[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 00:03:03



หัวข้อ: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 00:03:03
ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด
วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
หรือในชื่อเก่า สถานปฏิบัติธรรมบ้านสะพานยาว / สำนักสงฆ์บ้านสะพานยาว



ด้านบนที่ทุกท่านเห็นนี้ คือแนวปฏิบัติเพื่อได้พระกัมมัฏฐานของที่นี่ ?

กัมมัฏฐาน หรือ กรรมฐาน

วิปัสสนากรรมฐานเป็นวิชาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบ และเป็นศาสตร์เดียวที่สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง
หลุดพ้นไปจากอำนาจการครอบงำของอาสวะกิเลส ตั้งแต่เบาบางจนกระทั่งหมดจด ปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง

แล้วสิ่งที่เห็นคืออะไร คือทางหลุดพ้นอย่างนั้นหรือกับอาการสั่นเป็นเจ้าเข้า บ้างก็ทำตามสั่งราวกับถูกจูงจิต

หลายคนอาจสงสัยว่าผมกำลังมาไม้ไหน
แล้วมามีส่วนอะไรถึงได้ออกมาพูดในเรื่องนี้

ถ้าอยากรู้เลื่อนลงไปอ่านต่อด้านล่างเลยครับ




หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 01:34:02
ค่อย ๆ ตามไปนะครับทีละขั้น ก่อนอื่นเลยก็มาดูประวัติย้อนหลังของที่นี่

ปฏิบัติธรรม พิจิตร สะพานยาว (http://www.youtube.com/watch?v=yMvbgckInow#)

เห็นขั้นตอนไหมครับ ให้เด็กไปนั่งสมาธิในกรงงูเอย ให้ไปนอนในโลงศพเอย
จากที่ผมเคยอ่านหนังสือธรรมะมาก็มาก อ่านบทความจากเว็บไซท์ต่าง ๆ ยิ่งมากกว่า
อ่านประวัติพระสงฆ์ไทยที่ได้ชื่อว่าเป็นพระอริยะเจ้ามาก็เยอะ
แต่ผมไม่เคยเจอว่าจะมีรูปใดมาประพฤติปฏิบัติด้วยวิธีเหล่านี้
ไม่เคยพบว่าหลวงพ่อชาเข้าไปอยู่ในกรงเสือ ไม่เคยพบว่าหลวงปู่โง่นไปนั่งจ้องงู
ไม่เคยได้ยินว่ามีพระอาจารย์รูปไหนอยากบรรลุธรรมแล้วไปนอนเล่นในโลงศพ ฯลฯ
แปลกนะครับ ผมศึกษามาก็เยอะ แต่ยังไม่เคยอ่านเจอการหลุดพ้นด้วยวิธีเหล่านี้เลยสักครั้งตั้งแต่สมัยพุทธกาลถึงปัจจุบัน
พูดก็พูดคือ เด็กนะครับ สมาธิขั้นต้นยังไม่ได้กันเลย บางคนไม่เคยนั่งสมาธิกันด้วยซ้ำ
สมควรแค่ไหนที่นำวิธีเหล่านี้มาใช้



พุทธ หรือ ไสย
ปฏิบัติธรรม หรือ จูงจิต
หลุดพ้น หรือ เอามันส์(วะ)




หลังดูคลิปข่าวคุณสรยุทธจบ หลายท่านอาจสงสัยว่าเอ๊ะ สถานปฏิบัติธรรมที่ว่านั่นโดนปิดไปแล้วนี่ ?
ใช่ครับน่าจะปิดไปแล้ว เพราะว่าวันที่ผม (น้าแม๊ค) ไปสัมผัสมากับตัว ไม่มีสำนักสงฆ์บ้านสะพานยาวแล้ว
แต่กลับมีวัดป่าศิวิไลซ์ขึ้นมาแทน น่าแปลกไหม ? เหมือนโรงเรียนโดนสั่งปิด แล้วหันไปเปิดมหาวิทยาลัย
คุณว่าสิ่งเหล่านี้ถูกต้องไหมครับ ?

บางคนอาจจะยังก้ำกึ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับสิ่งที่ผมพูด
ถ้างั้นเรามาดูเนื้อหาข่าวเมื่อปี 2552 ที่เป็นเรื่องเป็นราวกันครับ

เนื้อหาข่าวจาก เดลินิวส์ คัดลอกจาก http://tnews.teenee.com/crime/36531.html (http://tnews.teenee.com/crime/36531.html)

อ้างถึง

ยุบสำนักสงฆ์เพี้ยน ผู้ว่าฯ พิจิตรเฉียบสั่งปิดตาย-ห้ามใช้ปฏิบัติธรรมตลอดไปหลังจับเด็กเรียนฝึกสมาธิแบบพิเรนทร์
จนถูกงูเหลือมรัดคอเกือบตาย สั่งรื้อทิ้งทั้งกรงงู-ฐานปฏิบัติธรรม พร้อมนำงูไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ
ขณะที่พระ-ชีทั้งหมด ให้กลับภูมิลำเนาเดิม
 
จากกรณีที่โรงเรียนมีชื่อแห่งหนึ่งใน จ.พิจิตร นำเด็กนักเรียนชั้น ม.4 เข้าค่ายปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ
ในสำนักสงฆ์ปฏิบัติธรรมบ้านสะพานยาว หมู่ 11 ต.เนินมะกอก อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร

โดยทางสำนักสงฆ์ให้เด็กปฏิบัติธรรมแบบพิสดาร ด้วยการเข้าไปนั่งสมาธิในกรงงูเหลือม ทำให้นักเรียนหญิง
ถูกงูรัดคอ จนเส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก ต้องหามส่ง รพ. รวมทั้งมีนักเรียนหญิงกว่า 10 คน
เกิดอาการหวาดผวาอย่างหนัก ต่อมานายสมชัย หทยะตันติ ผวจ.พิจิตร สั่งตั้งกรรมการสอบทางโรงเรียน
ที่นำเด็กนักเรียนไปปฏิบัติธรรมจนเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้น ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
 
ความคืบหน้า เมื่อช่วงสายวันที่ 31 พ.ค. นายสมชัย ผวจ.พิจิตร พร้อมด้วย พล.ต.ต. เชาวฤทธิ์ ชาญเวช
ผบก.ภ.จว.พิจิตร เจ้าหน้าที่ อส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 100 นาย

เดินทางไปยังสำนักสงฆ์ปฏิบัติธรรมบ้านสะพานยาว ทำการตรวจสอบบริเวณสำนักสงฆ์ฯ อย่างละเอียด
โดยมีคณะนักเรียนพาดูจุดเกิดเหตุต่าง ๆ ทั้งนี้ นายสมชัยได้สอบสวนเด็กนักเรียนหญิงกว่า 10 คน
ที่ร่วมเข้าค่ายปฏิบัติธรรมครั้งนี้ ทุกคนต่างยืนยันว่ามีการฝึกปฏิบัติธรรมด้วยวิธีพิสดารจริง
  
หลังจากนั้นนายสมชัยได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะมีคำสั่งให้ยุบสำนักสงฆ์แห่งนี้

โดยได้สั่งการให้รื้อกรงที่เลี้ยงงูเหลือมออก รวมทั้งฐานปฏิบัติธรรมทั้งหมดออกจากสำนักสงฆ์
โดยให้เจ้าหน้าที่ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยึดงูเหลือมที่เลี้ยงไว้ นำไปปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ
นอกจากนี้ได้ขีดเส้นตาย ให้พระสงฆ์ แม่ชี และนักปฏิบัติธรรมรวมเกือบ 100 คน
กลับภูมิลำเนาทั้งหมด พร้อมกับสั่งปิดสำนักสงฆ์บ้านสะพานยาว ห้ามใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมตลอดไป
และให้จัดทำเอกสารส่งคืนที่ดินให้กับวัดชัยมงคล อ.บางมูลนาก ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิม


เฉียบไหมครับ ปิดสำนักสงฆ์แล้ว เปิดเป็นวัดได้ต่อ

แต่ด้วยความสงสัยของผมว่าเอ.. ถ้าเป็นวัดแล้วเค้าทำแบบนี้กันได้ด้วยหรือ ?
ผมเลยลองไปค้นหาทะเบียนวัดในประเทศไทยว่าเป็นวัดที่ถูกต้องหรือเปล่า
จากเว็บไซท์ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ Click ที่นี่ (http://www.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=917:2009-08-01-17-09-57&catid=77:2009-07-14-14-27-10&Itemid=388)
เพราะถ้าเป็นวัดที่ถูกต้องก็ควรมีอยู่ในบัญชีรายชื่อวัดทั่วประเทศ ซึ่งได้รวบรวมเมื่อ 9 มี.ค. 2554 ที่ผ่านมา
หลังจากดาวน์โหลดไฟล์รายชื่อวัดทั่วประเทศมาแล้วผมก็เปิดเข้าดูในส่วนของจังหวัดพิจิตร
ซึ่งผมก็นั่งหาโดยละเอียด

แต่แปลกจริง ผมไม่พบรายชื่อของวัดป่าศิวิไลซ์ ในบัญชีรายชื่อวัด

เอ๊ะ ! ผมอาจจะตาลาย หรืออะไรรึเปล่านะ แต่ถ้าใครสงสัยว่าสิ่งที่ผมพูดจริงหรือไม่
ลองโหลดไฟล์ด้านล่างนี้ไปดูครับ แล้วจะพบว่าไม่มีรายชื่อในทะเบียนวัดจริง ๆ

http://www.sookjai.com/external/pichit.pdf (http://www.sookjai.com/external/pichit.pdf) <<< รายชื่อวัดในจังหวัดพิจิตร


 (:SHOCK:)



หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 01:50:56
ผมตีแผ่เพื่ออะไร ?
เพราะเชื่อหรือไม่มีครูบาอาจารย์จากหลายสถาบันมาแอบอ้างว่าพาศิษย์ไปปฏิบัติธรรมบ้าง
บางพวกเล่นกันง่าย ๆ ว่าถ้าใครไปจะได้คะแนน คนไม่ไปก็อด
แล้วเด็กที่ไปมีตั้งแต่เด็กเล็กจนเด็กโต ตั้งแต่ยังไม่ประสีประสาจนถึงวัยคะนอง
โดยมีผู้ใหญ่เลวชักจูง

ลองคิดดูนะครับ เด็กบางคนไม่เคยเข้าวัดวา บางคนนาน ๆ เข้าทีแต่ไม่เคยปฏิบัติ
แต่โดนชักจูงมาว่าพาไปปฏิบัติธรรม
เมื่อเด็กเหล่านั้นมา เกิดอาการหวาดกลัวบ้าง ทำให้คิดว่าแก่นของพุทธคือปฏิบัติแบบจูงจิตบ้าง
การสั่นอาละวาดคืออาการของคนได้กัมมัฏฐานบ้าง เด็กบางคนด้อยวุฒิภาวะมองเป็นเรื่องตลกบ้าง
บางคนอยู่วัยคะนองพอเกิดอาการก็คิดว่าตนวิเศษได้มาแล้วซึ่งกัมมัฏฐานบ้าง
บางคนเกิดจิตวิปลาศเกิดอาการหลอนหลงคิดว่าตนได้ปฐมฌาณบ้าง มีหูทิพย์ตาทิพย์บ้าง

เชื่อไหมครับว่ามีเด็กมากมายที่หลงคิดว่านี่คือพุทธะ ไม่ได้คิดว่าเป็นไสยะ

สิ่งที่ปรากฏไม่ใช่หลักของพระพุทธศาสนาอันหมายถึงศาสนาของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
สิ่งที่ได้จากการปฏิบัติธรรมคือความสุข ความสงบ ไม่ใช่อาการร้อนรน อาการทุรนทุราย
สิ่งที่เราได้จากการปฏิบัติคือการรู้เท่าทันจิต รู้สภาวะอารมณ์ รู้เท่าทันตนให้จิตอยู่เหนือกาย
ไม่ใช่สติขาด กายอยู่เหนือจิต จิตรู้แต่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้
สำหรับผู้ที่ปฏิบัติในสำนักปฏิบัติธรรมที่ปฏิบัติกันถูกทางคงเข้าใจนะครับว่าผมสื่ออะไร

" ผมกำลังจะบอกว่านี่ไม่ใช่แนวทางของพุทธ "

สิ่งที่ทำลายคนได้มากที่สุดในความคิดผมคือการที่ศิษย์ได้
"อาจารย์เลว"
ซึ่งจะเป็นผู้สอนและชักจูงสู่เส้นทางแห่งความเสื่อม



หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 02:13:20
ในตอนแรกก็จะให้เปลี่ยนเป็นชุดขาว
และที่สำคัญ

ให้ถอดพระเครื่อง ถอดสร้อย เครื่องรางของขลังออกให้หมด

โดยอ้างว่า พระเครื่องจะดูดพลังกัมมัฏฐาน
(แต่ความคิดผมกลับมองว่า ทำให้อำนาจพุทธคุณด้อยลง ทำให้ครอบงำได้ง่ายขึ้น)
สำหรับขั้นตอนของการภาวนาจะใช้คำว่า พองหนอ ยุบหนอ นิ่งหนอ ถูกหนอ
โดยแรกเริ่มก็จะเริ่มจากช้า ๆ ต่อมาก็ให้เร่ง ๆ ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะมีคนมาคอยพูดกรอกหู
ให้เร็วขึ้น เร่งขึ้น จนสติขาดผึง แล้วสติแตกอาละวาด
แทนที่เด็กมาปฏิบัติจะเย็นสบายชอบในความสงบ สุดท้ายจะกลายเป็นเกลียดศาสนาไปซะฉิบ
ในจุดนี้ผมได้ลองคุยกับผู้คร่ำหวอดในวงการศาสนาท่านหนึ่งซึ่งก็เป็นสมาชิกในเว็บสุขใจด้วย
ถึงเรื่องของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ซึ่งท่านผู้นั้นก็ตอบมาแนว ๆ เดียวกับที่ผมคิดไว้ดังนี้

อ้างถึง

เวลาเข้าลึก ๆ หน่อย สัญญาเก่า ๆ มันจะมา
แสดงหมาแมว งู สารพัด
บางที่ เล่น วิ่งไปตามเพลง เสียงเพลง

วิ่งตามคำพูด มันจะกดจิตเลย
จิตซ้อน จิต จิตฝังจิต
ความทรงจำ เก่า ๆ สัญญาเก่า ๆ แสดงออก
เป็นภาพ เป็นอารมณ์สารพัด
หาก ไร้สติ คุม กายออกเลย แสดงออก
ยิ่ง ได้คำพูดคน คล้าย ๆ สะกด มันเลยไปกันใหญ่


ข้างบนเป็นข้อความที่ผมสนทนากับบุคคลที่ว่า
ซึ่งในจุดนี้เป็นเพียงการคาดเดาของผมกับท่านผู้รู้อีกท่านหนึ่งเท่านั้น



ประเด็นมันอยู่ที่ว่า

ทำไมต้องทำกันแบบนี้
ทำไปแล้วได้ประโยชน์อะไร
สิ่งที่ทำอยู่นี่ใช่แนวทางของพุทธแน่หรือ (ส่วนตัวผมคิดว่าเหมือนพวกลัทธิ อลัชชี)
ทำไมยังมีการกระทำแบบนี้อยู่อีก คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไปไหนกันหมด
ทำไมไม่มีใครเข้ามาจัดการ ทั้งที่สถานที่นี้ออกตัวว่าเป็นวัด (แถมไม่มีในทะเบียนวัดในประเทศอีก)
ทำไมครูบาอาจารย์จากหลาย ๆ ที่ ถึงพาเด็กมาทำกิจกรรมแบบนี้ทั้งที่เคยมีคนถึงขั้นวิปลาศ
มีผลประโยชน์อะไรแอบแฝงระหว่างบรรดาครูอาจารย์กับทางสำนัก (เงิน หรือการคุมจิต ฯลฯ)
หลังจากดิ้นทุรนทุรายแล้วได้อะไร เพราะผมถามจากคนที่ลงไปดิ้นแล้ว เค้าคุมตัวเองไม่ได้
หยุดก็ไม่ได้ เหนื่อยไม่พอ แผลเต็มตัวอีก บางคนเกิดอาการหวาดกลัว ต้องฟื้นฟูสภาพจิตใจอีก
พ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่านเคยรู้บ้างไหมว่าบุตรหลานของท่าน ๆ อาจเป็นเหยื่อของครูเลว และสำนักนี้



.


