
  พลอยมาเกลือกกลั้ว            ปะปนถึงเรา
  เป็นไรไม่ว่า            ก้มหน้าซบเซา
  พาอีนอกเจ้า            ปากไวใช่เอน
[๓๑๔] ๏ ค่อมจึ่งทูลฉลอง
  พระแม่จงตรึกตรอง            พิจารณ์เล็งเห็น
  คิดว่าอ้ายม้า            เจรจาไม่เป็น
  จะด่ามันเล่น            ช่วยแม่นงเยาว์
[๓๑๕] ๏ มิรู้เป็นโทษ
  กลับทรงพระโกรธ            ด่าเล่นเปล่าเปล่า
  ม้าด่ามิหนำ            แม่ซ้ำอีกเล่า
  ภักดีช่วยเจ้า            กลับเป็นคนอาย
[๓๑๖] ๏ นางสนมกำนัล
  แลดูหน้ากัน            อดสูดูดาย
  กราบทูลโฉมยง            เชิญองค์ผันผาย
  คิดมาน่าอาย            ถ้อยคำอัสดร
[๓๑๗] ๏ เชิญแม่อยู่หัวเจ้า
  กลับเสด็จคืนเข้า            สู่วังยั้งก่อน
  ถึงท้าวมิมา            แม่อย่าอาวรณ์
  ท้าวทุกพระนคร            ไม่ไร้จักมี
[๓๑๘] ๏ จักมาสู่สม
  สมรแม่อย่าโศก            ร่วมรักมารศรี
  แม่อย่าร่ำไร            ทุกข์ไปไยมี
  เชิญเสด็จบุรี            เสวยสุขเปรมปรา
[๓๑๙] ๏ นางสดับมธุรส
  ชลนัยน์ไหลหยด            จึ่งมีบัญชา
  จักกลับคืนไป            เป็นหม้ายเอกา
  สู้ตายไม่มา            ร่วมชายถึงสอง
[๓๒๐] ๏ แม้นยากแม้นง่าย
  แม้นเป็นแม้นตาย            ไม่หน่ายพระทอง
  เกิดเป็นสัตรี           ไม่มีผัวสอง
  ความสัจจะครอง           คุ้มม้วยชีวี
[๓๒๑] ๏ เธอไม่เมตตา
  จะทิ้งไว้ป่า            องค์เดียวเอกี
  สู้ม้วยด้วยรัก           ห่อนจักหน่ายหนี
  ตามกรรมเวรี           สร้างมาแต่หลัง
[๓๒๒] ๏ สาวสนมทั้งปวง
  อย่าได้เป็นห่วง            จงกลับคืนวัง
  อันตัวของข้า           ไม่มากลับหลัง
  สู้ม้วยกับฝั่ง           ฟากน้ำโหยหวน
[๓๒๓] ๏ กำนัลทั้งหลาย
  ได้ฟังอภิปราย            โศกซ้ำรำจวน
  บ้างไห้ลาลด            กำสรดแสนครวญ
  โอ้เอ็นดูนวล            นุชอยู่เดียวดาย
[๓๒๔] ๏ ชวนประโลมปลอบ
  เสาวนีย์มิชอบ            เชิญเร่งผันผาย
  เสด็จสู่บูรี            ดีกว่าอยู่ดาย
  ตูข้าทั้งหลาย            ได้พึ่งบาทา
[๓๒๕] ๏ เป็นจรรโลงรัตน์
  ที่พึ่งแก่สัตว์            ควรฤๅแม่มา
  สุดสิ้นเสียชนม์            กลใดยุพา
  ยุพินทรมา            จักซํ้าอาสัญ
[๓๒๖] ๏ ปลอบเท่าใดใด
  นางไม่หวั่นไหว            ที่จะจรจรัล
  บ้างกลุ้มรุมเข้า            เล้าโลมรับขวัญ
  บ้างร่ำรำพัน            พิไรครวญคราง
[๓๒๗] ๏ สุรเสียงเซ็งแซ่
  ระลวงดวงแด            ละห้อยด้วยนาง
  ระโหยโรยร่ำ            ระกำครวญคราง
  ระหวยด้วยนาง            จะอยู่เอองค์
[๓๒๘] ๏ ประนมประณต
  ประน้อมบัวบท            ประดิษฐ์บรรจง
  จะขอเป็นเพื่อน            กลางเถื่อนแรมดง
  พระบ่ได้ทรง            กรุณาโปรดปราน ๚ะ

โปรดติดตามตอนต่อไป


หัวข้อ: Re: พระรถคำฉันท์ วรรณกรรมร้อยกรองสมัยอยุธยา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 06 สิงหาคม 2564 19:55:33

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/65921157474319_29612_640x480_.jpg)

สัทธรา ฉันท์ ๒๑
[๓๒๙] ๏ อสุราสุรินทรหมู่มาร            ครั้นพจนบรรหาร
ว่านางถึงกาล - คาลัย
[๓๓๐] ๏ ชวนกันกันแสงโทรมนัสใน จิตสุชลนไหล
ลาญหฤทัย - รำพัน
[๓๓๑] ๏ ว่าโอ้แต่นี้จะราสรรพ์ สกลพหลอนันต์
อเนกนับพัน จะอาดูร
[๓๓๒] ๏  โอ้โอ้กรุงมารจะเศร้าสูญ โทรมนัสบัดจักพูน
ทุกขอาดูร นิรันดร
[๓๓๒] ๏ แสนโศกโศกามนัสธร ประณตบทบวร
แล้วก็จากจร คระไลคลา
[๓๓๓] ๏  แสนโศกโศกามนัสธร ประณตบทบวร
แล้วก็จากจร คระไลคลา
[๓๓๔] ๏ ต่างต่างเข้าสู่พนาทวา ไล่หมู่มฤคคณา
ปามเป็นภักษา บทานทน
[๓๓๕] ๏  บ้างเข้าห้วยเขาลำเนาชล จับมัจฉกัจฉปะปน
สัตวธารชล พินาศเนียร
[๓๓๖] ๏ แรดช้างกวางทรายดาษเดียร    ชีพิตจรระเมียร
ยับประดาษเดียร ตรลอดพง
[๓๓๗] ๏ ต่างต่างไปโดยอิจฉาจง จิตพิพิธประสงค์
บ้างอยู่เฝ้าอง คนงนุช ๚ะ
ฉบัง กาพย์ ๑๖
[๓๓๘] ๏ ครั้นพระสุริยเทพบุตร รีบรัดรถรุด
จะลับพระเมรุศีขรินทร์
[๓๓๙] ๏ ชรอ่ำชรอุ่มไพรสิณฑ์ รอนรอนแสงทิน
กรเธออ่อนรัศมี
[๓๔๐] ๏ สิงสัตว์ในพนัสพงพี รื่นเริงฤๅดี
ก็แล่นละเลิงลองเชิง
[๓๔๑] ๏ กาสรตัวโตรดก็โดดเถกิง กระทิงถึกเถลิง
กำเหลาะกำลังแรงรณ
[๓๔๒] ๏ แล่นโลดโดดทะยานชาญชน ชะมดฉมันเม่นขน
แหลมคือเสี้ยมเสี้ยมแสนแหลม
[๓๔๓] ๏ พยัคฆาพยัคฆีแล่นแปม สุนัขในไล่แนม
ละมั่งระมาดผาดผยอง
[๓๔๔] ๏  แล่นโลดไล่โดนโจนคะนอง    สัตว์สิงวิ่งลำพอง
ลำพังภาษาสัตว์ไพร โหรา
[๓๔๕] ๏ ปักษาปักษีมีใน ร้องก้องเพรียกไพร
ซระซ้อซระแซ้แซ่เสียง
[๓๔๖] ๏  เรียกคู่สู่รังรังเรียง ผัวเมียม่ายเมียง
เข้าคลอจะจ้อเจรจา จะทัน
[๓๔๗] ๏ ชะนีเหนี่ยวกิ่งไม้โผผวา ห้อยโหนโยนหา
สามีไม่เห็นแล้วโหยหวน อย่าจร
[๓๔๘] ๏  แม่ม่ายลองไนคร่ำครวญ เรไรร้องรวน
ระเรื่อยระรี่ปรีดา กำจาย
[๓๔๙] ๏ ให้สยองพองแสยงเกศา ผีภูตคณา
