หัวข้อ: ฟ้าสางทางความลับสุดยอด :ท่านพุทธทาสภิกขุ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 24 ตุลาคม 2554 14:04:38 (http://nkgen.com/Buddhadasa.jpg)(http://www.buddhadasa.com/Topsecret/topsecret.jpg) ฟ้าสางทางความลับสุดยอด โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ คัดจากหนังสือ อสีติสังวัจฉรายุศมานุสรณ์ ในหัวข้อ ฟ้าสางทางความลับสุดยอด พิมพ์โดย ธรรมทานมูลนิธิ และ สนพ. สุขภาพใจ พิมพ์ครั้งที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๐ ชีวิตเป็นสิ่งที่พัฒนาได้ ตามประสงค์ โดยกฏอิทัปปัจจยตา ดังนั้น ชีวิตจึงเป็นสิ่งที่เราเติมธรรมะลงไปได้ตามที่เราต้องการ โดยการปฏิบัติธรรม. (๑) ถ้ามีการศึกษาที่เห็นแจ้งจากภายใน (เป็นสันทิฏฐิโก) แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเป็นทาสทางสติปัญญาของใคร แม้แต่ของพระพุทธเจ้า: นี้เป็นหลักของพระพุทธศาสนา (ตามกาลามสูตรข้อสิบ) (๒) ถ้าใช้หลักกาลามสูตรเป็นเครื่องตัดสินว่า เป็นสิ่งที่ควรรับถือเป็นหลักปฏิบัติแล้ว ก็ไม่ต้องคำนึงว่าเป็นคำสอนของใคร เป็นของเดิมแท้หรือเป็นของใหม่ ฯลฯ หรือว่ามีประวัติมาอย่างไร (๓) การมีธรรมะแท้จริง ก็คือ สามารถดำรงตนอยู่เหนือปัญหา หรือความทุกข์ทั้งปวง; ไม่เกี่ยวกับปริญญาบัตร ฯลฯ พิธีรีตอง หรือ หลักปรัชญาชนิดฟิโลโซฟี่ใดๆ (๔) เรามีวิธีทำให้ชีวิตเป็นของเย็น ทุกอิริยาบถตามที่เราประสงค์จะมี ไม่ว่าในรูปแบบใดๆ : เพื่อตนเอง - เพื่อสังคม - ตามธรรมชาติล้วนๆ (๕) การศึกษา - ศาสนา - วัฒนธรรม - ประเพณี - การเมือง - การปกครอง - การเศรษฐกิจ - ศิลปะ ฯลฯ - วิทยาการใดๆ จะถือว่าถูกต้องได้ เฉพาะเมื่อพิสูจน์การดับทุกข์ได้ในตัวมันเอง (๖) การเรียน - การรู้ - การมีความรู้ - การปฏิบัติ - การใช้ความรู้ให้สำเร็จประโยชน์ เหล่านี้ มิใช่สิ่งเดียวกัน; ระวังการมี การใช้ ให้ถูกต้อง (๗) ชีวิตเย็นเป็นนิพพาน ในปัจจุบัน คือ ไม่มีกิเลส เกิดขึ้นแผดเผาให้เร่าร้อน ทุกเวลานาที ทุกอิริยาบถ, ในความรู้สึกอย่างสันทิฏฐิโก (คือรู้สึกอยู่ภายในใจ) (๘) มีชีวิตเย็นเป็นนิพพาน (นิพฺพุโต) ในปัจจุบันได้ โดยที่ทุกอย่างถูกต้องแล้ว พร้อมแล้ว ไม่ว่าสำหรับจะตายหรือจะอยู่; เพราะไม่มีอะไรยึดถือไว้ว่า กู-ของกู (๙) กิจกรรมทางเพศเป็นของร้อน และเป็นเรื่อง "บ้าวูบเดียว"; แต่คนและสัตว์ (แม้ต้นไม้?) ก็ตกเป็นทาสของมันยิ่งกว่าสิ่งใด (๑๐) อวัยวะสืบพันธุ์ มีไว้สำหรับผู้ต้องการสืบพันธุ์ หรือผู้ต้องการรสอร่อยจากกามคุณ (กามอสฺสาท) อันเป็นค่าจ้างให้สัตว์สืบพันธุ์ ด้วยความยากลำบากและน่าเกลียด; แต่ไม่เป็นที่ต้องการของผู้จะอยู่อย่างสงบ (๑๑) เรื่องเพศหรือเกี่ยวกับเพศ ธรรมชาติสร้างมาสำหรับมนุษย์ - สัตว์ - พฤกษชาติ ไม่สูญพันธุ์ ; ไม่ใช่ของขวัญที่ใครจะเรียกร้อง