[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ => ข้อความที่เริ่มโดย: sometime ที่ 29 พฤษภาคม 2553 14:26:23



หัวข้อ: โอปปาติกะ
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 29 พฤษภาคม 2553 14:26:23
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/PC24008-1.jpg)



โอปปาติก (http://www.youtube.com/watch?v=UOeUeODu2QU#)




อุป = เข้าไป ใกล้ มั่น   ปต ธาตุ   ณิ ปัจจัย ปาติก(ผู้ตกไป)ผู้เกิดผุดขึ้นหมายถึง กำเนิดหนึ่งในกำเนิด ๔ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นตัวที่
สมบรูณ์ทันทีไม่ต้องอยู่ในท้องหรือเป็นเด็กก่อนและเวลาตายร่างกายก็หายไปทันทีไม่เหลือซากศพไว้ได้แก่ พวกเปรต อสุรกาย สัตว์นรกเทวดาใน
ชั้นสูง ๆ พวกพรหม และมนุษย์สมัยต้นกัปป์




.............................อุปาทายรูป.............................




อุป = เข้าไป  อาทาย ถือเอา อาศัย   รูป(รูป)รูปที่เข้าไปอาศัยมหาภูตรูป หมายถึง รูป ๒๔ รูป นอกเหนือจากมหาภูตรูป ๔
ซึ่งไม่สามารถเกิดขึ้นเองตามลำพังได้จะต้องอาศัยมหาภูตรูปเกิด พร้อมกัน มหาภูตรูป ๔ จึงเป็นที่อาศัยของอุปาทายรูป ๒๔ เป็นเหมือนกับ
แผ่นดินที่เป็นที่อาศัยรองรับต้นไม้หรือบ้านเรือนอุปาทายรูป ๒๔ จะเกิดไม่พร้อมกันทั้งหมด ขึ้นอยู่กับสมุฏฐานที่เป็น
ปัจจัยให้เกิดและเกิดในกลาปไหนแต่ที่แน่นอนคืออวินิพโภครูป ๘ รูป ต้องเกิดพร้อมกันและมีอยู่เป็นพื้นฐานในกลุ่มของรูปทุกกลุ่ม


หัวข้อ: Re: โอปปาติกะ
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 29 พฤษภาคม 2553 14:31:42
(http://i191.photobucket.com/albums/z119/bee_99/PC24008-1.jpg)



ทันทีที่เห็นดับไปขณะต่อไปเกิดขึ้นมีสติเกิดร่วมด้วยไหมไม่สามารถจะบอกได้แม้แต่การฟังก็จะต้องมานั่งทบทวนจิตที่รับรู้อารมณ์ต่อ
จาก จักขุ วิญญาณเป็นจิตอะไรมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเท่าไร ก็ต้องมานั่งคิดโดยไม่รู้ลักษณะของสติเพราะฉะนั้นการที่จะรู้ลักษณะของสติไม่ใช่เพียง
การจำว่าสติมีลักษณะอย่างไรเกิดกับจิตขณะไหนบ้างเพราะแม้ขณะนี้ก็ยังไม่สามารถจะรู้ได้ว่าขณะนี้น่ะจิตเป็นกุศลหรือเปล่า หรือเป็นอกุศลหรือว่าเป็น
วิจารณญาณ หรือว่าเป็นกิจธุระ เพราะว่าไม่ได้รู้สภาพที่เป็นจิตเพียงแต่ได้ยินชื่อได้ยินเรื่องราวของทั้งจิตเจตสิก รูป ทั้งหมดมากมาย แต่ขณะนี้มีสิ่ง
ที่เป็นจิตจริง ๆ กำลังเห็นจริง ๆ แต่ไม่รู้ลักษณะของจิตที่เห็น  เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถที่จะแยกได้ ว่าขณะที่เห็นนั้นไม่ใช่ขณะที่กำลังเป็นจิตประเภทอื่น
เช่นความยินดี ติดข้องในสิ่งที่เห็นแค่นี้ก็ไม่รู้แล้วแล้วจะไปรู้ลักษณะของ สติ หรือเพียงแต่ไปจำว่าขณะนั้นน่ะมีสติเจริญเกิดร่วมด้วยหรือเปล่าเพราะฉะนั้น
การศึกษาธรรมต้องรู้ว่าจุดประสงค์ก็คือเราไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏทั้งที่กำลังปรากฏเพราะฉะนั้นการที่ฟังเพื่อเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏแต่เราก็ไม่สนใจไปสนใจเรื่อง สติ อะไร ๆ อีกเยอะแยะแต่ไม่สนใจที่จะรู้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นและความจริงของสิ่งนี้ก็คือว่ามีอย่างนี้ว่าเมื่อไรเห็นเกิดขึ้นเมื่อไรก็ทีสิ่งนี้แหละปรากฏให้เห็นเพราะฉะนั้นฟังเพื่อให้เข้าใจถูกจนกว่าจะรู้สึกธรรมที่ปรากฏแต่เราก็ไม่ติด เรื่อง สติ เรื่องสมาธิ ลืมว่าเพื่อ
เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