[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน => ข้อความที่เริ่มโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 15 สิงหาคม 2554 10:36:01



หัวข้อ: เรื่องพระอานนท์กับนางโกกิลา
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 15 สิงหาคม 2554 10:36:01
(http://album.taklong.com/addons/albums/images/993176102.jpg)



น้องหญิง ต่อไปเมื่อไม่มีธุระอะไรก็อย่ามาอีก

ถ้ามีความสงสัยเกี่ยวกับข้อธรรมวินัยอันใด

ก็ให้ถามเมื่ออาตมาไปสู่สำนักภิกษุณีเพื่อให้โอวาท

คืนนั้นเองนางนอนร้องไห้ตลอดคืน น้อยใจเสียใจและเจ็บใจตนเอง

พระอานนท์หรือก็ช่างใจไม้ไส้ระกำเสียเต็มประดา

จะเห็นแก่ความรักของเราบ้างก็ไม่มีเลย

นางยิ่งคิดยิ่งช้ำและน้อยใจ

ภิกษุณีผู้พักอยู่ ณ ที่ใกล้ได้ยินเสียงสะอื้นในยามดึก จึงลุกมาหาด้วยความเป็นห่วง ถามนางว่า

โกกิลา มีเรื่องอะไรหรือ ?

อ้อ................ไม่มีอะไรหรอก สุมิตรา ข้าพเจ้าฝันร้ายไป รู้สึกตกใจมากเลยร้องไห้ออกมา

ขอบใจมาก ที่ท่านเป็นห่วงข้าพเจ้า

นางตอบฝืนสีหน้าให้ชุ่มชื่นขึ้น

พระศาสดาสอนว่าให้เจริญเมตตา แล้วจะไม่ฝันร้าย

ท่านเจริญเมตตาหรือเปล่าก่อนนอนน่ะ ภิกษุณีสุมิตราถามอย่างกันเอง

อือ เมื่อเจริญเมตตาแล้วจะไม่ฝันร้ายอย่างนั้นหรือ ?

ใช่ก่อนนอนคืนนี้ ข้าพเจ้าลืมไป ท่านกลับไปนอนเถิด

ข้าพเจ้าขอภัยด้วยที่ร้องไห้ดังไปจนท่านตื่น

เมื่อภิกษุณีสุมิตรากลับไปแล้ว ภิกษุณีโกกิลาก็คิดถึงชีวิตของตัว ชีวิตของนางเต็มไปด้วยความเป็นทาส

เมื่อก่อนบวชก็เป็นทาสทางกาย พอปลีกจากทาสทางกายมาได้ก็มาตกเป็นทาสทางใจเข้าอีก

แน่นอนทีเดียว ผู้ใดตกอยู่ในความรัก ดวงใจผู้นั้นย่อมเป็นทาส ทาสของความรัก

ทาสรักนั้น จะไม่มีใครสามารถช่วยปลดปล่อยได้ นอกจากเจ้าของดวงใจจะปลดปล่อยเอง

นางหลับไปด้วยความอ่อนเพลียเมื่อจวนจะรุ่งสางอยู่แล้ว



.........................กับโกกิลาภิกษุณี.....................




ในที่สุดเมื่อเห็นว่าจะสะกดใจไว้ไม่อยู่แน่แล้ว นางจึงตัดสินใจลาพระศาสดา

พระอานนท์ และเพื่อนภิกษุณีอื่น ๆ จากวัดเชตวันเมืองสาวัตถี

มุ่งหน้าสู่โฆสิตาราม เมืองโกสัมพี

ด้วยคิดว่า การอยู่ห่างอาจจะเป็นยารักษาโรคได้บ้างกระมัง

นางจากเชตวันด้วยความอาลัยอาวรณ์เป็นยิ่ง

อุปมาเหมือนมารดาต้องจำใจจากบุตรสุดที่รักของตัวฉันใดก็ฉันนั้น

นางอยู่จำพรรษา ณ โฆสิตารามซึ่งโฆสิตมหาเศรษฐีสร้างถวายพระพุทธองค์

สามเดือนที่อยู่ห่างพระอานนท์ ดวงจิตของนางผ่องแผ้วแจ่มใสขึ้น

การท่องบ่นสาธยายและการบำเพ็ญสมณธรรมก็ดีขึ้นตามไปด้วย

นางคิดว่าคราวนี้คงตัดอาลัยในพระอานนท์ได้เป็นแน่แท้

แต่ความรักย่อมมีวงจรของมัน จนกว่ารักนั้นจะสิ้นสุดลง

ชีวิตมักจะเป็นอย่างนี้เสมอ เมื่อใครคนหนึ่งพยายามดิ้นรนหาความรัก

เขามักจะไม่สมปรารถนา แต่พอเขาทำท่าจะหนี ความรักก็ตามมา

ความรักจึงมีลักษณะคล้ายเงา เมื่อบุคคลวิ่งตามมันจะวิ่งหนี



หัวข้อ: Re: เรื่องพระอานนท์กับนางโกกิลา
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 15 สิงหาคม 2554 10:39:02
(http://album.taklong.com/addons/albums/images/993176102.jpg)


แต่เมื่อเขาวิ่งหนี มันจะวิ่งตาม

ด้วยกฎอันนี้กระมัง เมื่อนางหนีรักออกจากเชตวันและมาสงบอยู่ ณ กรุงโกสัมพีนี้

เมื่อออกพรรษาแล้ว ข่าวการเสด็จสู่กรุงโกสัมพีของพระผู้มีพระภาคก็แพร่สะพัดมา

ซึ่งเป็นการแน่นอนว่าพระอานนท์จะต้องตามเสด็จมาด้วย

ชาวโกสัมพีทราบข่าวนี้ด้วยความชื่นชมโสมนัส

ภิกษุสงฆ์ต่างจัดแจงปัดกวาดเสนาสนะ เตรียมพระคันธกุฎีที่ประทับของพระศาสดา

พระเจ้าอุเทนเองซึ่งไม่ค่อยจะสนพระทัยในทางธรรมนักก็อดที่จะทรงปรีดาปราโมชมิได้

เพราะถือกันว่าพระศาสดาเสด็จไป ณ ที่ใด ย่อมนำความสงบสุขและมงคลไปสู่ที่นั้นด้วย

การสนทนาเรื่องการเสด็จมาของพระศาสดา มีอยู่ทุกหัวระแหงแห่งกรุงโกสัมพี

ศาสดาคณาจารย์เจ้าลัทธิต่าง ๆ ก็เตรียมผูกปัญหาเพื่อทูลถาม

บางท่านก็เตรียมถามเพื่อให้พระศาสดาจนในปัญหาของตนเอง

บางท่านก็เตรียมถามเพื่อความรู้ความเข้าใจจริง

และบางท่านก็เตรียมถามเพียงเพื่อเทียบเคียงความคิดเห็นเท่านั้น

หมู่ภิกษุสงฆ์ปีติปราโมชเป็นอันมาก เพราะการเสด็จมาของพระศาสดา

ย่อหมายถึงการได้ยินได้ฟังมธุรภาษิตจากพระองค์ด้วย

และบางท่านอาจจะได้บรรลุคุณวิเศษเบื้องสูง เพราะธรรมเทศนานั้นพระ

ใครจะทราบบ้างเล่าว่า ดวงใจของโกกิลาภิกษุณีจะเป็นประการใด

เมื่อบ่ายวันหนึ่งเพื่อนภิกษุณีนำข่าวมาบอกนางว่า

นี่ โกกิลา ท่านทราบไหมว่าพระศาสดาจะเสด็จมาถึงนี่เร็ว ๆ นี้ ?

อย่างนั้นหรือ ? นางมีอาการตื่นเต้นเต็มที่ "เสด็จมาองค์เดียวหรืออย่าไร ?

ไม่องค์เดียวหรอก ใคร ๆ ก็รู้ว่าเมื่อพระศาสดาเสด็จมา

จะต้องมีพระเถระผู้ใหญ่มาด้วย หรืออาจจะมาสมทบทีหลังก็ได้

แต่ท่านที่ต้องตามเสด็จแน่คือ พระอานนท์พุทธอนุชา

พระอานนท์ ! นางอุทาน พร้อมด้วยเอามือทาบอก

ทำไมหรือ โกกิลา ดูท่านตื่นเต้นมากเหลือเกิน ?