ก็ผิ่วสำเนียงเสียงสรรพ์ จะลาญ
[๓๕๐] ๏ ฝ่ายนาฏพธูโฉมสวรรค์ โลมสวาดิพรายพรรณ
พรายเพริศเลิศลักษณ์นารี
[๓๕๑] ๏ อนาถองค์เดียวห่อนมี เพื่อนพร้องสองศรี
บมีสุรางค์นางใน
[๓๕๒] ๏ วังเวงวิเวกหวาดหวั่นฤทัย ชลธาราไหล
กันแสงริมฝั่งสาคร
[๓๕๓] ๏ นอบน้อมศิโรเพฐน์ทูลวอน ควรฤๅภูธร
บพิตรบได้ปรานี
[๓๕๔] ๏ โทษน้องผิดไซ้ห่อนมี บพิตรมาควรหนี
นิราศไห้โหยหวน
[๓๕๕] ๏ ยามรักพระย่อมโลมชวน ชื่นชมสมสรวล
แต่ล้วนเรียมไม่ให้อาย
[๓๕๖] ๏ วันนี้เหตุใดพระฦๅสาย สวาดิมาเด็จดาย
บเบือนพระพักตร์มาแลเหลียว
[๓๕๗] ๏  พระไม่การุญเกล้าจริงเจียว สละน้องไว้เปลี่ยว
พระทัยเธอไม่กรุณา
[๓๕๘] ๏ พระสดับพระมธุรศัพทสารา เสาวนีย์สุดา
ฤดีเธอเพียงละลายลาญ
[๓๕๙] ๏ ตระลึงแลลืมสติภูบาล ชักอาชาชาญ
จะกลับยังน้องมารศรี
[๓๖๐] ๏ ม้าก็ทูลสนองนาถบดี บดินทรวาที
ไม่ต้องทำนองแต่หลัง
[๓๖๑] ๏ แม่ป้าทุกข์เพียงมรณัง กตัญญูวรัง
วราประเสริฐเกิดผล
[๓๖๒] ๏ นั้นฤๅเรียกชายชาญชน ชาญสมรมิ่งผจญ
ซึ่งราคร้ายให้เบาบาง
[๓๖๓] ๏ ทุกเทพอ่อนน้อมอุตมางค์ สรรเสริญบาทางค์
ประนมประณตถวายกร
[๓๖๔] ๏ รักเมียจนเสียมารดร ใครเลยจะอวยพร
มีแต่จะเย้ยหยันหยาม
[๓๖๕] ๏ ที่กิจนี้สองสถานโดยความ ตามแต่โฉมงาม
บพิตรชอบหฤทัย
[๓๖๖] ๏ พระฟังคำม้าอุปรไมย อุปรมาเปรียบไป
ก็ได้สติคืนคง
[๓๖๗] ๏ จึ่งตอบวรพากย์อนงค์ นุชอย่าเศร้าทรง
กันแสงไปไยพักตร์จะหมอง
[๓๖๘] ๏ เรียมไปไป่ช้าสักสอง สามราตรีปอง
จะกลับมาชมสมศรี ๚ะ
สุรางคนางค์ กาพย์ ๒๘
[๓๖๙] ๏ ปางนั้นเทพินทร์
สดับสารภูมินทร์                      แสนโศกยิ่งทวี
เทวษไห้ร่ำ ฝั่งน้ำชลธี
โอ้ว่าพระพี่ มาหนีไกลองค์
[๓๗๐] ๏ พระไม่อาลัย
ทอดทิ้งน้องไว้ ป่าใหญ่กลางดง
วิเวกสงัด สิงสัตว์ยิ่งยง
ควรฤๅภุชพงศ์ ไม่ปรานีเลย
[๓๗๑] ๏ พระมาทำได้
สิ้นสุดเยื่อใย พระทัยทำเฉย
นุชไห้โศกา ไม่ปรานีเลย
พระทัยเพิกเฉย สุดสิ้นกรุณา
[๓๗๒] ๏ ถึงพระไม่เลี้ยง
นุชเป็นคู่เคียง ตามพระปัญญา
ขอน้องเป็นทาส เบื้องบาทบริจา
ประฏิบัติรักษา กว่าจะสิ้นสุดสกนธ์
[๓๗๓] ๏ โปรดแต่เท่านี้
เห็นว่าชีวี น้องจักยืนยล
สืบสนองรองบาท วรราชจุมพล
กว่าจะม้วยวายชนม์ ภักดีฤๅคลาย
[๓๗๔] ๏ พระสดับสารนุช
ไพรเพราะที่สุด อำมฤตโปรยปราย
ตระลึงลานจิต เร่งคิดเสียดาย
โอ้เอ็นดูสาย สวาดิร้างแรมขวัญ
[๓๗๕] ๏ จักใคร่คืนไป
มาคิดเกรงใจ ม้าจะเย้ยเยาะหยัน
หยาบเหยาเราได้ ว่าไม่เป็นธรรม์
พระทัยกระศัลย์ โศกเศร้าแสนทวี
[๓๗๖] ๏ จึ่งตอบคำนาง
ไมตรีพี่สร้าง สิ้นแล้วมารศรี
เป็นกรรมจำพราก มาจากเทวี
พี่ขอลาศรี สมรเจ้าอย่าหมาง
[๓๗๗] ๏ นางท้าวได้สดับ
ชลนัยน์ไหลซับ โซมทั่วสารพางค์
โอ้โอ๋ภูมินทร์ สุดสิ้นรักนาง
พระทัยจืดจาง ร้างน้องเสียไกล
[๓๗๘] ๏ โอ้ว่าพระทอง
กลับมาสั่งน้อง ก่อนแล้วจึ่งไป
แต่พอน้องรัก ยลพักตร์ภูวไนย
แล้วจึ่งควรไป ตามแต่ปัญญา
[๓๗๙] ๏ เสียแรงน้องตาม
บุกป่าฝ่าหนาม ข้ามห้วยเหวผา
จนมาพบองค์ ไม่ทรงกรุณา
ตัดเยื่อใยข้า มาราแรมศรี
[๓๘๐] ๏ ไม่เอ็นดูแล้ว
ขอเชิญพระแก้ว ตัดเกล้าเกศี
น้องไม่ขออยู่ สู้ม้วยชีวี
ชีวาไม่หนี ดีกว่าอยู่ดาย
[๓๘๑] ๏ ตายด้วยความซื่อ
ไว้ยศให้ฦๅ ทั่วโลกยทั้งหลาย
ตัวน้องเป็นหญิง ความจริงมั่นหมาย
สู้ม้วยไม่คลาย ความรักภูธร
[๓๘๒] ๏ พระฟังเสาวนีย์
จึ่งตอบวาที มีพจนสุนทร
ใช่พี่มิรัก จักแกล้งจากจร
เป็นด้วยอัสดร มันมิให้ไป
[๓๘๓] ๏ สุดรู้สุดฤทธิ์
ล้นเหลือความคิด ที่จักกลับไป
ชะรอยว่ากรรม ทำแต่หลังไซร้
ตามมาทันได้ ถึงเราทั้งสอง
[๓๘๔] ๏ โต้ตอบกันไป
ส่วนอาชาไนย ดำริตริตรอง
ช้าไว้บัดนี้ น่าที่พระทอง
กลับไปหาน้อง จะเสียท่วงที
[๓๘๕] ๏ ครั้นตริแล้วเสร็จ
อาชาเหิรเห็จ ด้วยฤทธิ์พาชี
จะลิ่วหาวหน อัมพลวิถี
สองกระษัตริย์ยังมี ความรักสมัครกัน
[๓๘๖] ๏ ต่างองค์ต่างแคล้ว
มาพรากจากแก้ว โศกาจาบัลย์
สงสารพระนุช ปิ้มสุดอาสัญ
ร้องร่ำรำพัน ฟากนํ้าเอกา
[๓๘๗] ๏  แลดูภูเบศ
จนลับนัยน์เนตร สุดคลองนัยนา
ดั่งใครเปลื้องปลิด ชีวิตอาตมา
ไปจากกายา ยิ่งโศกาแสนทวี
[๓๘๘] ๏ ร้องไห้ร้องหา
ร้องเรียกราชา ร้องหาภูมี
สุดร้องสุดฤทธิ์ สุดจิตเทพี
สุดไห้โศกี สุดที่โศกา
[๓๘๙] ๏ สุดที่จะตามติด
สุดเหลือความคิด สุดฤทธิ์ชายา
สุดแรงสุดเรี่ยว สุดเหลียวแลหา
สุดเห็นภัสดา สุดตาเต็มไกล
[๓๙๐] ๏ พระศอแหบแห้ง
สุดสิ้นกระแสง สิ้นแรงอรไท
หิวโหยโรยรา พักตราสลดไสล
พักตร์ผิดเผือดไป สิ้นไห้รำพัน
[๓๙๑] ๏ ดังลำกล้วยทอง
อันเกิดในห้อง ฟากฟ้าสวนสวรรค์
มีชายผู้หนึ่ง เข้มขึงแข็งขัน
จิตใจมักกะสัน ฤทธิ์แรงราวี
[๓๙๒] ๏ ได้ดาบคมกล้า
แปลบปลาบเวหา จับแสงสุริย์ศรี
กวัดแกว่งรำฉวาง เยื้องย่างคระวี
ฟาดฟันกัทลี ขาดเด็จเป็นสิน
[๓๙๓] ๏ ส่วนลำกล้วยทอง
ล้มลงโดยปอง อุปรไมยเมริน
สุดสิ้นกำลัง ห่อนจะตั้งกายิน
สุดสิ้นชีวิน ซอนซบสยบลง ๚ะ


หัวข้อ: Re: พระรถคำฉันท์ วรรณกรรมร้อยกรองสมัยอยุธยา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 10 สิงหาคม 2564 16:10:36
