[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => รู้ เพื่อ รอด (การเตรียมการ) => ข้อความที่เริ่มโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 13 มิถุนายน 2553 11:13:52



หัวข้อ: งดทานเนื้อสัตว์ลด"มีเทน"แก้วิกฤตโลกร้อน ( ดร.อาจอง ชุมสาย )
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 13 มิถุนายน 2553 11:13:52
[ โดย อ.มดเอ็กซ์ บอร์ดเก่า ]


(http://www.bkkmenu.com/healthy/images/globalwarming/main.jpg)
นักวิทยาศาสตร์เตือนการเกิด "ก๊าซมีเทน" บริเวณขั้วโลก เป็นมหันตภัยใหม่ของการเกิดภาวะก๊าซเรือนกระจก
 
ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา นักวิทยา ศาสตร์ชื่อดังของไทย กล่าวในงานเสวนา "ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ทางออกของโลกที่สวย งาม" ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ว่า มีการศึกษาพบว่าน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือละลายรวดเร็วจนทำให้ซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่ถูกแช่แข็งสลายตัว ส่งผลให้เกิดก๊าซมีเทนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก๊าซนี้เป็นส่วนหนึ่งทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนมากขึ้น โดยมีความรุนแรงมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยขึ้นสู่บรรยากาศถึง 21 เท่า
 
นอกจากนี้ การที่คนเราบริโภคเนื้อสัตว์ จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดก๊าซมีเทนมากขึ้น
 
เพราะในกระบวนการผลิตเนื้อสัตว์ มีการปลดปล่อยก๊าซมีเทนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากกว่ากระบวนการเพาะปลูก ดร.อาจอง เรียกร้องให้ประชาชนลดการบริโภคเนื้อสัตว์ให้น้อยลง เพื่อชะลอและหยุดยั้งการเกิดภาวะเรือนกระจกที่จะส่งผลกระทบต่อโลก และคนที่อาศัยบนโลกใบนี้
 
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด
(http://www.teenee.com/thank/ksd.gif)






หัวข้อ: Re: งดทานเนื้อสัตว์ลด"มีเทน"แก้วิกฤตโลกร้อน ( ดร.อาจอง ชุมสาย )
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 13 มิถุนายน 2553 11:14:03
(http://www.simply-thai.com/cookery-books/book-ahaan-mung-sa-vi-rat-thai-language-big.jpg)
 
ลดโลกร้อนด้วยการทานมังสวิรัติ (http://veggiedanny.blogspot.com/2008/11/blog-post_04.html)
 
 
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=80269&sid=562fd5430fe66b49c9e0d3bfef406f04 (http://"http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?p=80269&sid=562fd5430fe66b49c9e0d3bfef406f04")
 
คนรับประทานอาหารมังสวิรัติ ได้ชื่อว่าเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปโดยปริยาย เมื่อผลวิจัยพบว่า เนื้อหนึ่งกิโลกรัมแพร่กระจายก๊าซเรือนกระจก มากกว่าขับรถสามชั่วโมง พร้อมกับเปิดไฟในบ้านทิ้งไว้ทุกดวงนานเกือบเดือน งานวิจัยจากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งญี่ปุ่น ศึกษาพบว่า การทำฟาร์มปศุสัตว์ส่งผลกระทบต่อภาวะเรือนกระจก การใช้พลังงาน และทำให้น้ำเกิดสภาพเป็นกรด ทีมงานได้เก็บข้อมูลการเลี้ยงวัว และผลกระทบที่มาจากกระบวนการผลิตและขนส่งอาหาร แล้วนำมาเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ได้ศึกษาก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากการเลี้ยงวัวขุน จากนั้นนำมาคำนวณสัดส่วนก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม จากการวิเคราะห์พบว่า การผลิตเนื้อหนึ่งกิโลกรัม แพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตัวการก่อภาวะโลกร้อนเท่ากับ 36.4 กิโลกรัม และยังปล่อยสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่เป็นปุ๋ย 340 กรัม ฟอสเฟต 59 กรัม และบริโภคพลังงาน 169 เมกะจูลส์ เท่ากับว่า การผลิตเนื้อหนึ่งกิโลกรัมเท่ากับขับรถยุโรปเป็นระยะทางโดยเฉลี่ย 250 กิโลเมตร และเผาผลาญพลังงานเท่ากับเปิดหลอดไฟ 100 วัตต์เกือบ 20 วัน ก๊าซมีเทนซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาก๊าซเรือนกระจกเกิดจากระบบย่อยอาหารของสัตว์ ส่วนกรดและสารประกอบที่อยู่ในรูปของปุ๋ยมาจากมูลสัตว์เป็นหลัก และยังต้องใช้พลังงานในกระบวนการผลิตและขนส่งเนื้อสัตว์ด้วย นักวิจัยจึงแนะนำทางออกว่า ฟาร์มควรดำเนินการบริหารสิ่งปฏิกูลให้ดีขึ้น และลดช่วงการตกลูกวัวลงหนึ่งดือน จะช่วยลดการก่อมลพิษได้เกือบร้อยละ 6 เมื่อสองปีที่แล้ว นักวิจัยสวีเดนได้ศึกษาพบว่า การทำฟาร์มเกษตรอินทรีย์ หรือปล่อยให้วัวเล็มหญ้ากินก่อให้กิดก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าเลี้ยงด้วยอาหารสัตว์ร้อยละ 40 และใช้พลังงานน้อยลงร้อยละ 85 นอกจากนี้นวัตกรรมที่ผลิตมาเพื่อช่วยให้อาหารสัตว์ยังช่วยให้ฟาร์มแพร่ก๊าซมีเทนน้อยลง ถึงแม้เทคนิคเหลานี้จะช่วยลดมลภาวะได้ แต่วิธีที่ง่ายที่สุด คือ เลิกกินเนื้อดีกว่า--
 
บทความในวารสารทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์เวิลด์ นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ อลัน คัลเวิร์ด ได้เสนอวิธีการที่ง่ายกว่าเพื่อลดภาวะโลกร้อนคือการหยุดกินเนื้อสัตว์ บทความของเขาที่ชื่อว่า “การเข้าถึงอย่างถอนรากถอนโคนให้กับเกียวโต” ได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในอินเตอร์เน็ต และได้ถูกกล่าวถึงอย่างเผ็ดร้อนโดยนักวิทยาศาสตร์ แม้ว่าคัลเวิร์ดจะไม่ใช่เป็นนักมังสวิรัติ เขาก็ได้ตระหนักถึงความสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ของทรัพยากร ธรรมชาติและพลังงาน ซึ่งเกิดขึ้นจากการเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหาร เขาจึงได้คำนวณพลังงานที่ใช้ผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในรูปแบบต่าง ๆ กัน เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง ฟอสซิล และการเผาผลาญของมนุษย์และปศุสัตว์และพบว่า 21% ของการบริโภคพลังงานเช่นว่านี้เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงปศุสัตว์ ในทำนองเดียวกันกับการเผาไหม้เชื้อเพลิงของรถยนต์ การหายใจของปศุสัตว์ทำให้เกิดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก นอกจากนั้นตัวเลข 21 % ของคัลเวิร์ด ไม่ได้รวมถึงแหล่งทางอ้อมของการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เช่น การให้อาหาร การฆ่าโดยเครื่องกล การชำแหละ การหีบห่อ การขนส่งและการแช่เย็น การคำนวณค่าพลังงานของการผลิตเนื้อสัตว์ที่สมบูรณ์กว่าได้ถูกกระทำโดยดอกเตอร์เดวิด พิเมนเทล แห่งมหาวิทยาลัยคอร์เนล ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางด้านการเกษตร ซึ่งเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางมังสวิรัติ แต่ได้ติดตามค่าพลังงานในการเลี้ยงเนื้อสัตว์เป็นเวลาหลายสิบปี และได้เขียนบทความทางวิทยาศาสตร์ 560 เรื่อง และหนังสือ 23 เล่ม เกี่ยวกับเรื่องนี้ ด็อกเตอร์พิเมนเทลมีตำแหน่งในรัฐบาลมากมายในการดูแลอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ และได้บอกเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ของเขาที่กินเนื้อสัตว์ซ้ำๆว่า “ผมไม่ได้ตัดสินทางด้านคุณธรรม ผมเพียงแต่กำลังให้ข้อมูลกับคุณ” ในบทความเรื่อง “การผลิตปศุสัตว์และพลังงานที่ใช้” ในปี 2547 ของเขา พิเมนเทลได้ประมาณการว่าในสหรัฐอเมริกา ปริมาณของน้ำมันที่ใช้ในการค้ำจุนอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นพื้นฐาน โดยเฉลี่ยแล้วเป็นปริมาณ 401 แกลลอนต่อปี ในขณะที่อาหารมังสวิรัติ 219 แกลลอน ยิ่งคนกินเนื้อสัตว์มากขึ้น ตัวเลขเหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ พิเมนเทลยังได้คำนวณไว้อีกว่าถ้าโลกทั้งโลกกินแบบที่คนในสหรัฐกินปริมาณน้ำมันสำรองของโลกก็จะหมดไปภายในเวลาเพียง 13 ปี เท่านั้น สิ่งที่น่าสังเกตที่สุดก็คือข้อสังเกตดังต่อไปนี้ แม้กระทั่งการขับรถหรูหราที่ซดน้ำมันมาก