ภิกษุณีรูปนั้นถามอย่างสงสัย

เปล่าดอก ข้าพเจ้าดีใจที่จะได้เผ้าพระศาสดา

และฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์

ดีใจจนควบคุมตัวไม่ได้ นางตอบเลี่ยง

ใคร ๆ เขาก็ดีใจกันทั้งนั้นแหละโกกิลา

คราวนี้เราคงได้ฟังธรรมกถาอันลึกซึ้ง

และได้ฟังมธุรภาษิตของพระมหาเถระเช่นพระสารีบุตร

และพระมหากัสสป หรือพระอานนท์เป็นต้นภิกษุณีรูปนั้นกล่าว

วันที่รอคอยก็มาถึง พระศาสดามีพระภิกษุสงฆ์อรหันต์หมู่ใหญ่แวดล้อมเสด็จ

ถึงกรุงโกสัมพี พระราชาธิบดีอุเทน และเสนามหาอำมาตย์

พ่อค้าพระชาชน สมณพราหมณจารย์ ถวายการต้อนรับอย่างมโหฬารยิ่ง



หัวข้อ: Re: เรื่องพระอานนท์กับนางโกกิลา
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 15 สิงหาคม 2554 10:42:21
(http://album.taklong.com/addons/albums/images/993176102.jpg)


ก่อนถึงซุ้มประตูโฆสิตารามประมาณกึ่งโยชน์

มีประชาชนจำนวนแสนคอยรับเสด็จ

มรรคาดารดาษไปด้วยกลีบดอกไม้นานาพันธุ์หลากสี

ที่ประชาชนนำมาโปรยปรายเพื่อเป็นพุทธบูชา

ในบริเวณอารามก่อนเสด็จถึงพระคันธกุฎี

มีภิกษุณีจำนวนมากรอรับเสด็จ ทุกท่านมีแววแห่งปีติปราโมช

ถวายบังคมพระศาสดาด้วยความเคารพอันสูงสุด

พระอานนท์ตามเสด็จพระพุทธองค์ด้วยกิริยาที่งดงามมองดูน่าเลื่อมใส

ทุกคนต่างชื่นชมพระศาสดาและพระอานนท์

และผู้ที่ชื่นชมในพระอานนท์เป็นพิเศษ

ก็เห็นจะเป็นโกกิลาภิกษุณีนั่นเอง

ทันใดที่นางได้เห็นพระอานนท์ ความรักซึ่งสงบตัวอยู่ก็ฟุ้งขึ้นมาอีก

คราวนี้ดูเหมือนจะรุนแรงยิ่งกว่าคราวก่อน

เพราะเป็นเวลาสามเดือนแล้วที่นางมิได้เห็นพระอานนท์

ความรักที่ทำท่าจะสงบลงนั้น

มันเป็นเหมือนติณชาติซึ่งถูกลิดรอน ณ เบื้องปลาย

เมื่อขึ้นใหม่ย่อมขึ้นได้สวยกว่า มากกว่า

และแผ่ขยายโตกว่า ฉะนั้น

นางรีบกลับสู่ห้องของตน บัดนี้

ใจของนางเริ่มปั่นปวนรวนเรอีกแล้ว

จริงทีเดียว ในจักรวาลนี้ไม่มีไฟอะไรร้อนแรงและดับยากเท่าไฟรัก

ความรักเป็นความเรียกร้องของหัวใจ

มนุษย์เราทำอะไรลงไปเพราะเหตุเพียงสองอย่างเท่านั้น

คือเพราะหน้าที่อย่างหนึ่ง

และเพราะความเรียกร้องของหัวใจอีกอย่างหนึ่ง

ประการแรก แม้จะทำสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง

มนุษย์ก็ไม่ค่อยจะเดือดร้อนเท่าใดนัก

เพราะคนส่วนมากหาได้รักหน้าที่เท่ากับความสุขส่วนตัวไม่

แต่สิ่งที่หัวใจเรียกร้องนี่ซิ ถ้าไม่สำเร็จ

หรือไม่สามารถสนองได้ หัวใจจะร่ำร้องอยู่ตลอดเวลา

มันจะทรมานไปจนกว่าจะหมดฤทธิ์ของมันหรือมนุษย์ผู้นั้นตายจากไป

โกกิลาภิกษุณีกำลังต่อสู้กับสิ่งสองอย่างนี้อย่างน่าสงสาร

หน้าทีของนางคือการทำลายความรักความใคร่

บันนี้นางเป็นภิกษุณี มิใช่หญิงชาวบ้านธรรมดา

นางจึงต้องพยายามกำจัดความรักความใคร่ระหว่างเพศให้หมดไป

แต่หัวใจของนางกำลังเรียกร้องหาความรัก

หน้าที่กับความเรียกร้องของหัวใจอย่างไหนจะแพ้ จะชนะ

ก็แล้วแต่ความเข้มแข็งของอำนาจฝ่ายสูงหรือฝ่ายต่ำ

ผู้หญิงนั้นลงได้ทุ่มเทความรักให้แก่ใครแล้ว

ก็มั่นคงเหนียวแน่นยิ่งนัก ยากที่จะไถ่ถอน

และความรักที่ไม่มีทางสมปรารถนาเลยนั้น

เป็นความปวดร้าวอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิง

ดวงใจของเธอจะระบมบ่มหนอง

ในที่สุดก็แตกสลายลงด้วยความชอกช้ำนั้น

อนิจจา ! โกกิลา



หัวข้อ: Re: เรื่องพระอานนท์กับนางโกกิลา
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 15 สิงหาคม 2554 10:45:08
(http://album.taklong.com/addons/albums/images/993176102.jpg)



แม้เธอจะรู้ว่าความรักของเธอไม่มีทางจะสมปรารถนาได้เลย

แต่เธอก็ยังรัก สุดที่จะหักห้ามและไถ่ถอนได้

อีกคืนหนึ่งที่นางต้องกระวนกระวายรัญจวนจิตถึงพระอานนท์

นอนพลิกไปพลิกมา นัยน์ตาเหม่อลอยอย่างไร้จุดหมาย

นาน ๆ จึงจะจับนิ่งอยู่ที่เพดานหรือขอบหน้าต่าง

นางรู้สึกว้าเหว่เหมือนอยู่ท่ามกลางป่าลึกเพียงคนเดียว

ทำไมนางจึงว้าเหว่ ในเมื่อคืนนั้นเป็นคืนแรกที่พระศาสดาเสด็จมาถึง

ราชามหาอำมาตย์และพ่อค้าคหบดีมากหลายมาเฝ้าพระผู้มีพระภาค

เหมือนสายน้ำที่หลั่งไหลอยู่มิได้ขาดระยะ

มันเป็นเรื่องของผู้หญิงที่ผู้ชายน้อยคนนักจะเข้าใจและเห็นใจ

ภิกษุณีโกกิลาถอนสะอื้นเบา ๆ

เมื่อเร่าร้อนและกลัดกลุ้มถึงที่สุด

น้ำตาเท่านั้นที่จะช่วยบรรเทาความระทมขมขื่นลงได้บ้าง

เพื่อนที่ดีในยามทุกข์สำหรับผู้หญิงก็คือน้ำตา

ดูเหมือนจะไม่มีอะไรอีกแล้วจะเป็นเครื่องปลอดประโลมใจได้เท่าน้ำตา

แม้มันจะหลั่งไหลจากขั้วหัวใจ

แต่มันก็ช่วยบรรเทาความอึดอัดลงได้บ้าง

เนื่องจากผู้หญิงถือว่าชีวิตเป็นส่วนหนึ่งของความรัก

ตรงกันข้ามกับผู้ชายซึ่งมันจะเห็นว่าความรักเป็นเพียงบางส่วนของชีวิตเท่านั้น

เมื่อเกิดความรักผู้หญิงจึงทุ่มเททั้งชีวิตและจิตใจให้แก่ความรักนั้น

ทุ่มเทอย่างยอมเป็นทาส โกกิลาเป็นผู้หญิงคนหนึ่งในโลก

เธอจะหลีกเลี่ยงความจริงในชีวิตหญิงไปได้อย่างไร

พระดำรัสของพระศาสดาซึ่งทรงแสดงแก่พุทธบริษัทเมื่อสายัณห์

ยังคงแว่วอยู่ในโสตของนาง พระองค์ตรัสว่า

ไม่ควรปล่อยตนให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความรัก

เพราะการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นเรื่องทรมาน

แลเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพรากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย

ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ

ไม่วันใดก็วันหนึ่ง.........................