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/65921157474319_29612_640x480_.jpg)

อินทราเชียร ฉันท์ ๑๑
[๓๙๔] ๏ ฝ่ายฝูงอมรเมศ             ศิขเรศพนัสพง
  เหลือบเล็งอนงค์ยง ยุพเรศวิสัญญี
[๓๙๕] ๏ บ้างเยี่ยมวิมานมาศ สิงหช่องบัญชรศรี
  ทุกเทพยทฤษฎี ก็สลดระทดใจ
[๓๙๖] ๏ ด้วยโฉมพธูแม่ สนิทแน่ไม่หวั่นไหว
  ทวยเทพยมีใน กำเสาะโศกกำสรวลครวญ
[๓๙๗] ๏  บ้างลืมเสวยทิพย์ บ้างก็ลืมเกษมสรวล
  บ้างลืมประโลมสวน     อัปสรเทพยธิดา
[๓๙๘] ๏ บ้างเหงาสงัดเงียบ สรเซียบทุกเทวา
  กอดเข่าเข้าปรึกษา ผิจะทำไฉนดี
[๓๙๙] ๏  ด้วยโฉมพระเทพินทร์ ชีวิตสิ้นจากอินทรีย์
  สองหัตถ์ก็รุมตี อุระมี่ตระลึงลาน
[๔๐๐] ๏ โอ้ยอดสมรมิ่ง ประทมกลิ้งกับดินดาน
  ปราศจากอลงก์กาญ จนแท่นบรรจถรณ์ทรง
[๔๐๑] ๏  ไสยาสน์อยู่เอกี ธุลีฝุ่นแต่พื้นผง
  กลัดกลุ้มพระอรองค์ ดูอเนจอนาถกาย
[๔๐๒] ๏ นางเคยรำเพยพัด มาต้องซัดธุลีทราย
  ห่อนใครจะเพื่อนสาย สมรกลิ้งอยู่กลางดง
[๔๐๓] ๏ ผาแผ่นเป็นแท่นเขนย นิจจาเอ๋ยน่าพิศวง
  นางเคยรำเพยองค์ รำพายพัดบำราศนาง
[๔๐๔] ๏ เคยกั้นวิสูตรวง เอาแต่ดงมากั้นกาง
  ไม้สูงแลยูงยาง เป็นฉัตรรัตน์จรงค์ราย
[๔๐๕] ๏ เคยแสงประทีปส่อง นุชต้องศศิฉาย
  ส่องแสงดาราราย มาไสยาสน์พินาศนอน ๚ะ
ฉบัง กาพย์ ๑๖
[๔๐๖] ๏ สิงสัตว์คณาดงดอน แล่นเลิงกระเจิงจร
  ผยองผยองผายผัน
[๔๐๗] ๏ เห็นองค์ทรงโฉมประโลมขวัญ เลิศลักษณ์วิไลวรรณ
  วิลาปไห้ซบลง
[๔๐๘] ๏ สิงสัตว์ปักษาคณาพง พลอยเหงางายงง
  ด้วยองค์สุมณฑาทอง
[๔๐๙] ๏ คชสีห์คาบคชสารผยอง สละคชโดยปอง
  บ่หมายจะเป็นภักษา
[๔๑๐] ๏ พยัคฆีลืมไล่มฤคา เห็นองค์สุดา
  ก็หยุดอยู่ยั้งยืนยล
[๔๑๑] ๏ ปักษาปักษินบินบน เห็นนาฏนฤมล
  ก็เซียบสงบซบซอน
[๔๑๒] ๏ ไม่หาญจะบินเหิรอัมพร เงียบสยบสยอน
  ไม่ส่งสำเนียงเสียงขัน
[๔๑๓] ๏ ขุนหงส์ระเห็จเหิรหาวหัน ลืมคู่เคลียกัน
  ห่อนหันหาเหล่าสาวหงส์
[๔๑๔] ๏ ขุนยูงจับยูงสูงส่ง สังเวชด้วยองค์
  พระนางเธอสิ้นสมประฤดี ๚ะ  
สุรางคนางค์ กาพย์ ๒๘    
[๔๑๕] ๏ ฝ่ายว่าพระรถ
  โศกซํ้ากำสรด ระทดโศกี  
  กันแสงแครงคร่ำ ร่ำไห้แสนทวี  
  พระทัยภูมี ดุจแยกแหลกลาญ  
[๔๑๖] ๏ โอ้ปานฉะนี้
  จะรํ่าโศกี พิไรประปราน  
  ใครจะเป็นเพื่อน กลางเถื่อนกันดาร  
  จะไห้ลัยลาญ รำจวนครวญหา  
[๔๑๗] ๏ จะข้อนทรวงร่ำ
  อยู่แทบฝั่งน้ำ แสนโศกโศกา  
  ไม่เห็นพักตร์เรียม จะเยี่ยมริมชลา  
  ละห้อยโหยหา ชลเนตรฟูมฟอง  
[๔๑๘] ๏ พระไห้ครวญคราง
  รำจวนถึงนาง จนสว่างแสงทอง  
  ผ่องแผ้วใสสี รัศมีเรืองรอง  
  ชักม้าลอยล่อง ลงสู่ปัฐพี  
[๔๑๙] ๏ หยุดเงื้อมบรรพต
  ฉายาปรากฏ ทราบสิ้นฤๅดี  
  พระเร่งรำจวน ครวญถึงเทวี  
  แม้มาด้วยพี่ จะชี้ชมไพร ๚ะ  
อินทรวิเชียร ฉันท์ ๑๑
[๔๒๐] ๏ พักนั่งที่เพิงผา ศิลาแลละเลื่อมไศล
  แสงแก้วประพาฬไพ ฑูรย์รัตนบรรเจิดจง  
[๔๒๑] ๏ ชมชั้นคีรีเวียง รุจิเรขระยับยง
  ชาดชุบระบายรง สลับล้วนเป็นหลายสี  
[๔๒๒] ๏ ดังช่างฉลาดล้ำ ไปเลขาศิลามี
  โสภิตขจิตขจี ขจายจัดโมราคำ  
[๔๒๓] ๏ ที่ม่วงก็ม่วงงาม ที่สีครามก็ครามขำ
  ที่ดำก็ดูดำ คคลํ้าขลับเป็นหมึกมี
[๔๒๔] ๏ แม้นเขียวก็เขียวสด มรกตจำรัสสี
  ที่แดงดูแดงดี ทับทิมเทียบบทัดทัน  
[๔๒๕] ๏ ลางเหลืองก็เหลืองเล่ห์ สุวรรณชมพูนุทสรรพ์
  ที่ขาวก็ขาวพรรณ ดังดวงแก้วประกายพราย  
[๔๒๖] ๏ บัดต้องทิพากร ก็ส่องแสงกระลอกฉาย
  วาวแวววะวาวสาย วิเชียรช่วงจรัสเรือง  
[๔๒๗] ๏ เปลวปล่องช่องภูผา ศิลาแหลมมลังเมลือง
  แสงแก้วประเทืองเรือง จรัสรุ้งเจริญตา
[๔๒๘] ๏ ง้ำเงื้อมชะโง้นโงก เป็นเตรินโตรกกุฎาตา
  ห้วยธารละหานผา ธารารี่ระเรื่อยเย็น  
[๔๒๙] ๏ นํ้าพุก็ดุดั้น ศิลาหลั่นตรลอดเห็น
  พุยพุ่งกระเด็นเย็น เป็นฟองฟุ้งกระจายปราย  
[๔๓๐] ๏ โชติช่วงดังดวงแก้ว มณีรัตน์ขจัดขจาย
  หยดย้อยเป็นแสงสาย จำรัสรุ้งธาราริน  
[๔๓๑] ๏ วังเวิ้งชะวากวาม อร่ามล้วนมณีนิล
  นํ้าล้นกระทบหิน ถูกหินหักทลายลง  
[๔๓๒] ๏ โครมครึกคระครึกเสียง สำเนียงลั่นสนั่นดง
  ฉวัดเวียนเฉวียนวง
[๔๓๓] ๏ ไหลซึมซะแซะเซาะ กระเทาะหินตระเพินหัน
  โลดโดดกระเด็นดัน ดูดุด้นกระเด็นดวง  
[๔๓๔] ๏ เต้นหยางประอย่างย้อย พระพรอยพรูเป็นพู่พวง
  แลเล่ห์ประดุจดวง วิเชียรช่วงอันชัชวาล  
[๔๓๕] ๏ พระทอดทัศนาใน กระแสน้ำอันเชี่ยวฉาน
  ฉุนจิตพระภูบาล คะนึงถึงพระเทพินทร์
[๔๓๖] ๏ แม้ว่ามาด้วยพี่ จะชวนชี้ให้ชมสินธุ์
  ไหลมาระรินริน ระเรื่อยเฉื่อยธาราหัน  
[๔๓๗] ๏ ชมแล้ว ธ แคล้วคลาด วรบาทจรัลผัน
  ผายมายังเชิงบรร พตชมพนาดร  
[๔๓๘] ๏ ทุมาคณาเนก อนันต์แน่นสลับสลอน
  ยอดย้อยประเอียงอร พยุพัดดูเยนโยน
[๔๓๙] ๏ โศกสนมะสังสัก มะกอกกักกระโดนโกรน
  ลั่นทมคนทาโทน แลกระทดกระถินทอง  
[๔๔๐] ๏ ดูกเดื่อประดู่ดอก ผลพลับพลับพลึงพลอง
  กะลำพอสะคร้อครอง มะฝ่อแฝบมะเฟืองไฟ
