|
หัวข้อ: ฉือขักก๊วย ขนมมงคลจีนโบราณ เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 15:18:21 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/40521387383341_4_4_Copy_.jpg) ฉือขักก๊วย ขนมหญ้านางนวล ฉือขักก๊วยจัดเป็นอาหารประเภทขนมมีใส้ที่ทำจากแป้งข้าวเหนียว โดยตัวเปลือกจะผสมหญ้าฉือขักหรือหญ้านางนวลซึ่งหญ้าชนิดนี้จะมีคุณสมบัติเป็นยาสมุนไพรมีสรรพคุณในการบำรุงไต แก้ร้อนใน และบำรุงกำลัง นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอม สมชื่ออีกด้วย คนจีนจะทำขนมชนิดนี้ทานกันยามว่างหรือใช้เซ่นไหว้เทพเจ้า เพราะเชื่อว่าไหว้แล้วจะมีศิริมงคล ครอบครัวกันใคร่กลมเกลียว สุขภาพแข็งแรงมีอายุยืนยาว ขนมฉือขักก๊วยมีลักษณะคล้ายขนมเทียนแต่มีความเหนียวกว่าและใส่ฉือขักมากกว่า อีกทั้งใส้ข้างในจะเป็นใส่ถั่วเขียวกวนหวานหรือกวนเค็มเป็นหลัก อาจมีบางที่เป็นใส้เผือกกวน ตามตำรับดั้งเดิมแล้วตัวแป้งขนมฉื่อคักก้วยนั้นจะผสมหญ้าชนิดหนึ่งลงไปด้วย คือหญ้าที่มีนามว่า “ฉื่อคัก” พืชชนิดนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gnaphalium affine เป็นพืชที่อยู่ในวงศ์เดียวกันกับพวกทานตะวัน มีสรรพคุณทางยามากมาย มีการนำไปใช้เป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ ลดไข้ ปวดตามข้อ แก้ตกขาวและอื่นๆ เนื่องจากมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว จึงมีการนำไปผสมในอาหารหลายชนิด อาหารที่มีฉื่อคักเป็นส่วนประกอบที่โด่ดังก็คือ ฉื่อคักก้วย ซึ่งถือเป็นขนมเก่าแก่ของแต้จิ๋ว สมัยก่อนมีขายตามชุมชนชาวจีนแต่ปัจจุบันขนมชนิดนี้หาทานยากด้วยมีคนที่ทำเป็นน้อยหรือทำเป็นแต่ไม่อยากทำขายด้วยขั้นตอนการทำยากคงมีขายเฉพาะในย่านคนจีนขนาดใหญ่เช่นเยาวราช เป็นต้น วิธีทำขนมฉือขักก๊วย เริ่มจาก นำมันไปนึ่งหรือต้มให้สุก แล้วใช้สมุนไพรฉื่อคัก หรือที่คนไทยเรียกว่า สมุนไพรนางนวล นำไปต้มให้ยุ่ยแล้วปั่นให้ละเอียด นำมาผสมกับเนื้อมันนึ่งนวดจนเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นก็ทำไส้ โดยการใช้ถั่วทอง งาดำ น้ำตาลทรายแดงเล็กน้อย ผสมเข้าด้วยกัน แล้วนำไปกวนจนเนื้อเนียน จากนั้นก็นำไปปั้นและกดในแม่พิมพ์ ทิ้งไว้ในอุณหภูมิปกติเป็นเวลา 1 คืนเพื่อให้แป้งและไส้เซ็ทตัว จึงนำไปนึ่งจนสุกใช้เวลาประมาณ 20 นาที (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/76519642977250_aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/49823788098163_aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/60952221146888_aHR0cHM6Ly9zLmlzYW5vb2suY29tL3.jpg) ขอขอบคุณเว็บไซต์ phitsanulokhotnews.com/ (ที่มาภาพประกอบ) |