[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ => ข้อความที่เริ่มโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 20 พฤษภาคม 2553 10:00:58



หัวข้อ: คนเผาขยะ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 20 พฤษภาคม 2553 10:00:58
(http://www.belasmensagens.com.br/mensagens/imagens/criancastop.jpg)

คนเผาขยะ
Posted by กฤตบวรวิชญ์
                        
เสียงมโหรีปี่พาทย์ ยังคงบรรเลงเพลงพระธรณีกรรแสงอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนาน
ตราบใดที่ความตายยังเกิดขึ้นอยู่คู่กับมวลมนุษย์
บทเพลงบทนี้ก็คงจะไม่ล้าหลังไปจากยุคสมัยแน่นอน
              
เสียง โหยหวนจากการดีด สี ตี เป่า ที่แว่วเวียนอยู่ในอากาศ
สามารถยุเย้าอารมณ์เศร้าให้กับผู้ฟังที่อยู่ในงานศพได้เป็นอย่างดี
แม้บางคราวจะมีเสียงสอดแทรกจากพวกขี้เมาบ้างแต่นั้นก็แค่ส่วนหนึ่งของพวก ด้อยมารยาท
                        
โลงศพยังคงตั้งแน่นิ่งอยู่ใกล้กับลานอภิธรรม
ดอกไม้ที่ล้อมรอบโลงแอร์เริ่มแห้งเหี่ยว  กลิ่นและรูปลักษณ์ที่เคยงดงามก็เริ่มโรยรา  
แต่ก็น่าแปลกที่มนุษย์ยังถือความเชื่อ  ใช้ความสวยงามมาประดับเคียงคู่อยู่กับความตาย
และหากความตายคือสิ่งที่สวยงาม เหตุไฉนเล่ามนุษย์บางคนยังพยายามที่จะหลีกหนีความตาย
                        
กลิ่นควันธูปเทียนยังคงคละคลุ้งเคียงคู่อยู่กับดวงวิญญาณของผู้ตาย
ปี่พาทย์ยังคงโลมเล้าบรรเลงอยู่อย่างอึกทึก  
ป้าย ชื่อผู้มีเกียรติบนพวงหรีดยังคงอวดศักดาอยู่คู่กับโลงศพ
นานมาแล้วที่มนุษย์ใช้ลายปากกา เพื่อสื่อความอาลัย
ซึ่งก็คงนานพอที่จะทำให้พวกเขาเริ่มเอือมระอาต่อความตาย
                        
รูปถ่ายครึ่งท่อนในฉากแก้วข้างโลงศพ ยังคงมีสีหน้าและแววตาเช่นเดิม
ไม่มีความเศร้า  ไม่มีความสุข  เป็นสีหน้าที่เงียบเชียบและเดียวดาย  
เบื้องล่างรูปถ่ายบอกถึงวันที่ ชาตะ   มรณะ  และ อายุรวมถึงวันตาย ไว้อย่างลงตัว  
ซึ่งเมื่อคิดดูให้ลึกซึ่งมนุษย์ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากสินค้าที่วางขายอยู่ตามท้องตลาด
มีวันผลิต และ วันหมดอายุ ตามกาลเวลาอันสมควร
                        
ปี่พาทย์หยุดบรรเลงชั่วขณะ  พระสงฆ์สี่รูปเดินเรียงหน้าเข้าประจำที่ตรงลานสวดอภิธรรม
น้ำดื่มถูกยกมาถวายต่อหน้าพระสงฆ์   ตาลปัตรทั้งสี่ถูกยกขึ้นมาบังหน้าพระสงฆ์ทั้งสี่รูป  
“ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น”    
คำ กลอนบน ตาลปัตร เรียงแถวต่อคำกลอนกันอย่างลงตัวด้วยความหมายที่กินใจ
ร่างผู้ตายภายในโลงศพถูกเชื่อมต่อเข้ากับพระสงฆ์ทั้งสี่รูปโดยมีสายสิญย์ เป็นสื่อ  
เสียงสวดคาถาภาษาบาลี เริ่มเปล่งเสียงสำเนียงสอดประสานอย่างมีมนต์ขลัง
                        