ไม่ใช่ของควรบูชาในฐานะสิ่งสูงสุด ว่าเป็นกามเทพ เป็นต้น (๑๒) กามารมณ์เป็นค่าจ้างทางเพศ เพื่อการสืบพันธ์ อันสกปรกเหน็ดเหนื่อยและน่าเกลียดจากธรรมชาติ, มิใช่ของขวัญ หรือ หรรษทานจากเทพเจ้าแต่ประการใด เลิกบูชากันเสียเถิด (๑๓) กามกิจก็เป็นหน้าที่ที่เป็นธรรมะอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน; แต่ต้องประพฤติกันอย่างถูกต้องและพอดี สำหรับอริยชนที่ครองเรือน (๑๔) การสมรสด้วยจิตหรือทางวิญญาณ (เช่น ทิฏฐิตรงกัน) นั้น เป็น "พรหมสมรส" ยังบริสุทธิ์ สะอาดดี ไม่ก่อให้เกิดทุกข์หรือปัญหาใดๆ ; ส่วนการสมรสทางกาย หรือเนื้อหนัง นั้น สกปรก น่าเกลียด เหน็ดเหนื่อยเกินไป จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นการสมรส (๑๕) กามที่เกี่ยวกับเพศ เป็นได้ทั้งเทพเจ้าและปีศาจ ทั้งนี้แล้วแต่ผู้ประกอบกิจนั้น มีธรรมะผิดถูกมากน้อยเพียงไร (๑๖) พวกที่ถือพระเจ้า ถือว่าอะไรๆ ก็แล้วแต่พระเจ้าบันดาล ส่วนชาวพุทธถือว่าแล้วแต่การกระทำผิดหรือถูก ต่อกฏอิทัปปัจจยตา; ดังนั้นควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า "พระเจ้า" กันเสียใหม่ให้ถูกต้อง คือมีทั้งที่มีความรู้สึกอย่างบุคคล และไม่มีความรู้สึกอย่างบุคคล อย่างไหนจะเป็นที่พึ่งได้และยุติธรรม ไม่รับสินบน (๑๗) พระเจ้าคือสิ่งสูงสุดนั้น ไม่ดี-ไม่ชั่ว แต่อยู่เหนือดีเหนือชั่ว จึงสามารถให้เกิดความหมาย ว่าดี ว่าชั่ว ให้แก่ความรู้สึกของมนุษย์ได้ทุกอย่าง จนงงไปเอง (๑๘) พระเจ้า คือ กฏ สำหรับบังคับสิ่งที่เกิดจากกฏให้ต้องเป็นไปตามกฏ โดยเด็ดขาด และเที่ยงธรรม; ดังนั้น พระเจ้าจึงอยู่เหนือสิ่งทั้งปวงได้จริง (๑๙) พระเจ้าเป็นที่รวมแห่งความจริง มิใช่แห่งความดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังหละหลวม และเป็นมายาอยู่มาก จนต้องเป็นคู่กันกับความชั่ว; ถ้าพระเจ้าเป็นความดี ก็จะกลายเป็นคู่กันกับซาตานหรือมารร้ายไปเสียฯ (๒๐) หัวข้อ: Re: ฟ้าสางทางความลับสุดยอด :ท่านพุทธทาสภิกขุ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 24 ตุลาคม 2554 14:10:39 ฟ้าสางทางความลับสุดยอด (๒) ความจริงเป็นสิ่งเดียวไม่มีคู่ (เอกํ หิ สจฺจํ นทุตียมตฺถิ) ; แม้จะมีความไม่จริง (ตามที่ใครบัญญัติขึ้น) มันก็เป็นความจริงของความไม่จริง (๒๑) พระเจ้าที่เป็นทั้งผู้บันดาลให้เกิด และปลดเปลื้องความทุกข์ได้แท้จริง นั้นคือ กฏอิทัปปัจจยตา; จงรู้จักท่านและกระทำต่อท่านให้ถูกต้องเถิด (๒๒) พระเจ้าที่แท้จริง เป็นหัวใจของศาสนาทุกๆ ศาสนา นั่นคือ "กฏ" หรือ ภาวะของความถูกต้องตามธรรมชาติ เพื่อความรอดของมนุษย์"; พุทธศาสนายิ่งมีกฏหรือภาวะนั้นที่เป็นไปตามกฏอิทัปปัจจยตา (๒๓) ถ้าอยากพบ "พระเจ้าที่แท้จริง" อย่าตั้งปัญหาอย่างอื่นใดขึ้นมา นอกจากปัญหาว่า อะไรที่สร้าง - ควบคุม - ทำลายโลก - ใหญ่ยิ่ง - รู้สิ่งทั้งปวง - มีในที่ทั้งปวง, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุควิทยาศาสตร์แห่งปัจจุบันนี้ (๒๔) คำสอนของผู้รู้แท้จริง แม้เป็นเวลา ๒-๓ พันปีมาแล้ว แต่ก็ยังใช้ได้อยู่เหมือนคำพูดใหม่ๆ สดๆ ร้อนๆ นั้นคือ คำสอนของพระพุทธองค์แก่ชาวกาลาม ที่เรียกว่า กาลามสูตร (ดังต่อไปนี้) (๒๕) อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า "ฟังตามๆ กันมา"; เพราะมันผิดมาตั้งแต่ต้นก็ได้, เพราะเปลี่ยนไปตลอดเวลาที่ฟังตามๆ กันมา ก็ได้ (๒๖) อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า "ทำตามสืบๆ กันมา"; เพราะมันผิดมาตั้งแต่ต้น หรือ เปลี่ยนไปๆ ตลอดเวลาที่ทำตามๆ กันมา ก็ได้ (๒๗) อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า "กำลังเล่าลืออยู่อย่างกระฉ่อน"; เพราะการเล่าลือเป็นการกระทำของ พวกที่ไม่มีสติปัญญา, มีแต่โมหะ ก็ได้ (๒๘) อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า "มีที่อ้างอิงในปิฎก(ตำรา)"; เพราะปิฎกหรือตำราทั้งหลายเกิดขึ้นและเปลี่ยนไป ตามปัจจัยที่แวดล้อมหรือตามกฏอิทัปปัจจยตา ก็ยังได้ (๒๙) อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า "ถูกต้องตามหลักทางตรรกะ"; เพราะตรรกะเป็นเพียงความคิดชั้นผิวเปลือก, ใช้เหตุผลและเดินตามเหตุผลชั้นผิวเปลือก (๓๐) อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า "ถูกต้องตามหลักทางนยายะ"; เพราะนยายะ เป็นการคาดคะเน ที่เดินไปตามเหตุผลเฉพาะหน้าในการคาดคะเน นั่นเอง (๓๑) อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า "ถูกต้องตามสามัญสำนึก"; เพราะสามัญสำนึกเดินตามความเคยชินของความรู้สึกชั้นผิวเปลือก (๓๒) อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า "ทนต่อการเพ่งด้วยทิฏฐิของตน"; เพราะทิฏฐิของเขาผิดได้ โดยเขาไม่รู้สึกตัว (๓๓) อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า "ผู้พูดอยู่ในฐานะควรเชื่อ"; เพราะเป็นเหตุให้ไม่คิดใช้สติปัญญาของตนเอง ในการพิจารณา (๓๔) อย่าเชื่อและรับมาปฏิบัติ ด้วยเหตุเพียงสักว่า "สมณะผู้พูดเป็นครูของเรา"; เพราะเป็นเหตุให้ไม่คิดใช้สติปัญญาของตนเองในการศึกษา (๓๕) ในกรณีเหล่านี้ เขาจะต้องใช้ยถาภูตสัมมัปปัญญา หาวี่แววว่า สิ่งที่กล่าวนั้น มีทางจะดับทุกข์ได้อย่างไร; ถ้ามีเหตุผลเช่นนั้น ก็ลองปฏิบัติดู ได้ผลแล้ว จึงจะเชื่อและปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไป กว่าจะถึงที่สุดแห่งความดับทุกข์ (๓๖) กฏของธรรมชาติเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดมีกาย -ใจ อย่างที่สัตว์ทั้งหลายกำลังมี และให้ใจคิดไปตามผัสสะจากสิ่งแวดล้อม จนมีการบัญญัติเรื่องทิฏฐิ เรื่องกรรม เรื่องสุขทุกข์ เรื่องดีชั่ว เป็นต้น (๓๗) ก ข ก กา แห่งการดับทุกข์ คือ การรู้ความลับของอายตนิกธรรม ๕ หมวด คือ อายตนะภายในหก อายตนะภายนอกหก วิญญาณหก ผัสสะหก เวทนาหก ตามที่เป็นจริงอย่างไร ในชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องที่ต้องหามาศึกษาให้รู้อย่างละเอียด (๓๘) การเกิดทางร่างกายจากท้องแม่ นั้นไม่สำคัญยังไม่เป็นปัญหา, จนกว่าจะมีการเกิดทางจิตใจ คือเกิด ตัวกู-ของกู จึงจะเป็นการเกิดที่สมบูรณ์คือ มีปัญหาและมีที่ตั้งแห่งปัญหา กล่าวคือ ความทุกข์ (๓๙) ถ้าพ้นจากการเกิดแห่งตัวกูเสียได้ ย่อมพ้นจากปัญหาและความทุกข์ทั้งปวงได้ และจะพ้นจากปัญหาแห่งการเกิดทางกายทั้งหมด ได้เองด้วย (๔๐) หัวข้อ: Re: ฟ้าสางทางความลับสุดยอด :ท่านพุทธทาสภิกขุ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 24 ตุลาคม 2554 14:14:14 (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/716/34716/blog_entry1/blog/2011-01-25/comment/681461_images/1_1295969221.jpg) ฟ้าสางทางความลับสุดยอด (๓) การได้เกิดมามีชีวิต ยังไม่ควรจัดว่าบุญหรือบาป แต่ยังเป็นกลางๆ อยู่; แล้วแต่ว่าเราจะจัดให้เป็นอย่างไร คือเป็นบุญเป็นบาป หรือให้พ้นบุญพ้นบาปไปเสียเลยก็ได้ (๔๑) มนุษย์ที่ไม่เข้าถึง หรือไม่รู้ความลับสุดยอดของมนุษย์ จะเป็นมนุษย์ไปได้อย่างไร; มนุษย์คือผู้ที่อาจจะมีจิตใจสูง อยู่เหนือปัญหาหรือความทุกข์พอสมควรแก่ความเป็นมนุษย์ หรือเหนือปัญหาและความทุกข์โดยสิ้นเชิง ซึ่งเป็นยอดของมนุษย์ (๔๒) มนุษย์ไม่ควรบูชาอะไร นอกจากความถูกต้องของความเป็นมนุษย์เอง คือความมีจิตอยู่เหนือปัญหาเหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง ซึ่งความหมายนี้มีความหมายรวมถึงพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ อยู่ด้วย ในฐานะเป็นภาวะที่ถูกต้องถึงที่สุด (๔๓) ถือศาสนาไหนอย่างไร แล้วความทุกข์ไม่มีแก่ท่าน ศาสนานั้นแหละถูกต้องเหมาะสมแก่ท่านอย่างแท้จริง พุทธศาสนารวมอยู่ในศาสนาชนิดนี้ กลัวแต่ว่าท่านจะไม่รู้จักตัวความทุกข์เสียเอง (๔๔) เมื่ออบรมจิตถึงที่สุดแล้ว จิตจะบังคับกายและตัวมันเองได้ในทุกกรณี สำหรับจะไม่มีความทุกข์ในทุกกรณีอีกเช่นกัน; ขอให้เราศึกษาธรรมชาติ หรือธรรมสัจจะข้อนี้กันเถิด (๔๕) ความรู้สึกอันเป็นทุกข์ทรมาน กับลักษณะแห่งความทุกข์ทรมาน มิใช่เป็นสิ่งเดียวกัน; คนอาจจะมีทุกขลักษณะโดยที่จิตไม่มีทุกขเวทนา (๔๖) คนโบราณที่รู้ธรรมะกล่าวว่า "ทั้งชั่วทั้งดีล้วนแต่อัปรีย์ (ไม่น่ารัก)" นั้น มีความจริงว่า ถ้าไปยึดถือเอาด้วยอุปาทานแล้ว ทั้งความชั่วและความดี มันจะกัดผู้นั้นโดยเท่ากัน จงรู้จักมันกันในลักษณะเช่นนี้เถิดทั้งความชั่วและความดี (๔๗) ทารกและปุถุชนรู้จักทำอะไรๆ ก็แต่เพื่อตนหรืออย่างมากก็เพื่อโลก; แต่สัตบุรุษหรืออริยชน รู้จักทำอะไรๆ ก็เพื่อธรรม