พระพุทธดำรัสนี้ช่างเป็นความจริงเสียนี่กระไร

แต่เธอจะพยายามหักห้ามใจมิให้คิดถึงพระอานนท์สักเท่าใดก็หาสำเร็จไม่

เธอตกเป็นทาสแห่งความรักแล้วอย่างหมดสิ้นหัวใจ

รุ่งขึ้นเวลาบ่ายนางเที่ยวเดินชมโน่นชมนี่ในบริเวณโฆสิตาราม

เพื่อบรรเทาความกระวนกระวายกลัดกลุ้มรุ่นร้อน

เธอเดินมาหยุดยืนอยู่ริมสระซึ่งมีบัวบานสะพรั่ง

รอบ ๆ สระมีม้านั่งทำด้วยไม้และมีพนักพิงอย่างสบาย

เธอชอบมานั่งเล่นบริเวณสระนี้เสมอ ๆ



หัวข้อ: Re: เรื่องพระอานนท์กับนางโกกิลา
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 15 สิงหาคม 2554 10:47:25
(http://album.taklong.com/addons/albums/images/993176102.jpg)



ดูดอกบัว ดูแมลงซึ่งบินวนไปเวียนมาอยู่กลางสระ

ลมพัดเฉื่อยฉิวหอบเอากลิ่นดอกบัวและกลิ่นน้ำคละเคล้ากันมา

ทำให้นางมีความแช่มชื่นขึ้นบ้าง

ธรรมชาติเป็นสิ่งมีคุณค่าต่อชีวิตเสมอ

มันเป็นเพื่อนที่ดีทั้งยามสุขและยามทุกข์

ชีวิตที่อยู่กับธรรมชาติมักจะเป็นชีวิตที่ชื่นสุขเบาสบาย

ยิ่งมนุษย์ทอดทิ้งห่างเหินจากธรรมชาติมากเท่าใด

เขาก็ยิ่งห่างความสุขออกไปทุกทีมากเท่านั้น

ขณะที่นางกำลังเพลินอยู่กับธรรมชาติอันสวยงาม

และดูเหมือนความรุ่มร้อนจะลดลงได้บ้างนั้นเอง

นางได้ยินเสียงเหมือนมีคนเดินอยู่เบื้องหลัง

ทันทีที่นางเหลียวไปดู

ภาพ ณ เบื้องหน้านางเข้ามาทำลายความสงบราบเรียบเสียโดยพลัน

พระอานนท์และโฆสิตมหาเศรษฐีเจ้าของอารามนั่นเอง

นางรู้สึกตะครั่นตะครอ มือและริมฝีปากนางเริ่มสั้นน้อย ๆ

เหมือนคนเริ่มจะจับไข้ เมื่อพระอานนท์เข้ามาใกล้

นางถอยหลังไปนิดหนึ่งโดยมิได้สำนึกว่าเบื้องหลังของนาง ณ บัดนี้คือสระน้ำ

บังเอิญเท้าข้างหนึ่งของเธอเหยียบดินแข็งก้อนหนึ่ง

เธอเสียหลักและล้มลง

พระอานนท์และโฆสิตมหาเศรษฐีตกตะลึงจังงังยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นศิลา

สักครู่หนึ่งจึงได้สติ แต่ไม่ทราบจะช่วยเธอประการใด

เธอเป็นภิกษุณีอันใคร ๆ จะถูกต้องมิได้

อย่าพูดถึงพระอานนท์เลย

แม้โฆสิตมหาเศรษฐีเองก็ไม่กล้ายื่นมือประคองนางให้ลุกขึ้น

นางพยายามช่วยตัวเองจนสามารถลุกขึ้นมาสำเร็จ

แล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระอานนท์ ก้มหน้านิ่งด้วยความละอาย

น้องหญิง เสียงทุ้ม ๆ นุ่มนวลของพระอานนท์ปรากฏแก่โสตของนาง

เหมือนแว่วมาตามสายลมจากที่ไกล

อาตมาขออภัยด้วยที่ทำให้เธอตกใจและลำบาก เธอเจ็บบ้างไหม ?

เสียงเรียบ ๆ แต่แฝงไว้ด้วยความห่วงใยของพระอานนท์

ได้เป็นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจนางให้ชื่นบาน

อะไรเล่าจะเป็นความชื่นใจของสตรีมากเท่ารู้สึกว่า

ชายที่ตนพะวงรักมีความห่วงใยในตน

สตรีเป็นเพศที่จำความดีของผู้อื่นได้เก่งพอ ๆ กับการให้อภัย

และลืมความผิดพลาดของชายอันตนรัก

เหมือนเด็กน้อยแม้จะถูกเฆี่ยนมาจนปวดร้าวไปทั้งตัว

แต่พอมารดาผู้เพิ่งจะวางไม้เรียว

แล้วหันมาปลอบด้วยคำอันอ่อนหวานสักครู่หนึ่ง

และแถมด้วยขนมชิ้นน้อย ๆ บ้างเท่านั้น เด็กน้อยจะลืมเรื่องไม้เรียว

กลับหันมาชื่นชมยินดีกับคำปลอบโยนและขนมชินน้อย

เขาจะซุกตัวเข้าสู่อ้อมอกของมารดา และกอดรักเหมือนอาลัยอย่างที่สุด



หัวข้อ: Re: เรื่องพระอานนท์กับนางโกกิลา
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 15 สิงหาคม 2554 10:51:09
(http://album.taklong.com/addons/albums/images/993176102.jpg)



การให้อภัยแก่คนที่ตนรักนั้น

ไม่มีที่สิ้นสุดในหัวใจของสตรี

และบางทีก็เป็นเพราะธรรมชาติอันนี้ด้วยที่ทำให้เธอชอกช้ำแล้วชอกช้ำอีก

แต่มนุษย์ทั้งบุรุษและสตรีเป็นสัตว์โลกที่ไม่ค่อยรู้จักเข็ดหลาบ

จึงต้องชอกช้ำด้วยกันอยู่เนือง ๆ

นางช้อนสายตาขึ้นมองพระอานนท์แววหนึ่งแล้ว

คงก้มหน้าต่อไปไม่มีเสียงตอบจากนาง

เหมือนมีอะไรมาจุกที่คอหอย

เธอพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าเธอดีใจหรือเสียใจที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

น้องหญิง เสียงพระอานนท์ถามขึ้นอีก

เธอเจ็บบ้างไหม ? อาตมาเป็นห่วงว่าเธอจะเจ็บ

ไม่เป็นไร พระคุณเจ้า เสียงตอบอย่างยากเย็นเต็มที

เธอมาอยู่ที่นี่สบายดีหรือ ?

พอทนได้ พระคุณเจ้า

แม่นางต้องการอะไรเกี่ยวกับปัจจัย 4 ขอให้บอกข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าขอปวารณาไว้ ท่านเศรษฐีพูดขึ้นบ้าง

แล้วพระอานนท์และโฆสิตเศรษฐีก็จากไป

นางมองตามพระอานนท์ด้วยความรัญจวนพิศวาส

นางรู้สึกเหมือนอยากให้หกล้มวันละห้าครั้ง

ถ้าการหกล้มนั้นเป็นเพราะเธอได้เห็นพระอานนท์อันเป็นที่รัก

นางเดินตามพระอานนท์ไปเหมือนถูกสะกด

ความรักทำให้บุคคลทำสิ่งต่าง ๆ อย่างครึ่งหลับครึ่งตื่น

ครู่หนึ่งนางจึงหยุดเหมือนนึกอะไรขึ้นได้

แล้วเหลียวหลับกลับสู่ที่อยู่ของนาง

นางกลับสู่ภิกขุนูปัสสยะที่พักของภิกษุณี ด้วยหัวใจที่เศร้าหมอง

ความอยากพบและอยากสนทนาด้วยพระอานนท์นั้นมีมากสุดประมาณ

บุคคลเมื่อมีความปรารถนาอย่างรุนแรง

ย่อมคิดหาอุบายเพื่อให้บรรลุสิ่งที่ปรารถนานั้น

เมื่อไม่ได้โดยอุบายที่ชอบก็พยายามทำโดยเล่ห์กลมารยา

แล้วแต่ว่าความปรารถนานั้นจะสำเร็จได้โดยประการใด

โดยเฉพาะความปรารถนาในเรื่องรักด้วยแล้ว

ย่อมหันเหบิดเบือนจิตใจของผู้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของมันให้กระทำได้ทุกอย่าง

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า..................................

เมื่อใดความรักและความหลงครอบงำ เมื่อนั้นบุคคลก็มืดมนเสมือนคนตาบอด

นางปิดประตูกุฏินอนเหมือนคนเจ็บหนัก

ภิกษุณีผู้อยู่ห้องติดกันได้ยินเสียงครางจึงเคาะประตูเรียก

ท่านเป็นอะไรไปหรือ โกกิลา ?

สุนันทาภิกษุณีถามด้วยความเป็นห่วง

ไม่เป็นไรมากดอกสุนันทา ปวดศีรษะเล็กน้อย

แต่ดูเหมือนจะมีอาการไข้ตะครั่นตะครอ เนื้อตัวหนักไปหมด โกกิลาตอบ



หัวข้อ: Re: เรื่องพระอานนท์กับนางโกกิลา
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 15 สิงหาคม 2554 10:53:43
(http://album.taklong.com/addons/albums/images/993176102.jpg)



ฉันยาแล้วหรือ ?

