[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => เสียงธรรมเทศนา - เอกสารธรรม - วีดีโอ => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 12 พฤษภาคม 2565 20:09:24



หัวข้อ: จตุฏฐานสูตร พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ทรงแต่งฯ
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 12 พฤษภาคม 2565 20:09:24
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/18166844795147_12_Copy_.jpg)

จตุฏฐานสูตร
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส  ทรงแต่งฯ

ปุจฉา ข้อที่ว่าจะรู้ศีลได้ด้วยการอยู่ด้วยกัน จะรู้ความสะอาดได้ด้วยการเจรจากัน จะรู้กำลังได้ในเวลาเกิดวิบัติ จะรู้ปัญญาได้ด้วยการสังสนทนากัน แต่ข้อนั้น เหตุไฉนจึงต้องนานๆ มิใช่เพียงการเล็กน้อย ต้องตรึกตรองจึงรู้ได้ ไม่ตรึกตรองก็รู้ไม่ได้ ผู้มีปัญญาจึงรู้ได้ บุคคลไม่มีปัญญารู้ไม่ได้ฯ

วิสัชนา เหตุว่า อยู่ด้วยกันเพียงครั้งหนึ่งคราวเดียว หรือพบกันครู่หนึ่งขณะเดียว จะสังเกตให้รู้แน่แท้ว่า ท่านผู้นี้มีศีลหรือทุศีลดังนี้ได้ก็ยากอยู่ เพราะบุคคลบางคนถึงเป็นคนทุศีล เมื่อเข้าในที่ประชุมชนย่อมสำรวมตนดุจคนมีศีล ต่ออยู่ด้วยกันมานานจนคุ้นเคย ท่านผู้นั้นเชลยใจสิ้นความกระดาก จึงจะทราบปกติกายวาจาของท่านผู้นั้นว่าเป็นอย่างไรได้แน่ฯ อีกประการหนึ่ง ถึงว่าท่านผู้นั้นจะระวังตัวอย่างไรก็ดี คนมีปัญญาตรึกตรองสังเกตแล้วก็อาจรู้ได้ เพราะความประพฤติที่เป็นไปด้วยความแกล้ง ถึงจะซ่อนเร้นสักเท่าไรก็คงปรากฏออกในสมัยหนึ่ง ไม่เหมือนปกติกายวาจาที่เป็นธรรมดาของตนฯ ถ้าท่านผู้นั้นเป็นคนมีศีล ถึงจะอยู่ด้วยกันนานสักเท่าไร จะคอยสังเกตอย่างไร ก็คงจะไม่เห็นแปรผันเป็นอย่างไรอย่างหนึ่ง ทั้งในที่แจ้งที่ลับ เพราะการประพฤติเช่นนั้นเป็นปกติกายวาจาของท่านผู้นั้นตามธรรมดาเองฯ  อนึ่งเจรจากันเพียงครู่หนึ่งขณะเดียวก็ไม่สามารถจะทราบว่าผู้นั้นมีอัธยาศัยเป็นอย่างไร เพราะบางคนใจอย่างหนึ่งพูดอย่างหนึ่ง ถ้าได้เจรจาด้วยกันมานาน ย่อมมีทางที่จะสันนิษฐานได้โดยวาจาของผู้นั้นที่ตั้งอยู่ในร่องรอยหรือมิตั้งอยู่ในร่องรอยฯ อีกประการหนึ่ง ถึงผู้นั้นจะพูดระวังตัวอย่างไรก็ดี ผู้มีปัญญาตรึกตรองสังเกตแล้วก็คงรู้ได้ เพราะวาจาที่ไม่ตรงกับอัธยาศัยคงจะปรากฏออกในสมัยหนึ่ง ถ้าท่านผู้นั้นเป็นคนมีอัธยาศัยสะอาด ถึงจะเจรจากันนานสักเท่าไรก็คงไม่พลาดพลั้งเลยฯ อนึ่งถ้ายังไม่มีวิบัติเกิดขึ้น ก็ยังรู้ไม่ได้แน่ว่า ท่านผู้นี้มีกำลังอดทนหรือไม่ ต่อเมื่อใดเกิดวิบัติขึ้น คือต้องวิโยคพลัดพรากจากญาติที่รักก็ดี ต้องเสียทรัพย์สมบัติก็ดี ต้องเสวยทุกขเวทนาแรงกล้าซึ่งเกิดแต่โรคต่างๆ ก็ดี จึงจะรู้ได้ว่า ใครมีกำลังอดทนได้ ใครไม่มีกำลังอดทนต่อทุกข์โทมนัสนั้น ในหมู่คนก็อดทนได้ แต่ใครจะมีกำลังกว่ากันนั้นก็ต้องรู้ได้โดยการที่ต้องวิบัตินั้นบ่อยๆ หรือตั้งอยู่ในวิบัตินั้นช้านาน แต่ข้อนี้ผู้มีปัญญาตรึกตรองจึงจะรู้ได้ ผู้หาปัญญามิได้ย่อมจะหลั่งไหลไปตามโลกธรรม ด้วยอำนาจความยินดียินร้ายเหมือนเช่นนั้น ก็จะหารู้ได้ไม่ฯ  อนึ่ง เมื่อสังสนทนากันเพียงครู่หนึ่งขณะเดียว ยังรู้ไม่ได้แน่ว่า ท่านผู้นี้มีปัญญาหรือไม่ ต่อเมื่อใดได้สังสนทนากันนาน ได้ฟังปฏิภาณแล้วจึงจะรู้ได้ ถึงอย่างนั้น ต่อคนมีปัญญาจึงจะทราบ วิสัยของคนมีปัญญา ถ้าหาปัญญามิได้แล้ว ถึงได้ฟังปฏิภาณของท่านผู้มีปัญญาก็ไม่สามารถจะทราบได้ ดุจกระบือฟังเสียงซอฉะนั้นฯ  เหตุนี้จะรู้สถานสี่ประการ ด้วยสถานสี่ประการนั้น จะต้องนานๆ มิใช่เพียงกาลเล็กน้อย ต้องตรึกตรองจึงรู้ได้ ไม่ตรึกตรองก็รู้ไม่ได้ ผู้มีปัญญาจึงรู้ได้ ไม่มีปัญญาก็รู้ไม่ได้ฯ

ปุ. การที่พระบรมศาสดาทรงแสดงพระสูตรนี้ มีประโยชน์อย่างไรฯ

วิ. มีประโยชน์ คือสอนว่า ถ้าจะคบคนใด ให้สังเกตอาการดีร้ายของคนนั้น โดยลักษณะที่ว่าแล้วเสียก่อน จึงค่อยคบ เมื่อเป็นเช่นนี้ชื่อว่าเป็นอันคบคนถูกไม่มีผิดเลย ๚