[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ => ข้อความที่เริ่มโดย: เงาฝัน ที่ 30 กันยายน 2554 08:01:15



หัวข้อ: ตกนรกทันตาเห็น : เสถียร โพธินันทะ
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 30 กันยายน 2554 08:01:15


                   (http://statics.atcloud.com/files/comments/144/1446437/images/1_display.jpg)

ทรชนคนบาป
ในสมัยพุทธศตวรรษที่๑๑ พระเจ้าศศางกะ กษัตริย์อินเดียผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เกิดริษยาความเจริญของพระพุทธศาสนา จึงคิดจะทำลายล้าง โดยจัดการกับวิหารมหาโพธิ์ สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก่อน ในวิหารนั้นมีพระพุทธรูปอันงดงาม พระเจ้าศศางกะสั่งให้แม่ทัพจัดการทำลายพระพุทธรูปทันที แล้วเสด็จออกไปตัดต้นมหาโพธิ์ ส่วนภายในวิหารปล่อยให้แม่ทัพจัดการ
ฝ่ายแม่ทัพเป็นผู้รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่กล้าทำตามคำสั่งนาย ได้ดำริว่า ถ้าทำลายพระพุทธรูปตามโองการของพระราชา เราก็ต้องตกนรก ถ้าไม่ทำตามโองการ ศีรษะก็จะไม่อยู่กับบ่า ในที่สุดคิดอุบายร่วมกับคนสนิท ก่อกำแพงบังพระพุทธรูปนั้นให้มิด และทูลพระราชาว่า ทำลายเสร็จสิ้นแล้ว

พระเจ้าศศางกะชอบพระทัย พอล่วงไป ๗ วัน ก็บังเกิดโรคพุพองเปื่อยเน่าไปทั่วสรีระ กษัตริย์ใจบาปนี้ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างสาหัสจนสิ้นพระชนม์ ฝ่ายแม่ทัพก็รีบมารื้อกำแพงออกทันที

เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ แม้พระพุทธรูปยังไม่ได้ถูกทำลาย แต่เป็นผลอันเกิดจากการทำอันตรายต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งพระพุทธองค์อาศัยร่มเงาในคืนตรัสรู้

อ.เสถียร โพธินันทะ ได้ยินผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าว่า ท่านได้เห็นชายชราเป็นโรคผิวหนังพุพองเปื่อยเน่าทั้งตัว ทั้งยังเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ ต้องเที่ยวถัดไปตามถนนขอทานเขากิน ชายชราผู้นี้เล่าชีวประวัติให้ผู้ใหญ่ท่านนั้นฟังว่า เมื่อหนุ่มหากินทางขโมยลอกทองพระพุทธรูปบ้าง เที่ยวขุดทรัพย์ในองค์พระปฏิมาตามวัดร้างโบราณ ทำให้องค์พระเสียหายขาดอวัยวะไป บัดนี้กรรมตามทันมาสนองให้ต้องทรมานอย่างนี้หลายปีแล้ว และรู้ตัวว่าหากตายไปคงตกนรกแน่นอน

ผู้ใหญ่ท่านนั้นเล่าว่า ได้เห็นสภาพของชายชราแล้ว ใจของท่านสลดสังเวชมาก เพราะมีสภาพเกือบไม่เป็นมนุษย์ ตามตัวเน่าไปหมดส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งทีเดียว เป็นการตกนรกทันตาเห็นอยู่แล้ว
(ตอบปัญหาร้อยแปด โดย เสถียร โพธินันทะ)

เมื่อคืนวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๓๖ ชายสองคนขี่รถจักรยานยนต์ไปที่วัดซุ้มกอ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร(ชาวบ้านเรียกว่ากรุทุ่งเศรษฐี) ทั้งสองนำรถไปซุ่มจอดอยู่ใต้ต้นมะม่วง ซึ่งห่างจากเจดีย์ซุ้มกอประมาณ ๒๐ เมตร แล้วเดินมาขุดที่บริเวณฐานของเจดีย์ซุ้มกอ เพื่อหาพระซุ้มกอที่ยังมีหลงเหลือด้านบนของฐานเจดีย์ที่ทั้งสองลักลอบขุด มีจอมปลวกขนาดใหญ่ก่อตัวอยู่ ทั้งสองขุดชอนลึกลไปจนท่วมหัว สันนิษฐานว่าขุดกันมาหลายวันแล้ว โดยใช้ต้นหญ้าปิดปากหลุมไว้ ขณะที่กำลังใช้ชะแลงขุดลึกลงไปเรื่อยๆนั้น ดินจอมปลวกและฐานเจดีย์ได้ถล่มพังทับร่างของทั้งสองชนิดตายทั้งเป็น

รุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ตำรวจและชาวบ้านได้ช่วยกันขุดดินออก พบร่าง
ชายสองคนคือ นาย ก.อายุ ๒๑ ปี อีกศพเป็นชาย
อายุประมาณ ๒๐ ปี ชื่อนาย น. พร้อมชะแลงเหล็ก ๑ อัน

ขณะที่กำลังขุดเอาศพออกมา หลายคนเห็นฝูงปลวกจำนวนนับล้านตัว
บางตัวมีขนาดเกือบเท่านิ้วก้อยเกาะติดศพขึ้นมา ต่างตกตะลึง
ไปตามๆกัน และบอกว่าฟ้าดินและเจ้าที่เจ้าทางลงโทษทันตาเห็น

สำหรับกรุทุ่งเศรษฐีนั้น บรรดาเซียนพระในจังหวัดกำแพงเพชร ได้เล่าว่า เคยมีผู้ไปลักลอบขุดพระ ขณะที่ขุดลึกลงไปนั้น ได้เห็นว่ามีน้ำไหลทะลักออกมามากมาย ผู้ที่ลักลอบขุดต้องว่ายน้ำหนีจนหมดแรง กระทั่งรุ่งเช้ามีคนมาพบว่านอนเกลือกกลิ้งอยู่ใกล้หลุมดินนั้นเอง โดยบริเวณดังกล่าวไม่มีน้ำเลย ลักษณะที่เรียกว่า ว่ายบกนี้ ทำให้เข็ดไปตามๆกัน
(หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๓๖)

ประเด็นที่ควรกล่าวถึงมีดังนี้คือ
พระพุทธรูปเป็นสัญญลักษณ์แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจัดเป็นปูชนียวัตถุสูงสุด ผู้สร้างพระพุทธรูปจะได้ประโยชน์ดังนี้
๑. ได้บุญตั้งแต่วินาทีแรกที่คิดสร้าง เพราะเป็นความคิดอันประกอบด้วยศรัทธาในพระพุทธองค์ จัดเป็นคถาคตโพธิสัทธา
๒. เมื่อบริจาคทรัพย์ในการสร้างจัดเป็นทานบารมี
๓. เมื่อขวนขวายติดตามตลอดงานจัดสร้างพระปฏิมาจัดเป็นกุศลส่วนเวยยาวัจจมัย
๔. เมื่อองค์พระปฏิมาสำเร็จบริบูรณ์ ได้เป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงพระพุทธคุณ ทั้งตนเองด้วย ทั้งผู้อื่นด้วย กุศลจะเกิดเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ได้อาศัยพระปฏิมาเป็นสื่อน้อมนำให้ระลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นบ่อเกิดแห่งกุศลจริยาอื่นๆอีกเป็นอันมาก
๖. ในสมัยมรณกาล หากมีอารมณ์ในกุศลกิจนั้นมาปรากฏให้จิตยึดก่อนจะจุติ ย่อมปิดอบายภูมิและส่งให้ปฏิสนธิในสุคติภูมิทันที

ส่วนการทำลายพระปฏิมานั้น ในคัมภีร์ชั้นฎีกา ท่านแสดงไว้ว่ามีบาปเท่ากับทำลายต่อองค์พระบรมศาสดาเหมือนกัน ถึงห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน เที่ยงต่อการตกนรกหมกไหม้ แม้ในกฎหมายโบราณท่านก็ตราเป็นพระราชกำหนดว่า ผู้ใดทำอันตรายต่อพระพุทธรูป มีตัดแขนพระ เป็นต้น ก็ให้จับมันมาลงโทษด้วยการตัดแขนบ้าง ที่ต้องกำหนดโทษรุนแรงทั้งฝ่ายโลกฝ่ายธรรมอย่างนั้น ก็เพราะการทำลายพระพุทธรูปด้วยบาป เจตนาเท่ากับเป็นการทำลายจิตใจของชาวพุทธทั่วไป การทำอันตรายต่อปูชนียวัตถุอันเป็นมิ่งขวัญสูงสุดทางใจของคนจำนวนมากอย่างนั้น ก็ต้องมีผลตอบรุนแรงมาตามธรรมดา

การที่ท่านว่าห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน ก็เพราะคนที่มีใจบาป แล้วทำอันตรายพระปฏิมาได้ คนนั้นไหนเลยจะมีแก่ใจปฏิบัติธรรม เมื่อไม่ได้ปฏิบัติธรรมแล้ว ที่ไหนจะได้สวรรค์นิพพานเล่า เมื่อห้ามสวรรค์นิพพานแล้ว คติที่ผู้นั้นจักไปก็มีแต่อบายภูมิ ๔ เท่านั้น

(ตอบปัญหาร้อยแปด โดย เสถียร โพธินันทะ)
หนังสือ กรรมลิขิต โดยธัมมวัฑโฒ ภิกขุ วัดโสมนัสวิหาร

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=230291&stc=1&d=1193545200)

จาก.. เห็นผลในชาตินี้
นำมาแบ่งปัน
โดย Mantalay :board.palungjit.com
:กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ


(http://i307.photobucket.com/albums/nn281/sirin_bucket/eatfl2.jpg)

วิบากเป็นผลของกรรมของตน
วิบากเป็นผลของกรรมของตน ผู้อื่นทำให้ไม่ได้
แต่ละคนมีวิบากกรรมที่ตนได้ทำมาแล้ว
กรรมเป็นปัจจัยให้เกิดวิบาก ไม่ควรเดือดร้อน

ทุกสิ่งทุกอย่างกรรมเป็นผู้จัดสรร
วิบากจิตรับผลกรรมโดยรู้อารมณ์ที่กระทบ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย
เป็นการใช้หนี้กรรมที่ได้กระทำแล้วของตน
วิบากเป็นอเหตุกจิตและสเหตุกจิต

โดย ลุงหมาน :board.palungjit.com
(http://www.eyehome.net/create/picline/new/l322.gif)

อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