เรียบร้อยแล้ว

อ้อ................มีอะไรจะให้ข้าพเจ้าช่วยท่านบ้าง

ไม่ต้องเกรงใจนะ ข้าพเจ้ายินดีเสมอ

มีธุระบางอย่าง ถ้าท่านเต็มใจจะช่วยเหลือก็พอทำได้

โกกิลาพูดมีแววแช่มชื่นขึ้น

มีอะไรบอกมาเถิด ถ้าข้าพเจ้าช่วยได้ก็ยินดี

สุนันทาตอบด้วยความจริงใจ

ท่านรู้จักพระอานนท์มิใช่หรือ ?

รู้ซิ โกกิลา พระอานนท์ใคร ๆ ก็ต้องรู้จักท่าน

เว้นแต่ผู้ไม่รู้จักพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น

ท่านมีธุระที่พระอานนท์หรือ ?

"ถ้าไม่เป็นการลำบากแก่ท่าน

ข้าพเจ้าอยากวานให้ท่านช่วยนิมนต์พระอานนท์มาที่นี่

ข้าพเจ้าอยากฟังโอวาทจากท่าน

เวลานี้ข้าพเจ้ากำลังป่วย ชีวิตเป็นของไม่แน่

พระพุทธองค์ตรัสไว้มิใช่หรือว่า ความแตกดับแห่งชีวิต

ความเจ็บป่วย กาลเป็นที่ตาย

สถานที่ทิ้งร่างกายและคติในสัมปรายภพเป็นสิ่งที่ไม่มีเครื่องหมาย

ใคร ๆ รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นขอท่านอาศัยความอนุเคราะห์

เกื้อกูลแก่ข้าพเจ้าไปหาพระอานนท์

แล้วเรียนท่านตามคำของข้าพเจ้าว่าโกกิลาภิกษุณีขอนมัสการท่านด้วยเศียรเกล้า

เวลานี้นางป่วยไม่สามารถลุกขึ้นได้

ถ้าพระคุณเจ้าจะอาศัยความกรุณาไปเยี่อมไข้

จะเป็นประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่นางหาน้อยไม่

เวลานั้นบ่ายมากแล้ว ความอบอ้าวลดลง

บริเวณอารามซึ่งมีพันธุ์ไม้หลายหลาก ดูร่มรื่นยิ่งขึ้น

นกเล็ก ๆ บนกิ่งไม้วิ่งไล่กันอย่างเพลิดเพลิน

บางพวกร้องทักทานกันอย่างสนิทสนมและชื่นสุข

ดิรัจฉานเป็นสัตว์โลกที่มีความรู้น้อยและความสามารถน้อย

มันมีความรู้ความสามารถแต่เพียงหากินและหลบหลีกภัยเฉพาะหน้า

แต่ดูเหมือนมันจะมีความสุขยิ่งกว่ามนุษย์ซึ่งถือตนว่าฉลาด

และมีความสามารถเหนือสัตว์โลกทั้งมวล

เป็นความจริงที่ว่าความสุขนั้นขึ้นอยู่กับความพอใจ

มนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ในเพศไหนและภาวะอย่างใด

ถ้าสามารถพอใจในภาวะนั้นได้ เขาก็มีความสุข

คนยากจนหาเช้ากินค่ำ อาจจะมีความสุขกว่ามหาเศรษฐี

หรือมหาราชผู้เร่าร้อนอยู่เสมอ เพราะความปรารถนาและทะยายอยากอันไม่รู้จักสิ้นสุด

มนุษย์เราจะมีสติปัญญาฉลาดปานใดก็ตาม

ถ้าไร้เสียแล้วซึ่งปัญญาในการหาความสุขให้แก่ต้นโดยทางที่ชอบ

เขาผู้นั้นควรจะทะนงตนว่า ฉลาดกว่าสัตว์ละหรือ ?

มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้ความยากความดิ้นรนออกหน้า

แล้ววิ่งตามเหมือนวิ่งตามเงาของตนเองในเวลาบ่าย

ยิ่งวิ่งตามก็ดูเหมือนเงาจะห่างตัวออกไปทุกที

ทุกคนต้องการและมุ่งมั่นในความสุข

แต่ความสุขก็เหมือนเป็นเงานั่นเอง

ความสุขมิใช่เป็นสิ่งที่เราจะต้องแสวงหาและมุ่งมอง



หัวข้อ: Re: เรื่องพระอานนท์กับนางโกกิลา
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 15 สิงหาคม 2554 10:55:51
(http://album.taklong.com/addons/albums/images/993176102.jpg)



หน้าที่โดยตรงที่มนุษย์ควรทำนั้นคือการมองทุกข์ให้เห็น

พร้อมทั้งตรวจสอบพิจารณาสาเหตุแห่งทุกข์นั่น

แล้วทำลายสาเหตุแห่งทุกข์เสีย

โดยนัยนี้ความสุขก็จะเกิดขึ้นเอง

เหมือนผู้ปรารถนาความสุขความเจริญแก่ประเทศชาติ

ถ้าปราบเสี้ยนหนามและเรื่องร้ายในประเทศมิได้

ก็อย่าหวังเลยว่าประชาชาติจะเจริญและผาสุก

หรือเหมือนผู้ปรารถนาสุขแก่ร่างกาย

ถ้ายังกำจัดโรคในร่างกายมิได้ ความสุขกายจะมีได้อย่างไร

แต่ถ้าร่างกายปราศจากโรคมีอนามัยดี ความสุขกายก็มีมาเอง

ด้วยประการฉะนี้ปรัญชาเถรวาทจึงให้หลักเราไว้ว่า

"มองทุกข์ให้เห็นจึงเป็นสุข

อธิบายว่า เมื่อเห็นทุกข์ กำหนดรู้ทุกข์และค้นหา{สมุฏฐาน}ของทุกข์

แล้วทำลายสาเหตุแห่งทุกข์นั้นเสีย

เหมือนหมอทำลายเชื้ออันเป็นสาเหตุแห่งโรค

ยิ่งทุกข์ลดน้อยลงเท่าใด ความสุขก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

ความทุกข์ที่ลดลงนั่นเองคือความสุข

เหมือนทรรศะทางวิทยาศาสตร์ที่ถือว่าความเย็นนั้นไม่มี มีแต่ความร้อน

ความเย็นคือความร้อนที่ลดลง

เมื่อความร้อนลดลงถึงที่สุดก็กลายเป็นความเย็นที่สุด

ทำนองเดียวกัน เมื่อความทุกข์ลดลงถึงที่สุดก็กลายเป็นความสุขที่สุด

ขึ้นแห่งความสุขนั้นมีขึ้นตามขั้นแห่งความทุกข์ที่ลดลง

คำสอนทางศาสนาเมื่อว่าโดยนัยหนึ่งจึงเป็นเรื่องของ

ศิลปะแห่งการลดทุกข์ นั่นเอง

พระอานนท์ได้รับคำบอกเล่าจากสุนันทาภิกษุณีแล้ว

ให้รู้สึกเป็นห่วงกังวลถึงโกกิลาภิกษุณียิ่งนัก

ท่านคิดว่าหรือจะเป็นเพราะนางหกล้มเมื่อบายนี้กระมัง

จึงเป็นเหตุให้นางป่วยลง อนิจจา ! โกกิลาเธอรักเรา

เราหรือจะไม่รู้ แต่เธอมาหลงรักคนที่ไม่มีหัวใจจะรักเสียแล้ว

เหมือนเด็กน้อยผู้ไม่ประสาต่อความตาย นั่งร่ำร้องเร่งเร้า

ขอคำตอบจากมารดาผู้นอนตายสนิทแล้ว

ช่างน่าสงสารสังเวชเสียนี่กระไร

ผู้หญิงมีความอ่อนแอทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

พระศาสดาจึงกีดกันหนักหนาในเบื้องแรกที่จะให้สตรีบวชในศาสนา

ทั้งนี้เป็นเพราะพระมหากรุณาของพระองค์ที่ไม่ต้องการให้สตรีลำบาก

มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่สตรีทนได้ดีกว่าบุรุษ นั้นคือการทนต่อความเจ็บปวด