ชาย วัยกลางคนในชุดแต่งกายที่ดูซ่อมซอยกมือขึ้นพนมไหว้พระสงฆ์ทั้งหมด
ก่อนที่จะลุกขึ้นออกไปจากที่สวดอภิธรรม เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ
และเขาก็ไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับคนทั่วๆไปเช่นกัน  ด้วยเหตุนี้  
การกระทำใดของเขาจึงไม่ตกเป็นที่สนใจของบุคคลรายรอบ
                        
ชายผู้นี้มาพร้อมกับพระสงฆ์ทั้งสี่ เขามีวัดเป็นบ้าน
และอาศัยข้าวก้นบาตรประทังชีพ เขามาจากไหน? เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ? ไม่มีใครรู้
แต่แกอาศัยวัดที่นี่มานานหลายปี และดูทีท่าว่าจะไม่ไปอยู่ที่อื่นเสียด้วยซ้ำ
                      
เขา เดินมาข้างเมรุ เงยหน้าขึ้นมองตรงจุดสูงสุดของปล่องควัน
ไม่มีคำพูดและอารมณ์ใดๆแฝงอยู่บนใบหน้า เงียบขรึมและมั่นคง
อาจจะดูแข็งกระด้าง แต่จริงๆแล้วมันคือความเข็งแกร่ง
                      
เขา เบือนสายตาไปที่ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆเมรุ
ต้นไม้ต้นนี้มีอายุที่ยาวนานพอสมควร ลำต้นของมันเติบใหญ่ขึ้นตามกาลเวลา
แผ่กิ่งก้านสาขากว้างใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ  
เขาเดินมาที่โคนของต้นไม้ต้นนั้น แอบอิงเงาของมันเป็นที่ร่ม
แล้วนั่งกอดเข่าหลังพิงโคนต้น  ดั่งเฝ้าคอยถ้าอะไรสักอย่าง
                        
ลม ยามบ่ายยังพัดอย่างต่อเนื่อง แม้พลังของลมจะไม่รุนแรงมากนัก
แต่ก็สามารถกระชากเอาใบไม้ที่อ่อนแอและไร้พลังให้ร่วงหล่นลงมาแนบอกแม่พระธรณี
ใบแล้ว ใบเล่า ให้มากองทับถมกับใบไม้เหี่ยวๆที่ร่วงหล่นมาก่อนหน้านี้
                        
ลมหายใจของเขาเริ่มแผ่วเบาลง
แต่สมองของเขากลับทำงานหนักขึ้น
เขาไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ ความหมายของใบไม้ที่ร่วงหล่นถึงมีคุณค่า แตกต่างไป
จากที่เขาเคยมองเมื่อครั้งก่อนๆ  ธรรมชาติ กำลังสอนให้เขาคิด
เขาเงยหน้าขึ้นไปมองจุดสูงสุดของต้นไม้ ที่ตรงนั้นมันช่างดูสง่างามเสียเหลือเกิน
มันคือยอดที่ไม่มีมีส่วนไหนสูงเทียบเท่า
แต่มันก็ดูเหนื่อยล้าเมื่อเทียบกับใบไม้ที่อยู่ในชั้นต่ำกว่า
ทุกครั้งที่กระแสลมปะทะร่างของมันจนโยกไหวสั่นคลอน
ดูมันช่างวุ่นวายและไม่มีความสุขเอาเสียเลย
 
ในขณะเดียวกัน
พวกใบไม้เบื้องล่างที่ดูด้อยศักดิ์กว่ากลับมีชีวิตที่สงบร่ม เย็น
มันคือความแตกต่างที่ธรรมชาติได้ชดเชยให้เกิดความสมดุล                        
“และถ้าเป็นตัวฉัน ในตอนนี้ฉันจะอยู่ตรงส่วนไหนของต้นหนอ” เขาแอบคิดอยู่ในใจ  

