[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 10 มีนาคม 2565 15:10:38



หัวข้อ: พระปิลินทวัจฉเถระ เอตทัคคะในทางผู้เป็นที่รักใคร่ของเทพยดา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 10 มีนาคม 2565 15:10:38
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/52900341360105__2_Copy_.jpg)

พระปิลินทวัจฉเถระ
เอตทัคคะในทางผู้เป็นที่รักใคร่ของเทพยดา

พระปิลินทวัจฉะ เป็นบุตรของพราหมณ์ ตระกูลวัจฉโคตร เดิมชื่อว่า “ปิลินทะ” แต่ คนทั่วไปมักเรียกว่า “ปิลินทวัจฉะ” ตามชื่อตระกูลของท่าน เมื่อเจริญวัยได้รับการศึกษาจบไตรเพท ตามลัทธินิยม

เบื่อโลกจึงออกบวช
ต่อมาเกิดความเบื่อหน่ายในชีวิตการครองเรือนจึงออกบวชเป็นปริพาชก เที่ยวแสวงหาสำนักอาจารย์เพื่อศึกษาศิลปวิทยาขั้นสูงต่อไป และได้ศึกษาวิชาจูฬคันธาระในสำนักของอาจารย์แห่งหนึ่งจนสำเร็จสามารถแสดงฤทธิ์เหาะได้และสามารถล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดจิตใจของผู้อื่นได้ด้วย ทำให้ชื่อเสียงของท่านร่ำลือระบือปรากฏไปทั่งกรุงสาวัตถีบ้านเกิดของท่าน ลาภสักการะก็เกิดขึ้นมากมาย แต่วิชานี้มีข้อจำกัดว่าถ้าเข้าไปในเขตแดนที่มีวิชามหาคันธาระอยู่ด้วย วิชาจูฬคันธาระนี้ก็จะเสื่อมลง ไม่สามารถแสดงฤทธิ์เหาะได้และไม่สามารถล่วงรู้จิตใจผู้อื่นได้

ปิลินทวัจฉปริพาชก ท่องเที่ยวแสดงฤทธิ์ แสดงความสามารถแก่ประชาชนทั้งหลายไปยังเมืองต่างๆ จนมาถึงเมืองราชคฤห์ ชาวเมืองให้ความเคารพยกย่องนับถือเป็นจำนวนมาก และท่านก็ได้พักอยู่ในเมืองราชคฤห์นั้น

ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ทรงประกาศเผยแผ่หลักธรรมคำสอนไปยังคามนิคมต่างๆ จนมาถึงเมืองราชคฤห์ จากนั้นวิชาจูฬคันธาระของปิลินทวัจฉะก็เสื่อมลง ท่านรู้ได้ทันทีว่าในเมืองนี้จะต้องมีวิชามหาคันธาระเกิดขึ้นแล้ว จึงสืบเสาะแสวงหาจนพบพระบรมศาสดา และทราบว่าพระองค์มีวิชามหาคันธาระ จึงกราบทูลขอศึกษาวิชานี้

พระผู้มีพระภาคก็ทรงยินดีที่จะสอนให้ แต่ว่าผู้เรียนต้องบวชในพระพุทธศาสนาก่อน เพราะวิชานี้จะสอนให้เฉพาะผู้ที่บวชในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ท่านจึงกราบทูลขอบวชในวันนั้นเพื่อที่จะเรียนวิชามหาคันธาระตามที่ตนต้องการ

เมื่อปิลินทวัจฉะบวชแล้ว ได้พยายามศึกษาวิชามหาคันธาระตามที่พระบรมศาสดาประทานสอนให้ โดยให้ท่านพิจารณาพระกรรมฐานตามสมควรแก่อัธยาศัย ท่านได้พยายามอยู่ไม่นานก็ได้สำเร็จวิชามหาคันธาระ ซึ่งก็นับว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในพระพุทธศาสนา


มีปกติเรียกคนอื่นว่า “คนถ่อย”
พระปิลินทวัจฉะ เป็นผู้มีปกติเรียกภิกษุด้วยกัน และคฤหัสถ์ทั้งหลายด้วยถ้อยคำว่า “วสละ” ซึ่งเป็นคำหยาบ หมายถึง “คนถ่อย” โดยมีเรื่องเล่าดังต่อไปนี้:-

วันหนึ่ง ท่านเข้าไปบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ เห็นชายคนหนึ่งถือถาดใส่ดีปรีเต็มถาดกำลังเข้าไปในเมือง ท่านจึงถามว่า “แนะเจ้าคนถ่อย ในถาดของท่านนั้น ถืออะไร?”