พระอานนท์มีพระรูปหนึ่งเป็นปัจฉาสมณะไปสู่สำนักภิกษุณีเพื่อเยื่อมไข้

แต่เมื่อเห็นอาการไข้ของโกกิลาภิกษุณีแล้ว

ความสงสารและกังวลของท่านก็ค่อย ๆ คลายตัวลง

ความฉลาดอย่างเลิศล้ำของพระพุทธอนุชาแทงทะลุความรู้สึกและ

เคลัญญาการของนาง ท่านรู้สึกว่าท่านถูกหลอก

ท่านไม่เชื่อเลยว่านางจะเป็นไข้จริง

แต่เอาเถิดพระอานนท์ปรารถกับตัวท่านเอง

โอกาสนี้ก็เป็นโอกาสดีเหมือนกันที่จะแสดงบางอย่างให้นางทราบ

เพื่อนางจะได้ละความพยายาม เลิกรัก เลิกหมกมุ่นในโลกียวิสัย

หันมาทำความเพียรเพื่อละสิ่งที่ควรละ

และเจริญในสิ่งที่ควรทำให้เจริญให้เหมาะสมกับเพศภิกษุณีแห่ง



หัวข้อ: Re: เรื่องพระอานนท์กับนางโกกิลา
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 15 สิงหาคม 2554 10:58:26
(http://album.taklong.com/addons/albums/images/993176102.jpg)



คงจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่นางไปตลอดกาลนาน

คงจะเป็นปฏิการอันประเสริฐสำหรับความรักของนางผู้ภักดีต่อเราตลอดมา

โกกิลาผู้ประหารกิเลส

แลแล้วพระอานนท์ก็กล่าวว่า

"น้องหญิง ชีวิตนี้เริ่มต้นด้วยเรื่องที่น่าละอาย

ทรงตัวอยู่ด้วยเรื่องที่ยุ่งยากสับสน และจบลงด้วยเรื่องเศร้า

อนึ่ง..............ชีวิตนี้เริ่มต้นและจบลงด้วยเสียงคร่ำครวญ

เมื่อลืมตาขึ้นดูโลกเป็นครั้งแรกเราก็ร้องไห้

และเมื่อจะหลับตาลาโลกเราก็ต้องร้องไห้อีก

หรือย่างน้องก็เป็นสาเหตุให้คนอื่นหลั่งน้ำตา

เด็กร้องไห้ พร้อมด้วยกำมือแน่น

เป็นสัญลักษณ์ว่าเขาเกิดมาเพื่อจะหน่วงเหนี่ยวยึดถือ

แต่เมื่อหลับตาลาโลกนั้น ทุกคนแบมือออกเหมือนจะเตือนให้ผู้อยู่เบื้องหลังสำนึก

และเป็นพยานว่าเขามิได้เอาอะไรไปเลย

น้องหญิง อาตมาขอเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังสักเล็กน้อย

อาตมาเกิดแล้วในศากยวงศ์อันมีศักดิ์

ซึ่งเป็นที่เลืองลือว่าบริสุทธิ์ยิ่งในเรื่องตระกูล

อาตมาเป็นอนุชาแห่งพระบรมศาสดา

และออกบวชติดตามพระองค์เมื่ออายุได้ 36 ปี

ราชกุมารผู้มีอายุถึง 36 ปีที่ยังมีดวงใจผ่องแผ้ว

ไม่เคยผ่านเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มาเลยนั้นเป็นบุคคลที่หาได้ยากในโลก

หรืออาจจะหาไม่ได้เลยก็ได้

น้องหญิงอย่านึกว่าอาตมาจะเป็นคนวิเศษเลิศลอยกว่าราชกุมารทั้งหลาย

อาตมาเคยผ่านความรักมาและประจักษ์ว่าความรักเป็นความร้าย

ความรักเป็นสิ่งทารุณเป็นเครื่องทำลายความสุขของปวงชน

อาตมากลัวต่อความรักนั้น

ทุกคนต้องการความสมหวังในชีวิตรัก

แต่ความรักไม่เคยให้ความหวังแก่ใครถึงครึ่งหนึ่งแห่งความต้องการ

ยิ่งความรักที่ฉาบทาด้วยความเสน่หาด้วยแล้วจะเป็นพิษแก่จิตใจ

ทำให้ทุรนทุรายดิ้นรนไม่รู้จักจบสิ้น

ความสุขที่เกิดจากความรักนั้นเหมือนความสบายของคนป่วยที่ได้กินของแสลง

เธออย่าพอใจในเรื่องความรักเลย

เมื่อหัวใจถูกลูบไล้ด้วยความรัก หัวใจนั้นจะสร้างความหวังขึ้นอย่างเจิดจ้า

แต่ทุกครั้งที่เราหวัง ความผิดหวังก็จะรอเราอยู่

น้องหญิง อย่าหวังอะไรให้มากนัก

จงมองดูชีวิตอย่างผู้ช่ำชอง

อย่าวิตกกังวลอะไรล่วงหน้า

ชีวิตนี้เหมือนเกลียวคลื่นซึ่งก่อตัวขึ้นแล้วม้วนเข้าหาฝั่ง

และแตกกระจายเป็นฟองฝอย

จงยืนมองดูชีวิต

เหมือนคนผู้ยื่นอยู่บนฝั่งมองดูเกลียวคลื่นในมหาสมุทรฉะนั้น

โกกิลาเอย เมื่อความรักเกิดขึ้น

ความละอายและความเกรงกลัวในสิ่งที่ควรกลัวก็พลันสิ้นไป

เหมือนก้อนเมฆมหึหาเคลื่อนตัวเข้าบดบังดวงจันทร์ให้อับแสง

ธรรมดาสตรีนั้นควรจะยอมตายเพราะความละอาย

แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ความละอายมักจะตายไปก่อนเสมอ

เมื่อความใคร่เกิดขึ้นความละอายก็หลบหน้า

เพราะเหตุนี้พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า

ความใคร่ทำให้คนมืดบอด

อนึ่งโลกมนุษย์ของเรานี้เต็มไปด้วยชีวิตอันประหลาดพิสดารต่างชนิดและต่างรส

ชีวิตของแต่ละคนได้ผ่านมาและผ่านไป

ด้วยความระกำลำบากทุกข์ทรมาน

ถ้าชีวิตมีความสุขก็เป็นความหวาดเสียวที่จะต้องจากชีวิตอันรื่นรมย์นั้นไป

โกกิลาเอย มนุษย์ทั้งหลายผู้ยังมีอวิชชาเป็นผ้าบังปัญญาจักษุนั้น

เป็นเสมือนทารกน้อยผู้หลงเข้าไปในป่าใหญ่อันรกทึบ



หัวข้อ: Re: เรื่องพระอานนท์กับนางโกกิลา
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 15 สิงหาคม 2554 11:01:31
(http://album.taklong.com/addons/albums/images/993176102.jpg)



ซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายอันน่าหวาดเสียวและว้าเหว่เงียบเหงา

มนุษย์ส่วนใหญ่แม้จะร่าเริงแจ่มใสอยู่ในหมู่ญาติและเพื่อนฝูง

แต่ใครเล่าจะทราบว่าในส่วนลึกแห่งใจเขาจะว้าเหว่

และเงียบเหงาสักปานใด

แทบทุกคนว้าเหว่ไม่แน่ใจว่าจะยึดเอาอะไรเป็นหลักของชีวิตที่แน่นอน

เธอปรารถนาจะเป็นอย่างนั้นด้วยหรือ ?

น้องหญิง บัดนี้เธอมีธรรมเป็นเกาะที่พึ่งแล้ว

จงยึดธรรมเป็นที่พึ่งต่อไปเถิด อย่าหวังอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย

โดยเฉพาะความรักความเสน่หาไม่เคยเป็นที่พึ่งจริงจังให้แก่ใครได้

มันเป็นเสมือนตอที่{ผุ}จะล้มลงทันทีเมื่อถูกคลื่นซัดสาด

ธรรมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์

ไม่ว่าเขาจะอยู่ในเพศใดภาวะใด

การกระทำที่นึกขึ้นภายหลังแล้วต้องเสียใจนั้น

พระศาสดาทรงสอนให้เว้นเสีย เพราะฉะนั้นแม้จะประสบปัญหาหัวใจ

หรือได้รับความทุกข์ยากลำบากสักปานใด ก็ต้องไม่ทิ้งธรรม

มนุษย์ที่ยังมีอาสวะอยู่ในใจนั้น

ย่อมจะมีวันพลั้งเผลอประพฤติผิดธรรมไปบ้าง

เพราะยังมีสติไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อได้สติในภายหลังแล้ว

ก็ควรจะตั้งใจประพฤติธรรมสั่งสมความดีกันใหม่

ยิ่งพวกเรานักบวชด้วยแล้วจำเป็นต้องมีอุมดคติ

การตายด้วยอุดมคตินั้นมีค่ากว่าการเป็นอยู่โดยไร้อุดมคติ"

