[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 17 ตุลาคม 2564 19:35:19



หัวข้อ: เจ้ากรรมนายเวรมีจริงหรือไม่ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 17 ตุลาคม 2564 19:35:19
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/86766209039423_244422262_2921995351386284_560.jpg)

เจ้ากรรมนายเวรมีจริงหรือไม่
หลวงปู่เทสก์  เทสรังสี
วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

เจ้ากรรมนายเวร ก็หมายถึงบุคคลกระทำกรรมนั้นๆ ไว้แล้ว มอบให้เจ้ากรรมนายเวรนั้นเป็นผู้รักษาและประสิทธิ์ประสานให้แก่ผู้กระทำ หรือผู้เป็นกรรมเป็นเวรต่อกันอีกทีหนึ่ง จึงจะเรียกว่า เจ้ากรรมนายเวร

กรรมเวรมันเกิดที่ใจของบุคคล บุคคลมีเจตนาไปยึดเอามาปรุงแต่งขึ้นที่กาย วาจา และใจนี้ กรรมเวรจึงค่อยมี

คนอื่นนอกจากตัวของเราแล้ว จะไปรู้ได้อย่างไร เราควบคุมใจของตนไว้แต่เบื้องต้น จนไปทำชั่ว แล้วยังจะส่งกรรมเวรนั้นไปให้คนอื่นรักษาให้ ใครจะยอมรับเล่า

กรรมดีค่อยยังชั่วหน่อย ยังพอจะรับได้บ้าง แต่กรรมชั่วนี่สิ ใครๆ ก็เกลียดจะยอมรับไม่ได้

กรรมเวรเกิดขึ้นจากจิต เป็นนามธรรม เมื่อจิตไปสวมเอารูปกาย ซึ่งเป็นวิบากกรรมเป็นตัวตน กรรมจะต้องตามมาใช้กรรมนั้นอีก จิตผู้สร้างกรรมนั้น ย่อมจะรับผลกรรมนั้นยิ่งทวีคูณ เมื่อกายแตกดับแล้วจิตจะต้องเป็นผู้รับผลกรรมนั้นแต่ผู้เดียว และยังจะต้องได้รับต่อไปอีกหลายภพหลายชาติอีกด้วย

กรรม และเวร มีลักษณะต่างกัน และให้ผลก็ต่างกัน  กรรม ทางพุทธศาสนาท่านแสดงไว้ ๒ อย่าง กรรมดีหรือบุญ ก็เรียกเป็นกุศลกรรม กรรมชั่วหรือบาป ก็เรียกเป็นอกุศลกรรม

ส่วนเวรนั้นเกิดจากเจตนาอันชั่วร้ายเลวทราม ทำกรรมแล้วจนเป็นเหตุให้ผูกเวรซึ่งกันและกัน

กรรมนั้นมีผลสนองในชาตินี้ คือทำใจให้เศร้าหมองเดือดร้อน คิดแต่จะทำร้ายให้เขา ได้รับโทษทุกข์ฝ่ายเดียว เมื่อกายแตกทำลายไปตามสภาพของมันแล้ว ยังเหลือแต่จิต

กรรมนั้นย่อมติดพันต่อไป เพราะจิตเป็นผู้สร้างกรรมไว้

เมื่อจิตไปเกิดในภพนั้นๆ หรือคตินั้นๆ กรรมย่อมตามไปสนองอย่างนี้อีก ตลอดเวลายาวนาน จนกว่าจิตนั้นจะบริสุทธิ์พ้นจากกิเลส จึงสิ้นสุดลงได้

ส่วนเวรก็คือ การกระทำกรรมนั่นแหละ แต่กระทำลงไปด้วยเจตนาอันแรงกล้าเฉพาะบุคคล จนผูกอาฆาตมาดร้ายจองล้างจองผลาญซึ่งกันและกัน กรรมที่ทำด้วยเจตนาอันแรงกล้ามาก จนกลายเป็นเวร แต่แก้ได้ง่ายกว่ากรรม

เมื่อบุคคลทั้งสองต่างก็เห็นโทษซึ่งตนกระทำลงไปแล้วในชาติที่เป็นมนุษย์อยู่นี่แหละ เมื่อเผชิญหน้ากันเข้าแล้วก็เปิดเผยโทษที่ตนกระทำนั้นให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ แล้วขออโหสิกรรมกันเสีย เวรนั้นย่อมระงับได้ด้วยประการฉะนี้

แรงของเวรนี้มันร้ายกาจเหลือหลาย หากว่าคู่เวรทั้งสองมาเห็นโทษของมันแล้ว หันหน้าเข้าหากัน ต่างก็ให้อโหสิกรรมแก่กันและกัน  เวรนั้นย่อม สิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น

สรุป พึงเข้าใจว่ากรรม-เวร มิใช่ของมันเกิดเอง เกิดจากจิตของบุคคลผู้คิดพยาบาทอาฆาต จองล้างของผลาญซึ่งกันและกัน

กรรม-เวร มิใช่เป็นวัตถุ มันเป็นนามธรรมจะรู้สึกได้ด้วยใจของตนเอง "


ขอขอบคุณที่มา : พระพุทธศาสนา