ก็ยังสามารถประหยัดพลังงานได้มากกว่าการเดิน ซึ่งก็คือเมื่อพลังงานที่คุณเผาผลาญจากการเดินมาจากอาหารมาตรฐานของชาวอเมริกัน! สิ่งนี้เป็นเพราะว่าพลังงานที่จำเป็นต้องใช้ในการผลิตอาหาร ที่คุณจะใช้เผาผลาญในการเดินระยะทางที่กำหนดให้นั้น มากกว่าพลังงานที่ต้องเติมให้รับรถยนต์ของของคุณ เพื่อที่จะเดินทางด้วยระยะทางเดียวกันโดยที่ประมาณว่ารถกินน้ำมัน 24 ไมล์ต่อแกลลอนหรือมากกว่า เรื่องหนึ่งที่มักจะลืมกันเสมอ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเนื้อสัตว์ก็คือก๊าซมีเทน อันเป็นผลิตภัณฑ์จากการย่อยแบบไม่ใช้ออกซิเจน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวัวหายใจออก การศึกษาขององค์การนาซ่า ซึ่งได้พิมพ์เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ในวารสาร Geophysical Research Letters.ได้เปิดเผยว่าผลของก๊าซมีเทนต่อโอโซนในบรรยากาศ ทำให้เกิดสภาพโลกร้อนเป็น 2 เท่าของที่เคยประมาณการไว้ (10%) และการกินเนื้อสัตว์ทำให้เกิดการปลดปล่อยก๊าซมีเทนชีวภาพ 1 ใน 3 ส่วนของโลก สถิติที่น่าประหลาดใจอีกอันหนึ่งก็คือ ปศุสัตว์ 9 พันล้านตัวที่อยู่ในสหรัฐกินธัญพืชมากกว่าพลเมืองของประเทศถึง 7 เท่า และเปอร์เซ็นต์ของธัญพืชที่ใช้เลี้ยงปศุสัตว์ก็เป็นปริมาณสูงเช่นกัน ในประเทศที่พัฒนาอย่างเช่นประเทศจีน อียิปต์ และเม็กซิโก นอกจากนั้นคำกล่าวของสถาบัน Worldwatch.สเต็ก 1 ปอนด์ ที่ถูกเลี้ยงด้วยธัญพืชทำให้เกิดการสูญเสียหน้าดิน 35 ปอนด์ และการผลิตอาหารสำหรับคนกินเนื้อสัตว์ ต้องใช้น้ำวันละมากกว่า 4,000 แกลลอนในขณะที่ใช้ 300 แกลลอนสำหรับอาหารมังสวิรัติ จากคำกล่าวของนักนิเวศวิทยาที่มีชื่อเสียง Mathis Wackernagel ที่ว่าอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นพื้นฐานเป็นเหตุผลสำคัญที่มนุษย์กำลังบริโภคทรัพยากรชีวภาพของโลกในระยะยาวด้วยอัตราที่ไม่อาจค้ำจุนได้ด้วย เหตุนี้นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากอย่างเช่นเว็คเคอนาเกลและคาลเวิกได้พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่า การบริโภคเนื้อสัตว์เป็นการทำให้ทรัพยากรของโลกลดน้อยลงแต่ก็มีเรื่องที่สำคัญที่จะต้องพิจารณาด้วยอย่างเช่นความผาสุกของสัตว์และด้านคุณธรรมที่มีต่อการฆ่าสัตว์ปริมาณมากต่อจิตสำนึกของมนุษย์ ตามที่ผู้บำเพ็ญจิตญาณทราบกันดีว่า การบริโภคเนื้อสัตว์เป็นหนึ่งในอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อการเติบโตทางจิตวิญญาณและเมตตาธรรม การฆ่าสัตว์เพื่อความสุขทางประสาทสัมผัสหรือการจ่ายเงินให้ผู้อื่นทำให้เรา ทำให้จิตใจเราแข็งกระด้างและนำไปสู่สงครามและความทุกข์ยากในรูปแบบอื่น ๆ ของมนุษย์ ในขณะนี้ที่นักวิทยาศาสตร์ได้เปิดเผยข้อมูลมากมายซึ่งแสดงให้เห็นว่าการกินเนื้อสัตว์ได้ทำลายพื้นฐานการดำรงชีวิตในโลกเรามนุษย์จึงมีเหตุผลมากกว่าแต่ก่อนที่จะละเลิกอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นหลักในยุคทองใหม่
 
จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม!!! ข่าวจากเกาะอังกฤษบอกว่า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาแธมป์ตัน ได้ทำการศึกษาวัดไอคิวกลุ่มตัวอย่างกว่า 8,000 คน ที่เกิดในปี ค.ศ.1970 ซึ่งถูกวัดไอคิวเมื่ออายุ 10 ขวบ ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือ เมื่อเทียบผู้ที่กินเนื้อสัตว์กับชาวมังสวิรัติแล้วพบว่า คนที่กินมังสวิรัติมีระดับไอคิวสูงกว่าผู้บริโภคเนื้อเป็นประจำกว่า 5 จุด นี่คือ ผลที่ผ่านการทดสอบแล้วของฝั่งยุโรป หากแต่ตามความเชื่อในแนวทางของตะวันออกมีหลักความเชื่อของการกินมังสวิรัติที่แตกต่างไป โดยเชื่อว่า หากเรางดเว้นการกินเนื้อสัตว์ได้จะสามารถบรรเทาบาปเคราะห์ให้เบาบาง นอกจากนั้นยังจะส่งผลถึงความเป็นไปของโรคภัยโดยตรง เพราะเชื่อว่าการงดเนื้อสัตว์ และเสริมพลังด้วยนานาผัก ผลไม้ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง พลานามัยดี อายุยืนยาว ** อายุยืนด้วยผักตามหลักเต๋า ศ.ดร.สุรชัย ศิริไกร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ศึกษาเต๋ามานานและเป็นผู้ที่คลุกคลีกับวิถีเจและมังสวิรัติมาเกือบตลอดชีวิต บอกเล่าว่า ลัทธิเต๋าเชื่อว่าการงดเว้นเนื้อสัตว์ทั้งปวงเป็นการให้ชีวิต เมื่อไม่มีผู้กินก็ไม่มีผู้ฆ่า การกินเนื้อสัตว์เป็นอาหารจึงเลี่ยงได้ และผลของการไม่ฆ่าและเลี่ยงนั้นจะทำให้เรามีร่างกายแข็งแรง “เต๋า เชื่อว่า เนื้อสัตว์มีเชื้อโรคมาก ยิ่งหากตายด้วยวิธีการฆ่าพวกมันจะหลั่งสารที่เป็นโทษ เมื่อคนกินเนื้อก็จะได้รับสารนั้นไปด้วย เพราะฉะนั้นเชื่อเถิดว่าคนอยู่ได้และจะไม่ป่วย ถ้าไม่ต้องกินสัตว์ ที่บอกแบบนี้เพราะหลายคนยังมีความคิดผิดๆ ว่าถ้าไม่กินเนื้อเลยจะไม่แข็งแรง ขาดโปรตีนซึ่งไม่ใช่ ต้องคิดใหม่ เราหาโปรตีนจากพืชได้เยอะแยะ” ในความเชื่อของลัทธิเต๋านั้น หากอยากอายุยืนต้องยุติการกินธัญพืช 5 ชนิด อันได้แก่ ข้าวเจ้า ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต และถั่วต่างๆ แล้วหันมาเน้นสมุนไพร ผลไม้ที่ให้พลังเช่นโสม อบเชย ชะเอม พุทรา โดยผู้ปฏิบัติมาแล้วอย่างศ.ดร.สุรชัย ยืนยันว่าหากงดธัญพืชทั้ง 5 ชนิดนี้หลัง 40 วันร่างกายจะกลับมาสดชื่น และหากปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอพละกำลังจะกลับมาเฉกเช่นคนหนุ่มคนสาว ** จีนนิกายชูข้าวต้มให้คุณธัญพืช ฟากฝั่งพุทธศาสนา นิกายมหายาน (จีนนิกาย) แม้จะมีหลักไม่กินเนื้อสัตว์เช่นเดียวกับลัทธิเต๋า หากแต่ไม่มีข้อห้ามกินธัญพืช กลับชูเป็นตัวสร้างพละกำลังเสียด้วยซ้ำ ทั้งนี้ได้ยกตัวอย่างอันเป็นที่นิยมและง่ายต่อการเห็นภาพมากที่สุด คือ “ข้าวต้ม” ที่ทำจากข้าวสาลี อาหารที่พระจีนมักฉันในเวลาเช้า โดยอาหารตามหลักความเชื่อของจีนนิกายนี้จะเน้นรสชาติทั้ง 6 อันได้แก่ เปรี้ยว หวาน ฝาด ขม เค็ม และเผ็ด เศรษฐพงษ์ จงสงวน ผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนา นิกายมหายาน ได้แจกแจงคุณค่า 10 ประการของข้าวต้มว่า