[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ไปเที่ยว => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 24 มีนาคม 2555 19:36:27



หัวข้อ: กิมเล้งลุยต่างแดน เรื่องเล่าจากฝรั่งเศส...ลุยทุ่งลาเวนเดอร์
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 24 มีนาคม 2555 19:36:27
เรื่องเล่าจากฝรั่งเศส...ลุยทุ่งลาเวนเดอร์

(http://lh4.ggpht.com/_Xhlcxbe9Nzc/SoEXp_AHD9I/AAAAAAAAU-M/_Pl4s11ArMA/s800/l12.jpg)
ทุ่งลาเวนเดอร์

   
“ลาเวนเดอร์” -  Lavender  ชื่อหอมหวาน โรแมนติก

                      ด้วยกลิ่นหอมชื่นใจหอมนานเป็นเอกลักษณ์ทำให้ "ลาเวนเดอร์" ดอกไม้ตัวเอกสำคัญของอุตสาหกรรมน้ำหอมฝรั่งเศส  อันทำรายได้ให้แก่ประเทศฝรั่งเศสปีหนึ่งๆ มากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา และยังไม่มีประเทศใดในโลกมีความเจริญก้าวหน้าในด้านอุตสาหกรรมน้ำหอมเทียบเท่าฝรั่งเศส  

                      น้ำมันหอมจากดอกลาเวนเดอร์ เป็นน้ำมันหอมระเหยที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เนื่องจากมีสรรพคุณหลายอย่าง เช่น ช่วยทำให้อากาศบริสุทธิ์ ช่วยฆ่าเชื้อโรค ต้านเชื้อแบคทีเรีย บรรเทาอาการปวด รักษาสมดุลยของระบบประสาท ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อาจนำไปกระจายกลิ่นให้น้ำมันหอมระเหยไปในอากาศด้วยเตาน้ำมันหอมระเหยก็ได้  ซึ่งจะช่วยให้อากาศสดชื่นบริสุทธิ์   อีกทั้งยังสามารถนำไปเจือจางเพื่อนวดเบาๆ บริเวณขมับช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้อีกด้วย ด้วยคุณสมบัติทางการบำบัดรักษาที่หลายหลาย น้ำมันหอมระเหยจากลาเวนเดอร์จึงได้รับความนิยมอย่างมากในการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอมและเครื่องหอมต่างๆ  ตลอดจนใช้ในอุตสาหกรรมยา  
 
                      เมื่อราวเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๓  มีโอกาสไปที่สาธารณรัฐฝรั่งเศส  เรามีโปรแกรมเดินทางจากนครปารีสมุ่งสู่ทางตอนใต้ของประเทศโดยรถไฟด่วน TGV ซึ่งมีความเร็วมากกว่า ๓๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง  มุ่งสู่เมืองมาร์แซยย์ (Marseille)  เมืองใหญ่อันดับ ๒ และเป็นเมืองท่าอันดับ ๑ ของฝรั่งเศส  พวกเราได้แวะเมืองวาลองโซล (Valansole) ซึ่งเป็นแหล่งปลูกลาเวนเดอร์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศฝรั่งเศส  

                      ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงกว้างใหญ่สวยงามสุดลูกหูลูกตา แต่เมื่อได้ลงไปสัมผัสอย่างใกล้ชิดถึงแปลงปลูกในไร่แล้ว ต้นลาเวนเดอร์ไม่ได้สวยงามอย่างที่มองเห็นเป็นทิวแถวไกลตามากนัก นอกเสียจากกลิ่นที่หอมเย็นชื่นใจจริงๆ  
 
                      ลาเวนเดอร์เป็นพืชพื้นเมืองแถบบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน  ปัจจุบันนิยมปลูกแพร่หลายในประเทศฝรั่งเศส  สหรัฐอเมริกา  บัลแกเรีย  และอังกฤษ  ลักษณะเป็นไม้พุ่ม  ลำต้นและกิ่งใบสีฟ้าอมเทาอ่อนจางๆ ใบสากมือ ดอกเล็กๆ เป็นช่อสีม่วงอ่อน  หากเข้าใกล้มาก อาจระคายเคืองหรือคันผิวหนัง ปลูกอยู่บนแปลงซึ่งทำเป็นเนินดิน  ลาเวนเดอร์จะให้ผลผลิตได้ดีในพื้นที่แถบบริเวณฝรั่งเศสตอนใต้ และจะให้ผลผลิต(ดอก) ได้ดีในช่วงราวเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม    สำหรับประเทศไทย เท่าที่ทราบขณะนี้เริ่มมีการปลูกทดลองกันบ้างแล้วแถวจังหวัดราชบุรี แต่ไม่ทราบว่าได้ผลเป็นอย่างไร และถ้าจะว่าไปอากาศแถวฝรั่งเศสตอนใต้เห็นว่าค่อนข้างร้อนพอสมควรเทียบกับหลายๆ ประเทศในทวีปยุโรป  จึงเห็นว่าประเทศไทยน่าจะประสบผลสำเร็จจากการปลูกทดลอง  
    
                      ลาเวนเดอร์ นอกจากหากเข้าใกล้อาจทำให้ระคายเคืองคันผิวหนังแล้ว สิ่งที่ควรระมัดระวังอย่างยิ่งคือฝูงผึ้งที่บินหาเกสรดอกไม้ซึ่งมีมหาศาลพอๆ กับความกว้างใหญ่ของท้องทุ่งลาเวนเดอร์  
 
                      รู้จักลาเวนเดอร์กันแล้วพอหอมปากหอมคอ  ต่อไปจะพาไปรู้จัก เมืองกราซ (Grasse) ที่รู้จักกันดีว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งโลกน้ำหอม”  คณะเราได้เข้าไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตน้ำหอม Fragonard Perfumery  ที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ ๑๖ (ตรงกับ พ.ศ. ๑๕๐๑ – ๑๖๐๐) ได้ชมกระบวนการผลิตน้ำหอมด้วยการสกัดและกลั่นน้ำมันหอมระเหยออกมาจากพืชนานาชนิด  แต่ส่วนใหญ่จะมาจากดอกลาเวนเดอร์ ซึ่งกว่าจะผลิตจนได้น้ำมันหอมสัก ๑ ลิตร   ต้องใช้ดอกลาเวนเดอร์ไม่น้อยกว่า ๑๓๐ กิโลกรัม โดยนำดอกไปต้มในถังอัดความดันด้วยความร้อนสูงจนกลั่นตัวกลายเป็นไอน้ำลอยไปตามท่อส่งลงสู่ถังเก็บ เจ้าหน้าที่โรงงานเล่าว่าดอกไม้ที่นำเข้าจากเมืองไทยก็มีด้วย เช่น ดอกมะลิ ดอกกุหลาบฯลฯ และดอกไม้ที่ส่งไปต้องปราศจากสารฆ่าศัตรูพืช  จึงเป็นอันว่าพรรณไม้หอมจากเมืองไทยก็มีโอกาสไปชูคอถึงฝรั่งเศสกะเขาด้วยเหมือนกัน และไอ้เจ้าหัวน้ำหอมที่สกัดออกมาได้นั้นจะนำไปใช้สำหรับผลิตเครื่องสำอาง สบู่ สเปรย์ปรับอากาศ อุตสาหกรรมยา และอื่นๆ อีกมากมาย      

                      และถ้าเอ่ยถึงน้ำหอมแล้วผู้คนมักนึกไพล่ไปถึงประเทศฝรั่งเศสด้วยบ่อยๆ  ก็น่าจะเป็นอย่างที่เขาว่ากันว่าคนฝรั่งเศสไม่ชอบอาบน้ำ เป็นคนที่สกปรกที่สุดเมื่อเทียบกับคนอิตาลี  คนอังกฤษ  และคนเยอรมัน    ดังนั้น สิ่งที่พอบรรเทากลิ่นกายได้คงหนีไม่พ้นเอาน้ำหอมเข้าช่วยนั่นเอง
 
(http://3.bp.blogspot.com/-PeoxEKpEHBk/TZP21n2W0VI/AAAAAAAAAos/ODLSwdSTiqQ/s1600/marie_antoinette_a_la_rose_1783_oil_on_canvas.JPG)
พระราชินีมารี อองตัวแนต (Marie Antoinette)

                      ในราชสำนักฝรั่งเศส ช่วงปลายศตวรรษที่ ๑๕ หรือราวหนึ่งพันปีเศษล่วงมาแล้ว พระราชินีแคธรีน  เดอ เนดิซิ  พระอัครมเหสีในพระเจ้าอองรีที่ ๒ แห่งฝรั่งเศส ได้เสด็จประพาสตำบลกราซ  ขณะขบวนเสด็จหยุดพักชาวบ้านได้นำน้ำเย็นที่อบด้วยดอกไม้มาถวาย พระนางติดใจในความหอมกรุ่นของน้ำ จึงทรงไล่เลียงถึงกรรมวิธีในการทำน้ำให้มีกลิ่นหอม เมื่อเสด็จกลับถึงนครปารีส พระนางได้ให้นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งทำการทดลองนำดอกไม้ชนิดต่าง ๆ มาสกัดทำน้ำหอมใช้สำหรับประพรมพระวรกายของพระนางและหมู่นางพระสนมกำนัลไม่เว้นแต่ละวัน    
                      พระราชินีมารี อองตัวแนต (Marie Antoinette) เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีพระราชนิยมในเรื่องเครื่องหอมด้วยเช่นกัน  ในยุคนั้น นายฌอง หลุยส์ ฟาร์จียอง นักสุคนธศาสตร์หรือนักปรุงน้ำหอมประจำพระองค์ ได้คิดค้นและปรุงน้ำหอมให้มีกลิ่นพิเศษสำหรับพระนางโดยเฉพาะ นั่นคือการปรุงน้ำหอมให้มีกลิ่นที่สดชื่นคล้ายเด็กสาว อ่อนโยน และเย้ายวนเกินห้ามใจ

                      สำหรับหนุ่มฝรั่งเศส ว่ากันว่ารู้จักใช้น้ำหอมในสมัยจักรพรรดินโปเลียนบุกเข้ายึดเมืองโคโลญน์  (Cologne) ในเยอรมัน ในปี ๑๗๙๒ ทหารฝรั่งเศสที่ไปในการศึกครั้งนั้นเกิดไปติดอกติดใจน้ำหอมดอกส้มของเมืองนี้เข้า จึงพากันไปซื้อบ้านเลขที่ 4711  ซึ่งเป็นบ้านของผู้ผลิตน้ำหอมแล้วนำกลับไปเผยแพร่ที่ฝรั่งเศสนับแต่นั้นมา น้ำหอมยี่ห้อ 4711 โอเดอ โคโลญจน์ (eau de cologne 4711) จึงรู้จักกันแพร่หลายสืบต่อมาจนทุกวันนี้


สังคมไทยกับน้ำหอมหรือน้ำปรุง
 
                      สังคมไทยสมัยโบราณ  นอกจากนิยมใช้เครื่องหอมประเภทน้ำอบหรือเรียกว่าน้ำปรุงมาชโลมผิวกายให้สดชื่น  หอมกรุ่น  และบำรุงผิวพรรณแล้ว  ยังนำไปใช้ประกอบพิธีกรรมในทางศาสนาอีกด้วย     ได้เคยอ่านพบว่าในราชสำนักสมัยกรุงศรีอยุธยาก็มีการใช้น้ำอบหรือน้ำปรุงสำหรับตั้งเครื่องพระสุคนธ์ในการพระราชพิธีด้วย   แต่ยังหาหลักฐานมาแสดงไม่พบจึงขอกล่าวสั้น ๆ เพียงเท่านี้   จึงเห็นว่าพระราชนิยมดังกล่าวคงมีสืบเนื่องต่อมาจนถึงรัชสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ อย่างไม่ต้องสงสัย ดังปรากฎในวรรณกรรมพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) เรื่อง ศกุนตลา นางโคตรมีพราหมณี สั่งให้นางอนุสูยาแต่งกายให้กับนางศกุนตลา เพื่อนำนางเข้าเผ้าถวายตัวเป็นข้าบาทบริจาแก่ท้าวทุษยันต์ ดังนี้
                 
ชำระสระสนานสำราญองค์    โฉมยงผ่องฉวี
                 สุคนธ์ทาลูบไล้อินทรีย์   หอมกลิ่นมาลีที่ปรุงปน

                      น้ำอบหรือน้ำปรุงของไทย ได้จากกระบวนการนำน้ำไปผ่านกรรมวิธีการปรุงด้วยของหอม ไม่ว่าจะเป็น ใบเตยหอม  แก่นจันทน์เทศ  พิมเสน ผิวมะกรูด  ดอกมะลิ ดอกพิกุล  กุหลาบมอญ  ดอกโมก ดอกนมแมว  ดอกชมนาด  ฯลฯ  จนน้ำนั้นกลายเป็นน้ำหอมที่หอมเย็นเป็นธรรมชาติ  เท่าที่เคยเห็นมาด้วยตนเองเขามักนำเครื่องหอมดังกล่าวมาแช่น้ำทิ้งไว้ในตอนเย็นหรือหัวค่ำลอยทิ้งค้างไว้ 1 คืน รุ่งเช้าตักเอาเครื่องหอมนั้นทิ้งไป ในบางกรณีถ้าอยากจะให้น้ำนั้นหอมยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ก็เคยเห็นว่ามีการใช้เทียนอบปักลงไปในภาชนะใส่น้ำ (ต้องหาวิธีให้เปลวไฟอยู่เหนือระดับผิวน้ำและเครื่องหอมที่ลอยไว้) จึงจุดไฟนำฝาครอบมาปิดทิ้งค้างคืนไว้ 1 คืนได้อีกเช่นกัน ซึ่งการทำน้ำหอมแบบนี้จะทำใช้กันวันต่อวันเท่านั้น
                       ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เริ่มมีการนำเข้าหัวน้ำหอมจากต่างประเทศมาประยุกต์ใช้กับเครื่องหอมโบราณของไทย ทำให้เกิดมีน้ำหอม ๒ ประเภท คือ น้ำอบไทย กับน้ำอบฝรั่ง ทำให้ค่านิยมของการใช้น้ำอบไทยลดลงไป ในปัจจุบันเท่าที่พอเห็นจะใช้กันอยู่ ก็คงจะประเพณีสงกรานต์ โดยนำน้ำอบน้ำปรุงมาผสมน้ำสะอาดสำหรับสรงพระเพื่อขอขมาโทษและเพื่อความเป็นสิริมงคล หรือรดขอพรผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างอื่นนอกจากนี้ไม่ค่อยได้พบเห็น สาเหตุคงมาจากยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปก็เป็นได้



(http://2.bp.blogspot.com/_YfbSgfHixS8/S1KXxthjPSI/AAAAAAAAAFQ/fq00H7WgAaM/s320/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A13.jpg)
 
             กิมเล้ง :  http://www.sookjai.com (http://www.sookjai.com)

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0679.jpg)
ท่าเรือแม่น้ำแซน  (Seine) ในนครปารีส  มีเรือสำราญ และเรือให้บริการ
พานักท่องเที่ยวล่องเรือชมอาคารที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่และสวยงามริมสองฝั่งแม่น้ำ

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0674.jpg)

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0678.jpg)
หอไอเฟล อยู่ด้านหลัง

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0680.jpg)
มอเตอร์โซค์ พาหนะยอดนิยมของชาวฝรั่งเศส  คันนี้จอดอยู่ริมฝั่งท่าเรือ เห็นแล้วเตะตาเลยถ่ายมาเป็นที่ระลึก

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0681.jpg)

อาคารสวยงามริมสองฝั่ง แม่น้ำแซน (Seine)
(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0683.jpg)

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0684.jpg)

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0685.jpg)

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0686.jpg)

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0687.jpg)

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0688.jpg)

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0697.jpg)

แปลกแต่จริง  ชาวยุโรปร่างกายสูงใหญ่แต่ชอบขับขี่รถยนต์คันเล็ก ๆ (ยกเว้นมอเตอร์ไซค์ต้องคันใหญ่ไว้ก่อน)
พอจอดรถทีเห็นคลานออกจากรถทุลักทุเล  ขาก็ยาวเกะกะเก้งก้าง  รถก็คันกะจิ๊ด... เฮ้อ



(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0700.jpg)
บริเวณจัตุรัส ทรอคาเดโร่ เป็นจุดชมวิวของหอไอเฟลในมุมกว้างซึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด
บริเวณดังกล่าวยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ต่างๆ  โรงละครแห่งชาติ และพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ    


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0702.jpg)
บริเวณจตุรัสคองคอร์ท (Place de la Concorde) ลานประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารีอังตัวเนต
รุ่นพี่ในหน่วยงาน ไปอบรมสัมมนาที่ไหนมักจะพักร่วมห้องกัน เพราะชอบง่าย ๆ สบาย ๆ สไตล์เดียวกัน



(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0704.jpg)
บริเวณภายในอาคารสำนักงานใหญ่หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton ) ถนนฌองเซลิเซ่ ในปารีส .....ใหญ่โตมโหฬารมาก
ดูดเงินจากเศรษฐีมีรสนิยมสูงไปปีละกี่พันกี่หมื่นล้านก็ไม่รู้  มีบางคนในคณะที่ไปด้วยกันซื้อติดมือมาใบละหลายหมื่น
เราขอสะพายย่ามไปก่อน..ตามประสาคนทรัพย์น้อย.
.


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0707.jpg)
ประตูชัยฝรั่งเศส  งานสร้างที่มหัศจรรย์และใหญ่เป็นอันดับสองของโลก เป็นอนุสรณ์สถานที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงปารีส
สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2349 เพื่อเป็นเกียรติแก่จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ที่พระองค์ได้รับชัยชนะในยุทธการเอาสเตอร์ลิทซ์  
ประตูชัยแห่งนี้มีความสูง 49.5 เมตร  กว้าง 45 เมตร และลึก 22 เมตร  
.


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0732.jpg)
จากความใหญ่โตอลังการงานสร้างของประตูดังกล่าว เมื่อปี พ.ศ. 2462 ชาร์ลส์ โกดฟรัว
เครื่องบินนีอูปอร์ต ผ่านกลางประตูชัยฝรั่งเศสเพื่อเป็นการสดุดีแก่เหล่าทหารอากาศที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1
.

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0708.jpg)


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0709.jpg)

บริเวณใกล้เคียงประตูชัย  ปารีส  ไม่ว่าจะมองซ้ายมองขวา เหลี่ยวหน้าแลหลัง  
จะพบเห็นแต่อาคารสถาปัตยกรรมเก่าแก่ เป็นระเบียบสวยงาม



(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0711.jpg)
บริเวณใกล้เคียงประตูชัย  ปารีส

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0714.jpg)

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0716.jpg)
สถานีรถไฟ Gare de Lyon (รถไฟด่วน TGV) ที่ปารีส
เปลี่ยนบรรยากาศการเดินทางจากรถยนต์เป็นรถไฟความเร็วสูง (ฝีจักรอันทรงพลังมากกว่า 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง)
จากปารีส มุ่งสู่เมืองมาร์แซยย์ (Marseille) เมืองใต้สุดของฝรั่งเศส
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ถึงสถานีรถไฟ Marseille St. Charles


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0715.jpg)


ที่เห็นคล้ายตู้ ATM ของบ้านเรา นั่นคือที่จำหน่ายตั๋วเดินทางอัตโนมัติ
กดทำรายการและใส่เงินไปที่เครื่องจะได้รับตั๋วเดินทาง