"น้องหญิง ธรรมดาว่าไม้จันทน์นั้น แม้จะแห้งก็ไม่ทิ้งกลิ่น

หัสดินก้าวลงสู่สงครามก็ไม่ทิ้งลีลา

อ้อยแม้เข้าสู่หีบยนต์แล้วก็ไม่ทิ้งรสหวาน

บัณฑิตแม้ประสบทุกข์ก็ไม่ทิ้งธรรม

พระศาสดาทรงย้ำว่าพึงสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาธรรม

{โกกิลา}เอย เธอได้สละเพศฆราวาสมาแล้ว

ซึ่งเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ยากที่ใคร ๆ จะสละได้

ขอให้เธอเสียสละต่อไปเถิด และสละให้ลึกกว่านั้น

คือไม่สละแต่เพียงเพศอย่างเดียว

แต่จงสละความรู้สึกอันจะเป็นข้าศึกต่อเพศเสียด้วย

เธอเคยฟังสุภาษิตอันกินใจยิ่งมาแล้วมิใช่หรือ

ในคนร้อยคนหาคนกล้าได้หนึ่งคน

ในคนพันคนหาคนเป็นบัณฑิตได้หนึ่งคน

ในคนแสนคนหาคนพูดจริงได้เพียงหนึ่งคน

ส่วนคนที่เสียสละได้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่

คือไม่ทราบจะคำนวณเอาจากคนจำนวนเท่าใดจึงจะเฟ้นได้หนึ่งคน

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นนักเสียสละตัวอย่างของโลก

เคยมีกษัตริย์องค์ใดบ้างทำได้เหมือนพระพุทธองค์

ยอมเสียสละความสุขความเพลินใจทุกอย่างที่ชาวโลกปองหมาย

มาอยู่กลางดินกินกลางทราย

ก็เพื่อทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่มนุษยชาติ

การเสียสละของพวกเรา

เมื่อนำไปเทียบกับการเสียสละของพระบรมศาสดาแล้ว

ของเราช่างเล็กน้อยเสียนี่กระไร

"น้องหญิง พระศาสดาตรัสว่าบุคคลอาจอาศัยตัณหาละตัณหาได้

อาจอาศัยมานะละมานะได้ อาจอาศัยอาหารละอาหารได้

แต่เมถุนธรรมนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้ชักสะพานเสีย

คืออย่าทอดสะพานเข้าไปเพราะอาศัยละไม่ได้

ข้อว่าอาศัยอาหารละอาหารนั้น

คือละความพอใจในรสของอาหาร

จริงอยู่.................สัตว์โลกทั้งมวลดำรงชีพอยู่ได้เพราะอาหาร

ข้อนี้พระศาสดาก็ตรัสไว้

แต่มนุษย์และสัตว์เป็นอันมากติดข้องอยู่ในรสแห่งอาหาร

จนต้องกระเสือกกระสนกระวนกระวาย

และต้องทำชั่วเพราะรสแห่งอาหารนั้น

ที่ว่าอาศัยอาหารละอาหารนั้น คือ

อาศัยอาหารละความพอใจในรสแห่งอาหารนั้น

บริโภคเพียงเพื่อยังชีพให้ชีวิตนี้เป็นไปได้เท่านั้น

เหมือนคนเดินทางข้ามทะเลยทรายเสบียงอาหารหมด

และบังเอิญลูกน้อยตายลงเพราะหิวโหย



หัวข้อ: Re: เรื่องพระอานนท์กับนางโกกิลา
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 15 สิงหาคม 2554 11:05:01
(http://album.taklong.com/addons/albums/images/993176102.jpg)



เขาจำใจต้องกินเนื้อบุตรเพียงเพื่อให้ข้ามทะเลทรายได้เท่านั้น

หาติดในรสแห่งเนื้อบุตรไม่

ข้อว่าอาศัยตัณหาละตัณหานั้นคือ

เมื่อทรายว่าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

ชื่อโน้นได้สำเร็จเป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี หรืออรหันต์

ก็มีความทะยานอยากที่จะเป็นบ้าง

เมื่อพยายามจนได้เป็นแล้ว ความทะยานอยากอันนั้นก็หายไป

อย่างนี้เรียกว่าอาศัยตัณหาละตัณหา

ข้อว่าอาศัยมานะละมานะนั้นก็คือ เมื่อได้ยินได้ฟังภิกษุหรือภิกษุณี

หรืออุบาสกอุบาสิกาชื่อโน้นได้สำเร็จเป็นโสดาบันเป็นต้น

ก็มีมานะขึ้นว่า เขาสามารถทำได้ ทำไมเราซึ่งเป็นมนุษย์

และมีอวัยวะทุกส่วนเหมือนเขาจะทำไม่ได้บ้าง

จึงพยายามทำความเพียร เผากิเลสจนได้บรรลุโสดาปัตติผลบ้าง

อรหัตตผลบ้าง อย่างนี้เรียกว่าอาศัยมานะละมานะ

เพราะเมื่อบรรลุแล้วมานะนั้นย่อมไม่มีอีก

ดูก่อนน้องหญิง ส่วนเมถุนธรรมนั้น

ใคร ๆ จะอาศัยละมิได้เลย

นอกจากจะพิจารณาเห็นโทษของมันแล้วเลิกละเสีย

ห้ามใจมิให้เลื่อนใหลไปยินดีในกามสุขเช่นนั้น

น้องหญิง พระศาสดาตรัสว่ากามคุณนั้นเป็นของไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน

มีสุขน้อยแต่ทุกข์มาก มีโทษมากมีความคับแค้นเป็นมูล มีทุกข์เป็นผล

พระอานนท์พูดจบ คอยจับกิริยาของโกกิลาภิกษุณีว่า

จะมีความรู้สึกอย่างไร ธรรมกถาของท่านได้ผล

ภิกษุณีค่อย ๆ ลุกจากเตียงสลัดผ้าห่มออก

คลานมาหมอบลงแทบเท้าของพระอานนท์

สะอึกสะอื้นจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

นางพูดอะไรไม่ออก นางเสียใจอย่างสุดซึ้ง

อันความเสียใจและละอายนั้น

ถ้ามันแยกกันเกิดคนละครั้งก็ดูเหมือนจะไม่รุนแรงเท่าใดนัก

แต่เมื่อใดทั้งความเสียใจ และความละอายใจเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน

และในกรณีเดียวกันด้วยแล้ว

ย่อมเป็นความทรมานสำหรับสตรีอย่างยิ่งยวด

นางเสียใจเหลือเกินที่ความรักของนางมิได้รับสนองเลยแม้แต่น้อย

คำพูดของพระอานนท์ล้วนแต่เป็นคำเสียดแทงใจสำหรับนางผู้ยังหวังความรักจากท่านอยู่

ยิ่งกว่านั้นเมื่อนางทราบว่าพระอานนท์มิได้เชื่อในอาการลวงของนางเลย

นางจึงรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง ละอายสุดที่จะประมาณได้

นางจึงไม่สามารถพูดคำใดได้เลย นอกจากถอนสะอื้นอยู่ไปมา

ครู่หนึ่งพระอานนท์จึงพูดว่า น้องหญิง

หยุดร้องไห้เสียเถิด การร้องไห้ไม่ได้มีประโยชน์อะไร

ไม่ช่วยเรื่องหนักใจของเธอให้คลายลงได้"

อนิจจา พระอานนท์ช่างพูดอย่างพระอริยะแท้

ข้าแต่พระคุณเจ้า นางพูดทั้งเสียงสะอื้น

ภิกษุผู้เป็นปัจฉาสมณะของพระอานนท์ต้องเบือนหน้าไปเสียทางหนึ่ง

เกรงว่าไม่สามารถจะอดกลั้นน้ำตาได้

ข้าพเจ้าจะพยายามกล้ำกลืนฝืนใจปฏิบัติตามโอวาทของท่าน

แม้จะเป็นความทรมานสักปานใด ข้าพเจ้าก็จะอดทน

และขอเทิดทูนบูชาพระพุทธอนุชาไว้ในฐานะเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูง

ข้าพเจ้าไม่เจียมตัวเอง จึงต้องทุกข์ทรมานถึงปานนี้

ข้าพเจ้าเป็นเพียงหญิงทาสทูนหม้อน้ำ ข้าพเจ้าเพิ่งสำนึกตนเวลานี้เอง



หัวข้อ: Re: เรื่องพระอานนท์กับนางโกกิลา
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 15 สิงหาคม 2554 11:07:33
(http://album.taklong.com/addons/albums/images/993176102.jpg)