[๔๔๑] ๏ พวงยื่นระย้าย้อย ฤดูดอกระดอมไพร
  ยื่นหัตถ์ประพาสไป ธ ปลิดใส่ภูษาทรง  
[๔๔๒] ๏ เสวยพลางพระทรงนึก ระฦกถึงยุพาพงศ์
  ปิ่นปักอนงค์ยง ยุพราชเจ้าเมรี  
[๔๔๓] ๏ คิดถึงสะท้อนถาม ฤทัยท้าวพระจักรี
  เสียวซาบฤดีมี ธ ก็พร่ำกันแสงหวน
[๔๔๔] ๏ ปานฉะนี้สมรเจ้า จะหมองเศร้าพิไรครวญ
  จะคืนหลังยังวังนวล ฤๅจะสิ้นชีวาวาย
[๔๔๕] ๏ คิดคิดแล้วหักคิด แล้วห้ามจิตพระฦๅสาย
  โศกนักจักวางวาย ชีพม้วยบรรลัยลาญ  
[๔๔๖] ๏ ครั้นแล้ว ธ ชมนก วิหคร้องก้องขันขาน
  เคียงคู่ประสมสาร สุรเสียงเสนาะไพร  
[๔๔๗] ๏ เหมือนเสียงพระเทพี นุชพี่ผู้ร่วมใจ
  ตรัสเรียกสนมใน เสนาะเพราะดังเสียงหงส์
[๔๔๘] ๏ ชมสัตวมฤคฝูง จรคลาออกจากดง
  โตเต้นตามกวางหลง ละเลิงไล่มฤคี
[๔๔๙] ๏ เลียงผาแล่นผันผาย กระเจิงโจนบนคีรี
  พลัดคู่อยู่เอกี เหมือนตูไซร้อยู่เดียวดาย
[๔๕”] ๏ ชมพลางพระทางเสด็จ ยลเยื้องพนมพราย
  จรดลผลูคลาย อาศรมใกล้กุฎีดง
[๔๕๑] ๏ ภูมิพื้นประเทศสนุกนิ์ ดรุณรุกขชาติทรง
  ผลพวงผกาพง เธอหยุดมิ่งมโนมัย
[๔๕๒] ๏  พี่ยังจะจำจริง นั่นโน่นอาศรมไฉน
  ที่พระผู้ทรงไตร ภพครองศีลาจาร
[๔๕๓] ๏ เมื่อแรกวันเรามา ท่านกรุณาช่วยแปลงสาร
  เจ้าข้าไปเมืองมาร จึ่งได้รอดชีวาวัง
[๔๕๔] ๏ พระคุณท่านล้นโลก ตลอดล่างอุทัยทัง
  ควรใส่ไว้ศิรสัง ประนมน้อมเฉลิมชม
[๔๕๕] ๏ ควรเราจะเข้าไป ประนมนิ้วประสานสม
  วรบาทประนมคม ชลีทูลทำนองลา
[๔๕๖] ๏ แต่ว่าเพลานี้ มิควรที่ลิลาคลา
  ควรเราจะสรงสา ครให้สำราญกาย
[๔๕๗] ๏ ตริแล้ว ธ ลงสรง ยังสระแก้ววิเชียรพราย
  ชมเบญจบัวราย ประทุมมาศสลับสลอน
[๔๕๘] ๏ บัวตูมสะพุ่มพวง ดังดวงถันพธูสมร
  ฉุนใจพระภูธร ตระลึงแลเร่งพิศวง
[๔๕๙] ๏ มัจฉาคณาเนก อนันต์มีในสระสรง
  ว่ายแหวกแถกถาลง สู่ท้องธารพากันไป
[๔๖๐] ๏ เป็นหมู่เป็นพวกพันธุ์ บ้างก็หันเข้าเล็มไคล
  บ้างเร้นเข้าเบียดใน ประทุมบังบให้เห็น
[๔๖๑] ๏ คิดมาเหมือนตัวพี่ เมื่อหนีน้องมาลำเค็ญ
  เจ้าตามมาพอเห็น แล้วก็พรากไปจากกัน
[๔๖๒] ๏ ชมแล้วก็แคล้วคลาด วรบาทจรัลผัน
  ผายขึ้นจากสระพลัน ธ ก็ผลัดภูษาทรง
[๔๖๓] ๏ สไบของนางน้อง เธอก็ปองสะพักองค์
  รวยรวยเหมือนกลิ่นอนงค์ นุชน้องลำเพาพาล
[๔๖๔] ๏ เมื่อนั้นอรัญมุนี ฤๅษีสิทธิทรงญาณ
  ทรงเวทชำนาญชาญ ประพฤติธรรมนารมณ์
[๔๖๕] ๏ ครั้นบ่ายทิพากร จรจากพระอาศรม
  จะเร่จรจงกรม บรมทัศนาแปร
[๔๖๖] ๏ เมิลเมียงพระพักตร์เภท นัยน์เนตรชำเลืองแล
  ทอดทัศนาแปร วรบาท ธ เล็งยล
[๔๖๗] ๏ เห็นองค์พระรถเสน อิศเรนทร์ ธ ยังฉงน
  ฉงายใจผู้ใดดล บริเวณสำนักนิ์เรา
[๔๖๘] ๏ โนเนนะแน่งน้อย วรรูปเฉกเฉลา
  เฉลิมโลกย์ประโลมเอา จิตจวนคำนวรถวิล
[๔๖๙] ๏ แต่องคกับม้า ฤๅมาสรงในสระสินธุ์
  พิศพักตร์ลอออินทร์ วรลักษณเพ็ญพาล
[๔๗๐] ๏ คล้ายคล้ายละม้ายเหมีอน กุมารนี้เราแปลงสาร
  ใช้ไปสู่เมืองมาร ชะรอยรอดมาฤๅไฉน



หัวข้อ: Re: พระรถคำฉันท์ วรรณกรรมร้อยกรองสมัยอยุธยา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 27 สิงหาคม 2564 14:46:00
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/65921157474319_29612_640x480_.jpg)

  [๔๗๑] ๏  แม่นแท้ประจักษ์จริง กุมารนี้ไม่สงสัย
  ควรเราจะเข้าไป กิจพร้องคดีดู
  [๔๗๒] ๏  ตริแล้วจึ่งพระดา บสจรตามผลู
มูลมัคคตามภู   ธรทัศนาองค์
  [๔๗๓] ๏ อ่อนโอนศิโรเพฐน์ มงกุฎเกศประณามทรง
บทบาทสไบบง   กชรัตน์ ธ ทูลแถลง
  [๔๗๔] ๏ พระคุณอดุลเลิศ อนันต์กว่านับโกฏิแสน [๓]
  ดินฟ้า บ ทดแทน ฤๅจะปูนจะเปรียบเห็น
  [๔๗๕] ๏ มิแปลงให้ที่ไหนเลย แลจะกลับมาคืนเป็น
  หมู่มารจะราญเข็ญ กระดูกเนื้อไม่เหลือหลอ
  [๔๗๖] ๏ ได้พึ่งพระบาทา พระกรุณามาจานเจือ
  เจ้าข้าจึ่งพ้นเหยื่อ มารร้ายมันรันทำ
  [๔๗๗] ๏  มุนีได้สดับ พจนศัพท์สนองคำ
  จงเจ้าดำเนินนำ สำแดงแจ้งแต่บูรพา
  [๔๗๘] ๏ แรกเริ่มเมื่อเจ้าไป สู่กรุงราชมารา
  มารทำประทุษฐ์ทา รุณโทษเจ้าเป็นไฉน
  [๔๗๙] ๏ สุขทุกข์อย่างไรเล่า จึ่งเจ้ารอดมาพ้นภัย
  จงกล่าวแสดงไป แต่ตามถ้อยคดีควร
  [๔๘๐] ๏ ราชาสดับรส พจนารถประมูลมวล
  อันมีมาโดยควร แต่ปางหลังแสดงถวาย
  [๔๘๑] ๏ เสร็จสิ้นจนอวสาน พระภูบาลเธอบรรยาย
  มุนินทร์ ธ เปรมปราย วรพักตรเพียงจันทร์ ๚ะ
สัททุลวิกกีฬิต ฉันท์ ๑๙
  [๔๘๒] ๏ สรรเสริญเจริญคุณอดุลเดชมหันต์
  มหิทธิ์ฤทธิ์อนันต์ ประเสริฐ
  [๔๘๓] ๏ บุญญายิ่งล้นสกลโลกยบรรเจิด
  รอดแล้วดังกลับเกิด สมเสก
  [๔๘๔] ๏ สมภารท่านได้สร้างแต่ปางอติเรก
  จะเป็นพุทธองค์เอก ยอดญาณ
  [๔๘๕] ๏ จะข้ามคณาสัตว์ประวัติเวียนในสงสาร
  ให้พ้นจากกันดาร วิบัติ
  [๔๘๖] ๏ แล้วอนุญาตประสาทพระวรพิพัฒน์
  เจ้าไปจงเป็นสวัส ดิผลวิบัติ
  [๔๘๗] ๏ ได้ครองกรุงบำรุงประชาราษฎรมณฑล
  สนองบิตุเรศชนม์ ทีฆา
  [๔๘๘] ๏ พาลภัยประทุษฐร้ายวิบัติอย่าพาธา
  โรคโศกแสนสา จงไกล
  [๔๘๙] ๏ ปานนี้แม่ป้าจะลาลดกำสรดซ้อนใจ
