หัวข้อ: บ้านเมืองใดไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่นอน เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 07 มิถุนายน 2553 18:19:14 (http://seesod.com/storage34/8iRXVtHsM51275910643/o.jpg) http://www.fungdham.com/download/song/allhits/23.wma ถ่ายภาพประกอบเนื้อหาโดยข้าพเจ้า(บางครั้ง)ขอรับภาพนี้เก็บอยูที่เว็ปเกี่ยวกับการถ่ายภาพ สีสด DOTCOM เมืองใดไม่มีทหารหาญเมืองนั้นไม่นานเป็นข้า เมืองใดไร้จอมพาราเมืองนั้นไม่ช้าอับจน เมืองใดไม่มีพาณิชย์เลิศเมืองนั้นย่อมเกิด - ขัดสน เมืองใดไร้ศิลป์โสภณ - เมืองนั้นไม่พ้น - เสื่อมทราม เมืองใดไม่มีกวีแก้วเมืองนั้นไม่แคล้วคนหยาม เมืองใดไม่มีนารีงามเมืองนั้นหมดความภูมิใจ เมืองใดไม่มีดนตรีเลิศเมืองนั้นไม่เพริศ - พิสมัย เมืองใดไร้ธรรมอำไพเมืองนั้นบรรลัยแน่นอน .....................ส่วนหนึ่งของพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๖...................... หัวข้อ: Re: บ้านเมืองใดไรธรรมอไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่นอน เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 07 มิถุนายน 2553 18:23:38 (http://seesod.com/storage34/8iRXVtHsM51275910643/o.jpg) (:LOVE:)ข้าพเจ้าขออนุญาตนำข้อความตอนหนึ่งที่ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ บรรยายในวันนี้ (:LOVE:) .......................monday 7 june 2010(2553)....................... มาให้ท่านได้พิจารณาดังนี้.......................................... แต่ว่ากาละที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเป็นกาละที่หายากไม่ง่ายเลยนะคะ เกิดในประเทศที่สมควรคือมี(ธรรมะ)ที่เราสามารถที่จะได้ฟัง - ได้ไตร่ตรอง - ได้เข้าใจขึ้น แต่ถ้าที่ใดที่ไม่มีธรรมะนะคะ............เมืองใดไร้ธรรมอำไพเมืองนั้นบรรลัยแน่นอน มีคำว่า ไร้ ไร้ ไร้ หลายไร้นะคะแต่ที่ไร้ธรรมะก็ คือ............................เมืองใดไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่นอน..........................พูดถึง เมือง นะคะ แล้ว เมือง นี้อยู่ที่ไหน ? จิต เปรียบเหมือนนครหรือเปล่า ? ศัตรูนี่น่ะเข้ามาถึงรวดเร็วมากเลยค่ะ ไม่มีเครื่องป้องกันเพราะฉะนั้นทุกวัน ๆ นี่น่ะค่ะ ->(นคร) = -> จิต หัวข้อ: Re: บ้านเมืองใดไรธรรมอไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่นอน เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 07 มิถุนายน 2553 18:29:34 (http://seesod.com/storage34/8iRXVtHsM51275910643/o.jpg) เมื่อมีอ-->กุศล<--เกิดขึ้นย่อมนำสิ่งที่เป็นผลที่ไม่ดีจะนำมาซึ่งผลที่ดีไม่ได้เลยเพราะฉะนั้น แม้แต่ฟังธรรมะก็ต้องมีความเข้าใจที่ละเอียดขึ้น..................ละเอียดขึ้น..................ละเอียดขึ้น ไม่สามารถที่จะแก้ไขคนอื่นหรือว่าบ้านเมืองทั้งหมดได้นะคะเพราะเหตุว่า ที่จะเป็นบ้านเมืองที่จะเป็นชาติได้ก็ต้องแต่ละหนึ่ง - แต่ละหนึ่ง ถ้าแต่ละหนึ่งดี ไม่ไร้ธรรมะใช่มั๊ยคะเมืองนี้ก็ปลอดภัย ชาติใดไร้รักสมัครสมานจะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล แม้ชาติย่อยยับอับจนบุคคลจะสุขอยู่อย่างไร .....................................บทพระราชนิพนธ์ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖................................. หัวข้อ: Re: บ้านเมืองใดไรธรรมอไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่นอน เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 07 มิถุนายน 2553 18:39:03 (http://seesod.com/storage34/8iRXVtHsM51275910643/o.jpg) ........................ปริสาสูตร........................... ................................