ความรักความอาลัยทำให้ข้าพเจ้าลืมกำเนิด

ชาติตระกูลและความเหมาะสมใด ๆ ทั้งสิ้น

มาหลงรักพระพุทธอนุชาผู้ทรงศักดิ์

ข้าแต่ท่านผู้สืบอริยวงศ์ กายกรรม วจีกรรมที่ข้าพเจ้าล่วงเกินท่าน

และจะพึงขอโทษนั้นไม่มีส่วนมโนกรรมนั้นมีอยู่

ข้าพเจ้ารักท่าน และรักอย่างสุดหัวใจ

ถ้าการที่ข้าพเจ้ารักท่านนั้นเป็นความผิด

ขอท่านผู้ประเสริฐโปรดให้อภัยในความผิดพลาดอันนั้นด้วย"

นางพูดจบแล้วนั่งก้มหน้า น้ำตาของนางหยดลงบนจีวรผืนบาง

เสมือนหยดน้ำค้างถูกสลัดลงจากใบหญ้า เมื่อลมพัดเป็นครั้งคราว

"น้องหญิง เรื่องชาติเรื่องตระกูลนั้นอย่านำมาปรารมภ์เลย

อาตมามิได้เคยคิดถึงมันเป็นเวลานานแล้ว

ที่อาตมาไม่รักน้องหญิง มิใช่เพราะอาตมามาเกิดในตระกูลอันสูงศักดิ์

ส่วนเธอเป็นทาสีดอก แต่เป็นเพราะอาตมาเห็นโทษแห่งความรักความเสน่หา

ตามที่ศาสดาทรงสอนอยู่เสมอ

เวลานี้อาตมามีหน้าที่ต้องบำรุงพระศาสดาผู้เป็นนาถะของโลก

และพยายามทำหน้าที่กำจัดอาสวะในจิตใจ

มิใช่เพิ่มอาสวะให้มากขึ้น

เมื่ออาสวะยังไม่สิ้นย่อมจะต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารอีก

จะเป็นเวลานานเท่าใดก็สุดจะคำนวณ

พระศาสดาตรัสว่าการเกิดบ่อย ๆ เป็นความทุกข์

เพราะเมื่อมีการเกิด ความแก่ ความเจ็บ

และความทรมานอื่น ๆ ก็ติดตามมาเป็นสาย

นอกจากนี้ผู้วนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอาจจะมีบางชาติที่ประมาทพลาดพลั้งไปแล้ว

ต้องตกไปในอบายเป็นการถอยหลังไปอีกมาก

กว่าจะตั้งต้นได้ใหม่ก็เป็นการเสียเวลาของชีวิตไปมิใช่น้อย"

"น้องหญิง เธออย่าน้อยใจในชาติตระกูลอันต่ำต้อยของเธอเลย

บุคคลจะเกิดในตระกูลกษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์ หรือศูทรก็ตาม

ย่อมตกอยู่ภายใต้กฎธรรมดาเหมือนกันหมด คือ

เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ต้องเจ็บ และในที่สุดก็ต้องตาย

ความตายย่อมกวาดล้างสรรพสัตว์ไปโดยมิได้ละเว้นใครไว้เลย

และใคร ๆ ไม่อาจต่อสู้ด้วยวิธีใด ๆ ได้

นอกจากนี้ มนุษย์ทุกคนล้วนมีเลือดสีแดง

รู้จักกลัวภัยและใคร่ความสุขเสมอกัน

เหมือนไม้นานาชนิดเมื่อนำมาเผาไฟย่อมมีเปลวสีเดียวกัน

เมื่อเป็นเช่นนี้จะมัวมาแบ่งแยกกันอยู่ทำไมว่า

คนนั้นเป็นวรรณะสูง คนนี้เป็นวรรณะต่ำ

มาช่วยกันกระพือสันติสุขให้แก่โลกที่ร้อนระอุนี้จะมิดีกว่าหรือ

มนุษย์ไม่ว่าจะเกิดในวรรณะใด

เมื่อประพฤติดีก็เป็นคนดีเหมือนกันหมด

เมื่อประพฤติชั่วก็เป็นคนชั่วเหมือนกันหมด

เพราะฉะนั้นขอให้น้องหญิงเลิกน้อยใจในเรื่องชาติตระกูลของตัว





หัวข้อ: Re: เรื่องพระอานนท์กับนางโกกิลา
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 15 สิงหาคม 2554 11:10:18
(http://album.taklong.com/addons/albums/images/993176102.jpg)



และตั้งหน้าพยายามทำความดีเถิด

ขอให้น้องหญิงเชื่อว่าการที่อาตมาไม่สามารถสนองความรักของน้องหญิงได้นั้น

มิใช่เป็นเพราะอาตมารังเกียจเรื่องชาติเรื่องตระกูลของเธอเลย

แต่มันเป็นเพราะอาตมารังเกียจตัวความรักนั่นต่างหาก

ภคินีเอย อันธรรมดาว่าความรักนั้นมันเป็นธรรมชาติที่เร่าร้อนอยู่แล้ว

ถ้ายิ่งมันเกิดขึ้นในฐานะที่ผิดที่ไม่เหมาะสมเข้าอีก

มันก็จะยิ่งเพิ่มแรงร้อนมากขึ้น

การที่น้องหญิงจะรักอาตมา

หรืออาตมาจะรักเธออย่างเสน่หาอาลัยนั่นแลเรียกว่า

ความรักอันเกิดขึ้นในฐานะที่ผิดหรือไม่เหมาะสม

ขอให้เธอตัดความรักความอาลัยเสียเถิด

แล้วเธอจะพบความสุขความปลอดโปร่งอีกแบบหนึ่ง

ซึ่งสูงกว่าประณีตกว่า

พระอานนท์ละภิกขุนูปัสสยะไว้เบื้องหลังด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาด

ท่านเดินลัดเลาะมาทางริมสระแล้วนั่งลง ณ ม้ายาวมีพนักตัวหนึ่ง

ภิกษุเป็นปัจฉาสมณะก็นั่งลง ณ ริมสุดข้างหนึ่ง

พระอานนท์ถอนหายใจยาวและหนักหน่วง

เหมือนจะระบายความหนักอกหนักใจออกมาเสียบ้าง

ครู่หนึ่งท่านจึงบอกให้ภิกษุรูปนั้นกลับไปก่อน

ท่านต้องการจะนั่งพักผ่อนอยู่ที่นั่นสักครู่

ถ้าพระศาสดาเรียกหาก็ให้มาตามที่ริมสระนั้น

ท่านนั่งคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

บางครั้งรู้สึกสงสารภิกษุณีโกกิลาอย่างจับใจ

แต่ด้วยอัธยาศัยแห่งมหาบุรุษประดับด้วยบารมีธรรมนั้นต่างหากเล่า

จึงสามารถข่มใจและสลัดความรู้สึกสงสารอันนั้นเสีย

ท่านปรารถกับตนเองว่า อานนท์ เธอเป็นเพียงโสดาบันเท่านั้น

ราคะ โทสะ และโมหะยังมิได้ละเลย

เพราะฉะนั้นอย่าประมาท อย่าเข้าใกล้

หรือยอมพบกับภิกษุณีโกกิลาอีก

ธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งดิ้นรนกลับกลอกง่าย

บางคราวปรากฏเหมือนช้างตกมัน

อานนท์ จงเอาสติเป็นขอสำหรับเหนี่ยวรั้งช้าง

คือจิตที่ดิ้นรนนี้ให้อยู่ในอำนาจ

บุคคลผู้มีอำนาจมากที่สุด

และควรแก่การสรรเสริญนั้นคือผู้ที่สามารถเอาตนของตนเองไว้ในอำนาจได้

สามารถชนะตนเองได้

พระศาสดาตรัสว่าผู้ชนะตนเองได้ชื่อว่าเป็นยอดนักรบในสงคราม

เธอจงเป็นยอดนักรบในสงครามเถิด อย่าเป็นผู้แพ้เลย

พระอานนท์ตรึกตรองและให้โอวาทตนเองอยู่พอสมควรแล้ว

ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ท่านไม่มีอะไรปิดบังสำรับพระผู้มีพระภาค

เพราะฉะนั้น..............ท่านจึงกราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้{พระจอมมุนี}ทรงทราบ

รวมทั้งที่ท่านปรารถกับตนเอง และให้โอวาทตนเองนั้นด้วย

พระมหาสมณะทรงทราบเรื่องนี้แล้ว

ทรงประทานสาธุการแก่พระอานนท์ แล้วตรัสให้กำลังใจว่า

อานนท์ เธอเป็นผู้มีบารมีอันได้สั่งสมมาดีแล้ว

ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแห่งเธอ เรื่องที่เธอจะตกไปสู่ฐานะที่ต่ำกว่านี้นั้นเป็นไม่มีอีก

แล้วพระศากยมุนีก็ทรงแย้มพระโอษฐ์น้อย ๆ

เมื่อพระอานนท์ทูลถามสาเหตุที่ทรงแย้มพระโอษฐ์นั้น จึงตรัสว่า............