  อย่าช้าพ่อเร่งไป อย่านาน ๚ะ
ฉบัง กาพย์ ๑๖
  [๔๙๐] ๏ ราชาก้มเกล้ากราบกราน รับพรอาจารย์
  ประสานนขางามตรู
  [๔๙๑] ๏ สรรเสริญคุณยิ่งเมรู ล้นเหลือใจตู
  จะแทนก็ย่อมย่อมเยา
  [๔๙๒] ๏ มีแต่อาภรณ์พรรเหา เปลื้องจากกายเอา
  ประนมประน้อมถวายไท
  [๔๙๓] ๏ สิทธารับพลางทางไข จงเจ้าเอาไป
  สำหรับประดับองค์อร
  [๔๙๔] ๏ เราไซร้ฤๅษีอยู่ดอน ไม่ควรอาภรณ์
  จะครองบต้องสิกขา
  [๔๙๕] ๏ ขอบคุณอดุลเจ้าวัจนา เช่นเชื้อเมธา
  อันประเสริฐเป็นศักดิ์ศรี
  [๔๙๖] ๏ อย่าช้าควรเจ้าจรลี ไปแจ้งคดี
  แม่ป้าอันทนทุกขัง
  [๔๙๗] ๏ ราชารับพจนัง คำท้าวท่านสั่ง
  ประน้อมชุลีลาจร
  [๔๙๘] ๏ ขึ้นสู่มิ่งม้าอัสดร ลอยล่องเขจร
  เร็วรวดดังลมพัดพาน
  [๔๙๙] ๏  ไปสิ้นรตินทิวาร ประจุสมัยฉายฉาน
  อรุณแผ้วเมฆา
  [๕๐๐] ๏ พอถึงกรุงราชรมยา ขุมเสดาพารา
  ชักม้าลงสู่ขุมขัง
  [๕๐๑] ๏ ทวารชิดปิดแน่นกรึงกรัง พระจึ่งหยุดยั้ง
  ประทับยังร่มสาขี
  [๕๐๒] ๏ ตรัสเรียกสมเด็จชนนี เชิญเถิดพันปี
  ลิลามารับลูกพลัน
  [๕๐๓] ๏ ลูกรอดมาแล้วจอมขวัญ เหตุไรไม่ผัน
  พระพักตรมาแลเลย
  [๕๐๔] ๏  สองครั้งสามครั้งช่างเฉย พระไม่มาเผย
  ชะรอยว่าสิ้นสุดปราณ
  [๕๐๕] ๏ ลูกไปอยู่ช้าหึงนาน อยู่หลังลัยลาญ
  กลับมาไม่ทันเห็นใจ
  [๕๐๖] ๏ แม้ว่าพระม้วยตักษัย สิ้นชีวาลัย
  ลูกไซร้จะตามพันปี
  [๕๐๗] ๏ ฝ่ายองค์สมเด็จชนนี ในราษราตรี
  วันนั้นนิมิตอัศจรรย์
  [๕๐๘] ๏ พระสุบินข้างขึ้นกลางคัน แจ้วแจ้วเสียงอัน
  ผู้ใดมาเรียกให้รับ
  [๕๐๙] ๏ นางเงี่ยโอนโสตทรงสดับ ตรองฟังเสียงศัพท์
  เหมือนเสียงพระทองโฉมตรู
  [๕๑๐] ๏ รอยรอดปลอดภัยมฤตยู พ้นจากริปู
  อรินทร์ร้ายหลีกหนีไกล
  [๕๑๑] ๏ ตริแล้วนางจรคลาไคล เสด็จสู่ทวารไชย
  ใกล้แล้วตระบัดผายเผย
  [๕๑๒] ๏ เห็นพักตร์ลูกรักทรามเชย โอ้แก้วแม่เอ๋ย
  คิดว่าเจ้าม้วยวายชนม์
  [๕๑๓] ๏ อยู่หลังแม่ตั้งทุกข์ทน ยามเพราเสวยชล
  เนตรบเว้นวายวาร
  [๕๑๔] ๏ แม่พร่ำบำบวงทุกสถาน ทุกเทพยพิมาน
  ไปช่วยบำรุงคุ้มครอง
  [๕๑๕] ๏ ครานี้เจ้ารอดมาปอง ดับโศกสิบสอง
  แม่ป้าอันทนทุกขา
  [๕๑๖] ๏ ตรัสพลางทางชวนลูกยา เข้าสู่อุมา
  อุโมงค์กันแสงรักกัน
  [๕๑๗] ๏ แสนโศกพิลาปรำพัน ครั้นวายจาบัลย์
  แม่ป้าเข้าล้อมรายเรียง
  [๕๑๘] ๏ เข้าแอบแนบข้างคลึงเคียง พ่อรอดมาเพียง
  นี้รอยว่าบุญแต่หลัง
  [๕๑๙] ๏ ป้าสู้เคร่าครองชีวัง ชีวาตม์ไว้ฟัง
  รหัสจะรู้ข่าวสาร
  [๕๒๐] ๏ ครั้งนี้เจ้ารอดมาสมาน เหตุไฉนหมู่มาร
  ไม่ทำประทุษฐ์ทารุณ
  [๕๒๑] ๏ พระสดับพจนารถแสดงคุณ นางหนึ่งศุภสุน
  ทรลักษณเลิศนารี
  [๕๒๒] ๏ นงนามวรราชเมรี เป็นราชบุตรี
  แห่งนางสุนนทามาร
  [๕๒๓] ๏ ลูกไปได้ร่วมสงสาร สมสนิทเยาวมาลย์
  เสน่ห์น้องอยู่ครองวัง
  [๕๒๔] ๏ กลเล่ห์ลึกลํ้ากำบัง นางแจ้งให้ฟัง
  ก็ได้สำเร็จโดยใจ
  [๕๒๕] ๏ งั่วนาวม่วงหาวอันใด โองการท่านใช้
  ก็เสร็จสำเร็จโดยมี
  [๕๒๖] ๏  อิกทั้งดวงเนตรชนนี ห่อยามีศรี
  สำหรับประดับโรยทา
  [๕๒๗] ๏ ได้โดยมโนรถจินดา ขอพระชนดา
  จงเงยพระพักตร์บรรจง
  [๕๒๘] ๏ พร้อมทั้งสิบสองพระองค์ จักโรยยาผง
  ประสงค์ซึ่งเนตรงามตรู
  [๕๒๙] ๏ นางฟังพจนารถลูกตู ต่างชื่นชมชู
  ตระบัดก็เงยพร้อมกัน
  [๕๓๐] ๏ จึ่งโรยยาผงลงพลัน ขอจงเนตรนั้น
  เข้าปรับประดิษฐ์ชิดชน
  [๕๓๑] ๏ ติดเข้าดุจเนื้อเดียวดล งามล้ำวิมล
  วิมลาศประเสริฐเฉิดฉาย
  [๕๓๒] ๏ ผ่องพักตร์วรลักษณ์แพร้วพราย แพร้วเพริศเฉิดฉาย
  จะแจ่มจรัสพรายโพยม
  [๕๓๓] ๏ ผ่องแผ้ววรลักษณ์ประโลม พรรณรายรูปโฉม
  ดังเทพยแกล้งมาหล่อเหลา
  [๕๓๔] ๏ โนเนแน่งเนื้อยุพเยาว์ ยลยิ่งเฉกเฉลา
  เฉลิมโลกยลํ้านางแมน
  [๕๓๕] ๏ นางเมืองเนืองนันต์นับแสน โกฏิเทียมฤๅจะแทน
  จะทันมาปูนปานสม
  [๕๓๖] ๏ สิบสองมหิษีชื่นชม ผ่องแผ้วอารมณ์
  อันพ้นจากเภทภัยพาล
  [๕๓๗] ๏ ชวนกันทัศนากุมาร วรลักษณ์เสี่ยมสาร
  วิลาสดังอำมรินทร์
  [๕๓๘] ๏ วรเภทผ่องพักตร์กายิน กายายุพินทร์
  บ่มีมลายแปมปน
  [๕๓๙] ๏ แต่เจ้าคลอดเคลื่อนจรดล จากครรภ์มาจน
  เจริญแม่พึ่งเห็นศรี
  [๕๔๐] ๏ เสาวภาคย์เลิศลํ้าราชี ราชาใดมี
  จะปูนมาเปรียบปานสอง
  [๕๔๑] ๏ วรพักตร์ผ่องเพียงนํ้าทอง หลอมไล่เลียงลอง
  อันหมดมลทินแผ้วพาน
  [๕๔๒] ๏ เสร็จเชยชมโฉมพระหลาน ปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
  บันเทิงภิรมย์ปรีดา
  [๕๔๓] ๏ ฝ่ายองค์สมเด็จมารดา เสร็จสังสนทนา
  แล้วก็เล่าถึงความฝัน
  [๕๔๔] ๏ คืนนี้นิมิตอัศจรรย์ จะประสบจอมขวัญ
  แม่ฝันประจักษ์ใจตู
  [๕๔๕] ๏ ฝันว่าอสุรินทราหู ฉวยดวงจันทร์ชู
  ได้แล้วก็พาบทจร
  [๕๔๖] ๏ มาใกล้ส่งให้มารดร แม่เข้าราญรอน
  ก็ชิงได้ดวงจันทรา
  [๕๔๗] ๏ รัศมีสว่างเวหา ประทับกับอุรา
  อุระแม่ยังอุ่นองค์
  [๕๔๘] ๏ ฝันยังมิทันจะสิ้นลง หน่อยหนึ่งโฉมยง
  เจ้าเรียกแม่ฟื้นตี่นพลัน
  [๕๔๙] ๏ แม่มาพบบุตรดุจฝัน ดับโรคาคัน
  พยาธิร้ายหน่ายหนี
  [๕๕๐] ๏ ศุภสวัสดิจงมี เดโชไชยศรี
  นุภาพปราบสงคราม
  [๕๕๑] ๏ ภัยภิตทุกทิศเข็ดขาม พระยศเลื่องฦๅนาม
  เฉลิมเป็นปิ่นนคร
  [๕๕๒] ๏ ให้สมดังคำมารดร แม่ป้าอวยพร
  ประเสริฐมีเดโชไชย ๚ะ
อินทรวิเชียร ฉันท์ ๑๑
  [๕๕๓] ๏ พระจึ่งรับเอาพร บวรราชสิบสองไท
  เวลาก็จรไป จะเฝ้าท้าวในโรงทอง
  [๕๕๔] ๏ ว่าเจ้าจะไปจง ระวังองค์เร่งตรึกตรอง
  ศัตรูจำนองปอง ชีวิตเจ้าอย่าดูเบา
  [๕๕๕] ๏  ระมัดระเมียรกาย คอยดูเล่ห์ธิบายเขา
  ชั้นเชิงจะลวงเรา ได้ทีแล้วเร่งราญรอน
  [๕๕๖] ๏ พระรับเอาโอวาท ประสาทสิทธิคำสอน
  ก้มเกล้าลิลาจร สู่มิ่งม้าอันตัวยง
  [๕๕๗] ๏ จึ่งหยิบเอากำพด อันปรากฏในรณรงค์
  ซ่อนใส่ภูษาทรง ประทับแทบกับกายพลัน
  [๕๕๘] ๏ เสร็จทรงมโนมัย อันเร็วยิ่งดังกังหัน
  บัดเดี๋ยวถึงโรงคัล เข้าเฝ้าท้าวบังคมไท
  [๕๕๙] ๏ เสนาพฤฒามาตย์ ระดับดาษบังคมไสว
  ต่างต่างก็มีใจ เสน่ห์ในกุมารชาญ
  [๕๖๐] ๏ ฝ่ายองค์ชนกา ธิบดินทรภูบาล
  ภูเบศนราธาร ปราศรัยราชบุตรา
  [๕๖๑] ๏ เจ้าช้ามิหึงนาน จรล่ำพ่อคอยหา
  งั่วนาวยังได้มา ประสงค์ซึ่งจำนงเรา
  [๕๖๒] ๏ เชิญเจ้าสำแดงแถลง กิจแจ้งโดยสำเนา
  ได้มาอย่าช้าเอา มาแจ้งกิจประกอบการ
  [๕๖๓] ๏ นางท้าวละห้อยหา นับวันท่าทุกวันวาร
  จิตตั้งจะฟังสาร ด้วยโรคร้ายมันรันทำ
  [๕๖๔] ๏ ช้านักเกลือกจักจวน ประชวรโรคระสายสำ
  จงเจ้าดำเนินนำ อรรถนั้นมาแจงถวาย ๚ะ
ฉบัง กาพย์ ๑๖
  [๕๖๕] ๏ โอรสฟังพจนภิปราย ก้มเกล้าบังคมถวาย
  ซึ่งงั่วนาวอันอำไพ
  [๕๖๖] ๏ อำพนเลิศล้นเกรียงไกร ยากที่ผู้ใดไป
  จะนำมานี้อัศจรรย์
  [๕๖๗] ๏ อำมาตย์ทั้งหลายเนืองนันต์ หมอบแทบโรงคัล
  ภิวันท์ถวายศุภผล
  [๕๖๘] ๏ เอิกเกริกฦๅทั่วภูวดล ทราบถึงสุนน
  ทามารก็ดาลแสยง
  [๕๖๙] ๏ กูไซร้แกล้งใช้จักแผลง ผลาญชีวาแวง
  ชีวาตม์มันกลับมาเป็น
  [๕๗๐] ๏ กรุงเราจะเศร้าเยือกเย็น ทุกข์ร่ำระกำเข็ญ
  มันกลับมาเป็นศัตรู
  [๕๗๑] ๏ คิดมาน่าแค้นใจตู อย่าช้ามากู
  จะผลาญชีวิตจึ่งควร
  [๕๗๒] ๏ อกมารร่านร้อนรัญจวน ดิ้นโดยโหยหวน
  คำนึงจะล้างภูมินทร์
  [๕๗๓] ๏ ฝ่ายสมเด็จชนการาชินทร์ ราชาธิบดินทร์
  อันหลงแก่ดำฤษณา
  [๕๗๔] ๏ รับเอางั่วนาวแล้วมา ยังห้องสุนนทา
  ตระบัดก็ลุบมิหึง
  [๕๗๕] ๏ นั่งแนบแอบข้างพลางคลึง ซึ่งนุชคำนึง
  งั่วนาวก็ได้โดยใจ
  [๕๗๖] ๏ นางมารฟังสารท้าวไท ทอดทัศนาใน
  ก็ดาลพิกลโทโส
  [๕๗๗] ๏ รับเอางั่วหาวนาวโห่ กายาเติบโต
  พิฦกลํ้าเสมอผา
  [๕๗๘] ๏ เขี้ยวงอกออกโง้งข้างละวา ลำแข้งแขนขา
  ยิ่งพร้อมประปรำลำตาล
  [๕๗๙] ๏ ตาเติบเท่าลูกไข่ห่าน สองเต้าโยนยาน
  สำแดงพิฦกรูปา
  [๕๘๐] ๏ แลบลิ้นปลิ้นปลอกกลอกตา รุกโรมโถมถา
  คระครึกคระครื้นเครงคราง
  [๕๘๑] ๏ เสียงคะนึงอื้ออึงในปรางค์ แล่นไล่ฉวัดฉวาง
  จะจับเอาพระภูธร
  [๕๘๒] ๏ ภูมีหนีซอกซนซอน เข้าแอบบังอร
  เจ้ารถจงช่วยบิดา
  [๕๘๓] ๏ นิ่งได้พ่อไม่นำพา มารร้ายริษยา
  จะฆ่าให้ม้วยวายปราณ ๚ะ
โตฎก ฉันท์ ๑๒
  [๕๘๔] ๏ วรราช ธ สดับ พจนศัพทโองการ
  ยุพราช ธ ก็ดาล ยลยักษธไร
  [๕๘๕] ๏ ธ ก็คชกรกำ พดนำวรไตร
  กรหน่วงสไดไกว อานุภาพประวิตร
  [๕๘๖] ๏ ยลยักษ์ก็กระโจม อรไทด้วยมหิทธิ์
  ชุติมนตร์วรฤท ธิบพิตร ธ ก็รอน
  [๕๘๗] ๏ ธ ก็ตัดศิโรเพฐน์ วรเกศก็ออน
  ชนมยักษก็มร ณนุภาพประทุษฐ์
  [๕๘๘] ๏ ยลกายอริปู พระหทัยจะทรุด
  ยลเพศประวุต ติประทุษฐก็ลาญ
  [๕๘๙] ๏ ยลยักษ์ก็ตักษัย อรไท ธ มาผลาญ
  ชนมชีพก็ราญ รณรงคประลัย ๚ะ
มาลินี ฉันท์ ๑๕
  [๕๙๐] ๏ นิกรชนคณาไคล ต่างต่างมาอวยไชย
  ประนมชม
  [๕๙๑] ๏ บวรนวลนางสนมสม ชวนกันชื่นชม
  ก็ปรีดี
  [๕๙๒] ๏ สกลพหลคณราชี ราชเปรมปรี
  ดิเรืองเรียง
  [๕๙๓] ๏ สกลชนประเวศเวียง ศัพทสำเนียง
  สนั่นวัง
  [๕๙๔] ๏  สกลพลอเนกทั้ง มาพร้อมมาเพรียงนั่ง
  ถวายกร
  [๕๙๕] ๏ มหิทธิพิพิธขจายจร สมเด็จพระภูธร
  ธ ทรงเวท
  [๕๙๖] ๏ บวรประนมประณาเมศ เหนือศิโรเพฐน์
  มาอวยไชย
  [๕๙๗] ๏ สวัสดิพิพัฒนเกรียงไกร เดโชตรลอดไว้
  ทุกธาตรี ๚ะ
  ๏ จบเสร็จสำเร็จเรื่อง เมริน
  ตั้งแต่จากธานินทร์ นิราศร้าง
  มาจวบพบสวามินทร์ ยังฝั่ง น้ำเอย
  เชิญกระวีต่อสร้าง ตกแต้มเติมลง ฯ
  ๏ ชะรอยเราหนึ่งไม้ไผ่ ยกโครง
  ปางเมื่อระยางโยง เยี่ยมฟ้า
  ลงรักปิดทองโถง ปิดทั่ว เถือกแฮ
  เสร็จซึ่งการไป่ช้า เร่งฤ้ๅจนดิน ฯ
  ๏ อาภัพยับเยี่ยงโอ้ บายศรี
  หนึ่งเมื่อการสวัสดี ดั่งแก้ว
  นับยศแต่ยังมี กิจท่าน เดียวนา
  ครั้นเมื่อสำเร็จแล้ว คว่างนํ้าทิ้งเสีย ๚ะ[๑]
 

-------------------------------------------------------------------

[๑] เอกสารเลขที่ ๑๓ เป็น
         “ลางนางก็หลับลืมสกนธไสย     แลละไมประอรเอียง
         องคแอบแลแนบยุคลเคียง   ที่จำเรียงบำรุงนาง”
ตั้งแต่บทที่ ๑๑๕-๑๒๖ เป็นกลบทนาคบริพันธ์
สัมผัสไม่รับกับปลายบทก่อนหน้านี้