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 02:24:13
ที่สำคัญเชื่อไหมว่า

มีพระคอยเดินจดว่าใครได้กัมมัฏฐานแล้วบ้าง
(กรณีเดินจดเดี๋ยวดูได้จากในคลิปที่ผมจะลงให้ถัดไป จะพบว่ามีพระเดินถือกระดาษคอยจด)

ซึ่งคำว่ากัมมัฏฐานที่ว่าคือการออกอาการทุรนทุราย ดีดดิ้น ขาดสติ ถูกจูงจิต ถูกสั่งให้ทำโน่นทำนี่
ซึ่งถ้าใครยังไม่ผ่าน ต้องทำจนกว่าจะผ่านถึงจะหยุดได้
บางคนแผลเหวอะหวะจากการดิ้น บางคนพกช้ำ บางคนกรีดร้อง บางคนก็แค่พอเลือดซิบ ๆ
ซึ่งทางวัดก็ฉลาด ถ้าเป็นเด็กเยาวชน จะมีเอกสารให้กรอกสองแผ่น
เนื้อความแผ่นหนึ่งประมาณว่าจะปฏิบัติตามขั้นตอนของทางวัด
อีกแผ่นหนึ่งเหมือนกับเอกสารยอมความไม่เอาผิดถ้าเกิดอะไรขึ้น (ตายไปก็ห้ามเอาผิดว่างั้นเหอะ)
โดยต้องให้ผู้ปกครองเซ็นยินยอม ซึ่งกรณีนี้หากไม่ได้พาผู้ปกครองมาด้วย ให้ปลอมเป็นผู้ปกครองกันเอง
พร้อมพยาน ซึ่งก็เหมือนเดิมคือเป็นพยานกันเอง


จะเห็นได้ว่ามีการรู้ล่วงหน้าว่าอาจเกิดอุบัติเหตุ อาจเลือดตกยางออก อาจวิปลาศ หรืออาจเสียชีวิตได้จากขั้นตอน
จึงมีการสั่งให้กรอกข้อมูล เพื่อวัดจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบ(ห่า)อะไรเลย

จนถึงตอนนี้อาจมีหลายคนสงสัยอีกว่าเอ๊ะ ผมจะมาบ่อนทำลายศาสนาหรือเปล่า
หรืออีกฝั่งอาจจะมองว่า มันมีวัดแบบนี้ด้วยหรือ ? นี่หรือเมืองพุทธ

ใกล้จะจบแล้ว
เลื่อนลงอ่านต่อเลยครับ




หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 02:37:39
ซึ่งผมก็ได้รวบรวมคลิปที่เพิ่งจะถ่ายมา (เมื่อช่วงกลางเดือน ก.พ. 2555)
เอามาลงให้ทุกท่านได้ชมกันครับ
มีทั้งหมด 7 ตอน ครับ แอบ ๆ ถ่ายมาด้วยโทรศัพท์มือถือ
(โนเกียปีเก่าแล้วภาพไม่คมแต่ก็ชัดพอจะแยกแยะได้ครับ)



นี่หรือวัด (วัดป่าศรีวิไลย์ พิจิตร) 1 (http://www.youtube.com/watch?v=6JnwxOK7Flo#ws)

นี่หรือวัด (วัดป่าศรีวิไลย์ พิจิตร) 2 (http://www.youtube.com/watch?v=WtU27fpwaXA#ws)

นี่หรือวัด (วัดป่าศรีวิไลย์ พิจิตร) 3 (http://www.youtube.com/watch?v=wbtUhEjpwQ8#ws)

นี่หรือวัด (วัดป่าศรีวิไลย์ พิจิตร) 4 (http://www.youtube.com/watch?v=thuSgMwRhvE#ws)

นี่หรือวัด (วัดป่าศรีวิไลย์ พิจิตร) 5 (http://www.youtube.com/watch?v=ZYgcf-nl9iE#ws)

นี่หรือวัด (วัดป่าศรีวิไลย์ พิจิตร) 6 (http://www.youtube.com/watch?v=ml607VWtW2U#ws)

นี่หรือวัด (วัดป่าศรีวิไลย์ พิจิตร) 7 (http://www.youtube.com/watch?v=-ckTCIrPwvw#ws)



เอามาตีแผ่ให้สังคมได้รับรู้ครับ สำหรับผมนี่ไม่ใช่แนวทางของพุทธ
ไม่เพียงแต่ไม่ใช่แนวทาง แต่สิ่งเหล่านี้กำลังทำให้ศาสนาเสื่อม เพราะคนของศาสนา(พระ) เป็นผู้ทำ
ซึ่งเป็นการบ่อนทำลายศาสนาทางตรง ทำให้คนหลงผิด

ถ้าที่นี่คือสำนักทรง ตำหนัก ตำเหนิกผมไม่สนใจหรอก แต่ที่ผมต้องยื่นมือเข้ามาครั้งนี้
เพราะมันกระทบกับศาสนาทั้งทางตรงและทางอ้อมในระยะยาว

ตราบเท่าที่ยังไม่มีใครมาจัดการ ที่นี่ก็จะเป็นดั่งสนิมในเนื้อเหล็ก ที่มองจากข้างนอกไม่มีใครรู้
จะมารู้กันอีกทีตอนโครงเหล็กทั้งโครงมันพังครืนลงมา
อยากเห็นพุทธศาสนาของเราเป็นแบบนั้นกันหรอครับ ?

ช่วยกันเผยแพร่ข้อความนี้ ลิ้งค์นี้ ข้อมูลเหล่านี้ออกไปมาก ๆ
ให้ได้ออกข่าว ออกทีวีอีกรอบก็ท่าจะดี จะได้มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหันมาจัดการปัญหาอย่างจริงจังและถาวรสักที

ขอบคุณทุกท่านล่วงหน้าครับ
บุญรักษา ธรรมะอวยพร


ปล. ก่อนหน้านี้ผมส่งข้อมูลไปให้ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนามาแล้ว ได้ความคืบหน้าอย่างไรจะแจ้งให้ทราบครับ



หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 03:19:27
ทำแล้วได้อะไร ดีดดิ้นไปแล้วมีอะไรดีขึ้นมา
แล้วทำไมต้องทำให้แสดงอาการ เป็นอุปปาทานหมู่หรือโดนสะกดจิต
ยังไม่เห็นประโยชน์แม้แต่นิดเดียวกับการปฏิบัติในลักษณะนี้


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 10:01:03
(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1584;image)


(:DA:)หวังหยู่ สู้ตาย (:DA:)


อรรถของจิต........ประการหนึ่ง ก็คือ เป็นสภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ (ไม่ใช่ขณะที่จิตคิด)  

จิตเห็นรู้แจ้งเพียงสี (มีสีเป็นอารมณ์)จิตได้ยินรู้แจ้งเพียงเสียง (มีเสียงเป็นอารมณ์)  

จิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ จะเกิดขึ้นโดยไม่รู้อารมณ์ไม่ได้

ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า สมถะ สมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา

ก่อน สมถะ หมายถึง ความสงบ อะไรสงบ จิตที่สงบ สงบจากอกุศลธรรม คือ สงบจาก

กิเลส เรียกว่า สมถะ ดังนั้นกุศลจิตจึงเป็นสมถะ

สมถภาวนา คือ การอบรมทำให้มีขึ้น ทำให้เจริญซึ่งความสงบจากกิเลส (กุศล)บ่อย ๆ

เนือง ๆ จนตั้งมั่นเป็นความสงบจากกิเลส คือ กุศลจิตเกิดบ่อย ๆ แนบแน่นตั้งมั่นถึงได้

ฌาน โดยการนึกถึงอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด แล้วเกิดกุศลบ่อย ๆ นั่นเองเป็นการเจริญ

สมถภาวนา

วิปัสสนาภาวนา คือ การอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงที่

กำลังปรากฎว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา

เมื่อพูดถึงความสำเร็จในทางสมถะ และ ความสำเร็จในทางวิปัสสนา คำว่าสำเร็จ

กล่าวได้หลายนัย เมื่อกล่าวความสำเร็จที่หมายถึงผล

ความสำเร็จ หรือ ผลของ สมถภาวนา คือ ความสงบจากกิเลส ในขณะที่กำลังเจริญ

สมถภาวนา และมีความตั้งมั่นในอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดโดยที่ความตั้งมั่นนั้นเป็นไป

กับกุศลจิตทีเกิดต่อเนื่อง จึงระงับกิเลส ระวังนิวรณ์ อันเป็นธรรมที่ปิดกั้นกุศลไม่ให้เกิด

ในขณะนั้น สมถภาวนา จึงมีความสำเร็จ หรือ ผล คือ ระงับนิวรณ์ ระงับอกุศลไม่ให้เกิด

ชั่วขณะ และได้ฌาน ได้ความสงบแห่งจิตที่เป็นกุศลตั้งมั่นแนบแน่น และเมื่อฌานไม่

เสื่อม ย่อมเข้าถึงพรหมโลก นี้เป็นความสำเร็จ หรือ ผลของสมถภาวนา แต่สมถภาวนา

ไม่ได้รู้ความจริงว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา จึงไม่สามารถดับกิเลสได้จริง เพียงระงับ

ไว้ชั่วคราวในขณะที่เจริญสมถภาวนาเท่านั้น


หัว  (:LOVE:) ถวายวัด พุ่มพวง ในดวง (:LOVE:)


(:BH:)หลวงพ่อ เจ้าข้า (:BH:)


http://www.youtube.com/v/lxUDMXp1J4s?version=3&feature=player_detailpage



หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 10:11:25
(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1584;image)



 ส่วนความสำเร็จ หรือ ผลของการเจริญวิปัสสนา คือ รู้ตามความเป็นจริงของสภาพ

ธรรมที่กำลังปรากฎว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา การรู้เช่นนี้ ย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จ หรือ ผล

คือ การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เห็นพระนิพพานและดับกิเลสได้หมดสิ้นครับ นี่คือ ความ

สำเร็จ หรือ ผลของการเจริญวิปัสสนา

และเมื่อกล่าวถึง ความสำเร็จอีกนัยหนึ่งคือ ก็มีธรรมที่เป็นเครื่องให้ถึงความสำเร็จ

คือ อิทธิบาท 4 ซึ่ง การจะถึงความสำเร็จในขั้นสมถภาวนา คือ การได้ฌานขั้นต่าง ๆ

ก็ต้องอาศัยการเจริญกุศลธรรมประการต่าง ๆ รวมทั้ง เจริญธรรมที่ทำให้สำเร็จ คือ อิทธิ

บาท 4 อันประกอบด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะและวิมังสา(ปัญญา) ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการ

จะถึงความสำเร็จ คือ การได้ฌานขั้นต่างๆ ขาดปัญญา ความเข้าใจไม่ได้เลย ดังนั้น

เพราะมีปัญญา จึงทำให้ถึงคามสำเร็จ คือ จิตสงบจากกิเลสสชั่วขณะจนได้ฌาน

ส่วนในฝ่ายการเจริญวิปัสสนา ก็ต้องมีธรรมที่เป็นเครื่องให้ถึงความสำเร็จ คือ อิทธิ

บาท 4 อันเป็นธรรมส่วนหนึ่ง อันจะทำให้ถึงการตรัสรู้ ดับกิเลส ดังนั้นอิทธิบาท คือ....................

ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา(ปัญญา) ธรรมเหล่านี้ เป็นธรรมที่เป็นเครื่องให้ถึงความสำเร็จ

คือ การดับกิเลสและบรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่าง ๆ เพราะมีกาเรจริญอิทธิบาท 4 และ

การเจริญวิปัสสนา

จะเห็นได้ว่า ทั้งการเจริญสมถภาวนา และ การเจริญวิปัสสนาภาวนา จะสำเร็จได้

ขาดปัญญาไมได้เลยเพราะธรรมที่ทำให้ถึง ความสำเร็จ ที่จะทำให้แม้จิตสงบจาก

กิเลสและถึงการดับกิเลส สำคัญที่ปัญญา เป็นสำคัญ การศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม

ให้เข้าใจ ย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จประการต่าง ๆ คือ สงบจากกิเลสและถึงการดับกิเลส

นำมาซึ่งการเจริญสมถภาวนาและวิปัสสนา เพราะเริ่มจากการเห็นถูกขั้นการฟังให้เข้าใจ

ถูกต้องนั่นเอง.............

การอบรมเจริญสมถภาวนาไม่สามารถดับกิเลสได้ เพียงระงับกิเลสได้ด้วยการข่ม

เท่านั้น ยังไม่สามารถดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาด กิเลสยังมีโอกาสเกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจ

ได้อีก สำหรับผู้ที่อบรมเจริญสมถภาวนาได้ฌานขั้นต่าง ๆ เมื่อฌานไม่เสื่อมก่อนจุติ

ก็เป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นพรหมบุคคล ในพรหมโลก ตามระดับขั้นของฌานที่ได้ ซึ่งยัง

ไม่พ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ ยังไม่หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด

อีกแต่การอบรมเจริญปัญญา (วิปัสสนาภาวนา) เริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม

ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เป็นไป

เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาจนกระทั่งสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น

ทำให้ผู้ที่อบรมเจริญสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นจนกระทั่งสูงสุดถึงความเป็น

พระอรหันต์ พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง


ชั่ว 7 ที - ดี 7 หน พุ่มพวง ใน ดวง (:LOVE:)


http://www.youtube.com/v/-oFFZ-zE1EU?version=3&feature=player_detailpage




หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 10:46:14
(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1586;image)



ไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนใจของข้าพเจ้าจากความเชื่อและการกระทำตามพุทธธรรมที่พระบรมศาสดาได้

แสดงไว้ความประสงค์ของพระพุทธองค์ ผู้ซึ่งข้าพเจ้าได้มอบการถวายชีวิตเป็นธรรมพลีแล้ว ความมุ่งหมายของ

ข้าพเจ้าจึงอยู่ในกฎเกณฑ์ 2 ประการคือ.............................

1.เพื่อประกาศความจริงที่พระองค์ทรงประกาศไว้

2.เพื่อทำลายความเห็นผิด และการกระทำที่ผิด ๆ ในหมู่พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายให้หมดไป



หลวงพ่อปัญญานันท ได้เคยประกาศไว้อย่างชัดเจน



http://www.youtube.com/v/mz_qyxYa3yk?version=3&feature=player_detailpage



(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1584;image)


Sometime สู้ตาย (:DA:)


(:DA:) (:DA:) (:DA:)





หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: ปริศนา ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 10:57:22
ตามที่เข้าใจ โดยปกติแล้ว ธรรมะคือการถือปฏิบัติให้ใจนิ่ง ใจสงบ มีสติและสมาธิ
แต่ที่เห็นตามคลิปนี้ เรียกว่าการปฏิบัติธรรมเหมือนกัน
แต่ทำไม คนที่ปฏิบัติ ถึงได้สติขาด หวีดร้อง กรี๊ดเหมือนคนบ้า ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ
เหมือนเป็นการครอบงำแบบแปลกๆ อธิบายไม่ถูกแหะ
มันค้านอยู่ในใจ หลักธรรมของศาสนาพุทธ หลักปฏิบัติของศาสนาพุทธ มันไม่ใช่แบบนี้นี่น่า (:PL:)


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 11:10:36
(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1588;image)



(:SLE:)มัน.................ส์..................ดี (:SLE:)



 บริกรรม ภาษาบาลี คือ {ปริกมฺม}  

ซึ่งการศึกษาพระธรรม จะต้องเป็นผู้ละเอียด แม้แต่คำว่า บริกรรมจะต้องเข้าใจให้ถูก

ต้องตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงบริกรรม ไมไ่ด้หมายถึง การท่องบ่น แต่ความ

หมายของบริกรรม คือ การกระทำโดยรอบ การปรุงแต่งให้เกิด และ รวมถึงการนวดด้วย

ดังนั้น การบริกรรม จึงไม่ใช่การท่องบ่น แต่เป็นการกระทำปรุงแตงให้จิตเป็น อัปปนา

สมาธิ ได้ฌาน มีการบริกรรมกสิณ ก็ไม่ใช่การท่องบ่น เป็นคำ ๆ แต่เป็นการคิดพิจารณา

อย่างแยบคาย ทำให้เกิดความสงบจิตที่เป็นกุศล การพิจารณาอย่างแยบคายที่ทำให้

เกิดความสงบของจิต ขณะนั้นเป็นบริกรรม เป็นการปรุงแต่งให้เกิด(ปริกัมม) ปรุงแต่งให้

เกิดความสงบของจิตที่เป็นกุศล จนถึงได้ฌาน เป็นต้น สรุปว่า บริกรรม กับคำว่า

ปริกัมม เหมือนกัน ถ้าเป็นบาลีใช้คำว่า ปริกัมม ถ้าเป็นภาษาไทยใช้คำว่า บริกรรม

เป็นเืรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งมากไม่ว่าจะกล่าวถึงคำใด ย่อมไม่พ้นไปจากให้เข้าใจถึง