เป็นเครื่องต่ออายุ บรรเทาความกระหาย กำจัดความหิว บำรุงผิวพรรณ สร้างความคิด เพิ่มกำลัง ให้ความสุข ล้างลำไส้ ลมเดินสะดวก และเป็นเครื่องย่อยอาหารเก่า “ไม่เพียงข้าวต้มที่พระจีนนิยมฉันเท่านั้น ชาวจีนนิกายยังทำอาหารประเภทนี้ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาด้วย ดังเช่นข้าวต้มรัตนะ 8 ประการ หรือจะเรียกว่าข้าวต้มธัญพืช 8 ชนิดก็ได้ เป็นที่นิยมมากสำหรับพุทธมหายาน ซึ่งทุกบ้านในประเทศจีนตอนใต้จะพร้อมใจกันทำในวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจีน เครื่องปรุงมีข้าวเหนียว ถั่ว ผลไม้แห้ง เครื่องยาจีน และธัญพืชรวมกันแล้วได้ 8 อย่าง หน้าตาจะคล้ายกับข้าวเหนียวเปียกบ้านเรา แต่เป็นอาหารมงคลสำหรับชาวนิกายมหายาน แต่ทุกวันนี้เขามักจะทำกินกันเกือบทุกฤดูไปแล้ว” เศรษฐพงษ์ อธิบาย อย่างไรก็ตามชาวจีนนิกายยังมีพิธีการก่อนรับประทานอาหารคล้ายคลึงกับเถรวาทนั้นคือต้องถวายพระรัตนตรัยก่อน จากนั้นค่อยพิจารณาอาหารอย่างรู้ประมาณ และมองอาหารเป็นเสมือนเภสัชบำบัดความหิวมิใช่บำรุงกิเลส ข้าวสาลี ธัญพืชต้องห้ามสำหรับเต๋า แต่เป็นตัวชูโรงของนิกายจีน ** บริสุทธิ์ตามแนวซิกข์นามธารี ด้าน อ.อัมรินทร์ ปิยะสัจจะเดชะ ประธานฝ่ายกิจกรรมนามธารี อันเป็น 1 ใน 2 นิกาย ของศาสนาซิกข์ในประเทศไทย บอกเช่นกันว่า นามธารี ได้ให้ความสำคัญของอาหารไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าศาสนาอื่นๆ โดยมีแนวทางกินมังสวิรัติเช่นเดียวกับอีกหลายความเชื่อ แต่อาจจะเคร่งครัดกว่าตรงที่ว่า ซิกข์นามธารีจะไม่ยอมรับมังสวิรัติที่ถือว่าไม่บริสุทธิ์และไม่ตรงกับหลักความเชื่อ กล่าวคือ นิกายนามธารีจะดื่มน้ำบริสุทธิ์ที่มาจากธรรมชาติเช่นน้ำฝน อาบน้ำ และปรุงอาหารจากธรรมชาติเท่านั้น “สิ่งที่เราทำ คือ เจ หรือมังสะที่ไม่เบียดเบียนกับจิตวิญญาณผู้อื่น ดังนั้นมังสวิรัติของซิกข์นามธารีนั้นจะไม่ผ่านการฆ่าไม่ว่าด้วยวิธีการใด แต่ที่รารับประทานพืชผักเป็นอาหารนั้น เพราะเราเชื่อว่าพืชพรรณธัญญาหารเป็นอาหารของสัตว์โลก มีจิตวิญญาณแต่สนองตอบต่อความรู้สึกเจ็บปวดน้อยที่สุด และเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ยิ่งถูกนำมาเป็นอาหารมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งแพร่ขยายพันธุ์ไปมากเท่านั้น” อ.อัมรินทร์ อธิบาย สำหรับเหตุผลของผู้คนในปัจจุบันที่เข้าใกล้คำว่ามังสวิรัติ หรือกลายเป็นมังสวิรัติมากขึ้นในวันนี้นั้นส่วนหนึ่งเกิดจากความเชื่อของแต่ละศาสนาเรื่องบาปบุญ และการหลุดพ้น แต่มีจำนวนไม่น้อยที่หันมาเป็นชาวมังสะวิรัติเพราะกระแสสุขภาพ หรืออาการเจ็บป่วยด้วยเชื่อว่าการงดเว้นเนื้อสัตว์จะทำให้อายุยืนและสุขภาพแข็งแรง อย่างไรก็ตาม ทั้งความเชื่อทางศาสนาก็ผูกเข้ากับสุขภาพเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพราะไม่ว่าศาสนาใดก็ต่างเชื่อว่าการไม่เบียดเบียนชีวิตอื่นคือการสร้างบุญ ดังนั้น การกินพืชผักจึงเป็นการสร้างบุญและสร้างสุขภาพที่ดีไปในคราวเดียวกัน
 