เงย หน้าขึ้นไปมองตรงยอดสุดของต้นไม้
ก่อนจะละสายตามองมาเป็นชั้นๆ จนถึงใบที่อยู่ชั้นต่ำสุด
สีหน้าของเขาเริ่มเผยรอยยิ้ม แม้มันจะเป็นยิ้มแห้งๆแต่มันก็เป็นยิ้มที่หาดูได้ยาก
เขามองตรงส่วนนั้นอยู่เนิ่นนาน ดูภาคภูมิใจกับมัน
เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุอันใด ถึงบังเกิดอารมณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้
ปกติเขาเป็นคนด้านชากับความรู้สึกมานาน
จนเกือบลืมไปว่า ตัวเขาเองก็มีความรู้สึกเหมือนเช่นคนอื่นๆ
                        
ใบ หน้าเขาดูมีความสุขขึ้น เขาได้พบธาตุแท้ของตัวเองเป็นครั้งแรก
เขาชอบในความต่ำต้อยที่สงบสุข
เขาภูมิใจที่ได้คลุกคลีกับคำเหยียดหยาม มากกว่าที่จะได้คลุกคลีกับคำเยินยอที่เสแสร้ง  
มันคือความรู้สึกที่เกิดมาจากจิตใต้สำนึกอันใสซื่อบริสุทธิ์
                        
ใบไม้ เหี่ยวยังคงร่วงโรยอยู่เรื่อยๆ
เขาพบสัจธรรมอีกอย่างที่ตัวเขาเองได้เคยมองผ่านมาโดยตลอด
เขามองไปที่ใบไม้หนาทึบ มันมีสีเขียวอ่อน  เขียวเข้ม และเหลือง สลับซับซ้อนกันไป
บางใบกำลังผลิแย้มต้อนรับโลกใหม่
บางใบก็เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วหลาย
ฤดูกาลจนสีใบแก่จัด  และบางใบก็เริ่มเหี่ยวแห้งโรยรา
ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับชีวิตมนุษย์เลย
เราเริ่มที่จุดกำเนิด ผ่านการเจริญวัย  แล้วก็มาสิ้นสุดลงที่ความตาย
                        
ความคิดของเขา ชะงัก  เมื่อ เสียงสวดของพระสงฆ์เงียบลง
เขารู้ดีถึงสัญญาณเตือนด้วยความเคยชิน ปี่พาทย์เริ่มบรรเลงอีกครั้ง
ซึ่งครั้งนี้ดูเหมือนจะปลุกระดมความเศร้าโศกได้มากกว่าครั้งก่อนเสียอีก
เขาเดินไปบนเชิงเทินของเมรุ เพื่อรอที่จะทำหน้าที่ของตนต่อไป

พระสงฆ์ชักสายสิญย์ขึ้นสู่เชิงเทินหน้าเมรุ
โดยมีขบวนญาติๆตามหลังและผู้ทำหน้าที่หามโลงศพของผู้ตายขึ้นตามไป  
ภรรยา และลูกๆของผู้ตายร่ำไห้ปานว่าจะขาดใจ
หลายคนพลอยร่ำไห้ตามไปด้วยจนหน้าแดงก่ำ
รูปถ่ายที่ไร้อารมณ์ยังแนบอยู่กับอกเสื้อของภรรยาผู้ตาย
แม้ว่าการโอบกอดครั้งนี้ จะไม่เหมือนการโอบกอดเมื่อครั้งที่สามียังมี ชีวิตอยู่ก็ตาม
                        