สิ่งที่มีจริงแม้แต่คำว่าบริกรรม หรือ{ปริกมฺม}ก็หมายถึงสภาพธรรมที่มีจริงแต่ถ้าไม่

ได้ศึกษาพระธรรม ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แล้วย่อมไม่สามารถที่จะ

เข้าใจได้ว่า สิ่งที่กล่าวถึงนั้น คือ อะไร ? เป็นการพูดคำที่ไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตาย  

จนกว่าจะได้ศึกษาพระธรรม เมื่อได้ศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบแล้วก็จะไม่

เข้าใจผิดเพราะพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงป้องกันไม่ให้ตกไปใน

ฝ่ายผิด เมื่อได้เข้าใจอย่างถูกต้องแม้แต่คำว่า บริกรรม ก็เช่นเดียวกัน เป็นคำที่มีความ

หมายอย่างชัดเจนว่าหมายถึง การปรุงแต่งให้เกิดซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลที่ไปปรุง

แต่งแต่เป็นมหากุศลจิตที่เกิดขึ้น - ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นในฌานวีถี หรือในมัคควิถี  

ถ้าเป็นในฌานวิถี ก็เป็นการปรุงแต่งให้เกิดความสงบกล่าวคือ ปรุงแต่งให้ฌานจิตเกิด

ถ้าเป็นในมัคควิถีก็ปรุงแต่งให้เกิดการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมประจักษ์แจ้งพระนิพพาน  

กล่าวคือปรุงแต่งให้โลกุตตรกุศล เกิดขึ้นนั้นเองเพราะเป็นขณะจิตที่เกิดก่อนขณะที่

เป็นโลกุตตรกุศล



http://www.youtube.com/v/BHPj5OMg44A?version=3&feature=player_detailpage



(:DY:) (:DY:)กาโดด......ฟันซ่ะเลย....... (:DY:)หวางหยู่มาแว้......ว.......ว (:SY:)



(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1584;image)


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: Compatable ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 11:19:01
เคยเห็นมีคนเข้าข้างวัดนี้มากมายตอนกดเข้าไปดูในยูทู๊บโดยตรง
แต่บางทีเหล่าศิษยานุศิษย์ทั้งหลายเอ๋ยพวกเจ้าควรมองถึงแก่นที่แท้จริงของพุทธศาสนาบ้าง
ไม่ใช่ปล่อยให้ศรัทธาของเจ้าที่มีต่ออวิชาพวกนี้มาบดบังจนออกตัวแทนวัดกันอย่างบ้าคลั่ง
ถ้าคุณเป็นผู้ปกครองที่มีสติครบถ้วนคุณอยากเห็นลูกหลานมาดีดดิ้นแบบนี้ไหม


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: Compatable ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 11:26:24
กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร
1.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
2.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
3.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
4.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
5.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
6.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
7.อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
8.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
9.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
10.อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 11:30:48
(http://www.seesod.com/storage36/9W9uBpVgrm1295519812/l.jpg)



ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจว่าการอบรมปัญญาเพื่อดับกิเลสนั้นคืออย่างไรซึ่ง

ก็คือการอบรมเจริญ{สติปัฏฐาน}รู้ความจริงว่าเป็นนามธรรมและรูปธรรมเพราะฉะนั้นปัญญา

ก็ต้องรู้สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้นผู้ที่จะบรรลุความเป็นพระโสดาบัน

ก็ต้องอบรมปัญญาเริ่มจากการฟังให้เข้าใจในเรื่องนามธรรมและรูปธรรมหรือสภาพธรรม

จนเป็นปัจจัยให้สติเกิด(สติปัฏฐาน)รู้ลักษณะของสภาพธรรม(นามธรรมและรูปธรรม)ว่า

เป็นธรรมไม่ใช่เรา เมื่อสติเกิดขึ้นบ่อยๆทั่วทั้ง 6 ทวารจนเป็นปัจจัยให้แทงตลอดสภาพ

ธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมโดยชัดเจนด้วยปัญญาก็เป็นวิปัสสนาญาณที่ 1 และ

ก็อบรมปัญญาจนถึงวิปัสสนาญาณที่ 2 ถึง 16 ถึงความเป็นพระโสดาบัน

เพราะฉะนั้น....................พระอริยบุคคลที่สูงกว่าพระโสดาบันก็ต้องอาศัย

การฟังและก็ต้องเจริญสติปัฏฐาน


http://www.youtube.com/v/2c6JMoK40qU?version=3&feature=player_detailpage



หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 11:39:08
โหย... ฮอทจริง ๆ กระทู้นี้

 ;D ;D ;D

ขั้นต่อไปควรดำเนินการยังไงดีครับ โพสท์ในเฟซบุ๊ค

โพสท์ในเว็บใหญ่ ๆ กระจายไปให้ทั่ว ?

เพื่อให้มวลชนเห็นถึงความไม่เหมาะสม ให้เป็นประเด็นในสังคม

เพื่อให้คนใหญ่คนโตจัดการอย่างเด็ดขาดอีกครั้ง ???


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 11:47:54
โหย... ฮอทจริง ๆ กระทู้นี้

 ;D ;D ;D

ขั้นต่อไปควรดำเนินการยังไงดีครับ โพสท์ในเฟซบุ๊ค

โพสท์ในเว็บใหญ่ ๆ กระจายไปให้ทั่ว ?

เพื่อให้มวลชนเห็นถึงความไม่เหมาะสม ให้เป็นประเด็นในสังคม

เพื่อให้คนใหญ่คนโตจัดการอย่างเด็ดขาดอีกครั้ง ???


(http://www.seesod.com/storage36/u3rfFyp0yI1304351136/l.jpg)



(^^)น้า Mck @ Wonder (^^) กระทู้สุด HOT (^^)



(^^)นาน ๆ จะมีกระทู้มัน ๆ สักที (^^)น้า McK @ Wonder (^^)



http://www.youtube.com/v/fMqh2yiemxA?version=3&feature=player_detailpage




หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: ขอทานน้อย_ป่าหิมพานต์ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 14:24:07
ต้องแจ้ง..สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติครับ...

http://www.onab.go.th/ (http://www.onab.go.th/)

(http://www.uppic.org/image-1DB9_4F434481.jpg) (http://www.uppic.org/share-1DB9_4F434481.html)



หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: wondermay ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 18:26:54


...เลวสุด


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 19:59:06
(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1590;image)



ลองอ่านกระทู้นี้และจงทำความเข้าใจแล้วพวกเราจะเข้าใจไอ้พวกที่ชักดิ้น - ชักงอมันเป็น....ไม่อยาก จา(พูดเล๊...ย)พับแผ่ดิ

http://www.sookjai.com/index.php?topic=30928.0 (http://www.sookjai.com/index.php?topic=30928.0)



กิจของพุทธบริษัทที่ดีมี ๔ ประการคือ...................

๑. ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจจริง ๆ

๒. นำไปประพฤติปฏิบัติ (ประโยชน์ตน)

๓. มีส่วนช่วยเผยแพร่เกื้อกูลให้บุคคลอื่นเข้าใจและนำไปประพฤติปฏิบัติ (ประโยชน์ท่าน)

๔. สามารถปกป้อง เมื่อมีผู้กล่าวให้คลาดเคลื่อนหรือกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัย


(:SLE:)อาเมน (:SLE:)


{๗๑๑}ดูก่อนอานนท์ เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ  

มีตนเป็นที่พึ่งอย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ จงมีธรรมเป็นเกาะ

มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่เถิด

{๗๑๒}ดูก่อนอานนท์ก็ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่งไม่มีสิ่งอื่นเป็น

ที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะมีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่

{๗๑๓}ดูก่อนอานนท์ก็ผู้ใดผู้หนึ่งในบัดนี้ก็ดีในเวลาที่เราล่วงไปแล้วก็ดี

จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ ...........................

มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่งไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ภิกษุเหล่าใด

เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษาภิกษุเหล่านั้นจักเป็นผู้เลิศ...........


(:SLE:)อาเมน (:SLE:)


http://www.youtube.com/v/3D7mv4ztgDI?version=3&feature=player_detailpage


(:-_-:) (:-_-:) (:-_-:)


กา - ทู้ มี 2 PAGE ไปอ่านต่อ PAGE 2




หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: mcwp ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 20:15:22
รัดฐิ ไหนนิ?........??


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 20:28:43
ไม่รู้ลัทธิไหนครับ รู้แต่การมาดีดดิ้นแบบนี้แล้วบอกได้พระกัมมัฏฐานผมไม่เคยเจอ

มีการฝึกเพื่อให้ได้หูทิพย์ ตาทิพย์ ไปใหญ่ไปโต


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: varaporn ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555 23:39:12
มาตามติด และติดตาม


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศรีวิไลย์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555 00:23:22
มาแรงจริงวุ๊ย
วันเดียวคนอ่านเกือบสามร้อย
นานๆจะได้เจอกระทู้แบบนี้นะนี่
 ;D


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555 14:09:05
(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1594;image)


ลัทธิเหมาเจ๋อตุงผสมฮิตเล่อร์ สงวนลิขสิทธิ์ภาพถ่ายตามระเบียบ


(:SLE:) (:SLE:) (:SLE:)


ฟ้าดินไร้สิ่งที่เรียกว่า{เมตตาธรรม}

สุดแต่สรรพสิ่งเจริญพัฒนาตามธรรมชาติ

อริยบุคคลก็ไร้สิ่งที่เรียกว่า{เมตตาธรรม}

สุดแต่ประชาชนจะทำงานและพักผ่อน

ระหว่าง  ฟ้ากับดิน

เหมือนกระบอกสูบลมมากมิใช่หรือ?

แม้ว่างเปล่า แต่กลับมิใช่ว่างไร้

ยิ่งมีการเคลื่อนไหวมากเท่าไร ยิ่งก่อเกิดลมไม่รู้หมดรู้สิ้นเท่านั้น

พูดมากคุยจ้อไม่หยุด รังแต่ทำให้ผู้คนมีจิตสับสน

มิสู้ไม่เอนไม่เอียงรักษาวิถึสายกลางอย่างเคร่งครัด



 (:???:)เอามาจาก{ลัทธิเต๋า}หมายเหตุ....อย่าเอาเยี่ยงอย่าง Sometime เพราะ Sometime ศิษย์เก่า ศรีธัญญา (:???:)



http://www.youtube.com/v/kL3RBeyVThA?version=3&feature=player_detailpage"



หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: beer10600 ที่ 14 มีนาคม 2555 21:48:15
              ในการที่คุณพูดมาทั้งหมดโดยยึดหลักทางพระพุทธศาสนานั้นมันถูกต้องอยู่ครับ แต่อย่ายึดความคิดของคุณเป็นใหญ่ หรือคิดว่าความคิดของคุณจะถูกต้องที่สุดซิครับ คุณไม่ใช่เจ้าของศาสนาซะหน่อย หรือว่าคุณมีศาสนาพุทธ นิกายใหม่ที่เป็นของตนเอง ผมในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่งจะได้ไปฝึกในแนวทางของคุณดูบ้างคุณศาสดา Mckaforce
              ในการที่คุณเอาสื่อมาตีแผ่แบบนี้เป็นเรื่องที่ดีครับ(ขอให้ได้อานิสงผลบุญนั้นไป) แต่ที่มาพูดในด้านลบนี้ถือว่าผิดทั้งทางโลกและทางธรรม มันไม่ดี สิ่งที่ดีๆที่ชอบมีอีกเยอะ สิ่งที่ไม่ดีไม่ชอบก็มีอีกเยอะ แต่เก็บเอาไว้ในใจจะดีกว่าไหม ในกรณีนี้คุณพูดราวกับว่าคุณสามารถตัดสินได้ว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว เหมือนว่าคุณได้รู้แจ้งเห็นจริงแล้วในสัจธรรม แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง รบกวนช่วยมาบรรพชาอุปสมบทให้ผมได้ไหม อยากปฏิบัติในแนวทางหรือวิธีของคุณ และขอมอบกายถวายตัวและใจเพื่อเป็นศิษยานุศิษย์ของเกจิ Mckaforce ด้วยคนครับ
              ตามที่คุณได้ตีแผ่และว่าความมาบวกกับที่ผมได้ศึกษาและปฏิบัติมา ไม่ว่าที่ไหนนะครับ ทุกที่ล้วนมีแนวทางการปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไป แต่จุดมุ่งหมายปลายทางหรือผลสำเร็จมันก็เหมือนกันทุกที่แหล่ะครับ พระพุทธเจ้าทรงได้สอนหรือบัญญัติไว้ไหมว่า การที่จะทำให้รู้แจ้งเห็นจริงมีวิธีหรือแนวทางในการปฏิบัติอย่างไร ไม่มีหรอกครับ ท่านได้สอนไว้เพียงว่า การที่จะบรรลุธรรมขั้นใดขั้นนึ่งนั้น ต้องทำให้จิตใจเราเกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ก่อน แต่ไม่ได้บอกวิธีปฏิบัติเอาไว้ซะหน่อย ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพนะครับ เมื่อเราหิวเราก็กินเพื่อให้อิ่ม แต่ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่า จะกินอะไรให้อิ่นและใช้อะไรกิน สมัยก่อนก็ใช้มือ สมัยนี้ก็ช้อนซ้อม ถ้าคนจีนก็ตะเกียบ คล้ายกับว่า อยากทำจิตใจให้สงบก็ต้องนั่งสมาธิ และวิธีการทำสมาธิก็มีตั้งหลายวิธี ถ้ายึดติดกับความคิดของคุณ ก็หมายความว่า เกิดคุณใช้ช้อนซ้อมกินข้าว คนในสมัยก่อนกับคนจีนก็ปฏิบัติผิดวิธีผิดหลัก เพราะเค้าดันไปใช้มือกับตะเกียบกิน ยังนั้นน่ะหรอ......
               แล้วสุดไม่ว่าจะใช้อะไรกิน หรือกินอะไร ผลลัพธ์มันก็คือต้องการให้ท้องอิ่มเหมือนกันนั่นแหล่ะครับท่านศาสดา ศาสนาใหม่ ราวกับว่า สำนักสงฆ์แต่ละสำนักก็มีวิธีฝึกต่างวิธีกันแต่เป้าหมายก็คือให้เข้าถึงสมาธิวิปัสนากัมมัฏฐาน บางสำนักก็ให้ภาวนา พุทโธบ้าง สัมมาอรหังบ้าง
                อีกอย่าง ในสมัยก่อน ครูบาอาจารย์หรือเกจิอาจารย์ทั้งหลายเคยได้มีบันทึกไว้ไหมว่าท่านสามารถบรรลุคุณธรรมขั้นหนึ่งขั้นใดได้อย่างไร ไม่มีหรอกครับ มีแต่เรื่องเล่าประวัติความเป็นมา เต็มที่ก็วิถีการปฏิบัติ แต่ท่านทั้งหลายนั้นก็ยังไม่ได้บอกไว้เหมือนกันว่าปฏิบัติแบบนี้แล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร นี่แหล่ะเป็นสิ่งที่ทำให้ครูบาอาจารย์รุ่นหลังๆ นำมาค้นหาค้นคว้าแล้ว(ย้ำ)นำมาปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริงก่อนที่นำมาสอนให้ศิษยานุศิษย์ลองปฏิบัติกันดู ใครจะทำตามก็ทำ ใครจะไม่ทำตามก็ไม่ต้องทำ ท่านเค้าไม่ได้บังคับ ชิมิ????
                  พอละ ขี้เกียจสาธยาย เมื่อยนิ้ว เอาเป็นว่า คิดให้ดีแล้วลงมือทำให้ดีที่สุด ดีไม่ดียังไงเรารู้คนเดียว แล้วเก็บไว้ในใจซะ อย่าได้ไปสอนหรือกล่าวอ้างว่ามันดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิดอย่างไร

ปล. ผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
[/size][/size]


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 14 มีนาคม 2555 22:16:42
ลูกกระจ๊อกโผล่มาตัวนึงแล้วววว