ชายคนนั้นได้ฟังแล้วก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที จึงตอบไปว่า “ขี้หนู ครับท่าน”

พระปิลินทวัจฉะก็พูดเป็นการรับทราบตามคำของชายคนนั้นว่า “อ้อ เจ้าคนถ่อย ของนั้นเป็นขี้หนู”

ด้วยอำนาจแห่งคุณความเป็นพระอรหันต์ของพระเถระ และคำพูดไม่ดีอันเกิดจากอกุศลจิตของชายคนนั้น ทำให้ดีปรีในถาดของเขากลายเป็นขี้หนูไปเสียทั้งหมด เขาตกใจมาก เพราะคิดขึ้นได้ว่ายังมีดีปรีอยู่ในเกวียนนอกเมืองอีก เมื่อเขากลับไปดูก็พบว่า ดีปรีกลายเป็นขี้หนูไปทั้งหมดจริงๆ เขาเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะดีปรีเหล่านั้นเป็นของมีค่ามากและเขาเตรียมเพื่อจะนำมาขาย ขณะที่เขาแสดงอาการเสียใจและกำลังโกรธพระเถระอยู่นั้น มีอุบาสกคนหนึ่งเดินผ่านมา สอบถามได้ทราบความแล้วก็เข้าใจเหตุการณ์โดยตลอด จึงแนะนำขึ้นว่า:-

“ดูก่อนสหาย ท่านจงถือถาดขี้หนูนี้ ไปยืนรอที่หนทางซึ่งพระเถระผ่านมา เมื่อพระเถระผ่านมาเห็นแล้วก็จะถามว่า “แน่เจ้าคนถ่อย ในถาดของท่านนั้นคืออะไร ?” ท่านก็จงตอบว่า “ดีปรี ครับท่าน” พระเถระก็จะกล่าวว่า “อ้อ เจ้าคนถ่อย ของนั้นเป็นดีปรี” อย่างนี้แล้ว ท่านก็จะได้ดีปรีกลับคืนมา

ชายคนนั้นทำตามคำแนะนำของอุบาสก และในที่สุดขี้หนูก็กลับกลายเป็นดีปรีดังเดิม


พระเถระถูกเพื่อนภิกษุฟ้องพระพุทธเจ้า
สมัยหนึ่ง เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ภิกษุทั้งหลายพากันเข้าเฝ้าแล้วกราบทูลกล่าวโทษพระปิลินทวัจฉเถระว่า:-

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระปิลินทวัจฉเถระ มักเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยคำว่า วสละ พระเจ้าข้า”

พระบรมศาสดา จึงรับสั่งให้พระภิกษุรูปหนึ่งไปเรียกท่านมาแล้วตรัสถามว่า

“ดูก่อนปิลินทวัจฉะ ได้ทราบว่าเธอมักเรียกภิกษุทั้งหลายด้วยคำว่า วสละ จริงหรือ?”

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เป็นจริงอย่างนั้น พระเจ้าข้า”

พระบรมศาสดา ครั้นได้สดับแล้วจึงตรัสเล่าถึงบุพกรรมในอดีตชาติอันยาวนานของท่านให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า

“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าได้ถือโทษโกรธปิลินทวัจฉะเลย ท่านมิได้มีความโกรธแค้นในตัวเธอทั้งหลายเลย แต่ที่ท่านมักเรียกพวกเธอว่า วสละ นั้น เป็นเพราะในอดีตชาติย้อนหลังไป ๕๐๐ ชาติ ท่านก็มักกล่าวอย่างนั้นมาตลอดกาลช้านาน คำนั้นจึงเป็นอุปนิสัยที่ติดตัวท่านมาตั้งแต่อดีตชาติ”


ได้รับยกย่องว่าเป็นที่รักของเทวดา
พระปิลินทวัจฉเถระนั้น เป็นผู้มีความสามารถแสดงธรรมแก่เทพยดาทั้งหลาย ด้วยในอดีตชาติท่านกับสหายเป็นจำนวนมากได้รักษาศีลปฏิบัติธรรมร่วมกัน เมื่อตายแล้วได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนตัวท่านเมื่อสิ้นบุญจากสวรรค์แล้ว ได้จุติลงมาเกิดในอัตภาพนี้ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์เหล่าเทพยดาทั้งหลาย ผู้เป็นอดีตสหายก็พากันลงมาอาราธนาให้ท่านแสดงธรรมให้ฟัง จนทำให้ท่านเป็นที่รักใคร่ของเทพยดาทั้งหลายเหล่านั้น

ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางผู้เป็นที่รักใคร่ของเทพยดาฯ

ท่านดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนาสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน


บุพกรรมในอดีต
ท่านพระปิลินทวัจฉเถระ เมื่อครั้งพระปทุมุตตระพุทธเจ้า เกิดในครอบครัวของผู้มีโภคทรัพย์มากในกรุงหงสวดี ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นที่รัก เป็นที่ขอบใจของเทวดาทั้งหลาย ปรารถนาตำแหน่งนั้น กระทำกุศลตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวโลกและมนุษยโลก