หัวข้อ: พระกีสาโคตมีเถรี เอตทัคคะทางด้าน ทรงจีวรเศร้าหมอง เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 01 กันยายน 2564 20:46:34 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/44296192750334_240574408_2895061620746324_813.jpg) พระกีสาโคตมีเถรี เอตทัคคะทางด้าน ทรงจีวรเศร้าหมอง พระกีสาโคตมีเถรี หรือ พระกีสาโคตมี เกิดในวรรณะแพศย์ ในกรุงสาวัตถี มีชื่อเดิมว่า "โคตมี" แต่เพราะมีร่างกายผ่ายผอมหลายคนจึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า "กสาโคตมี" แปลว่า "นางโคตมีผอม" ครั้งหนึ่งเศรษฐีตระกูลหนึ่งในเมืองสาวัตถีประสบเคราะห์กรรมคือเงินและทองกลายเป็นถ่าน แต่เมื่อนางกิสาโคตมีมาแตะถ่านเหล่านั้น ถ่านก็กลับกลายเป็นเงินและทองอย่างเดิม เศรษฐีจึงสู่ขอท่านมาเป็นลูกสะใภ้ แต่ก็ไม่วายที่จะถูกคนเหล่านั้นเหยียดหยามว่ามาจากตระกูลคนยากจน ต่อมานางจึงให้กำเนิดบุตรแต่บุตรนั้นก็ได้ตายจากไป เมื่ออายุเพียง ๓ ขวบ การตายของบุตรจึงทำให้นางตกอยู่ในความทุกข์อย่างหนัก ถึงขนาดอุ้มศพลูกไปทุกหนทุกแห่ง จนกระทั่งมาพบพระพุทธเจ้าขณะประทับอยู่ ณ วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีอ พระพุทธเจ้าและทรงใช้อุบายแก้ความทุกข์ใจของท่านจนเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตามท่านยังถือว่ามีบุญอยู่มาก พระกีสาโคตมีเถรี เมื่อบวชเป็นภิกษุณีแล้วได้ตั้งใจปฏิบัติธรรมจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องให้ท่านเป็นพระภิกษุณีผู้เอตทัคคะผู้เลิศกว่าภิกษุณีอื่นในด้าน ทรงจีวรเศร้าหมอง เมื่อลูกน้อยของ “นางกิสาโคตมี” ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน นางรํ่าไห้เหมือนว่า หัวใจนางกำลังจะแตกสลาย จนสติฟั่นเฟือน ไม่ยอมให้ใครมาเผาศพลูกน้อยของนาง ด้วยนางคิดเข้าข้างความหวังของตัวเองว่าลูกน้อยยังไม่ตาย เพียงแต่หลับไม่ตื่นเท่านั้น แม้ว่าใครจะพรํ่าบอกนางว่าลูกของนางตายแล้วก็ไม่ฟัง วันๆ นางได้แต่อุ้มศพลูกน้อยเดินไปมา พบใครก็เอ่ยถามว่า“มียาให้ลูกฉันฟื้นไหม ขอยาให้ลูกฉันด้วย” ชายคนหนึ่งมาพบเข้ารู้สึกสงสาร จึงบอกนางว่า ตนก็ไม่มียาดอก แต่รู้จักคนที่มียา พระองค์คือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะนี้ประทับอยูที่วิหารเชตวันนอกเมือง สาวัตถี นางได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีใจมาก รีบอุ้มศพลูกน้อยไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วิหารเชตวัน กราบทูลถามว่า “พระองค์มียารักษาลูกของหม่อมฉันจริงหรือ” พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “ยานั้น จะมีได้ต่อเมื่อได้ทําตามวิธีทํายา” นางจึงกราบทูลว่า “ขอพระองค์โปรดประทานวิธีทํายาเพื่อช่วยรักษาลูกของหม่อมฉันด้วยเถิด” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เธอไปเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาสักกำมือหนึ่ง เราจะบอกวิธีทำยาให้ แต่เมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้น จะต้องเอาจากบ้านที่ไม่เคยมีใครตายมาก่อนเลยนะ ถึงจะทํายาได้” นางอุ้มศพลูกน้อยไปเที่ยวขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดจากชาวบ้านทุกบ้านแต่ก็หาไม่ได้ ทุกบ้านล้วนมีเมล็ดพันธุ์ผักกาด แต่ไม่มีบ้านไหนเลยที่ไม่เคยมีคนตายมาก่อน ทุกบ้านล้วนเคยมีคนตายมาแล้วทั้งนั้น บ้างก็ปู่ ย่าตายายตาย บ้างก็พ่อแม่ตาย บ้างก็ลุงป้าน้าอาตาย บ้างก็พี่น้องตาย บ้างก็สามีภรรยาตาย และบ้างก็ลูกหลานตาย นางเดินทั้งวันทั้งคืนจนเท้าระบมก็ไม่ได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดแม้แต่เมล็ดเดียว ฉับพลันทันใดนั้นนางก็ได้คิดว่า ไม่ใช่แต่เฉพาะลูกน้อยของนางที่ตาย คนอื่นก็ตายด้วย และสักวันหนึ่งนางก็ต้องตายเช่นกัน ไม่มีใครหลีกหนีความตายไปได้ ความตายเป็นความจริงแน่นอนของชีวิต สิ่งใดมีการเกิดขึ้นก็ต้องมีการแตกดับไปเป็นธรรมดา เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็เหมือนเกิดความสว่างขึ้นในใจ ความเศร้าโศกที่นางหมกมุ่นและแบกมาแสนหนักก็ผ่อนคลายและจางหายไป รู้สึกตัวว่าตื่นขึ้น จิตใจสดชื่นเบิกบานและปลอดโปร่งเบาสบาย การตายของบุตรตนจึงเป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งของชีวิต ครั้นคิดได้แล้วนางจึงสำเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคลทั้งที่ยังไม่ได้บวช นางจึงจัดการเผาศพลูกน้อยของนางแล้วเดินอย่างมีความสุขไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “ได้เมล็ดพันธุ์ผักกาดแล้วหรือ” นางกราบทูลตอบว่า “ไม่ได้พระเจ้าค่ะ เพราะแต่ละบ้านล้วนแต่เคยมีคนตายมาแล้วทั้งนั้น บัดนี้ หม่อมฉันเข้าใจแล้วว่า ทุกคนเกิดมาล้วนต้องตาย วันหนึ่งหม่อมฉันก็ต้องตายเช่นกัน หม่อมฉันปลงได้แล้ว มองเห็นความจริงแล้ว ไม่เศร้าโศกเสียใจแล้ว” การตายของบุตรตนจึงเป็นเรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่งของชีวิต ครั้นคิดได้แล้วนางจึงสำเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคลทั้งที่ยังไม่ได้บวช เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วพระพุทธองค์ทรงมอบหมายให้ภิกษุและภิกษุณีทำการอุปสมบท เมื่อทำการอุปสมบทแล้วท่านก็บำเพ็ญจิตภาวนา โดยพิจารณาจากเปลวเทียนในอุโบสถจนได้บรรลุอรหัตผล ท่านได้รับการยกย่องจากองค์พระศาสดาว่าเป็นเอตทัคคะทางด้าน ทรงจีวรเศร้าหมอง ยิ่งกว่าภิกษุณีรูปใดในพุทธศาสนา ------------------------------------------------------------- พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกายอปทาน เล่ม ๙ ภาค ๑ กุณฑลเกสวรรคที่๓, กิสาโคตมีเถรีอปทานที่ ๒ |