สักพักลูกกระจ๊อกตัวนี้ก็จะแปลงร่างอวตาร

หรือไม่ก็ชวนลูกกระจ๊อกตัวอื่นมาร่วมด่า

 ;D ;D ;D ;D



หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 14 มีนาคม 2555 22:20:58
ขอเชิญยกตัวอย่างพระที่บรรลุแล้วตัวโยกควบคุมสติไม่อยู่ให้หน่อยครับ

 ;D ;D ;D ;D

อ่านมาเยอะ ศึกษามาเยอะ ไม่ยักกะเคยเจอ

เคยเจอแต่สงบ ๆ

 ;D ;D ;D



หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: ปริศนา ที่ 14 มีนาคม 2555 22:31:37
beer10600  คิดว่าการทำสมาธิ คือให้มีคนมาสั่งให้แหกปากดังๆ โยกอีก โยกอีก อย่างนั้นหรือ ประหลาดแท้


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: Lapat ที่ 15 มีนาคม 2555 10:44:52
คุณMckaforceก็ลองไปอ่าน ลำดับญาณ ทั้ง ๑๖ ญาณ จากพระไตรปิฎก อาการที่คุณสงสัย มีอยู่จริง เมื่ออ่านแล้ว นั่นเป็นเพียงตัวหนังสือ ที่เอาไว้ใช้สอบก็ได้  แต่ลองปฎิบัติดูหรือยัง  ถ้ายังก็ลองดูก่อน เหมือนเห็นอาหาร หน้าตาน่าอร่อย หรือว่าไม่น่ากิน จะตัดสินได้อย่างไรว่า รสชาติเป็นอย่างไร  ถ้าคุณไม่ลองชิมดู  ถ้าการศึกษา ปริญญาเอก เป็นปริญญาที่สูงสุด ลองถาม  ดร.ทั้งหลายดู ว่าท่านรู้ทุกอย่างในโลกแล้วหรือยัง หรือคุณลองเอื้อมมือจับคลื่นโทรศัพท์ จับกระแสไฟฟ้า ที่มองไม่เห็น แต่สามารถทำงานได้ คุณจับต้องได้หรือไม่ สิ่งใดที่ไม่รู้ ควรศึกษา อย่าทำตัวน่าขำน่าสงสารเลย โลกเราไม่ได้มีแค่กบในกะลา ดีดกะลาออกแล้วโลกให้กว้าง คุณก็จะสบายใจขึ้น เพราะการศึกษาไม่มีวันจบสิ้น [/size][/size][/size][/size][/size][/size][/size][/size][/size][/size][/size][/size][/size]


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 15 มีนาคม 2555 11:00:09
5555555555555555555+

อย่างที่นึกไว้ พอมาตัวนึง

ไอ้พวกกระจ๊อกตัวอื่นต้องมาตาม

 ;D ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 15 มีนาคม 2555 11:10:54
อ้างถึง

พอละ ขี้เกียจสาธยาย เมื่อยนิ้ว เอาเป็นว่า คิดให้ดีแล้วลงมือทำให้ดีที่สุด ดีไม่ดียังไงเรารู้คนเดียว แล้วเก็บไว้ในใจซะ อย่าได้ไปสอนหรือกล่าวอ้างว่ามันดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิดอย่างไร


อ๋อเรื่องของคุณสิครับ ผมพูดในสิ่งที่ผมต้องการสื่อไปหมดแล้ว ขี้เกียจพิมพ์ก็ไม่ต้องพิมพ์ครับ ง่ายดี

ผมขี้เกียจอ่านข้อความของพวกหลงผิดผมยังไม่อ่านเลย

เหมือนเวลาเถียงไปได้รับคำตอบแถ ๆ ในยูทู๊บเยอะเข้า ๆ ผมก็ขี้เกียจเถียง ไม่เกิดประโยชน์ครับ

ถ้าสำนักดีจริงให้คนที่เข้ามาเค้าดูกันเองเอาครับว่าอะไรเหมาะสมไม่เหมาะสม

ผมเชื่อว่าคนที่มีความคิดเค้าสามารถคิดกันได้ ผมเชื่อว่าคนที่มีปัญญาเค้าสามารถวิเคราะห์กันได้

ใครว่าผมทำผิดในสิ่งที่ผมตีแผ่เพื่อให้เห็นจุดด่างพร้อยในศาสนาก็ช่าง

ใครว่าผมถูกในการนำเสนอก็ช่าง เราทำในสิ่งที่เราต้องทำก็แค่นั้น

ส่วนบรรดาลูกหาบลูกกระจ๊อกของวัดจะมาอ้าง จะมาสาปแช่ง จะมาสรรเสริญก็เรื่องของคุณ

ถ้าสิ่งที่ผมทำมันผิด เวรกรรมก็จะให้ผลกับผมเอง เพราะงั้นเอาตัวเองให้รอดเถอะครับ

จะหลง จะบ้า จะดิ้นพรวดพราด ก็เรื่องของพวกคุณ คุณคิดว่าถูกก็เรื่องของคุณ

ส่วนใครจะคิดว่าผิดก็เรื่องของเขา และขอย้ำครับว่า คนที่เข้ามาดูเค้ามีปัญญาตัดสิน

แต่ใครจะตัดสินและมองไปทางไหนอันนั้นมันเรื่องส่วนบุคคลครับ


 ;D ;D ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: -NWO- ที่ 15 มีนาคม 2555 11:24:01
ศิษย์สำนักเถื่อนพากันมาสมัครสมาชิกเพื่อการนี้กันเลยทีเดียว  ;D


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 15 มีนาคม 2555 19:27:31
มีการขอมาทัศนะศึกษา

 ;D ;D ;D

(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1753;image)

(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1755;image)

(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1757;image)

(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1759;image)



หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 15 มีนาคม 2555 19:29:56
ต่อจากข้างบน

(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1761;image)

(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1763;image)

(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1765;image)

(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1767;image)

 ;D ;D ;D ;D ;D



หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 15 มีนาคม 2555 20:16:06
(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1769;image)


พลศักดิ์


(:SHOCK:) (:SHOCK:) (:SHOCK:)


http://www.youtube.com/v/_NaMeoBgCxw?version=3&feature=player_detailpage




หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: ปริศนา ที่ 15 มีนาคม 2555 20:59:45
เอาโว้ย แมคก้าสู้ๆ สิ่งที่ดี เราก็ว่าดี สิ่งที่ไม่ดีเราก็บอกไม่ดี ไม่ได้ไปบอกให้ใครต้องเชื่อตามสักกะหน่อย ในเมื่อคนเราทุกคนมีปัญญาพอที่จะพิจารณาเหตุและผลได้ ก็ต้องรู้ว่าไอ้สิ่งเลว สิ่งไหนเสื่อม สิ่งไหนดี สิ่งไหนงาม ไม่ใช่เสื่อมหลงไปกับการมอมเมาบ้าๆ บอๆ โยกเยกเอย น้ำท่วมเฆม ทำเข้า เด่วมันก็ได้ขึ้นสวรรค์  ฮ่า า


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 15 มีนาคม 2555 21:12:57
เอาโว้ย แมคก้าสู้ๆ สิ่งที่ดี เราก็ว่าดี สิ่งที่ไม่ดีเราก็บอกไม่ดี ไม่ได้ไปบอกให้ใครต้องเชื่อตามสักกะหน่อย ในเมื่อคนเราทุกคนมีปัญญาพอที่จะพิจารณาเหตุและผลได้ ก็ต้องรู้ว่าไอ้สิ่งเลว สิ่งไหนเสื่อม สิ่งไหนดี สิ่งไหนงาม ไม่ใช่เสื่อมหลงไปกับการมอมเมาบ้าๆ บอๆ โยกเยกเอย น้ำท่วมเฆม ทำเข้า เด่วมันก็ได้ขึ้นสวรรค์  ฮ่า า

เป็นเพื่อนกันมาหลายปี

ชั้นเห็นแกพูดดีมีเหตุผลที่สุดก็วันนี้แหละว่ะ 555+

 ;D ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: wondermay ที่ 15 มีนาคม 2555 23:58:40

(:VA:) (:VA:) (:VA:) (:VA:)

อ่านแล้วปวดหัวจี๊ด........เมื่อยลูกกะตา




(:fall:) ประเด็นนี้แซ่บเวอร์  (:fall:)

เจ๊ขอร่วมสังเคราะห์ประเด็นนี้หน่อย จากมุมมองของคนที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย

เจ๊ไม่ได้เป็นศิษย์วัดไหน สายไหน ไม่ใช่นักปฏิบัติธรรม ไม่ค่อยได้เข้าวัด ธรรมะเรียนมาตามหลักสูตร

กลางพอไหมจ๊ะ

 ;D ;D ;D ;D ;D


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: wondermay ที่ 16 มีนาคม 2555 08:07:12
เจ๊คันไม้คันมือขอจัดหนักเลยละกัน แซ่บ!

เรื่องราวในคลิปไม่ขอพูดเพราะภาพสื่อสารได้ดีที่สุด ยิ่งเป็นภาพเคลื่นไหวยิ่งเริ่ด
ถึงแม้คุณmckaforceจะไม่บรรยายเด็กดูก็เข้าใจ แล้วผู้ใหญ่จะเหลือหรอจ๊ะ ส่วนจะตีความไปอย่างไรก็สุดแต่ใจจะไฝ่ฟ้า(ไขว่คว้า) (:BR:)

แต่ที่น่าสนใจในฐานะคนตามมาดูคือ อะไรกันนักกันหนา เจ๊รำคาญ คือรู้ว่าต้องการจะอธิบายในอีกแง่มุมนึง กลัวคนมาดูจะเข้าใจผิด ละตามมาด้วย........... (:YE:)เยอะ!




จับประเด็นซะหน่อย

น้องๆเค้าบอกว่าพี่ไม่รับผิดชอบ แงๆ (T-T)


จริงๆแล้วการกระทำของคุณ mckaforce ถือว่ารับผิดชอบโคตรรร
ใครชอบโพสต์กระทู้หรือแม้แต่สตรอบะรี่เก่งก็คงทราบ ชื่อเดิม ipเดิม หน้าเดิม ........ถ้าอยากจะรู้ว่าเป็นใครก็คลำๆเอาประเดี๋ยวก็เจอ ไม่ต้องสืบสาวกันให้ยืดยาว
เคลียร์ไหมจ๊ะ


เอ๊ะๆ!หรือต้องการความรับผิดชอบอย่างอื่น(:???:) ถ้าอย่างนั้นอย่ามัวอ้อมค้อม บอกกันมาซื่อๆเลยดีกว่า



 ;Dเจ๊ว่าง เจ๊ก็เลยลองคิดๆดูแทนน้องๆให้....  (:PING:) (:PING:)


ถ้าอยากจะให้ลบ เราก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ลบ อ่าวละทำอะไรอยู่เมื่อยนิ้วไหมเล่า
สิทธิใคร ก็สิทธิมัน เข้าใจนะจ๊ะ นอกเสียจากการโพสต์นี้ถือเป็นการหมิ่น ลบหลู่ ภัยคุกคาม
ถ้าแบบนี้เจ๊แนะนำให้ไปดำเนินคดี โดยให้วัดเป็นเจ้าทุกข์ ขึ้นโรงขึ้นศาลกันตามระเบียบ
แล้วน้องๆก็กรูกันไปเป็นพยาน เริ่ด!

แต่ทางออกนี้ต้องระวังนิดนึง วัดจดทะเบียนรึยัง????? ถ้ายังอาจจะถูกฟ้องกลับได้  (:FR:) (:FR:)
หรือแม้แต่ใช้ชื่อบุคคลจริงฟ้อง ก็คงต้องเข้าไปตรวจสอบกันอีกยืดยาว จะเสียเวลาปฏิบัติธรรมไปเปล่าๆ ไหนจะรบกวนสภาพแวดล้อมในการฝึกอีก



พูดก็พูดเถอะ เจ๊ะเหนื่อย
สรุปง่ายๆนะ

 (:PL:) (:PL:) (:PL:) (:PL:) (:PL:)



เรากำลังร้อนอยากให้ลบ อยากให้ขอโทษ จากคนที่แสดงตัวว่าไม่เห็นด้วย
และเป็นคนเผยแพร่เรื่องของวัด คนเดียวในตอนนี้ที่เราติดต่อได้ ถูกไหมจ๊ะ
คนอื่นๆที่เค้าคุ้ยเค้าโพสเค้าก็หลีกเลี่ยงการแสดงตัว
อีกหลายคนที่โพสต์แสดงคลิปแสดงความเห็น แรงกว่า ตรงกว่า เยอะ
แต่เกิดเหนื่อยที่จะควานหาก็เลยมาไล่บี้กับคุณmckaforce






หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: wondermay ที่ 16 มีนาคม 2555 08:30:32



ระวัง!

นับจากนี้ คุณmckaforce ก็จะกลายเป็นเป้านิ่งของกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วย
และก็จะเป็นเป้าของสังคม ที่ถูกจับตามอง
ว่าจะมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากน้อยแค่ไหน
 (:KY:) (:KY:) (:DA:) (:DA:) (:DA:) (:SL:) (o0!) (:SH:) (:SH:) (:RL:) (:RL:) (:RL:) (:NOY:)

และหากเกิดเหตุอันไม่คาดคิด
สังคมจะเห็นพร้อมกันว่าเหตุต่างๆอันไม่น่าเกิดขึ้น
เป็นฝีมือของกลุ่มคนจากวัด(ไม่ว่าจะจริงหรือแอบอ้าง)
โดยมีมูลเหตุจากความขัดแย้ง หรือเป็นเหตุจูงใจให้กระทำการดังกล่าว


(http://www.thaitv3.com/mng/upload/program/2008/11/pm_1228120425.jpg)
(http://www.thaitv3.com/mng/upload/program/2008/10/pm_1228114680.jpg)
(http://i54.photobucket.com/albums/g101/apgts/siamflag/23oct2007/ch9-pic01web.jpg)
(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/231/2231/images/DSC00025_1.jpg)

แล้วสุดท้ายต่อให้หนาแค่ไหนตำรวจก็ยังแพ้สื่อ และกระแสสังคม

(http://www.club-edu.com/backoffice/calen_gov_img/447.jpg)




หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: wondermay ที่ 16 มีนาคม 2555 08:33:50

เจ๊พร้อมจะดัน เริ่ด!
(http://www.thairath.co.th/media/content/2010/01/31/62234/hr1667/630.jpg)




หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 16 มีนาคม 2555 13:11:05
อ๋อ wondermay จะสื่อว่า
ถ้าน้าแม๊คเป็นอะไรไป ก็คงไม่พ้นฝีมือวัดกับลูกศิษย์หละสินะ

 (:3:) (:8:) (:3:)


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 16 มีนาคม 2555 18:49:50
วันนี้ผมทิ้งงาน

น้องเพื่อนก็เตรียมจะทำรถให้ แต่ก็ยังไม่ได้ทำมารอที่บ้านตอนห้าโมงครึ่ง

แล้วนี่...


(http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=30889.0;attach=1771;image)

มันหมายความว่าไง ?



หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: Band-Home-PC ที่ 16 มีนาคม 2555 22:09:56
เอ๊ะที่ว่าหลบหน้า..เมื่อวานเราหลบไปทำงานกันเน้อะ เหงื่อซก แบกของกันมันส์เลย..หลบมากเลย


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: ปริศนา ที่ 16 มีนาคม 2555 22:14:12
อ่อ  หัวหด
เอ๊ย!!!   เขาติดธุระอะดิ แม็คก้าไม่น่าถามเลยยยยยย


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 16 มีนาคม 2555 22:21:03

อ่อ  หัวหด
เอ๊ย!!!   เขาติดธุระอะดิ แม็คก้าไม่น่าถามเลยยยยยย


อย่าไปว่าเขาเลยแอ้มเอ้ย...

จุดมุ่งหมายพวกเราคือให้สังคมได้ตัดสินเอาจากสิ่งที่เห็น ใครว่าดีก็ดีไป ใครว่าไม่ดีก็ไม่ดี

ใช้ปัญญาพิจารณาเอา เดี๋ยวพอกระแสติดลมบนเมื่อไหร่ก็ได้มีผู้รู้แห่กันออกมาแสดงความเห็นกันเองหละ

ดูเอาง่าย ๆ ศิษย์แต่ละคนที่ออกมาเถียงกับเราเค้ามีลักษณะการพูดยังไง

ใช้คำพูดแบบไหน ใช้ถ้อยคำยังไง ดูมีวุฒิภาวะไหม ?

แล้วเราจะเถียงกับคนแบบนี้ให้ได้อะไร ? เหมือนเอาพิมเสนไปแลกเกลือ

คนบอกปฏิบัติธรรม แต่ยังระงับอารมณ์ตัวเองกันไม่ได้ ยังก่นด่าสาปแช่ง คิดว่ามันปฏิบัติถูกถางหรือ ?

(http://drama-addict.com/wp-includes/images/smilies/icon_twisted.gif)(http://drama-addict.com/wp-includes/images/smilies/icon_twisted.gif)(http://drama-addict.com/wp-includes/images/smilies/icon_twisted.gif)


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 16 มีนาคม 2555 22:23:25
^
^
^

น้าแม๊คตอบหยั่งหล่อ
พระเอกมาเองเลยงานนี้

 ;D (:8:) (:6:) (:8:) ;D



หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: wondermay ที่ 17 มีนาคม 2555 10:29:47
คุณMckaforceก็ลองไปอ่าน ลำดับญาณ ทั้ง ๑๖ ญาณ จากพระไตรปิฎก อาการที่คุณสงสัย มีอยู่จริง เมื่ออ่านแล้ว นั่นเป็นเพียงตัวหนังสือ ที่เอาไว้ใช้สอบก็ได้  แต่ลองปฎิบัติดูหรือยัง  ถ้ายังก็ลองดูก่อน เหมือนเห็นอาหาร หน้าตาน่าอร่อย หรือว่าไม่น่ากิน จะตัดสินได้อย่างไรว่า รสชาติเป็นอย่างไร  ถ้าคุณไม่ลองชิมดู  ถ้าการศึกษา ปริญญาเอก เป็นปริญญาที่สูงสุด ลองถาม  ดร.ทั้งหลายดู ว่าท่านรู้ทุกอย่างในโลกแล้วหรือยัง หรือคุณลองเอื้อมมือจับคลื่นโทรศัพท์ จับกระแสไฟฟ้า ที่มองไม่เห็น แต่สามารถทำงานได้ คุณจับต้องได้หรือไม่ สิ่งใดที่ไม่รู้ ควรศึกษา อย่าทำตัวน่าขำน่าสงสารเลย โลกเราไม่ได้มีแค่กบในกะลา ดีดกะลาออกแล้วโลกให้กว้าง คุณก็จะสบายใจขึ้น เพราะการศึกษาไม่มีวันจบสิ้น [/size][/size][/size][/size][/size][/size][/size][/size][/size][/size][/size][/size][/size]
คนนี้เป็นอีกคนหนึ่งที่แสดงตนเป็นผู้รู้ แต่บอกว่ารู็แต่ไม่อธิบายให้รู้
เจ๊ปวดตับ.......เหนื่อยกับปากและความคิดของทุกๆคน ว่างก็ไม่เรียนหนังสือหนังหาเถอะลูก
ไม่อยากเรียนก็ไปทำมาหากินให้มันเกิดประโยชน์

ถ้าวันนี้ได้นิพพานแต่ชีวิตไม่ได้ทำสิ่งดีๆให้สมกับเกิดมา
ไม่ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ก็เชิญนิพพานไปคนเดียวเลยลูกกกก


ถ้ากลับเข้ามาอ่านก็มาอธิบายให้เจ๊ฟังโดยละเอียด

สวัสดีครับ

*** เรื่องญาณ16 นี้เป็นเรื่องยาก อยู่ 2 อย่างครับ  อย่างที่ 1 การศึกษาให้รู้ให้เข้าใจ อย่างที่ 2  ก็คือ การปฏิบัติจนเข้าถึง หรือ  การรู้ญาณ  การเข้าถึงญาณ  แต่ทางทฤษฎีการเรียนรู้เรื่องญาณ 16  คิดว่าคงไม่ยากนัก  แต่การเข้าถึงนี่ซิครับ แม้แต่ญาณที่ 1 ชื่อว่านามรูปปริจเฉทญาณ นับว่ายากที่สุดสำหรับนักปฏิบัติใหม่ ๆ ครับ มันต้องอาศัยปัญญาบารมีมามากด้วย  เป็นไตรเหตุ  เป็นญาณสัมปยุตตด้วย เอาอย่างกลาง ๆ เพื่อบุคคลที่เป็นทวิเหตุและมีศัทธากันบ้างดีไหมครับ  มาว่ากันปริยัติ กึ่งการปฏิบัติ  หรือปนกันไปทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ  หรือทฤษฎีแนวปฏิบัต โดยไม่ขัดกัน เป็นปัจจัยกัน อย่างเช่นสติปัฏฐาน 4  วิสุทธิ 7 เป็นต้น สัมพันธ์สอดคล้องกัน  เพราะกระผมคิว่าปัจจุบันสื่อทางธรรมหาได้ง่าย แต่จะให้ธรรมสอดคล้องเป็นปัจจัยกันให้เกิด วิปัสสนาญาณ นั้น ต้องผ่านการทำงานที่ถูกต้องตามแนวสติปัฏฐาน  โดยเฉพาะต้องมีเสนาสนะที่เป็นสปายะเป็นต้น หรือในปัจจุบันสำนักปฏิบัติธรรม ที่เป็นสำนักวิปัสสนาจริงๆ นะครับ ก็ค่อนข้างหายาก

***  ... ถ้ามีโอกาส ผมจะค้นหาชื่อสำนักวิปัสสนา มาให้สมาชิกและท่านผู้สนใจได้ศึกษาเลือกเข้าปฏิบัติกันในจังหวัดของท่านเองด้วย  ทั้งที่ในอดีตที่ผ่านมา และในปัจจุบัน  ที่ยังจะตั้งอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ  ในประเทศไทยเรา  แต่บางสำนักเปลียน
แปลงไปแล้วกลายเป็นสอนสมาธิไปครับ แต่นั่นก็ตามกาลเวลาครับ  ถ้าท่านได้เข้าใจเรื่องวิปัสสนาแล้วท่านเลือกปฏิบัติที่ไหนก็ได้ ให้พบธัมมสปายะนั้นยากครับ  ...

***  วันนี้ขอสวัสดีก่อน นะครับ... พิศร   ครับ   :idea:

๑. นามรูปปริจเฉทญาณ

ปริยัติธรรม
(ขอใช้ พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ของพระเทพเวที (ปัจจุบัน พระธรรมปิฎก) ประยุทธ์ ปยุตโต เป็นหลัก เนื่องจากท่านผู้นี้เป็นบัณฑิตเอกทางปริยัติธรรมในยุคปัจจุบัน ซึ่งวงการศึกษายกย่องว่าเป็นเอกในยุครัตนโกสินทร์) ระบุว่านามรูปปริจเฉทญาณคือญาณกำหนดจำแนกรู้นามและรูป คือรู้ว่าสิ่งทั้งหลายมีแต่รูปธรรมและนามธรรม และกำหนดแยกได้ว่า อะไรเป็นรูปธรรม และอะไรเป็นนามธรรม

ความรู้จากการปฏิบัติ
ผู้แรกปฏิบัติจะต้องมีเครื่องระลึกของสติ ซึ่งจะเป็นรูปหรือนามก็ได้ เช่น กำหนดพองยุบ (รูป) กำหนดลมหายใจ (รูป) กำหนดอิริยาบถยืน-เดิน-นั่ง-นอน (รูป) กำหนดสุข-ทุกข์ (นาม) กำหนดกุศล-อกุศล (นาม) เป็นต้น ผู้ปฏิบัติจะต้องจำแนกให้ได้ว่า รูปก็ดี นามก็ดีที่กำลังระลึกรู้ในปัจจุบันนั้น เป็นเพียงอารมณ์ที่ถูกจิตรู้ ตัวจิตผู้รู้อยู่ต่างหาก หากยังแยกจิตกับอารมณ์ปรมัตถ์ หรือผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ไม่ได้ ยังไม่จัดเป็นวิปัสสนาญาณ แต่เป็นเพียงการทำสมถะเท่านั้น
ผลอันเกิดจากการทำสมถะคือนิมิต เช่น เห็นตัวเองนั่งอยู่ข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง มันเป็นนิมิตทั้งสิ้น ซึ่งสามารถรู้เห็นได้เพราะกำลังสมถะ ไม่ใช่เพราะอำนาจของญาณเครื่องรู้อันวิเศษที่เราซักล้างด้วยอินทรีย์สังวรศีล หรือด้วยน้ำใจอันบริสุทธิ์สะอาดของเราแต่อย่างใด เพียงจิตสงบเล็กน้อยก็เห็นได้แล้ว แต่บางคนแม้จะสงบเท่าใดก็ไม่เห็น ซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญแต่อย่างใด


๒. ปัจจยปริคคหญาณ

ปริยัติธรรม
ญาณกำหนดรู้ปัจจัยของรูปนาม คือรู้ว่ารูปนามทั้งหลายเกิดจากเหตุปัจจัยและเป็นปัจจัยแก่กัน อาศัยกัน โดยรู้ตามแนว ปฏิจจสมุปบาทก็ดี ตามแนวกฎแห่งกรรมก็ดี ตามแนววัฏฏะ ๓ ก็ดี

ความรู้จากการปฏิบัติ
คือความหยั่งรู้ของจิตที่เห็นว่า เหตุปัจจัยของรูปนามคือวิญญาณ (ความรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) สมดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนอย่างแจ้งชัดว่า "วิญญาณ ปัจจยา นามรูปัง" คือวิญญาณเป็นปัจจัยของนามรูป
กล่าวคือเมื่อเราเจริญสติสัมปชัญญะ โดยมีสติระลึกรู้ปัจจุบันอารมณ์ที่เป็นรูปหรือนามก็ตาม เราจะค่อยๆ เรียนรู้ว่า แท้จริงแล้วรูปนามปรากฏขึ้นได้เป็นคราวๆ ก็เพราะจิตส่งออกไปรู้มันเข้า โดยวิญญาณหยั่งเข้าที่รูป รูปก็ปรากฏ วิญญาณหยั่งเข้าที่นาม นามก็ปรากฏ หากวิญญาณไม่หยั่งลง สิ่งนั้นก็ไม่ปรากฏมาสู่ภูมิความรับรู้ของจิต เช่น ในขณะที่อ่านหนังสืออยู่นั้น เราเห็นตัวหนังสือ สลับกับการรู้ความหมายของมัน เพราะเรามีวิญญาณทางตาและวิญญาณทางใจ แต่ในขณะนั้นเราไม่ได้ยินเสียงเพลงจากวิทยุ เพราะเราไม่มีวิญญาณทางหู เสียงจึงไม่ปรากฏทั้งๆ ที่มีเสียงอยู่ เราจะรู้ความจริงว่า รูปนามเป็นของแยกต่างหากจากจิตชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะเห็นชัดว่า รูปนามปรากฏได้เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย
นอกจากนี้ยังจะเห็นอีกว่า รูปเป็นปัจจัยของนามก็ได้ นามเป็นปัจจัยของรูปก็ได้ รูปนามต่างก็อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นคราวๆ ได้


๓. สัมมสนญาณ

ปริยัติธรรม
ญาณกำหนดรู้ด้วยพิจารณาเห็นนามและรูปโดยไตรลักษณ์ คือยกรูปธรรมและนามธรรมทั้งหลายขึ้นพิจารณาโดยเห็นตามลักษณะที่เป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน

ความรู้จากการปฏิบัติ
สัมมสนญาณ เป็นสภาวะต่อเนื่องจากปัจจยปริคคหญาณ คือเมื่อเราเห็นว่านามรูปมีวิญญาณ (ความรับรู้) เป็นปัจจัยให้มันปรากฏและนามรูปต่างก็เป็นปัจจัยแก่กันและกัน เมื่อเจริญสติสัมปชัญญะมากขึ้น จิตจะเห็นความจริงชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยสัมมสนญาณว่า ทั้งรูปและนามล้วนแต่ปรากฏเป็นคราวๆ ถ้าจิตไม่ไปรู้มันเข้า มันก็ไม่ปรากฏ และสิ่งที่ปรากฏนั้นมันตกอยู่ใต้กฎของไตรลักษณ์ คือมันไม่เที่ยง (อนิจจัง) และเป็นของที่ทนอยู่ได้ชั่วขณะแล้วก็ดับหรือเปลี่ยนสภาพไป (ทุกขัง) ทั้งนี้เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน และสิ่งที่ปรากฏให้จิตรู้นั้น เป็นของภายนอกที่ถูกรู้ ไม่ใช่ตัวเราหรือของเรา(อนัตตา) ความรู้เหล่านี้เป็นเรื่องของปัญญาล้วนๆ ไม่มีอาการของสมถะเข้ามาปะปนเลย


๔. อุทยัพพยญาณ

ปริยัติธรรม
ญาณอันตามเห็นความเกิดและความดับ คือพิจารณาความเกิดขึ้นและดับไปแห่งขันธ์ จนเห็นชัดว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นครั้นแล้วก็ต้องดับไป ล้วนเกิดขึ้นแล้วดับไปทั้งหมด ในตำราอื่นๆ กล่าวถึงอุทยัพพยญาณว่ามี ๒ ระดับคือ
(๑)       ตรุณอุทยัพพยญาณ เป็นญาณอย่างอ่อน และหากดำเนินผิดพลาดจะเกิดวิปัสสนูปกิเลส และ
(๒)       พลวอุทยัพพยญาณ เป็นญาณเห็นความเกิดดับที่มีความเข้มแข็ง พ้นจากวิปัสสนูปกิเลส

ความรู้จากการปฏิบัติ
ในทางปฏิบัติจะสอดคล้องกับปริยัติธรรม คือญาณนี้จำแนกเป็น ๒ ช่วงตอน ได้แก่
ตรุณอุทยัพพยญาณ ญาณช่วงนี้เป็นอุทยัพพยญาณขั้นเริ่มต้น ได้แก่ การมีสัมปชัญญะคือความรู้ตัว และมีสติระลึกรู้อารมณ์ปรมัตถ์คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสทางกายและธรรมารมณ์(ความคิดนึกปรุงแต่งต่างๆ) เช่น รู้รูปนั่ง รูปเดิน รูปยุบ รูปพอง และรู้ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ตามสัญญาอารมณ์ เช่น ความสุขความทุกข์ กุศลอกุศล เป็นต้น ผู้ปฏิบัติจะเห็นว่าอารมณ์ที่ถูกรู้ทั้งปวงนั้นเกิดดับสืบต่อกันไปเรื่อยๆ ในขั้นนี้หากสัมปชัญญะคือความรู้ตัวอ่อนลง จิตจะไหลตามสติไปเกาะอยู่กับอารมณ์ที่จิตรู้ เช่น กำลังเดินจงกรม จิตก็ไปอยู่ที่เท้า กำลังเคลื่อนไหวมือ จิตก็ไปอยู่ที่มือ กำลังระลึกรู้จิต จิตก็ไปเพ่งอยู่กับความนิ่งว่าง ฯลฯ สภาพนี้คือจิตพลิกจากการทำวิปัสสนาซึ่งต้องประกอบด้วยความรู้ตัวไม่หลงตามอารมณ์ ไปเป็นสมถะคือการที่จิตหลงตามสติไปเกาะอยู่กับอารมณ์อันเดียว ในขั้นนี้หากสิ่งใดปรากฏขึ้น เช่น เกิดแสงสว่าง เกิดปัญญาแตกฉาน เกิดญาณพิเศษต่างๆ เกิดการตั้งสติแข็งกล้าจนอึดอัด ฯลฯ ผู้ปฏิบัติจะเกิดสำคัญมั่นหมายว่า สิ่งที่เกิดนั้นเป็นของดีของวิเศษ เกิดมานะอัตตารุนแรงนั่นคือวิปัสสนูปกิเลส
พลวอุทยัพพยญาณ เป็นอุทยัพพยญาณที่มีกำลังเข้มแข็ง คือแทนที่ผู้ปฏิบัติจะหลงดูแต่อารมณ์หยาบๆ เช่น รูปนั่ง รูปเดิน หรือความคิดนึกปรุงแต่งต่างๆ ผู้ปฏิบัติที่มีกำลังของสัมปชัญญะและสติปัญญามากขึ้น สามารถดูเข้าไปถึงปฏิกิริยาของจิตที่เกิดขึ้นเมื่อจิตไปรู้อารมณ์ต่างๆ เช่น ในขณะที่เดินจงกรมเกิดความรู้สึกตัวเบา แทนที่สติจะรู้แค่ว่าเดินและตัวเบา สติกลับเห็นลึกซึ้งต่อไปว่า ในขณะนั้นจิตมีความเบิกบาน เพลิดเพลินยินดีมีราคะที่ตัวเบาสบาย และมีตัณหาอยากให้ตัวเบาอยู่อย่างนั้นนานๆ หรือรู้อารมณ์อยู่ จิตเกิดอึดอัด สติก็รู้ว่าจิตไม่ชอบใจหรือมีโทสะต่อความอึดอัด และจิตมีตัณหาคืออยากให้หายจากความอึดอัด หรือในขณะนั้นความจำ (สัญญา) เกี่ยวกับลูกเกิดขึ้น แล้วจิตคิดกลุ้มใจไปต่างๆ นานาๆ สติปัญญาก็กล้าแข็งพอที่จะเห็นว่า จิตส่งออกไปเกาะเกี่ยวพัวพันเรื่องลูก จิตเป็นทุกข์ไม่สบาย เห็นโทสะที่เกิดขึ้น และเห็นความอยากจะให้ความทุกข์ดับไป หรือขณะนั้นนั่งดูจิตเห็นว่างๆ ประเดี๋ยวความคิดผุดขึ้นไม่ว่างเสียแล้ว เดี๋ยวคิดดี เดี๋ยวคิดร้าย เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ และเห็นปฏิกิริยาของจิตต่ออารมณ์ที่จิตไปรู้เข้า เป็นราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง เป็นบุญบ้าง เป็นกลางๆบ้าง สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปไม่ขาดสาย นี่เป็นอุทยัพพยญาณที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น อีกชั้นหนึ่ง คือเปลี่ยนจากการเห็นสิ่งที่มากระทบ เป็นการเห็นปฏิกิริยาของจิตต่อสิ่งที่มากระทบนั้น และเป็นขั้นที่วิปัสสนูปกิเลสแผ้วพานไม่ได้ เพราะจิตฉลาดรู้เท่าทันกลมายาของกิเลส เนื่องจากอ่านจิตใจของตนเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


๕. ภังคญาณ

ปริยัติธรรม
ญาณอันตามเห็นความสลาย คือเมื่อเห็นความเกิดดับแล้ว คำนึงเด่นชัดในส่วนความดับอันเป็นจุดจบสิ้น ก็เห็นว่าสังขารทั้งปวงล้วนจะต้องสลายไปทั้งหมด

ความรู้จากการปฏิบัติ
เมื่อเห็นอารมณ์เกิดดับบ่อยเข้า และเห็นปฏิกิริยาของจิตต่ออารมณ์บ่อยเข้า ผู้ปฏิบัติที่มีสติสัมปชัญญะเข้มแข็งจะพบว่า เมื่อจิตเกิดปฏิกิริยาใดๆ ต่ออารมณ์เพียงแวบเดียว พอรู้ทัน ปฏิกิริยานั้นก็จะดับไปทันที เช่น กำลังรู้ตัวอยู่ ได้ยินเสียงลูกร้องไห้เสียงดัง จิตมีปฏิกิริยาต่อเสียงคือเกิดความโกรธผ่านแวบเข้ามา สติรู้ทันความโกรธที่กำลังปรากฏ จิตไม่เผลอไปตามความโกรธ ความโกรธจะดับวับไปต่อหน้าต่อตาทันที แม้อารมณ์อื่นเกิดแล้วพอรู้ก็ดับเช่นกัน จิต จะกลับเข้าสู่สภาวะดั้งเดิมคือเป็นกลางและรู้ตัว จะขาดความรู้ตัวไม่ได้เลย
สภาวะที่เห็นปฏิกิริยาของจิตต่ออารมณ์ขาดหายไปต่อหน้าต่อตานั้นคือภังคญาณ ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า อารมณ์ภายนอกที่มากระทบนั้น มันเกิดดับไปตามเหตุปัจจัยภายนอก เช่น ลูกร้องไห้ เราก็ได้ยินเสียงร้องไห้ จะห้ามไม่ให้ได้ยินไม่ได้ สิ่งที่เราแก้ไขได้ก็คือ เมื่อเราได้ยินเสียงนั้นแล้ว หากจิตไม่เป็นกลาง เช่น เกิดโกรธหรือเกิดห่วงใย สติจะรู้ทันอย่างว่องไว แล้วปฏิกิริยาของจิต เช่น ความโกรธหรือความห่วงใยจะดับไป จิตกลับเข้าสู่ความเป็นกลางดังเดิม


๖. ภยญาณ

ปริยัติธรรม
ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว คือเมื่อพิจารณาเห็นความแตกสลายอันมีทั่วไปแก่ทุกสิ่งนั้นแล้ว สังขารทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นไปในภพใดคติใด ก็ปรากฏเป็นของน่ากลัว เพราะล้วนแต่จะต้องสลายไปไม่ปลอดภัยทั้งสิ้น

ความรู้จากการปฏิบัติ
ผู้ปฏิบัติจะพบว่า ไม่ว่าอารมณ์ชนิดใดเกิดขึ้น จะเป็นอารมณ์ภายนอก เช่น รูปและเสียง หรืออารมณ์ภายใน เช่น ความสุขและความทุกข์ ความดีและความชั่ว ความฟุ้งซ่านและความสงบ อันเป็นปฏิกิริยาของจิตต่อสิ่งที่มากระทบก็ตาม ก็ล้วนแต่จะต้องดับไปทั้งสิ้น แม้กระทั่งอารมณ์ที่ละเอียดประณีต เช่น ฌานสมาบัติ แม้กระทั่งความว่างของจิต ก็ยังเป็นของไม่เที่ยง อันแสดงว่าภพชาติทั้งปวงเป็นของไม่เที่ยง พึ่งพาอาศัยถาวรไม่ได้ (ภพก็คือสภาพที่จิตเกาะเกี่ยวอารมณ์อันใดอันหนึ่ง ถ้าเกาะอารมณ์ละเอียดก็เป็นภพละเอียด เช่น เทวดาและพรหม ถ้าเกาะภพหยาบก็เป็นสัตว์ในอบายภูมิ มีความทุกข์ความเร่าร้อนมาก) ผู้ปฏิบัติไม่ได้เกิดความกลัวตายเพราะความรักตัวกลัวตาย แต่กลัวเกิดเพราะเห็นว่าไม่ว่าเกิดเป็นอะไรก็ต้องทนทุกข์เวียนว่ายไม่รู้จบสิ้น


๗. อาทีนวญาณ

ปริยัติธรรม
ญาณอันคำนึงเห็นโทษ คือเมื่อพิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงซึ่งล้วนต้องแตกสลายไป เป็นของน่ากลัวไม่ปลอดภัยทั้งสิ้นแล้ว ย่อมคำนึงเห็นสังขารทั้งปวงนั้นว่าเป็นโทษ เป็นสิ่งที่มีความบกพร่องจะต้องระคนอยู่ด้วยทุกข์

ความรู้จากการปฏิบัติ
เป็นปัญญาของจิตที่เห็นว่าภพทั้งปวงเป็นที่พึ่งอาศัยไม่ได้ ภพทั้งปวงล้วนแล้วแต่มีความทุกข์ระคนอยู่เสมอ ไม่ว่าภพหยาบหรือละเอียด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือทุกข์ สิ่งที่ดับไปก็คือทุกข์ นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ มันเป็นปัญญาเห็นความจริงของภพทั้งปวง หรืออารมณ์ทั้งปวงนั่นเอง


๘. นิพพิทาญาณ

ปริยัติธรรม
ญาณอันคำนึงเห็นด้วยความหน่ายคือเมื่อพิจารณาเห็นสังขาร(ความปรุงแต่งต่างๆ) ว่าเป็นโทษแล้ว ย่อมเกิดความหน่ายไม่เพลิดเพลินติดใจ

ความรู้จากการปฏิบัติ
นิพพิทาญาณไม่ใช่อารมณ์เบื่อแบบโลกๆ แต่มันเป็นสภาพที่จิตหมดความเพลิดเพลินมัวเมาในภพหรืออารมณ์ต่างๆ เพราะเห็นจริงแล้วว่าภพทั้งปวงเจือระคนด้วยทุกข์โทษ ในขณะที่คนทั่วไปเพลิดเพลินมัวเมาในภพ คือจิตมีเยื่อใยยึดเกาะรุนแรงในอารมณ์ทั้งปวงที่จรมา

๙. มุญจิตุกัมยตาญาณ

ปริยัติธรรม
ญาณอันคำนึงด้วยความใคร่จะพ้นไปเสีย คือเมื่อหน่ายสังขารทั้งหลาย แล้วย่อมปรารถนาที่จะพ้นไปจากสังขารเหล่านั้น

ความรู้จากการปฏิบัติ
ญาณนี้เป็นปัญญาที่เมื่อหมดความเพลิดเพลินในอารมณ์ต่างๆแล้ว จิตจะมีปฏิกิริยาอยากจะข้ามพ้นภพชาติทั้งปวง คืออยากพ้นจากอารมณ์อย่างสิ้นเชิง จิตจะมีความเพียรพยายามค้นคว้าพิจารณา เพื่อพ้นเด็ดขาดจากอารมณ์ แต่ก็สามารถพ้นได้ชั่วคราว พออารมณ์หนึ่งแก้ไขได้ ก็มีอารมณ์ใหม่มาให้พิจารณาแก้ไขอีก เป็นช่วงที่จิตหมุนตัวติ้วๆ เพื่อหาทางออกจากภพ


๑๐. ปฏิสังขาญาณ

ปริยัติธรรม
ญาณอันคำนึงพิจารณาหาทาง คือเมื่อต้องการพ้นไปเสีย จึงกลับมายกเอาสังขารทั้งหลายทั้งปวงขึ้นมาพิจารณากำหนดด้วยไตรลักษณ์ เพื่อมองหาอุบายที่จะปลดเปลื้องออกไป

ความรู้จากการปฏิบัติ
เมื่อจิตค้นคว้าพิจารณาที่จะออกจากภพหรือพ้นจากอารมณ์ปรุงแต่งด้วยอุบายต่างๆ มากมาย แต่ไม่สามารถพ้นไปได้ จิตจะค่อยๆ สังเกตเห็นว่า เราไม่สามารถดับอารมณ์ทั้งปวงได้ ตราบใดที่มันมีเหตุ มันก็ต้องเกิด เมื่อหมดเหตุมันก็ดับ อารมณ์ทั้งปวงหมุนเวียนเกิดดับไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา นั่นคือการเริ่มเห็นว่า อารมณ์ต่างๆ ไม่เที่ยง เป็นของทนอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ตัวเราของเรา ไม่อยู่ในบังคับบัญชา ซึ่งก็คือเห็นไตรลักษณ์นั่นเอง


๑๑. สังขารุเบกขาญาณ

ปริยัติธรรม
ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร คือเมื่อพิจารณาสังขารต่อไป ย่อมเกิดความรู้เห็นสภาวะของสังขารตามความเป็นจริง ว่ามีความเป็นอยู่เป็นไปของมันอย่างนั้นเป็นธรรมดา จึงวางใจเป็นกลางได้ ไม่ยินดียินร้ายในสังขารทั้งหลาย แต่นั้นมองเห็นนิพพานเป็นสันติบท ญาณจึงแล่นมุ่งไปยังนิพพาน เลิกละความเกาะเกี่ยวกับสังขารเสียได้

ความรู้จากการปฏิบัติ
เมื่อจิตพิจารณาเห็นว่าอารมณ์เป็นไตรลักษณ์ จิตจะรู้ความเกิดดับของอารมณ์ด้วยความเป็นกลางไม่ยินดียินร้าย สติ สมาธิ ปัญญา ก็จะเข้มแข็งขึ้นตามลำดับ แต่ในขั้นนี้คงเห็นว่าอารมณ์เป็นไตรลักษณ์เท่านั้น แต่ตัวจิตเองยังรู้สึกเป็นตัวตนของตน ไม่เห็นเป็นไตรลักษณ์ไปด้วย
ญาณนี้เป็นญาณที่สำคัญมาก หากจิตของผู้ปฏิบัติมีสัมปชัญญะคือรู้ตัว มีสัมมาสมาธิคือเป็นกลางและตั้งมั่น ไม่เผลอเลื่อนไหลไปตามอารมณ์ มีสติระลึกรู้ปัจจุบันอารมณ์ที่กำลังปรากฏตามที่มันเป็นจริง จิตจะเห็นอารมณ์ทั้งปวงผ่านมาแล้วผ่านไป เหมือนนั่งอยู่บนฝั่งน้ำเห็นสิ่งของลอยตามน้ำมา เป็นของดีของสวย เช่น ดอกไม้บ้าง ของสกปรก เช่น สุนัขเน่าบ้าง แต่จิตก็เป็นกลางระหว่างทั้ง ๒ สิ่งนั้น ไม่ยินดีกับดอกไม้ ไม่ยินร้ายกับสุนัขเน่า จิตรู้ว่าดอกไม้ลอยมาแล้วก็ต้องลอยไป สุนัขเน่าลอยมาแล้วก็ต้องลอยไป ไม่มีความอยากเจือปนว่า อยากให้ดอกไม้ลอยมาอีก หรือไม่อยากให้ดอกไม้ลอยตามน้ำไป แม้ความไม่อยากให้สุนัขลอยมาอีก หรือลอยมาแล้วอยากให้รีบลอยพ้นๆ ไป ก็ไม่มีเช่นกัน
นี่คือสภาวะของการเจริญมหาสติปัฏฐานที่แท้จริง มันเกิดขึ้นโดยไม่ต้องข่มบังคับจิตให้เป็นกลาง ญาณนี้เป็นทางแยก ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิจะก้าวล่วงเข้าสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ ส่วนผู้ที่ปรารถนาสาวกภูมิ จิตจะดำเนินพัฒนาต่อไป


๑๒. อนุโลมญาณ

ปริยัติธรรม
ญาณอันเป็นไปโดยอนุโลมแก่การหยั่งรู้อริยสัจจ์ คือการวางใจเป็นกลางต่อสังขารทั้งหลาย ไม่พะวง และญาณแล่นตรงไปสู่นิพพานแล้ว ญาณอันคล้อยต่อการรู้อริยสัจจ์ ย่อมเกิดขึ้นในลำดับถัดไปเป็นขั้นสุดท้ายของวิปัสสนาญาณ

ความรู้จากการปฏิบัติ
อนุโลมญาณนั้นเป็นสภาวะสืบต่อจากสังขารุเบกขาญาณ คือเมื่อจิตเป็นกลางรู้สังขารหรืออารมณ์ที่เกิดดับต่อเนื่องเฉพาะหน้าตามความเป็นจริงแล้ว จิตจะมาถึงอนุโลมญาณ โดย จิตจะรวมลงสู่ภวังค์ เมื่อจิตไหวตัวขึ้นรู้อารมณ์ทางใจแล้ว จะเกิดอนุโลมญาณสืบเนื่องกันเป็นช่วงสั้นๆ คือหมดความดิ้นรนที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานเพื่อให้พ้นจากอารมณ์ทั้งปวง สิ่งใดจะเกิดมันก็เกิด สิ่งใดจะดับมันก็ดับ ความอยากพ้นจากความเกิดดับไม่มีเลย มีแต่การอนุโลมยอมรับสภาพว่า สิ่งทั้งหลายเมื่อมีเหตุมันก็เกิด เมื่อหมดเหตุมันก็ดับ เป็นสภาพที่จิตคล้อยตามต่ออริยสัจจ์นั่นเอง จิตตรงนี้ขจัดโมหะได้ แต่ยังไม่เห็นพระนิพพาน


๑๓. โคตรภูญาณ

ปริยัติธรรม
ญาณครอบโคตรคือความหยั่งรู้ที่เป็นหัวต่อแห่งการข้ามพ้นจากภาวะปุถุชนเข้าสู้ภาวะอริยบุคคคล

ความรู้จากการปฏิบัติ
ถึงขั้นนี้คำสอนทางปริยัติธรรมเข้าไม่ถึงเสียแล้ว จึงไม่สามารถจำแนกอธิบายลักษณาการของโคตรภูญาณได้
โคตรภูญาณเป็นญาณหยั่งรู้ว่า ขณะนั้นกระแสจิตที่ส่งออกนอกไประลึกรู้อารมณ์จะปล่อยวางอารมณ์แล้วถอยย้อนคืนเข้าหาตัวจิตผู้รู้ มันไม่ได้เกาะเกี่ยวกับอารมณ์จึงไม่อาจจัดเป็นโลกียญาณ และไม่ได้เข้าถึงธาตุรู้อันบริสุทธิ์แท้จริง จึงไม่ใช่โลกุตรญาณ แต่เป็นรอยต่อตรงกลางนั่นเอง ขณะนั้นสติสัมปชัญญะจะแจ่มใสตลอด เพียงแต่จิตจะดำเนินวิปัสสนาอยู่ในฌานเท่านั้น


๑๔. มัคคญาณ

ปริยัติธรรม
ญาณหยั่งรู้ในอริยมัคค์ คือความหยั่งรู้ที่ให้สำเร็จภาวะอริยบุคคลแต่ละขั้น

ความรู้จากการปฏิบัติ
เมื่อสติซึ่งเคยระลึกรู้อารมณ์ย้อนตามโคตรภูญาณเข้ามาระลึกรู้จิตผู้รู้ ซึ่งตัวจิตผู้รู้เองก็มีสัมปชัญญะอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสติ ทั้งสัมปชัญญะ ทั้งกุศลธรรมฝ่ายการตรัสรู้ทั้งปวงที่รวมเรียกว่าโพธิปักขิยธรรม ประชุมรวมลงที่จิตผู้รู้ดวงเดียว ในขณะนั้นมโนวิญญาณที่ห่อหุ้มธาตุรู้ถูกกำลังของมรรคหรือมัคคสมังคีแหวกออก ธาตุรู้ซึ่งถูกห่อหุ้มมานับกัปป์กัลป์ไม่ถ้วนก็ปรากฏตัวขึ้นมา สภาพที่มัคคสมังคีแหวกมโนวิญญาณอันนั้นเกิดในขณะจิตเดียว บางคนตามรู้ได้ บางคนตามรู้ไม่ทันเพราะปัญญาอบรมมาได้ไม่เท่ากัน


๑๕. ผลญาณ

ปริยัติธรรม
ญาณในอริยผล คือความหยั่งรู้ที่เป็นผลสำเร็จของพระอริยบุคคลขั้นนั้นๆ

ความรู้จากการปฏิบัติ
เมื่อมโนวิญญาณถูกแหวกออกแล้ว ธรรมชาติอันบริสุทธิ์แท้จริงก็ปรากฏขึ้น มันไม่มีรูปร่างตัวตนใดๆทั้งสิ้น ปรากฏเป็นแสงสว่าง ว่างบริสุทธิ์ เป็นตัวของตัวเอง จิตในขณะนั้นมีอาการเบิกบานร่าเริงโดยปราศจากอารมณ์ปรุงแต่ง


๑๖. ปัจจเวกขณญาณ

ปริยัติธรรม
ญาณหยั่งรู้ด้วยการพิจารณาทบทวน คือสำรวจรู้มรรคผลและกิเลสที่ละแล้ว กิเลสที่เหลืออยู่ และนิพพาน

ความรู้จากการปฏิบัติ
ในขณะที่บังเกิดมรรคผลนั้น ปราศจากความคิดมีแต่ความรู้ เมื่อมัคคญาณยังไม่ถึงขั้นอรหัตมัคค์ ย่อมมีกำลังไม่มากพอที่จะส่งผลให้จิตหลุดพ้นได้ถาวร แต่จะปรากฏเพียงเล็กน้อย ๒-๓ ขณะก็จะถูกมโนวิญญาณกลับเข้ามาห่อหุ้มปกคลุมอีก เมื่อสัญญาเกิดขึ้นแล้ว ผู้ปฏิบัติจะคิดนึกได้และรู้ชัดว่า อ้อ สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นต้องดับไป พระพุทธเจ้ามีจริง ทรงสอนธรรมเป็นของจริง ปฏิบัติแล้วหลุดพ้นได้จริง ผู้ปฏิบัติสามารถหลุดพ้นเป็นอริยสาวกตามพระองค์ได้จริง จะรู้ชัดว่าความเป็นตัวตนไม่มีอยู่จริง โดยเฉพาะจะเห็นชัดว่าจิตไม่ใช่ตัวเรา ความเป็นตัวเราหรือสักกายทิฏฐิเกิดจากสังขารหรือความคิดเข้ามาปรุงแต่งหลอกลวงจิตเท่านั้น จะหมดความลังเลสงสัยในพระศาสนาสิ้นเชิง ไม่มีทางปฏิบัตินอกลู่นอกทางใดๆ ได้อีก กล่าวโดยย่อ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และ สีลัพพตปรามาส เป็นอันหมดไปเด็ดขาด กิเลสในจิตใจเหลือมากน้อยเพียงใดก็รู้ชัดในใจตนเอง

บทสรุปเกี่ยวกับโสฬสญาณ
โสฬสญาณเป็นพัฒนาการทางปัญญาของจิตที่เจริญสติและ สัมปชัญญะอย่างถูกต้อง มีความต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ โดยเริ่มตั้งแต่

- การรู้จักจำแนกรูปและนาม อันเป็นสิ่งที่ถูกรู้หรือเป็นอารมณ์เครื่องระลึกของสติออกจากจิตผู้รู้ (ญาณ ๑)

- รู้ว่ารูปหรือนามปรากฏเป็นคราวๆ เมื่อจิตไปรู้มันเข้า (ญาณ ๒)

- รู้ว่ารูปนามทั้งปวงนั้นปรากฏเป็นคราวๆ เมื่อถูกรู้ และรูปนามทั้งปวงนั้นล้วนหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ตกอยู่ใต้กฎของไตรลักษณ์ (ญาณ ๓)

- รู้ว่ารูปนาม และปฏิกิริยาของจิตต่อรูปนามที่จิตไปรู้เข้า ล้วนแต่เกิดดับต่อเนื่องกันไป (ญาณ ๔)

- ต่อมาพอจิตมีปฏิกิริยาใดๆ ต่อสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ถ้าสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ปฏิกิริยานั้นจะดับไปทันที (ญาณ ๕)

- ผู้ปฏิบัติจะเห็นว่า ภพชาติทั้งปวง อันหมายถึงการที่จิตเข้าไปอิงอาศัยอารมณ์ต่างๆ นั้น เป็นของไม่ปลอดภัย เนื่องจากอารมณ์ทั้งปวงล้วนแต่เกิดดับ (ญาณ ๖)

- ในระหว่างที่อิงอาศัยอารมณ์นั้น จิตไม่ได้มีความสุขจริง เพราะภพชาติทั้งปวงล้วนแต่มีทุกข์มีโทษในตัวของมันเอง (ญาณ ๗)

- จิตคลายความเพลิดเพลินพึงพอใจในภพชาติต่างๆ (ญาณ ๘)

- จิตพยายามดิ้นรนแสวงหาทางออกจากภพหรือการตกอยู่ใต้อำนาจของอารมณ์ต่างๆ (ญาณ ๙)

- จิตพบว่าหนีจากอารมณ์หรือภพไม่ได้ เพราะมันไม่อยู่ในอำนาจบังคับของเรา จึงจำเป็นต้องอยู่กับมัน (ญาณ ๑๐)

- จิตเป็นกลางต่ออารมณ์ เพราะเห็นแล้วว่ามันเป็นของเกิดดับ และหนีมันไม่ได้ ยิ่งพยายามไปปฏิเสธมัน ยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้น จิตจึงไม่ปฏิเสธอารมณ์ เป็นกลางต่ออารมณ์ (ญาณ ๑๑)

- จิตปล่อยวางอะไรจะเกิดมันก็เกิด ไม่ได้ปรารถนาแม้กระทั่งมรรคผลนิพพาน (ญาณ ๑๒)

- เมื่อจิตหมดความอยาก (ไม่มีตัณหา - พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ละตัณหาอันเป็นตัวสมุทัย แล้วนิโรธจะปรากฏเอง) จิตก็ปล่อยวางอารมณ์ทั้งปวง ถอยเข้าหาจิตผู้รู้อย่างอัตโนมัติ (ญาณ ๑๓)

- สติ สมาธิ ปัญญา และธรรมฝ่ายการตรัสรู้ทั้งปวง รวมลงที่จิตดวงเดียวเป็นมรรคสมังคี กำลังของมรรคแหวกมโนวิญญาณซึ่งห่อหุ้มปิดบังธรรมชาติอันบริสุทธิ์ออก (ญาณ ๑๔)

- ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ปรากฏตัวขึ้น เป็นความว่าง สว่าง บริสุทธิ์ จิตหมดความปรุงแต่ง หมดการแสวงหา หมดกิริยาของจิต แต่ไม่ใช่หมดความรู้สึกอันเป็นการขาดสติสิ้นเชิง (ญาณ ๑๕)

- ต่อมาสัญญาเกิดขึ้น จิตจะรู้ว่า เมื่อครู่นั้นเกิดอะไรขึ้น รู้จักพระรัตนตรัยที่แท้จริง รู้แล้วว่าทางปฏิบัติที่ถูกต้องเป็นอย่างไร รู้ว่าสิ่งทั้งปวงเกิดขึ้นแล้วต้องดับไปทั้งสิ้น เป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อยังอยู่กับโลกก็ต้องอยู่อย่างสร้างเหตุดี เพื่อเอาผลของกรรมดีเป็นที่อาศัยอันสบาย (ญาณ ๑๖)

ตลอดสายของโสฬสญาณ ไม่มีเรื่องของนิมิตแปลกปลอมใดๆ เลย แต่ผู้ใดเจริญสติและสัมปชัญญะไม่ถูกต้อง หลงทำสมถะอยู่แล้วคิดว่าเป็นวิปัสสนา จะหลงไปเอานิมิตมาอธิบายเป็นวิปัสสนาญาณ และเห็นญาณต่างๆ ขาดจากกันเป็นท่อนๆ ไม่เห็นความสืบต่อเป็นสายโซ่ของญาณทั้ง ๑๖ ขั้นตอน

ที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ใช่มุ่งโจมตีผู้อื่น แต่เพราะสงสารหมู่เพื่อนผู้ปฏิบัติจะเกิดสำคัญผิดหลงทาง จึงเขียนเพื่อจะสะกิดใจให้คิดสักนิดว่า จะฝึกหัดปฏิบัติธรรมอย่าหลงเชื่ออาจารย์อย่างเดียว ให้รู้จักศึกษาไตร่ตรองให้รอบด้านและรอบคอบ สิ่งที่ผู้เขียนเขียนขึ้นนี้อาจจะไม่จริงหรืออาจจะจริงก็ได้ ไม่ได้ต้องการให้เชื่อ เพียงแต่อย่าหลงงมงายขาดเหตุผลเชื่ออาจารย์ไปข้างเดียว ถ้าผิดขึ้นมาจะเสียประโยชน์ของตนเอง ผู้เขียนไม่ได้เสียประโยชน์หรือได้ประโยชน์ใดๆ ด้วย
http://www.cdthamma.com/forums/index.php?topic=186.0 (http://www.cdthamma.com/forums/index.php?topic=186.0)



เจ๊ไม่ได้คิดจะปฏิบัติ ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ต้องการพิพพาน ญาณ เจ๊ะเฉยๆ
เพียงแต่เจ๊ เห็นว่ามันเป็นเรื่องเสียเวลา ทั้งคนตั้งกระทู้ คนตอบกระทู้ รวมถึงเจ๊ด้วย
ต่างคนต่างไปประกอบการงานของตัวเองให้ดี ทำดี ละก็เก็บไว้กะตัวไม่ต้องมาบอก
พ่อแม่กลับไปดูแล ไม่ใช่ยังไถตังอยู่แต่ปากบอกตัวเองได้ญาณ ต่อให้ได้จริงเจ๊ก็ไม่นับถือ
กลับไปคิดดู ว่าญาณที่ได้มานี้ ทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นอย่างไรบ้าง

ถ้าบอกมาทางธรรมว่าดีแต่ทางโลก สภาพย่ำแย่ ฐานะเหมือนเดิม ก็จบ
เจ๊แนะนำให้บวชซะ แต่ถ้าไม่บวชก็กลับไปทบทวนหน้าที่ของคฤหัสถ์ ให้มันทำให้ครบก่อนเถอะจ่ะ










หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: wondermay ที่ 17 มีนาคม 2555 10:40:57
             ในการที่คุณพูดมาทั้งหมดโดยยึดหลักทางพระพุทธศาสนานั้นมันถูกต้องอยู่ครับ แต่อย่ายึดความคิดของคุณเป็นใหญ่ หรือคิดว่าความคิดของคุณจะถูกต้องที่สุดซิครับ คุณไม่ใช่เจ้าของศาสนาซะหน่อย หรือว่าคุณมีศาสนาพุทธ นิกายใหม่ที่เป็นของตนเอง ผมในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนคนหนึ่งจะได้ไปฝึกในแนวทางของคุณดูบ้างคุณศาสดา Mckaforce
              ในการที่คุณเอาสื่อมาตีแผ่แบบนี้เป็นเรื่องที่ดีครับ(ขอให้ได้อานิสงผลบุญนั้นไป) แต่ที่มาพูดในด้านลบนี้ถือว่าผิดทั้งทางโลกและทางธรรม มันไม่ดี สิ่งที่ดีๆที่ชอบมีอีกเยอะ สิ่งที่ไม่ดีไม่ชอบก็มีอีกเยอะ แต่เก็บเอาไว้ในใจจะดีกว่าไหม ในกรณีนี้คุณพูดราวกับว่าคุณสามารถตัดสินได้ว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด สิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว เหมือนว่าคุณได้รู้แจ้งเห็นจริงแล้วในสัจธรรม แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง รบกวนช่วยมาบรรพชาอุปสมบทให้ผมได้ไหม อยากปฏิบัติในแนวทางหรือวิธีของคุณ และขอมอบกายถวายตัวและใจเพื่อเป็นศิษยานุศิษย์ของเกจิ Mckaforce ด้วยคนครับ
              ตามที่คุณได้ตีแผ่และว่าความมาบวกกับที่ผมได้ศึกษาและปฏิบัติมา ไม่ว่าที่ไหนนะครับ ทุกที่ล้วนมีแนวทางการปฏิบัติที่แตกต่างกันออกไป แต่จุดมุ่งหมายปลายทางหรือผลสำเร็จมันก็เหมือนกันทุกที่แหล่ะครับ พระพุทธเจ้าทรงได้สอนหรือบัญญัติไว้ไหมว่า การที่จะทำให้รู้แจ้งเห็นจริงมีวิธีหรือแนวทางในการปฏิบัติอย่างไร ไม่มีหรอกครับ ท่านได้สอนไว้เพียงว่า การที่จะบรรลุธรรมขั้นใดขั้นนึ่งนั้น ต้องทำให้จิตใจเราเกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ก่อน แต่ไม่ได้บอกวิธีปฏิบัติเอาไว้ซะหน่อย ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพนะครับ เมื่อเราหิวเราก็กินเพื่อให้อิ่ม แต่ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่า จะกินอะไรให้อิ่นและใช้อะไรกิน สมัยก่อนก็ใช้มือ สมัยนี้ก็ช้อนซ้อม ถ้าคนจีนก็ตะเกียบ คล้ายกับว่า อยากทำจิตใจให้สงบก็ต้องนั่งสมาธิ และวิธีการทำสมาธิก็มีตั้งหลายวิธี ถ้ายึดติดกับความคิดของคุณ ก็หมายความว่า เกิดคุณใช้ช้อนซ้อมกินข้าว คนในสมัยก่อนกับคนจีนก็ปฏิบัติผิดวิธีผิดหลัก เพราะเค้าดันไปใช้มือกับตะเกียบกิน ยังนั้นน่ะหรอ......
               แล้วสุดไม่ว่าจะใช้อะไรกิน หรือกินอะไร ผลลัพธ์มันก็คือต้องการให้ท้องอิ่มเหมือนกันนั่นแหล่ะครับท่านศาสดา ศาสนาใหม่ ราวกับว่า สำนักสงฆ์แต่ละสำนักก็มีวิธีฝึกต่างวิธีกันแต่เป้าหมายก็คือให้เข้าถึงสมาธิวิปัสนากัมมัฏฐาน บางสำนักก็ให้ภาวนา พุทโธบ้าง สัมมาอรหังบ้าง
                อีกอย่าง ในสมัยก่อน ครูบาอาจารย์หรือเกจิอาจารย์ทั้งหลายเคยได้มีบันทึกไว้ไหมว่าท่านสามารถบรรลุคุณธรรมขั้นหนึ่งขั้นใดได้อย่างไร ไม่มีหรอกครับ มีแต่เรื่องเล่าประวัติความเป็นมา เต็มที่ก็วิถีการปฏิบัติ แต่ท่านทั้งหลายนั้นก็ยังไม่ได้บอกไว้เหมือนกันว่าปฏิบัติแบบนี้แล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร นี่แหล่ะเป็นสิ่งที่ทำให้ครูบาอาจารย์รุ่นหลังๆ นำมาค้นหาค้นคว้าแล้ว(ย้ำ)นำมาปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริงก่อนที่นำมาสอนให้ศิษยานุศิษย์ลองปฏิบัติกันดู ใครจะทำตามก็ทำ ใครจะไม่ทำตามก็ไม่ต้องทำ ท่านเค้าไม่ได้บังคับ ชิมิ????
                  พอละ ขี้เกียจสาธยาย เมื่อยนิ้ว เอาเป็นว่า คิดให้ดีแล้วลงมือทำให้ดีที่สุด ดีไม่ดียังไงเรารู้คนเดียว แล้วเก็บไว้ในใจซะ อย่าได้ไปสอนหรือกล่าวอ้างว่ามันดีหรือไม่ดี ถูกหรือผิดอย่างไร

ปล. ผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
[/size][/size]

นี่อีกคน ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
แต่เนื้อความแสดงให้เห็นถึงความคิดความอ่าน กลับมาอ่านคำพูดตัวเองน๊ะจ๊ะ

ไม่ต้องไปกระทบกระทั่งใครหรอก ศาสดาไหนๆก็ช่าง เจ๊ไม่แคร์ so what?

เจ๊เชื่อในเหตุผล บนความจริง สิ่งที่จับต้องได้
ศาสดาตายไปแล้ว เหลือแต่คำสอนที่ผ่านกาลเวลามานาน ถูกเติมแต่งมากน้อยเราไม่รู้
แต่สิ่งที่เหนือกว่านั้นคือตนเอง ต้องการอะไร จะมองอะไร มองแบบไหน ตนเองตัดสินใจ
เจ๊พูดอีกที คิดอะไรเห็นดีอะไร เงียบเสีย ถ้าตนมองว่าดีแล้วก็ทำดีต่อไป
สิ่งดีๆก็จะชักนำสิ่งดีๆเข้ามา นอกเสียจากมันยังไม่มีอะไรดีขึ้น ก็กลับมาคิดนะจ๊ะว่าหลงผิดรึเปล่า

ทุกคนในนี้ มีทางของตัวเอง ในเมื่อรู้แล้วว่าตนมีเหตุผลที่เชื่อมั่น
และรู้แล้วว่าไม่สามารถจูงใจอีกฝ่าย ปล่อยเสีย อุเบกขา คงต้องใช้เสียที







หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: Band-Home-PC ที่ 17 มีนาคม 2555 16:18:48
อาเมนภันเต  ;D


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: Chick[ii]z ที่ 20 มีนาคม 2555 00:44:56
เสื่อมๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  (:FR:)

Logic ง่ายๆ คิดกันไม่เป็นรึยังไง  (:DA:)


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: ยังทุกข์ ที่ 20 มีนาคม 2555 05:20:37
อุเบกขา
บัวมีสี่เหล่า
เราไม่รู้หรอกเราเป็นเหล่าใด
อุเบกขา  มีเมตตาเป็นพุทธครับ  รักทุกคน


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 20 มีนาคม 2555 16:48:11
(http://www.mettajetovimuti.org/images/column_1308628273/nnn(1).jpg)

เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ
จิตฺตํ ราชรถูปมํ
ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ
นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ ฯ ๑๗๑ ฯ

สูเจ้าทั้งหลาย จงมาเถิดมาดูโลกนี้
อันวิจิตรพิสดาร เหมือนกับราชรถทรง
ณ ที่นี่แหละ เหล่าคนโง่พากันหมกมุ่นอยู่
แต่ผู้รู้หาติดข้องอยู่ไม่

Come you all and behold this world
Like an ornamented royal chariot,
Wherein the fools are deeply sunk.
But for those who know there is no bond.




หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 22 มีนาคม 2555 02:23:39
ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรแม้แต่นิดเดียว ไม่ต่างจากพวกจูงจิต ไม่ต่างจากพวกเล่นกลทำน้ำใส่ทิงเจอร์ให้ใส วิธีที่มันเร่งให้ภาวนาเร็วๆ ส่วนนึงก็ให้หายใจเร็วๆ แล้วที่เหลือก็เป็นกลไกตามธรรมชาติ

อาการหายใจเร็วกว่าปกติ (hyperventilation หรือ overbreathing) หมายถึงสภาวะที่มีการหายใจเร็วหรือลึกเกินความจำเป็น ก่อให้เกิดอาการหน้ามืดหรืออาการอื่นๆ มักมีสาเหตุมาจากความกังวล อาการหายใจเร็วกว่าปกติอาจเป็นการตอบสนองต่อภาวะเลือดเป็นกรดเมตะบอลิก (metabolic acidosis) ซึ่งเป็นสภาวะที่ส่งผลต่อค่า pH ในเลือดต่ำลง

ผลข้างเคียงนี้มิได้เกิดขึ้นจากการขาดออกซิเจนหรืออากาศของผู้ป่วยตามที่มักเข้าใจกัน หากแต่ว่าอาการหายใจเร็วกว่าปกตินี่เองทำให้ระดับความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในกระแสเลือดต่ำลงกว่าระดับปกติ อันเป็นผลให้ค่า pH ในกระแสเลือดสูงขึ้น (ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นเบสมากขึ้น) ทำให้เส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงสมองหดตัว ขัดขวางการส่งถ่ายออกซิเจนและโมเลกุลอื่นที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาท

อาการหายใจเร็วกว่าปกติอาจทำให้เกิดอาการชาหรือรู้สึกยิบๆ ที่มือ ขาหรือริมฝีปาก อาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ แน่นหน้าอก พูดจาติดขัด ตื่นกลัว มึนงง ควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือหมดสติ

โง่หรือฉลาดที่เข้าข้างวัด แน่ใจได้แค่ไหนว่าไม่ได้โดนหลอก


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 22 มีนาคม 2555 02:35:15
hyperventilation- association fillerette (http://www.youtube.com/watch?v=sFLxoCXg2Co#ws)

อาการหายใจเร็วกว่าปกติ (hyperventilation หรือ overbreathing)
ทางวิทยาศาสตร์ก็อธิบายได้ ไอ้ที่ดีดดิ้น คนน่ะพอขาดสติมันโดนบอกให้ดิ้นมันก็ดิ้น
ไหนจะอยู่ท่ามกลางพวกดีดดิ้น ไหนจะอยู่กลางสภาพแวดล้อมที่กดดัน
อย่าลืมนะว่าอาการของคนหายใจเร็วติดต่อกันมันจะตื่นกลัว มึนงง ขาดสติ
ทำคนปกติให้ขาดสติขอให้ชีวิตเจริญๆกันเถอะ
แน่ใจหรอว่าทำแล้วได้บุญ แน่ใจหรอว่าที่ทำกันมันไม่เป็นบาป



หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 25 มีนาคม 2555 15:00:11


คนเราทุกคนหลงกลกิเลส
ดูแต่กิเลสราคะ ส่ังให้ทำก็ทำตาม
กิเลสโทสะสั่งให้ทำก็ทำเลย
กิเลสโมหะสั่งให้ทำก็ทำเลย

 


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 25 มีนาคม 2555 15:26:41

(http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRh3Hidcllt8dBVzrjna2KCSQKHP8sVKDqJFNAk2FVVde1i9XX3)

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ   กับหลวงปู่สิม  พุทธาจาโร


คนเราทุกคนหลงกลกิเลส
ดูแต่กิเลสราคะสั่งให้ทำก็ทำ
กิเลสโทสะสั่งให้ทำก็ทำเลย
กิเลสโมหะสั่งให้ทำก็ทำเลย
ก็เป็นอันว่าทำตามไปทุกสิ่งทุกอย่าง

ถ้าผู้ใดทำตามอำนาจกิเลสอยู่เรื่่อยไปอย่างนี้ละก็
บุคคลนั้นไม่มีหนทางใดที่จะละกิเลสออกจากจิตได้
เพราะจิตผู้นั้นไม่ยกขึ้นสู่กรรมฐาน
แค่อสุภะกรรมฐานที่ถ่ายออกมาทุกวันก็ไม่กำหนด
กำหนดไม่เห็น  ปล่อยให้กรรมฐานเสียไปทุกวัน ๆ

ให้พากันตั้งจิตให้สูงขึ้น
อย่าปล่อยให้จิตต่ำ  ดึงขึ้นมาให้ได้ทุกลมหายใจ
ว่านี่เราใกล้้ความตายเข้ามาทุกทีแล้ว
อย่าประมาท.....


.....ธรรมเมตตา  โดย  หลวงปู่สิม  พุทฺธาจาโร....ผู้ปฏิบัติตามแบบอย่างของพระพุทธเจ้า



.







หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: kaewjanaron ที่ 25 มีนาคม 2555 23:44:22
สิ่งที่ดีก็ควรชืนชม
สิ่งไม่ดีก็ควรตำนิครับ

ครูบารอาจารย์แต่ละท่านอาจสอนสั่งแตกต่างกันไป
แต่หัวใจเราคือพุทธะเช่นกัน

เป็นกำลังใจให้นะครับแม็ค
ธรรมะอวยพรความดีคุ้มครองครับ


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 05 เมษายน 2555 22:53:56
ก่อนที่พระอาจารย์ใหญ่มั่น ท่านจะทิ้งขันธ์ ท่านได้ให้
โอวาท ซึ่งถือว่าเป็นโอวาทครั้งสุดท้ายก็คงจะได้


ท่านบอกว่า



ผู้ถือว่าไม่มีบาป ไม่มีบุญ ก็มีมากมายเข้าแล้ว

แผ่นดินนับวันจะแคบ

มนุษย์แม้ถึงจะตาย ก็นับวันจะมากขึ้น

นโยบายในทางโลกีย์ใดๆ ก็นับวันจะแข่งขันกันขึ้น

พวกเราจะปฏิบัติลำบากในอนาคต

เพราะเนื่องด้วยที่อยู่ไม่เหมาะสม

เป็นไร่ เป็นนา จะไม่วิเวกวังเวง

ศาสนาทางมิฉาทิฏฐิ

ก็นับวันจะแสดงปาฏิหาริย์

คนที่โง่เขลาก็จะถูกจูงไปอย่างโคกระบือ

ผู้ที่ฉลาดก็เหลือน้อย


ฉะนั้น พวกเราทั้งหลาย

จงรีบเร่งปฏิบัติธรรม ให้สมควรแก่ธรรม

เหมือนไฟกำลังไหม้เรือน จงรีบดับเร็วพลันเถิด

ให้จิตเบื่อหน่ายคลายเมาวัฏฏสงสาร

ทั้งโลกภายใน คือ หนังหุ้มอยู่โดยรอบ

ทั้งภายนอกที่รวมลงเป็นสังขารโลก

ให้ยกดาบเล่มคมเข้าสู้

คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

พิจารณาติดต่ออยู่ ไม่มีกลางวันกลางคืน

ความเบื่อหน่ายคลายเมาไม่ต้องประสงค์

ก็จะต้องได้รับแบบเย็น ๆ และแยบคาย

ด้วยสัมมาวิมุตติและสัมมาญาณะอันถ่องแท้

ไม่ต้องสงสัยดอก

พระธรรมเหล่านี้ ไม่ลวงไปไหน

มีอยู่ ทรงอยู่ ในปัจจุบันจิต ในปัจจุบันธรรม

ที่เธอทั้งหลายตั้งไว้อยู่ที่หน้าสติ หน้าปัญญา

อยู่ด้วยกัน กลมกลืนในขณะเดียวนั้นแหล่ะ




นี่คือโอวาทครั้งสุดท้าย ของ ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น

ก่อนที่ท่านจะดับขันธ์


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 01 กันยายน 2555 18:22:09



          อย่าปล่อยให้เรื่องสูญหายไปตามกาลเวลา...


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: joojee ที่ 15 กรกฎาคม 2556 20:09:09
 (:SHOCK:)


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: Compatable ที่ 15 กรกฎาคม 2556 20:40:06
เรื่องไม่ได้สูญหายไปตามกาลเพราะวันนี้เว็บไซท์อันดับหนึ่งของไทย สนุก ! ได้นำคลิปไปลงแล้ว
และมีคนอ่านแล้วมากกว่า 52,000 คน สำคัญตรงชื่อ Mckaforce ปรากฏเต็มๆ

http://news.sanook.com/1197262/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%8B%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%8E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3/ (http://news.sanook.com/1197262/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%8B%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%8E%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3/)


หัวข้อ: Re: ขอประนามการกระทำที่ดูนอกรีตของสถานที่ที่เรียกตัวเองว่าวัด วัดป่าศิวิไลซ์ พิจิตร
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 16 กรกฎาคม 2556 18:56:59
.

มันเป็นธรรมดาที่นาย Mckaforce ย่อมทนไม่ไหว เมื่อเห็นน้อง ซึ่งเขามีกันเพียงสองคนพี่น้อง ถูกกระทำในลักษณะดังกล่าว แล้วยังจะลูกหลานของใครต่อใครอีกหลายร้อยคน ถ้าท่านเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นวงศาคณาญาติ  เมื่อเห็นลูกเห็นหลานของตัวเองมีสภาพอย่างนี้แล้ว มีความรู้สึกอย่างไร?

วันไปเข้าลัทธิอะไรของเขาก็ไม่ทราบ วันนั้นเป็นวันเสาร์ ได้เป็นผู้ไปส่งน้องนาย Mck. ด้วยตนเอง  เพราะน้องนาย Mck. ไม่ยอมไปกับรถที่มารับ ไปถึงวัดมีแม่ชีอายุประมาณ 30 เศษ ออกมาพูดคุยด้วย จึงได้ซักถามไปว่าวัดนี้ใช่ไหมที่มีข่าวว่าให้เด็กไปนอนในกรงงู  ... แม่ชีปฏิเสธ ... จึงได้ซักไซร้จนเขาต้องยอมรับว่า แต่ก่อนเคยมี แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เอางูออกไปแล้ว   ความจริงไม่มีอะไรหรอก มันเป็นขั้นตอนของการปฏิบัติ เป็นการฝึกจิต    ก็เลยพูดไปว่า คิดกันบ้างหรือเปล่าเด็กที่คุณนำไปไว้ในกรงงูเคยฝึกสมาธิขั้นต้นกันมาหรือยัง  และมันไม่ใช่วิธีการฝึกสมาธิตามหลักพุทธศาสนา  หลักพุทธศาสนาไม่เคยสอนให้ฝึกจิตฝึกสมาธิด้วยวิธีการนี้  การกระทำอย่างนี้พี่ว่ามันไม่เข้าเรื่อง...มันไม่ถูกเรื่องถูกราว

สุดท้ายแกว่า การให้เด็กเข้าไปอยู่ในกรงงู มันก็ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก  แต่เด็กเขากลัวไปเอง   ผู้โพสท์เลยย้อนไปว่า ทำไมจะไม่น่ากลัว  อย่าว่าแต่เด็กเลย ถ้าเป็นพี่พี่ยังโดดก่อนเด็กพวกนั้นด้วยซ้ำไป

เรื่องนี้ ผู้ปกครองหลายๆ ท่านโกรธแค้นมากที่เห็นภาพลูกตัวเองในลักษณะนั้น บางท่านบอกอยากจะไปเตะอาจารย์ที่พาไป (ขออภัยที่ต้องพูดตามตรง)  และมีอะไรอีกมากมายตามมาก่อกวนความสงบ หลังจากนาย Mck. ได้นำเรื่องออกเผยแพร่ แต่แกคงมีวัตถุประสงค์ไม่อยากให้ลูกหลานใครต้องมีสภาพตามที่เราท่านได้ชมกันไปแล้ว 

อย่างไรก็ตาม เด็กๆ เหล่านั้นก็ได้เรียนจบ และแยกย้ายกันไปทำงานกันมากแล้ว  รวมถึงน้องนาย Mck. ก็ได้งานทำหลังเรียนจบที่ค่อนข้างมั่นคงพอสมควร  และประการสำคัญ อาจารย์ที่พาไป (เป็นผู้หญิง)  เป็นอาจารย์สอนวิชาด้านสถาปัตย์ ได้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในสมอง ด้วยวัยเพียง 30 ปีเศษ เมื่อราวปลายปีที่แล้ว   อาจารย์ท่านอื่นได้โทรศัพท์มาบอกน้องนาย Mck. และกลุ่มเพื่อนๆ ให้ไปร่วมงานศพและสั่งย้ำให้จุดธูปอโหสิกรรมให้อาจารย์ท่านนั้นด้วยค่ะ.

จึงแจ้งมาเพื่อทราบ