[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ จิบกาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: ฉงน ฉงาย ที่ 27 สิงหาคม 2565 18:38:28



หัวข้อ: ต้นกำเนิดของซูชิ
เริ่มหัวข้อโดย: ฉงน ฉงาย ที่ 27 สิงหาคม 2565 18:38:28


ต้นกำเนิดของซูชิ

          ต้นกำเนิดของซูชิ หลายๆคนคงอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่าซูชินั้นมีที่มาจากประเทศแถวภูมิภาคเอเชียตะวันออกเชียงใต้อย่างประเทศไทยและลาว แต่ก็ยังมีอีกหลายๆคนที่ยังไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว ต้นกำเนิดของซูชิ นั้นมีความเป็นมาอย่างไร และในวันนี้เราจะพาคุณผู้อ่านไปทำความรู้จักเกี่ยวกับซูชิอาหารประจำชาติของชาวญี่ปุ่นที่คนทั่วโลกต่างรู้จักกันว่ามันมีที่มาและที่ไปอย่างไรบ้าง

           จุดเริ่มต้น และ ต้นกำเนิดของซูชิ
          สมัยก่อนข้าวและปลาถือเป็นอาหารจานหลักโดยทั่วไปของคนญี่ปุ่นในยุคโบราณ เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่นิยมปลูกข้าวและการจับปลาตามแม่น้ำและในนาข้าวมาทำเป็นอาหาร ซึ่งในสมัยก่อนนั้นเราคงทราบกันดีว่าการจะเก็บรักษาความสดใหม่ของอาหารเอาไว้นั้นไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะในสมัยก่อนนั้นไม่มีทั้งตู้เย็นหรือเครื่องทำความเย็นเพื่อรักษาความสดใหม่ของปลาให้อยู่ได้นานๆเหมือนอย่างในสมัยนี้ อีกทั้งปัญหาทางด้านภูมิศาสตร์เกี่ยวกับฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงบ่อย อาจทำให้เกิดสภาวะแห้งแล้งและฝนตกหนัก ทำให้ไม่สามารถหาอาหารประเภทโปรตีนจำพวกเนื้อสัตว์หรือเนื้อปลามารับประทานกันได้ตลอดทั้งปี และเหตุนี้เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำ ซูชิ ซึ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 700 โดยประมาณ โดยได้รับอิทธิพลมากจากอาหารหมักอย่าง “ปลาร้า” หรือ “ปลาส้ม” ที่ทำกันในประเทศแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเชียงใต้ ทางฝั่งแม่น้ำโขงอย่างลาวและไทย รวมถึงทางตอนใต้ของประเทศจีน

           โดยการทำ ซูชิ นั้นก็คือกระบวนการหมักชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการนำข้าวที่มีมาหมักกับปลาและเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ ซึ่งในกระบวนการทำซูชินั้นจะทำให้สารที่มีชื่อว่า แลกติก หรือแอซิดแบคทีเรียตามธรรมชาติในข้าวเจริญเติบโตและทำปฏิกิริยากับแป้งข้าวเปลี่ยนให้เป็นกรดแลกติก ซึ่งเจ้าแบททีเรียตัวนี้จะช่วยป้องกันการเน่าเปื่อยของเนื้อปลาและเนื้อสัตว์ได้ (คล้ายๆกับการทำนมเปรี้ยว) ซึ่งถือได้ว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านของชาวญี่ปุ่นในยุคโบราณอย่างแท้จริง และจุดประสงค์หลักๆในการทำซูชิขึ้นมานั้นก็เพื่อ เก็บรักษาและถนอมอาหาร ทำให้อาหารเป็นขนาดพอดีคำและสามารถพกพาไปเพื่อใช้เป็นเสบียงในการเดินทางได้อีกด้วย

           ประเภทของซูชิ
          ถึงคนส่วนใหญ่จะนิยมเรียกกันว่าซูชิแต่จริงๆแล้วซูชิไม่ได้มีแค่เเบบเดียวเท่านั้นแต่สามารถแบ่งออกได้ถึง 5 ประเภทดังนี้