โคลง ๓ บทนี้อยู่ตอนท้ายเรื่องพระรถคำฉันท์ในเอกสารเลขที่ ๑๔


หัวข้อ: Re: พระรถคำฉันท์ วรรณกรรมร้อยกรองสมัยอยุธยา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 02 พฤศจิกายน 2564 16:28:49

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/24564594071772__Copy_.jpg)
ภาพวาด ครูเหม เวชกร

 พระรถคำหวน  

[๑] อินทรวิเชียร ฉันท์ ๑๑
  [๑] ๏ สรวมชีพบังคมบาท พระโลกนาถจอมโมลี
ขอจงเจริญศรี ศรีสวัสดิกำจัดเข็ญ
  [๒] ๏ ทั้งคุณพระธรรมเจ้า มาปกเกล้าทุกเช้าเย็น
ทั้งพระภิกขุเป็น ชิโนรสพระทศญาณ
  [๓] ๏ จงรับประสานหัตถ์ ซึ่งข้าทำนมัสการ
คุณครูผู้ชำนาญ ชำนิกลอนสอนศิษย์มา
  [๔] ๏ เชิญช่วยอำนวยสวัสดิ์ ให้เจนจัดในอักขรา
ใช่เชื้อเนื้อเมธา ทาสปัญญานั้นยังอ่อน
  [๕] ๏ อ่านแล้วอย่าหยันเย้ย ด้วยมิเคยคิดบทกลอน
เขินขาดคลาดอักษร ช่วยแต่งเติมให้ปรีชา ๚ะ
  [๖] ๏ ปางองค์พระทรงโฉม พระรถโสมนัสสา
เชยชมภิรมยา เสน่ห์น้องประคองนวล
  [๗] ๏ คลึงเคล้าเฝ้าอิงแอบ ถนอมแนบกระเษมสรวล
พิศลักขณานวล สวาดิพี่มิรู้วาย
  [๘] ๏ สองชมสองสมสวาดิ วรราชเมรีสาย
สมรแม่มิให้ระคาย ฤทัยท้าวเท่าใยยอง
  [๙] ๏ บำรุงสวามี สตรีใดเสมอสอง
หลงเชิงละเลิงปอง นึกว่าท้าวจะเนานาน
  [๑๐] ๏ องค์พระมหิษี เมรีราชนงคราญ
ครั้นล่วงราตรีกาล สุดามานนิทรารมย์
  [๑๑] ๏ ร่วมเรียงเคียงสัมผัส สองกระษัตริย์กระเษมสม
ปวงนางถวายลม รำเพยพัดเมื่อไสยา
  [๑๒] ๏ ดาวเดือนก็เคลื่อนคล้อย พาชีคอยสหัสสา
กระทืบเปรื่องกระเดื่องปรา รภเพื่อจะเตือนองค์
  [๑๓] ๏ ปางองค์อิศรราช สถิตอาสน์อันยรรยง
ยินเสียงสำเนียงจง จิตแจ้งว่าอาชา
  [๑๔] ๏  เร่งรนให้ดลสถาน พระสงสารยุพาพะงา
จากเรียมจะเกรียมอา รมณ์น้องจะหมองศรี
  [๑๕] ๏ ยิ่งคิดยิ่งละห้อย พระเศร้าสร้อยฤทัยทวี
รอรั้งดังหนึ่งชี วิตม้วยด้วยดวงสมร
  [๑๖] ๏ คิดถึงองค์บังเกิดเกศ เพราะเหตุมีพี่จึ่งจร
ตื่นขึ้นแม่จักรอน รันทรวงไห้ไม่วายวัน
  [๑๗] ๏ พระเปลื้องสะพักทรง เปลี่ยนกับองค์เจ้าจอมขวัญ
เขนยข้างค่อยวางพลัน ให้แนบน้องประคองเคียง
  [๑๘] ๏ แทนองค์พระทรงสวัสดิ์ จอมกระษัตริย์จะจากเวียง
พิศพักตร์สุดาเพียง อุระท้าวจะร้าวราน
  [๑๙] ๏ เจ็บดุจดังศร พระสี่กรประหารผลาญ
อกโอ้อาลัยลาญ เทวษพี่นิราศา
  [๒๐] ๏ ยินเสียงดุเหว่าแว่ว ทั้งไก่แก้วก็ตื่นตา
ขันเร่งพระสุริยา เกือบล่วงราษราตรี
  [๒๑] ๏ จุมพิตทั้งนิทรา มิใคร่คลาคลาดจากศรี
อาดูรแม่อยู่จงดี สมรพี่นี้เนาสถาน
  [๒๒] ๏ ก่อนเถิดอย่าเกรียมกรม ครองสนมศฤงคาร
เรียมไปใจหนึ่งปาน เมรุทุ่มมาทับทรวง
  [๒๓] ๏ มิ่งม้าอาชาชาติ เห็นอิศรราชเธอหนักหน่วง
คอยค้อยเวลาล่วง อโณทัยที่ไขแสง
  [๒๔] ๏ ดูเถิดพระปิ่นปัก มาหลงรักไม่เคลือบแคลง
ขัดใจพาชีแผลง อานุภาพกระทืบโครม
  [๒๕] ๏ กึกก้องร้องสนั่น ยินถึงกรรณพระทรงโฉม
เตือนให้ฤทัยโทม นัสนักรื้อหักใจ
  [๒๖] ๏ จะหลงอยู่เช่นนี้ พระชนนีจะทำไฉน
โอ้อกนิราไกล นิราศรักจำหักหวง
  [๒๗] ๏ ขืนดำรงปลดห่อโอสถ อีกกำพตแลห่อดวง
เนตรแม่ป้ามะนาวม่วง ทั้งสองพวงได้โดยหมาย
  [๒๘] ๏ เสร็จสมอารมณ์มาด จึงจากอาสน์วิเชียรฉาย
องค์อ่อนระทวยกาย คิดถึงสายสวาดิเรียม
  [๒๙] ๏ รํ่าร่ำจะใคร่กลับ ให้วาบวับฤทัยเกรียม
ผู้ใดเศร้าไม่เท่าเทียม อุระพี่ที่ไห้หวน
  [๓๐] ๏ เสด็จดลยังโรงราช อาชาชาติก็เชิญชวน
เรืองรองแสงทองจวน อรุณรุ่ง ณ รังสี
  [๓๑] ๏ น้อยฤๅบาทยุคล มากังวลด้วยเทพี
ไม่คิดถึงชนนี ธิราชท้าวจะคอยหา
  [๓๒] ๏ ไม่เสด็จจงยับยั้ง ข้านี้หวังจะทูลลา
ไปก่อนอยู่เป็นผา สุกสวัสดิ์เสวยรมย์
  [๓๓] ๏ ท้าวฟังพาชีประชด พระทรงยศกระมลกรม
เจ็บจากเพราะจากสม ไม่ถือถ้อยคำพาชี
  [๓๔] ๏ เมียงเมิลพระนัยน์ค้อน สะท้อนถอนฤทัยทวี
สถิตหลังพาชีลี ลาศลิ่วอำพรเพียง
  [๓๕] ๏ ยลวังนิเวศสวาดิ นิราศร้างบำเรอเรียง
ขนิษฐ์เอยพี่เคยเคียง อุระน้องประคองขวัญ
  [๓๖] ๏ พระยาสินธพชาติ ก็เผ่นผงาดระเห็จหัน
เหิรหาวพ้นเขตขัณ ฑเสมาถึงป่าเนิน
  [๓๗] ๏ ข้ามห้วยละหานเหว ถึงปล่องเปลวสิงขรเขิน
สัตตภัณฑ์บรรพตเถิน ไศลลาดสะอาดตา ๚ะ
  [๓๘] ๏ ปางอิศราพงศ์ ชักม้าลงที่เชิงผา
หอมหวนลำดวนป่า ทัศนาตระลึงหลง
  [๓๙] ๏ แม้นแม่มาด้วยพี่ จะชวนชี้ให้ชมดง
มะลิวัลย์พันประยงค์ เห็นกาหลงพี่หลงหา
  [๔๐] ๏ หลงไห้ไม่วายเทวษ หอมดอกเกดแก้วจำปา
กุหลาบเทศก็กลิ่นสา หัสยั่วให้เรียมตรอม
  [๔๑] ๏ อบเชยเหมือนเชยศรี เปรียบพี่เชยสวาดิถนอม
อัมพาพี่พาจอม สนมนาฏประพาสสวน
  [๔๒] ๏ เคลิ้มไคล้นัยน์เนตร กรมเทวษฤทัยครวญ
พิศทรงอนงค์นวล ยังติดในนัยนา
  [๔๓] ๏  เคลิ้มแว่วเหมือนแก้วเนตร เยาวเรศแม่ตามมา
เหลือบเหลียวพระพักตร์หา ไม่ยลมิ่งอนงค์ยง
  [๔๔] ๏ ยิ่งหอมกลิ่นสไบบาง พระน้องนางที่เคยทรง
เปลื้องเปลี่ยนจากโฉมยง ไม่รู้องค์ยังนิทรา
  [๔๕] ๏ ได้ชมพลางต่างขนิษฐ์ ไม่วายคิดถวิลหา
แม่ตื่นขึ้นจะอาทวา เทวษไห้ไม่วายครวญ
  [๔๖] ๏ ทวีทุกข์ทุกคํ่าเช้า จะโศกเศร้าฤทัยหวน
เสียศรีสลดนวล เพราะพี่นี้นิราไกล
  [๔๗] ๏ เราสองเคยปองสร้าง เวราปางจะทำไฉน
นุชแม่ไม่เห็นใจ ว่าพี่นี้แกล้งหนีจร
  [๔๘] ๏ จะพิโรทพิไรเรียม จักกรอมเกรียมฤทัยถอน
ก่นกินแต่อาวรณ์ สมรไห้ไม่วายวัน
  [๔๙] ๏ ใครหนอจะช่วยปลอบ ให้ชื่นชอบกระเษมสันต์
คลายทุกข์ที่รุมรัน ขวัญเนตรพี่พี่จากมา
  [๕๐] ๏ ม้ามิ่งอันยิ่งยง นิ่งฟังองค์เธอโศกสา
หัสเหลือจะคณนา อัศวาก็ทูลพลัน
  [๕๑] ๏ ข้าแต่พระทรงโฉม ไยเฝ้าโทรมนัสศัลย์
เชิญสดับคดีอรร - ถฟังข้าอาชาทูล
  [๕๒] ๏ ใช่ไปจะไม่กลับ เมื่อทุกข์ดับอุราพูน
ชนนีเพียงจักสูญ ด้วยศัตรูคอยปองผลาญ
  [๕๓] ๏ รีบเสด็จดลชนนีนาฏ ละนิราศสำเร็จการ
สนองคุณได้คืนผ่าน พิภพสบกระเษมสม
  [๕๔] ๏ แล้วจึงบังคมบาท ชนกนาถมาตุรงค์
ไทท้าวก็คืนคง อนุญาตประสาทจร
  [๕๕] ๏ หนึ่งข้าจะพาท้าว มาคลึงเคล้าภิรมย์สมร
โลมขวัญนุชอร ดุจดังพระทัยหมาย
  [๕๖] ๏ ปลอบพลางทางพาชี เร่งเหาะหนีรีบผันผาย
เห็นเขาวิเชียรพราย ดูลดหลั่นเป็นชั้นเชิง
  [๕๗] ๏ ภูมิเขาลำเนาพฤกษ์ งามพิฦกชะวากเวิ้ง
ร่มรื่นที่พื้นเพิง ชะงำเงื้อมชะง่อนผา
  [๕๘] ๏ ควรที่จะผ่อนพัก ให้จอมจักรเธอค่อยคลา
คลายครวญรัญจวนหา จึงพาพระเสด็จดล
  [๕๙] ๏ ทูลพลางทางอาชา ก็ลงมาจากอัมพล
ประทับที่คิรีบน บรรพตให้ ธ เปรมปรีดิ์ ๚ะ
  [๖๐] ๏ ปางนั้นอนงค์นาฏ วรราชเมรี
ห่อนรู้สึกสมประดี ว่าภรรดานิราสมร
  [๖๑] ๏ เอองค์ลงหลับสนิท สถิตที่แท่นบวร
เดือนดาวดารากร ก็เลือนลับโพยมาน
  [๖๒] ๏ เสียงฆ้องประโคมวัง ระฆังพลอยสนั่นหวาน
ไก่แก้วยิ่งขันขาน กระพือเร้าเร่งรีบรน ๚ะ
[๑] ฉบัง กาพย์ ๑๖
  [๖๓] ๏ ชายาพลิกกายาฉงน แปรพระพักตร์ยล
ห่อนพบบพิตรภรรดา
  [๖๔] ๏  เห็นแต่เขนยแทนราชา ทั้งพระภูษา
เปลี่ยนไว้ก็น่าอัศจรรย์
  [๖๕] ๏ เอ๊ะผิดประหลาดหลากครัน ไม่ทราบเหตุอัน
ท้าวเธอเสด็จแห่งใด
  [๖๖] ๏ ชะแง้หาพระผู้ไกร วาบหวามฤทัย
รันทดเทวษรุมทรวง
  [๖๗] ๏ ครั้งนี้มีทุกข์ใหญ่หลวง เหมือนใครเด็ดดวง
ชีวิตให้ปลิดจากกาย
  [๖๘] ๏ ควรฤๅหลงเล่ห์ลมชาย อัสสุชลพร่างพราย
ย้อยหยดรันทดระทวยทรง
  [๖๙] ๏ เพราะพระยอดเสน่ห์เอองค์ จากเนื้อนวลประจง
จืดจางร้างรสไมตรี
  [๗๐] ๏ พระมิได้เอื้อเฟื้ออาลัย จึ่งมาเกลียดไกล[๒]
ผู้ข้าอันรองบทมาลย์
  [๗๑] ๏ ครวญพลางนางเสด็จบนาน จากแท่นสุรกาญ
จนามณีเรืองไร
  [๗๒] ๏ แหวกหว่างวิสูตรสองไข จึ่งเสด็จครรไล
ถึงฉากวิเชียรชั้นกลาง
  [๗๓] ๏ พระสนมก้มเกล้าเบญจางค์ แสนสาวสุรางค์
คอยตรับรับราชเสาวนีย์
  [๗๔] ๏ ปางปิ่นขัตติยราชเมรี โศกเศร้าสลดศรี
มิใคร่จะเยื้อนพจนา
  [๗๕] ๏ จำใจจำออกวาจา กับสนมในปรา
สาทแจ้งรหัสเหตุผล
  [๗๖] ๏ บัดนี้สมเด็จภูวดล เราคิดฉงน
ไสยาสน์ปราสาทหลากหาย
  [๗๗] ๏ นางใดใครรู้เงื่อนสาย อย่าอำคำขยาย
นุสนธิ์ให้สิ้นสงสัย
  [๗๘] ๏ ปวงนางบริรักษ์ตกใจ รับพจนาไข
น้อมเกล้าประณตทูลสาร
  [๗๙] ๏ คืนนี้ในราตรีกาล ย่ำสนธยานาน
ข้าบาทยินเสียงอาชา
  [๘๐] ๏ รนร้องกึกก้องดังปรา กฏยิ่งสหัสา
เพียงโรงจะทรุดทำลาย
  [๘๑] ๏ เล่ห์กลพาชีแยบคาย แกล้งส่งเสียงถวาย
เหมือนทูลให้เธอคืนสถาน
  [๘๒] ๏ ป่างองค์เยาวยอดนงคราญ ครั้นได้สดับสาร
พวกนางบริรักษ์ทูลสนอง
  [๘๓] ๏ เคลือบแคลงฤทัยตริตรอง พักตร์เผือดหม่นหมอง
จึ่งตรัสสุนทรอ่อนหวาน
  [๘๔] ๏ ข้าแต่แม่เจ้าอย่านาน แสวงหานฤบาล  
ให้พบพระยอดยศยง
  [๘๕] ๏ แม้ท้าวเธอต้องประสงค์ สนมใดแล้วคง
เห็นองค์พระปิ่นโมลี
  [๘๖] ๏ อย่าให้เคืองเบื้องบทศรี หนึ่งโรงพาชี
ที่เคยประพาสนิรันดร์
  [๘๗] ๏ เร็วเถิดสาวใช้รายกัน หาองค์ทรงธรรม์
ธิราชผู้เรืองเดชา
  [๘๘] ๏ กิตติศัพท์นั้นอย่าให้ปรา กฏแจ้งครหา
นินทาจะมาแปมปน
  [๘๙] ๏ เที่ยวไปทั่วในปรางค์พิมล แม้นแจ้งยุบล
ยลแล้วจงเร่งกลับมา ๚ะ
[๑] สุรางคนางค์ กาพย์ ๒๘
[๙๐] ๏ ปวงนางสดับพจน์
น้อมเกล้าประณต ต่างคนคลายคลา
จุดเทียนสอดส่อง ชั้นช่องมณฑิรา
ทุกห้องสนมหา แห่งใดห่อนเห็น
[๙๑] ๏ บพบพงศ์กระษัตริย์
เที่ยวทั่วจังหวัด นิเวศวังเวณ
ค้นคว้าหาจบ จนโรงคเชนทร์
โรงรถราชเยนทร์ ทบทวนป่วนหา
[๙๒] ๏ ม้ามิ่งยิ่งยง
พาหนะพระองค์ ผู้ทรงอิศรา
หายสูญไม่เห็น หนแห่งใดนา
ฤๅหนึ่งอัศวา พาท้าวแรมสูญ ๚ะ
[๑] ฉบัง กาพย์ ๐๖
[๙๓] ๏ นางผู้รับสั่งอาดูร ความทุกข์เพียบพูน
สุดรู้สุดฤทธิ์จิตจน
[๙๔] ๏ ความยากครั้งนี้ถึงตน คงจะเอาพนสณฑ์
เป็นที่คฤหาอาศัย
[๙๕] ๏ ปรึกษาเสร็จพร้อมยอมใจ พอแสงอโณทัย
สว่างพ่างพี้นอัมพร
[๙๖] ๏ ปวงนางต่างกลับยังสมร น้อมเกล้าถวายกร
บ้างข้อนอุรารำพัน
[๙๗] ๏ แม่มิ่งมงกุฎสาวสรร แต่นี้นิรัน
รันดรจะข้อนทรวงโทรม
[๙๘] ๏ เพราะพระปิ่นภพร้างโฉม ตั้งแต่เศร้าโทรม
นัสจะเนืองนองชล
[๙๙] ๏ ข้าบาทตามเจ้าจอมสกล พระรถนฤมล
ทราบว่าอาชาพาจร
[๑๐๐] ๏ จากพระนิเวศรังสมร พ้นเขตพระนคร
สุดสิ้นความคิดติดตาม ๚ะ
[๑] อินทรวิเชียร ฉันท์ ๑๑