คนมากหน้าหลายตาอัดแน่นอยู่บนเชิงเทิน
เช่นเดียวกับลานดินด่านล่างที่มีจำนวนไม่น้อยกว่ากัน
พิธีการสำคัญใกล้เริ่มขึ้น เด็กๆบนลานดินต่างจับจองสมรภูมิที่เหมาะและตนถนัดที่สุด
แม้มันจะไม่ใช่การรบ แต่มันก็เป็นการวัดความสามารถที่อาศัยความเชี่ยวชาญใน เชิงยุทธ์อยู่พอควร
                        
ฝาโลงเปิดออกให้บุคคลใกล้ชิดได้ดูหน้าผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย  
สีหน้าหมองคล้ำของร่างแน่นิ่งในกล่องไม้  ดูเหมือนจะไม่รับทราบเรื่องราวใดๆที่เป็นอยู่ภายนอก  
เวลาเดียวกันเสียงร่ำไห้ก็ดังอยู่เป็นระยะๆ  แทนคำอำลาที่ไม่มีความหมายใดซ่อนเร้น
นอกจากความเศร้าและอาลัยอาวรณ์
                        
ประตูตู้เผาถูกเปิดออกด้วยมือของชายแต่งตัวซ่อมซอที่มากับพระ  
โลงไม้สี่เหลี่ยมถูกใส่เข้าไปในช่องไฟทันทีที่ได้เวลาอันสมควร
ดอกไม้จันทน์ พวงหรีด ถูกบรรจุและเผาไปพร้อมกับร่างของผู้ตาย  
ภรรยา และลูกๆยังคงร่ำร้อง เช่นเดียวกับญาติสนิท
และผู้มาร่วมพิธีบางคนที่ยืนน้ำตาคลอเบ้า
กัลปพฤกษ์ ถูกหว่านไปหน้าลานดิน
เด็กๆแย่งชิงกันอย่างสนุกสนานผู้ใหญ่บางคนเข้าร่วมวงด้วยเพื่อต้องการเก็บ
เหรียญห่อกระดาษแก้วไว้เป็นที่ระลึก มันช่างดูวุ่นวายในช่วงเวลาที่น่าจะโศกเศร้า
                        
ควันสีดำพุ่งฟุ้งกระจายออกจากยอดเมรุไปตามแรงลม  
แขก เหลื่อหลายคนเริ่มทยอยกันกลับบ้าน
ญาติๆเริ่มพากันมานั่งที่เต๊นข้างล่างหน้าเมรุ
บนเชิงเทินเมรุแลโล่งขึ้น เหลือก็แต่พ่อ แม่ ภรรยา และลูกๆของผู้ตาย
ที่ยังคงยืนอาลัยอาวรณ์อยู่หน้าเตาเผา  
พระสงฆ์ชักแถวเดินกลับวัด
แต่ชายแต่งตัวซ่อมซอที่มากับพระยังกลับไม่ได้
เพระภาระหน้าที่ของเขายังไม่จบสิ้น
                        
คนเริ่มบางตาจนนับจำนวนถูก ความตายเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่เคยถวิลหา
แต่ก็ได้มาทุกคนขึ้นอยู่กับเวลาว่าจะเร็วหรือช้าต่างกัน  
ควัน ที่พุ่งผ่านยอดเมรุเปลี่ยนเป็นสีเทาและค่อยๆเบาบางลงเรื่อยๆ
พ่อ แม่ ภรรยา และลูกๆของผู้ตายลงมานั่งอยู่ในเต๊น
ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยยังคงเปียกชื้นไปด้วยน้ำตา
                        