ว่าด้วยบริษัท ๓ จำพวก................................. [๕๓๕]ดูก่อนภิกษุทั้งหลายบริษัท ๓ นี้บริษัท ๓ คือ อะไร ? คือ (อคฺควตีปริสา) บริษัทที่มีแต่คนดี(วคฺคาปริสา)บริษัทที่เป็นพรรค(คือแตกกัน) (สมคฺคาปริสา)บริษัทที่สามัคคีกัน. บริษัทที่มีแต่คนดีเป็นอย่างไร ? ในบริษัทใดภิกษุผู้ใหญ่ ๆ ไม่เป็นผู้สะสม บริขารไม่ย่อหย่อน(ในการบำเพ็ญสิกขา)ทอดธุระในทางต่ำทรามมุ่งไปในทาง ปวิเวกปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึงเพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุเพื่อทำ ให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้งปัจฉิมาชนตา(ประชุมชนผู้เกิดมาภายหลัง) ได้เยี่ยงอย่างภิกษุผู้ใหญ่เหล่านั้นก็พากันเป็นผู้ไม่สะสมบริขารไม่ย่อหย่อน (ในการบำเพ็ญสิกขา) ฯลฯ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้งบริษัทนี้เรียกว่า บริษัทที่มีแต่คนดีบริษัทที่เป็นพรรคเป็นอย่างไร ? ในบริษัทใดภิกษุทั้งหลายเกิดแก่งแย่ง ทะเลาะวิวาทกันทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปากบริษัทนี้เรียกว่าบริษัทที่ เป็นพรรคบริษัทที่สามัคคีกันเป็นอย่างไร ? ในบริษัทใดภิกษุทั้งหลายพร้อมเพรียงกัน ชื่นบานต่อกันไม่วิวาทกัน(กลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน)เป็นประหนึ่งว่า นมประสมกับน้ำมองดูกันและกันด้วยปิยจักษุ(คือสายตาของคนที่รักใคร่กัน) บริษัทนี้เรียกว่าบริษัทที่สามัคคีกัน หัวข้อ: Re: บ้านเมืองใดไรธรรมอไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่นอน เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 07 มิถุนายน 2553 18:48:13 (http://seesod.com/storage34/8iRXVtHsM51275910643/o.jpg) ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในสมัยใดภิกษุทั้งหลายพร้อมเพรียงกัน ฯลฯ มองดูกันและกันด้วยปิยจักษุ ในสมัยนั้นภิกษุทั้งหลายย่อมได้บุญมากในสมัยนั้นภิกษุ ทั้งหลายชื่อว่าอยู่อย่าง(พรหม)คือ.......................อยู่ด้วยมุทิตา(พรหมวิหาร)อันเป็นเครื่องพ้น แห่งใจ(จากริษยา)ปีติย่อมเกิดแก่ผู้ปราโมทย์ยินดีกายของผู้มีใจปีติย่อมระงับผู้มี กายรำงับย่อมเสวยสุขจิตของผู้มีสุขย่อมเป็นสมาธิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเปรียบเหมือนเมื่อฝนเม็ดหนาตกบนภูเขาน้ำนั้นไหลไป ตามที่ลุ่มยังซอกเขาและลำรางทางน้ำให้เต็มซอกเขาและลำรางทางน้ำเต็ม แล้วย่อมยังหนองให้เต็มหนองเต็มแล้วย่อมยังบึงให้เต็มบึงเต็มแล้วย่อมยัง คลองให้เต็มคลองเต็มแล้วย่อมยังแม่น้ำให้เต็มแม่น้ำเต็มแล้วย่อมยังทะเล ให้เต็มฉันใดก็ดีในสมัยใดภิกษุทั้งหลายพร้อมเพรียงกัน ฯลฯมองดูกันและ กันด้วยปิยจักษุในสมัยนั้น - ภิกษุทั้งหลายย่อมได้บุญมาก ฯลฯจิตของผู้มีสุข ย่อมเป็นสมาธิฉันนั้นเหมือนกันดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้แลบริษัท ๓ .................................จบปริสาสูตรที่ ๔................................. .........................ข้อธรรมบรรยายโดย อาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์................... หัวข้อ: Re: บ้านเมืองใดไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่นอน เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 มิถุนายน 2553 06:07:43 (http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:qwIYLXuCJVfs-M) อนุโมทนาสาธุธรรมค่ะน้อง"บางครั้ง" หัวข้อ: Re: บ้านเมืองใดไร้ธรรมอำไพ เมืองนั้นบรรลัยแน่นอน เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 20 กันยายน 2553 12:50:41 (http://i883.photobucket.com/albums/ac40/42tong/tong/312.gif) (http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:qwIYLXuCJVfs-M) อนุโมทนาสาธุธรรมค่ะน้อง"บางครั้ง" |