องค์การยูเนสโกรายงานว่า ทุกๆ วันมีเด็กๆ ประมาณ 40,000 คนเสียชีวิตเพราะความหิวโหย หรือขาดสารอาหาร ในขณะเดียวกัน มีการปลูกข้าวโพดและข้าวสาลี ส่วนใหญ่เพื่อเอาไปเลี้ยง ปศุสัตว์ (วัว หมู ไก่ เป็นต้น) หรือเอาไปผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ข้าวโพด มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และข้าวโอ๊ตมากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ที่ผลิตในสหรัฐนั้นเอาไปเลี้ยงปศุสัตว์ ฝูงสัตว์ของทั้งโลกเพียงอย่างเดียว ได้บริโภคอาหาร ที่มีปริมาณเท่ากับจำนวนแคลอรี่ที่พอเพียงกับความต้องการ สำหรับคนมากถึง 8,700 ล้านคน มากกว่าจำนวนประชากร ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ... ชาวพุทธได้ถือปฏิบัติโดยการรับประทานมังสวิรัติมามากกว่า 2,000 ปีแล้ว พวกเราเป็น มังสวิรัติด้วยความตั้งใจที่จะหล่อเลี้ยง ความเมตตากรุณาที่มีต่อสัตว์ทั้งหลาย เดี๋ยวนี้เรายังรู้ด้วยว่า เรารับประทานมังสวิรัติเพื่อปกป้องโลก ป้องกันผลกระทบภาวะเรือนกระจก ที่จะทำให้เกิดความเสียหายที่รุนแรง และไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขในอนาคตอันใกล้ เมื่อผลกระทบภาวะเรือนกระจกมีความรุนแรง สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะต้องได้รับทุกข์ ผู้คนเป็นล้านๆ จะล้มตาย และระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นท่วมเมืองและผืนแผ่นดิน จะส่งผลให้เกิดโรคร้าย มากมายที่เป็นอันตรายถึงชีวิต และจะทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดทุกสายพันธุ์จะต้องเป็นทุกข์จากผลที่เกิดขึ้น ทั้งภิกษุ ภิกษุณี และฆราวาสต่างฝึกปฏิบัติรับประทานมังสวิรัติ แม้ว่าจำนวนฆราวาสผู้เป็นมังสวิรัติร้อยเปอร์เซ็นต์มีไม่มากเท่าจำนวน ภิกษุภิกษุณี แต่พวกเขาก็ฝึกปฏิบัติรับประทานมังสวิรัติ ไม่ 4 วันก็ 10 วันทุกเดือน หลวงปู่เชื่อว่าการหยุดรับประทานเนื้อสัตว์ไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อเรารู้ว่า เรากำลังช่วยโลกด้วยการกระทำนั้น ชุมชนฆราวาสควรกล้าหาญและริเริ่มให้เกิดความมุ่งมั่นที่จะ เป็นมังสวิรัติ อย่างน้อย 15 วันทุกเดือน หากเราทำได้ เราจะรู้สึกถึงความเป็นอยู่ที่ดี เราจะมีความสงบ เบิกบาน และมีความสุข ตั้งแต่ขณะที่เราให้คำปฏิญาณและ ดำเนินความมุ่งมั่นนี้ ระหว่างงานภาวนาที่จัดขึ้นในสหรัฐในปีนี้ มีชาวพุทธอเมริกันหลายคนที่ได้ตั้งใจมุ่งมั่นที่จะงดรับประทานเนื้อสัตว์ หรือลดการรับประทานเนื้อลง 50 เปอร์เซ็นต์ นี่คือผลลัพธ์ของการตื่นรู้ หลังจากที่ได้รับฟังการบรรยายธรรมหลายครั้ง ในเรื่องผลกระทบ ภาวะเรือนกระจก ขอให้เรามาช่วยกัน ดูแลโลกของเรา ขอให้ช่วยกันดูแลสรรพชีวิต รวมไปถึงลูกหลานของเรา เพียงแค่เราเป็นมังสวิรัติ เราก็สามารถช่วยโลกได้แล้ว การเป็น มังสวิรัติในที่นี้หมายความถึงการที่เราไม่บริโภคผลิตภัณฑ์จากนมและไข่ เพราะทั้งสองเป็นผลผลิตจากอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ หากเรา หยุดบริโภค เขาก็จะหยุดผลิต มีเพียงการตื่นรู้ของกลุ่มคนเท่านั้น ที่จะสร้างให้เกิดความตั้งมั่นอย่างเพียงพอที่จะทำให้เกิดการกระทำขึ้นได้ ในเดือนธันวาคม 2550 นี้ วัดเดียร์พาร์คจะมีไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ สำหรับใช้ในกิจการของวัด ทุกๆ วัดที่อยู่ในวิถีหมู่บ้านพลัมในยุโรปและอเมริกาเหนือ ก็ได้ฝึกปฏิบัติวันงดใช้รถสัปดาห์ละครั้ง และเพื่อนๆ ของเราอีกหลายพันคน ก็ได้ฝึกปฏิบัติด้วยกันกับเรา เราเริ่มใช้รถน้อยลง และมาใช้รถพลังไฟฟ้าและรถที่ใช้น้ำมันพืชแทน รถยนต์เหล่านี้สามารถลดการปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ลงได้ 50 เปอร์เซ็นต์ การเลือกซื้อรถโตโยต้าพริอุสซึ่งใช้น้ำมันและไฟฟ้าอย่างละครึ่ง เราสามารถป้องกันไม่ให้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์เข้าสู่ชั้นบรรยากาศประมาณ 1 ตันทุกปี อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยแห่งชิคาโกรายงานว่า "การเป็นมังสวิรัตินั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน ผู้รับประทานมังสวิรัติหนึ่งคน สามารถป้องกันไม่ให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์เกือบๆ 1 ตันเข้าสู่ชั้นบรรยากาศในทุกปี มากกว่าผู้ที่ รับประทานเนื้อสัตว์ เธออาจ จ่ายเงินมากกว่า 7 แสนบาทเพื่อซื้อรถพริอุสหนึ่งคัน และก็ยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ออกมา 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากกว่าการที่เธอเพียงแต่เลิกรับประทานเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์อื่นๆ เธอเห็นหรือยัง ครอบครัวทางธรรมที่รัก การเป็นมังสวิรัตินั้นเพียงพอแล้วที่จะช่วยโลกได้ มีพวกเราคนไหนบ้างที่ยังไม่เคยได้รับ ประสบการณ์อันแสนอร่อยจากอาหารมังสวิรัติ เราจะมองไม่เห็นความจริงข้อนี้เลยหากเรามัวยึดติดกับการกินเนื้อสัตว์ บ่ายวันนี้เมื่อเราเริ่มงานภาวนา ทุกคนได้รับข้อมูลว่าเราจะไม่ใช้ผลิตภัณฑ์นมและไข่ ตลอดช่วงการภาวนา จากนี้ไปในงานภาวนา ทั้งหมดของเรา และแน่นอนว่าในศูนย์ปฏิบัติธรรมทั้งหมดของเรา ในเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือก็จะทำเช่นนั้นด้วย หลวงปู่เชื่อมั่นว่า ฆราวาสทั้งหลายจะเข้าใจและสนับสนุนอย่างเต็มหัวใจ การฝึกปฏิบัติของเราในทุกวันนี้คือการช่วยให้ทุกคนได้ตระหนักรู้ถึง อันตรายของ ภาวะโลกร้อน เพื่อที่จะช่วยให้โลกและสรรพชีวิตปลอดภัย เรารู้ว่าหากไม่มีการตื่นรู้ของทั้งกลุ่มชน โลกและสรรพชีวิตจะไม่มีโอกาส อยู่รอด วิถีชีวิตประจำวันของพวกเราต้องแสดงให้เห็นว่าเรานั้นได้ตื่นรู้แล้ว... ด้วยรักและไว้วางใจ หลวงปู่ วัดบลูคลิฟฟ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา วันที่ 12 ตุลาคม 2550 หมายเหตุ : ตัดตอนบางส่วนมาจาก Letter from Thay
 