1. นิกิริซูชิ (Nigiri Sushi) หรือซูชิที่พบได้บ่อยในโรงแรมหรือภัตตาคารมีลักษณะข้าวเป็นก้อนรูปทรงวงรี แล้ววางด้วยเนื้อปลาดิบ เนื้อวัว เนื้อหมึก หรือของคาวอื่น ๆ ไว้ข้างบน อาจจะเสริมรสหรือตกแต่งด้วยสาหร่ายทะเลหรือวาซาบิ ซึ่งถือได้ว่าเป็นซูชิที่คนส่วนใหญ่นิยมรัปประทานกันมากที่สุด

(https://holifestivaljapan.com/wp-content/uploads/2019/04/1.jpg)

2. มากิซูชิ (Maki Sushi) ซูชิแบบนี้ถือได้ว่าเป็นที่นิยมในตลาดระดับล่างหรือพูดง่ายๆก็คือซูชิทั่วๆไปที่มีขายในซูเปอร์มาร์เก็ต และ ตลาดนัด เนื่องจากตัววัตถุดิบที่นำมาทำมีราคาไม่สูงมาก และมีหลากหลายรูปแบบคนส่วนใหญ่จึงรู้จักกันดี โดยมีวิธีทำ 3 แบบด้วยกัน

      แบบม้วนข้าวไว้ข้างในและสาหร่ายห่ออยู่ข้างนอก
      แบบม้วนสลับกับแบบแรกโดยที่สาหร่ายจะอยู่ข้างในแทนส่วนข้าวอยู่ด้านนอกห่อเป็นรูปกรวย


(https://holifestivaljapan.com/wp-content/uploads/2019/04/2.jpg)

3. ชิราชิซูชิ (Chirashi Sushi) เป็นการจัดเรียงในรูปแบบที่คล้ายๆกับข้าวกล่อง โดยการนำเอา ปลาดิบ กุ้ง ปลาหมึก และผักชนิดต่างๆมาวางเรียงอยู่ด้านบนของข้าวที่ใส่อยู่ในกล่อง

(https://holifestivaljapan.com/wp-content/uploads/2019/04/3-1.jpg)

4. โอชิซูชิ (Oshi Sushi) จากเมืองโอซาก้าหรือเรียกว่ารูปแบบคันไซนั่นเอง โดยจะมีรูปแบบการทำโดยการเอาข้าวมาอัดลงในแม่พิมพ์รูปสี่เหลี่ยมตามยาวโดยวางเนื้อปลาเอาไว้ด้านบน และนำมาหั่นให้เป็นขนาดพอดีคำ

(https://holifestivaljapan.com/wp-content/uploads/2019/04/4.jpg)

5. อินะริ ซูชิ (Inari Sushi) เป็นซูชิประเภทหนึ่ง ที่ตัวข้าวและเนื้อสัตว์จะถูกห่ออยู่ในเต้าหู้มีลักษณะคล้ายกับไข่ยัดไส้ คนไทยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยรู้จักกันดีเท่าไหร่นัก เพราะไม่ค่อยมีคนนิยมทำมาขาย
(https://holifestivaljapan.com/wp-content/uploads/2019/04/5-1.jpg)

ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเลยหากจะบอกว่าซูชิเป็นอาหารที่คนทั่วโลกนิยมรับประทาน เพราะไม่ได้มีแค่หน้าตาและความอร่อยเท่านั้นแต่มันยังถูกหล่อหลอมมาด้วยประวัติศาสตร์และความเป็นมาที่ยาวนานด้วยการวิวัฒนาการวิธีการทำซูชิตามแบบฉบับวิธีชนพื้นบ้านที่แปลเปลี่ยนไปตามกาลเวลานั่นเอง


ขอบขอบคุณข้อมูลดีๆจาก fhsredraiderfootball (http://fhsredraiderfootball)



จะว่าไปแล้วเจ้าของกระทู้ก็พึ่งรู้เหมือนกันว่ามันมีหลายประเภท  และก็หิวขึ้นมาทันที แฮร่!! ;D ;D