อานนท์ เธอคงลืมไปว่าพระโสดาบันนั้นมีการไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา

จะต้องได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์อย่างแน่นอนไม่วันใดวันหนึ่ง

เธออย่าวิตกทุกข์ร้อนไปเลย

พระอานนท์มีอาการแช่มชื่นแจ่มใสขึ้น

เพราะพระดำรัสประโลมใจของพระศาสดานั้น

เย็นวันนั้นเอง พุทธบริษัทแห่งนครโกสัมพีผู้ใคร่ต่อธรรม

ในมือถือดอกไม้ธูปเทียนและสุคันธชาติหลากหลายต่างมุ่งหน้าสู่{โฆสิตาราม}

เพื่อฟังธรรมรสจากพระพุทธองค์

เมื่อพุทธบริษัทพรั่งพร้อมนั่งอย่างมีระเบียบแล้ว

พระผู้มีพระภาคทรงอันตรวาสก (สบง - ผ้าสำหรับนุ่ง) ซึ่งย้อมไว้ด้วยดีแล้ว

ทรงคาดพระกายพันธนะ (ประคตเอว - ผ้ารัดเอว) อันเป็นประดุจสายฟ้า

ทรงครองสุคตมหาบังสุกุลจีวร

อันเป็นประดุจผ้ากัมพลสีเหลืองหม่น

เสด็จออกจากพระคันธกุฎีสู่ธรรมสภาด้วยพุทธลีลาอันงามยิ่งหาที่เปรียบมิได้

ประดุจวิลาสแห่งพระยาช้างตัวประเสริฐ

และประดุจอาการเยื้องกรายแห่งไกรสรสีหราชเสด็จขึ้นสู่บวรพุทธอาสน์

ที่ปูลาดไว้ดีแล้วท่ามกลางมณฑลมาล

ซึ่งประดับตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา

ทรงเปล่งพระฉัพพรณรังสีประดุจพระอาทิตย์เปล่งแสงอ่อน ๆ บนยอดเขายุคันธร

เมื่อสมเด็จพระจอมมุนีเสด็จมาถึง พุทธบริษัทก็เงียบกริบ

พระพุทธองค์ทรงมองดูพุทธบริษัทด้วยพระหฤทัยอันเปี่ยมไปด้วยเมตตา

ทรงดำริว่า ชุมนุมนี้ช่างงามน่าดูจริง

จะหาคนคะนองมือคะนองเท้า

หรือมีเสียงไอเสียงจามไม่ได้เลย

ชนทั้งหมดนี้มีคารวะต่อเรายิ่งนัก



หัวข้อ: Re: เรื่องพระอานนท์กับนางโกกิลา
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 15 สิงหาคม 2554 11:15:37
(http://album.taklong.com/addons/albums/images/993176102.jpg)



ถ้าเราไม่พูดขึ้นก่อน แม้จะนั่งอยู่นานสักเท่าใดก็จะไม่มีใครพูดอะไรเลย

แต่เวลานี้เป็นเวลาแสดงธรรม

พระองค์ทรงดำริเช่นนี้แล้วจึงส่งข่ายแห่งพระญาณของพระองค์

ไปสำรวจพุทธบริษัท ว่าใครหนอจะสามารถบรรลุธรรมเบื้องสูงได้บ้างในวันนี้

ทรงเล็งเห็นอุปนิสัยแห่งภิกษุณีโกกิลาว่ามีญาณแก่กล้าพอจะบรรลุธรรมได้

พระพุทธองค์จึงทรงประกาศธรรมจักรอันประเสริฐ

ด้วยพระสุรเสียงอันไพเรากังวานดังนี้......................................

ดูก่อนท่านทั้งหลาย ทางสองสายคือกามสุขัลลิกานุโยค

การหมกมุ่นอยู่ด้วยกามสุขสายหนึ่ง และอัตตกิลมถานุโยค

การทรมานกายให้ลำบากเปล่าสายหนึ่ง

อันผู้หวังความเจริญในธรรมพึงละเว้นเสีย

ควรเดินทางสายกลาง คือเดินตามอริยมรรคมีองค์ 8 คือ

ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดชอบ การทำชอบ

การประกอบอาชีพในทางสุจริต ความพยายามในทางที่ชอบ

การตั้งสติชอบและการทำสมาธิชอบ

ดูก่อนท่านทั้งหลาย ความทุกข์เป็นความจริงประการหนึ่ง

ที่ชีวิตทุกชีวิตจะต้องประสบบ้างไม่มากก็น้อย

ความทุกข์ที่กล่าวนี้มีอะไรบ้าง ?

ท่านทั้งหลายความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่ ความเจ็บ ความตายก็เป็นทุกข์

ความแห้งใจ หรือความโศกความร่ำไรรำพันจนน้ำตานองหน้า

ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ

ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งของอันเป็นที่รัก

ความต้องประสบกับบุคคลหรือสิ่งของอันไม่เป็นที่พอใจ

ปรารถนาอะไรไม่ได้ดังใจ ทั้งหมดนี้

ล้วนเป็นความทุกข์ที่บุคคลต้องประสบทั้งสิ้น

เมื่อกล่าวโดยสรุป การยึดมั่นในขันธ์ 5

ด้วยตัณหาอุปาทานนั่นเอง เป็นความทุกข์อันยิ่งใหญ่

ท่านทั้งหลาย เราตถาคตกล่าวว่า

ความทุกข์ทั้งมวลย่อมสืบเนื่องมาจากเหตุ

ก็อะไรเล่าเป็นเหตุแห่งทุกข์นั้น

เรากล่าวว่าตัณหานั้นเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์

ตัณหาคือความทะยานอยากดิ้นรน ซึ่งมีลักษณะเป็นสาม

คือดิ้นรนอยากได้อารมณ์ที่น่าใคร่น่าปรารถนา เรียกกามตัณหาอย่างหนึ่ง

ดิ้นรนอยากเป็นนั่นเป็นนี่ เรียกว่าตัณหาอย่างหนึ่ง

ดิ้นรนอยากผลักสิ่งที่มีแล้วเป็นแล้ว เรียกว่า{วิภวตัณหา}อย่างหนึ่ง

นี่แลคือสาเหตุแห่งทุกข์ขั้นมูลฐาน

ท่านทั้งหลาย การสละคืนโดยไม่เหลือซึ่งตัณหาประเภทต่าง ๆ

ดับตัณหาคลายตัณหาโดยสิ้นเชิงนั่นแลเราเรียกว่านิโรธ คือความดับทุกข์ได้

ทางที่จะดับทุกข์ดับตัณหานั้นเราตถาคตแสดงไว้แล้ว คืออริยมรรคมีองค์ 8

ท่านทั้งหลายจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด

อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย เราตถาคตเองเป็นที่พึ่งแก่ท่านทั้งหลายไม่ได้

ตถาคตเป็นแค่เพียงผู้ชี้บอกทางเท่านั้น

ส่วนความเพียรพยายามเพื่อเผาบาปอกุศล

ท่านทั้งหลายต้องทำเอง ทางมีอยู่

เราชี้แล้วบอกแล้ว ท่านทั้งหลายต้องเดินเอง

พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าในวันนั้น

เหมือนเจาะจงเทศนาแก่ภิกษุณีโกกิลาโดยเฉพาะ

นางรู้สึกเหมือนพระองค์ประทับแก้ปัญหาหัวใจของนางให้หลุดร่วง

สมแล้วที่ใคร ๆ พากันชมพระพุทธองค์ว่าเป็นเหมือน{ดวงจันทร์}

ซึ่งทุกคนรู้สึกเหมือนว่าจงใจจะส่องแสงสีนวลไปให้แก่ตนเพียงคนเดียว

โกกิลาภิกษุณีส่งกระแสจิตไปตามพระธรรมเทศนา

ปลดเปลื้องสังโยชน์คือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจทีละชั้น

จนสามารถประหารกิเลสทั้งมวงได้สำเร็จมรรคผลชั้นสูงสุดในพระศาสนา

เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งด้วยประการฉะนี้..........................................


THE END

http://www.fungdham.com/download/song/allhits/21.wma



หัวข้อ: Re: เรื่องพระอานนท์กับนางโกกิลา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 สิงหาคม 2554 18:22:20


(http://www4.pantown.com/data/5495/board18/166-20050911144948.jpg)