ความทุกข์ทรมานของสัตว์ ทราบไหมว่า วัวมากกว่า 100,000 ตัว ถูกฆ่าทุกวันในสหรัฐอเมริกา? สัตว์ส่วนมากในประเทศทางตะวันตก ถูกเลี้ยงใน “ฟาร์มแบบโรงงาน” สิ่งอำนวยความสะดวกเหล่านี้ ได้รับการออกแบบเพื่อผลิตสัตว์ออกมาสำหรับฆ่าให้ได้จำนวนมากที่สุด โดยเสียค่าใช้จ่ายให้น้อยที่สุด สัตว์ทั้งหลายถูกนำมาเลี้ยงอยู่ด้วยกันอย่างแออัด เรื่องนี้เป็นความจริงที่พวกเราส่วนใหญ่จะไม่เคยได้เห็นด้วยตาของเราเอง กล่าวกันว่า “การเข้าไปดูในโรงฆ่าสัตว์หนึ่งครั้ง จะทำให้คุณเป็นมังสวิรัติไปตลอดชีวิต” ลีโอ ตอลสตอย กล่าวว่า “ตราบใดที่ยังมีโรงฆ่าสัตว์ ตราบนั้นก็จะยังมีสงคราม อาหารมังสวิรัติเป็นบททดสอบอันเข้มงวดสำหรับความมีมนุษยธรรมของมนุษย์” ถึงแม้ว่าพวกเราส่วนมากจะไม่ยินยอมหรือให้อภัยต่อการฆ่าเท่าใดนัก แต่เราก็ค่อยๆพัฒนานิสัยในการกินเนื้อกันจนเป็นปกติวิสัย ด้วยการสนับสนุนจากสังคมรอบข้าง โดยไม่ได้รู้หรือไม่ได้สนใจจริงๆเลยว่า สัตว์ที่เรากินกันเข้าไปนั้นถูกกระทำอะไรมาบ้าง และกำลังถูกทำอะไรอยู่ อัลเบิร์ต ไอนสไตน์ กล่าวว่า “ฉันคิดว่าการเปลี่ยนแปลงและผลของอาหารมังสวิรัติที่ทำให้อารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์มีความบริสุทธิ์ขึ้น จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากทีเดียว ดังนั้นมันจึงเป็นสิริมงคลและมีสันติสุขสำหรับคนเราที่จะเลือกการกินมังสวิรัติ” คำกล่าวเหล่านี้เป็นคำแนะนำร่วมกันของนักปราชญ์และบุคคลสำคัญหลายท่านทั้งในอดีตและปัจจุบัน! นอกจากนั้น การหันมากินอาหารมังสวิรัติยังเป็นการส่งเสริมให้มีการปลูกพืชผักมากขึ้น พืชผักและต้นไม้เป็นตัวดูดจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีอยู่ในอากาศเพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง ดังนั้น การเพิ่มพื้นที่ทางการเกษตร หรือแม้แต่การปลูกผักสวนครัวก็มีส่วนช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้
 
*************************************
 
สุดท้ายนี้ ที่สำคัญการกินมังสวิรัติเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนที่ถูกต้องควรเลือกกินผักผลไม้ตามฤดูกาลที่มีอยู่ในท้องถิ่น เพราะจะช่วยลดการคมนาคมขนส่งสินค้าจากแดนไกลซึ่งเป็นตัวการอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และส่งเสริมผักผลไม้ที่ใช้วิธีการปลูกตามวิถีพื้นบ้าน และไม่มีการใช้สารเคมีและไม่มีการตัดต่อพันธุกรรม


http://veggiedanny.blogspot.com/2008/11/blog-post_04.html (http://veggiedanny.blogspot.com/2008/11/blog-post_04.html)