คือหน้าที่อันถูกต้องของมนุษย์ (๔๘) ธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตทุกระดับจะต้องทำเพื่อความรอด ทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิต ทั้งของตนเองและของผู้อื่น ซึ่งเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน (๔๙) เมื่อกล่าวโดยพิสดาร คำว่า "ธรรมะ" มี ๔ ความหมาย คือตัวธรรมชาติ - ตัวกฏธรรมชาติ - หน้าที่ตามกฏธรรมชาติ - และผลจากหน้าที่นั้นๆ (๕๐) ในคนเราคนหนึ่งๆ กายและใจเป็นตัวธรรมชาติ กฏที่บังคับชีวิตหรือกายใจอยู่ เรียกว่า กฏของธรรมชาติ หน้าที่ที่ต้องทำเพื่อความอยู่รอดของกายและใจ เรียกว่า หน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ ผลเป็นสุขหรือทุกข์ก็ตามที่เกิดขึ้น เรียกว่า ผลเกิดจากหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ (๕๑) ธรรมะสามารถช่วยได้ในทุกกรณีอย่างแท้จริง; หากแต่บัดนี้เรายังไม่รู้จักธรรมะและมีธรรมะ อย่างถูกต้องและสมบูรณ์ โดยนำมาใช้แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องและทันแก่เวลา (๕๒) เราต้องเตรียมตัวไว้อย่างสำคัญที่สุดสักอย่างหนึ่ง คือเมื่อบางสิ่งหรือแม้ทุกสิ่งไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ แล้วเราก็ยังไม่เป็นทุกข์อยู่นั่นเอง (๕๓) พวกเราในยุคนี้ ไม่ได้ค้นคว้าพิสูจน์ทดลองธรรมะเหมือนที่เรากระทำต่อวิชาวิทยาศาสตร์ - ประวัติศาสตร์ - เศรษฐกิจ - ฯลฯ ที่เรากำลังหลงใหลกันนัก; ดังนั้น จึงยังไม่มีธรรมะมาช่วยเรา (๕๔) เรารู้ธรรมะไม่ได้ เพราะไม่รู้แม้แต่ปัญหาในชีวิตของตัวเอง ที่กำลังมีอยู่ ว่ามีอยู่อย่างไร จึงได้แต่ลูบคลำธรรมะในลักษณะที่เป็นสีลัพพตปรามาส หรือไสยศาสตร์ ไปเสียหมด (๕๕) คนมีปัญญาแหลมคมอย่างยอดนักวิทยาศาสตร์ ก็มิได้ใช้ความแหลมคมของมัน ส่องเข้าไปที่ตัวปัญหาอันแท้จริงของชีวิต มัวจัดการกันแต่ปัญหาเปลือก อันมีผลทางวัตถุ ร่ำไป (๕๖) อาจารย์สอนธรรมะ แม้ในขั้นวิปัสสนา ก็ยังสอนเพื่อลาภสักการสิโลกะของตนเองเป็นเบื้องหน้า แล้วจะไม่ให้โมหะครอบงำทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ได้อย่างไร (๕๗) คนมาเรียนธรรมะวิปัสสนา หวังจะได้อัสสาทะ(รสอร่อย) แก่กิเลสของเขา ตามรูปแบบนั้นๆ ยิ่งขึ้นไป จึงไม่พบวิธีที่จะลิดรอนกำลังของกิเลสเอาเสียเลย (๕๘) ผู้ที่เรียนโดยมาก ไม่ได้เรียน ด้วยจิตใจทั้งหมด เพราะยังแบ่งจิตใจไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อลองภูมิอาจารย์ หรือ แย่งตำแหน่งอาจารย์ ก็ยังมี ดังนั้น จึงเรียนได้น้อย รับเอาไปน้อย (๕๙) แม้จะเป็นคนบรมโง่สักเท่าไร เขาก็ยังคิดว่า เขายังมีอะไรที่ดีกว่าอาจารย์ อยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง ; ดังนั้น จึงมองข้ามความรู้ของอาจารย์เสียบางอย่าง หรือมากอย่างก็ยังมี (๖๐) |