ชายแต่งตัวซ่อมซอกลับมานั่งที่โคนต้นไม้ใหญ่ข้างเมรุ
เขาไม่ได้รู้สึกเศร้าเลยแม้แต่น้อย  
ไม่ใช่เพราะผู้ตายไม่ใช่ญาติโกโหติกากับเขา  
หาก แต่ภาพความเศร้าที่เขาได้เห็นมันกลายเป็นสิ่งชินตาที่เขาได้สัมผัสมาอย่าง โชกโชน
เขาเงยหน้าขึ้นไปมองตรงยอดเมรุอีกครั้ง กลุ่มควันเริ่มเบาบางลงทุกขณะ
ใบไม้เหี่ยวใบหนึ่งร่วงลงมาผ่านหน้าเขาไป  มัน ลงซบแน่นิ่งกับอกแม่พระธรณี
เช่นเดียวกับใบอื่นๆที่ร่วงหล่นมาก่อนหน้านี้
เขาหยิบมันขึ้นมามองดู เหี่ยวแห้งและไร้ความหมาย
เขาถือมันไปรวมวางกับใบอื่นๆ ที่กองรวมกันอยู่ก่อนหน้านั้น
เขาหยิบไฟแช๊คขึ้นมาและรู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
ไฟติดขึ้นแล้วมันลามเลียใบไม้แห้งอย่างรวดเร็ว
กลุ่มควันโขมง พวยพุ่งขึ้น เขานั่งมองมันย่อย สลายไปกับเปลวไฟ  
                        
ลมยังคงพัด  เชื่อแน่ว่าใบไม้จะต้องทยอยกันร่วงหล่นต่อไปเรื่อยๆไม่มีอันจบสิ้น  
เขาหยิบไม้กวาดขึ้นมาดู  ใช้จิตวิญญาณแทรกซึมเข้าไปในเนื้อไม้      
เหมือนมีพลังบางอย่างแอบแฝงอยู่ภายใน  มันล้ำลึกเกินจะบรรยายออกมาจากสีหน้า  
คล้ายกับว่าเขาได้พบสิ่งที่ปรารถนา  และไม่อาจจะละทิ้งมันได้อีกต่อไป  
“ใครเคยคึดถึงบ้างว่าถ้าไม่มีไม้กวาด โลกนี้จะสกปรกสักเพียงใด”

ชายผู้นั้นแอบพร่ำรำพันกับตัวเองพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ ที่ยากจะบรรยายความรู้สึก
                        
กองไฟเริ่มมอด ควันไฟก็เริ่มจางลง เศษใบไม้เริ่มเป็นผงเถ้า  
เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์  เมื่อผ่านการเผาก็หลงเหลือแต่เพียงเถ้าถ่าน  
หากจะต่างกันบ้างก็ตรงที่ชื่อเรียก  แม้นไม่มีสรรพนามคำว่ามนุษย์และขยะมากั้นกลาง  
สุดท้ายจุดจบของของสองสิ่งก็คงคล้ายกัน  
หากนำผงเถ้าขยะและผงเถ้ามนุษย์มาคลุกเคล้ารวมกัน
คงไม่มีใครสามารถที่จะแยกแยะได้อย่างหมดจด
        
เขาเงยหน้าขึ้นมองยอดเมรุอีกครั้ง  มันสงบลงแล้ว  
แต่หน้าที่คนเผาขยะอย่างเขายังไม่จบสิ้น  
ดวงตะวันอ่อนแสงโรยรา  เขากำไม้กวาดแน่นและพร้อมที่จะเผชิญอนาคตอย่างทรนงตน

(http://img12.imageshack.us/img12/1548/wzt17.jpg)


หัวข้อ: Re: คนเผาขยะ
เริ่มหัวข้อโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 20 พฤษภาคม 2553 15:44:48
อารมณ์ประมาณอ่านเรื่องสั้นในขายหัวเราะเลย
ขอบคุณคร๊าบ


หัวข้อ: Re: คนเผาขยะ
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 20 พฤษภาคม 2553 19:03:36

(http://www.bloggang.com/data/takra/picture/1134965225.jpg)
(http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:SGPZUF6d5-EpTM)


หัวข้อ: Re: คนเผาขยะ
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 21 พฤษภาคม 2553 17:21:51
 (:88:) (:88:)