หัวข้อ: Re: กิมเล้งลุยต่างแดน ภาค 1 เรื่องเล่าจากฝรั่งเศส...ลุยทุ่งลาเวนเดอร์
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 14 เมษายน 2555 21:14:04
(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0718.jpg)
มุมหนึ่งของเมืองมาร์แซยย์ (Marseille)  เมืองใหญ่อันดับสอง ของฝรั่งเศส


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0719.jpg)
...ตามริมฟุตบาตจะมีที่จอดรถจักรยานพร้อมที่ล็อกรถให้ด้วย โดยหยอดเงินใส่ตู้เล็กข้าง ๆ เป็นค่าบริการ


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0721.jpg)
จำได้ราง ๆ ว่าเป็นที่ทำการของรัฐ....  


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0724.jpg)
บริเวณท่าเรือเมืองมาร์แซยย์ (Marseille) ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  ซึ่งเป็นเมืองท่าอันดับ 1  ของฝรั่งเศส


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0725.jpg)
สถานที่รอรถโดยสารประจำทาง  ริมท่าเรือเมืองมาร์แซยย์ จะมีคนผิวสีค้าขายสินค้าแบกะดินทั่วไป
สินค้าส่วนใหญ่จะเป็นพวกแว่นตากันแดด  สร้อยคอ  สร้อยข้อมือ  ซึ่งทำด้วยลูกปัดและหินสีต่าง ๆ



(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0726.jpg)
อาคารบ้านเรือนจะออกโทนสีเดียวกันทั้งเมือง ดูเป็นระเบียบสวยงาม


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0729.jpg)
สวนหย่อมน่ารักพบเห็นได้ทั่วเมือง  


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0730.jpg)


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0731.jpg)
ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวก....เจ้าหน้าที่จราจรที่พบเห็นโดยมากมักเป็นผุู้หญิง



(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0733.jpg)

เดินทางสู่ วาลองโซล(Valansole) มาดูแหล่งปลูกลาเวนเดอร์ (Lavender) ที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส
 

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0734.jpg)
ทุ่งลาเวนเดอร์ถ้ามองดูไกล ๆ สวยงามมาก แต่พอเข้าใกล้จริง ๆ ก็อย่างที่เห็นน่ะแหละ


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0736.jpg)
ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับผู้ใหญ่ในคณะ  ที่เห็นตั้งท่าถ่ายรูปทางซ้ายด้านหลัง นั่นก็มาด้วยกันจ้ะ


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0766.jpg)
หลุดจากลุยทุ่ง ก็ไปเมืองกราซ Grasse  เพื่อเข้าชมโรงงานผลิตน้ำหอม Fragonard Perfumery
(ไกด์กำลังทำหน้าที่ล่ามถ่ายทอดความรู้ให้กับคณะเรา)


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0767.jpg)

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0768.jpg)

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0769.jpg)

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0770.jpg)
นี่คือสบู่หอม  หนึ่งในหลายผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากหัวน้ำหอมของโรงงาน



(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0739.jpg)


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0742.jpg)
เห็นรถ...อดใจไม่ได้...บันทึกภาพตามเคย


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0741.jpg)
เห็นสว่างโล่งโจ้งอย่างนี้เถอะ... 2 ทุ่มครึ่งแล้วจ้ะ   (โปรดสังเกตนาฬิกาที่ผนังอาคาร) ที่ฝรั่งเศส และอิตาลีที่ไปในช่วงนั้นเวลา  3 ทุ่ม
บรรยากาศยังเหมือน 6 โมงเย็นบ้านเรา  คงสืบเนื่องจากแกนโลกเอียง ทำให้ประเทศแถบขั้วโลกเหนือหันเข้าหาดวงอาทิตย์ในเดือนมิถุนายน กรกฏาคม
ในขณะเดียวกันขั้วโลกใต้ก็จะหันออกจากดวงอาทิตย์ ดังนั้น ในช่วงระยะดังกล่าวประเทศในซีกโลกเหนือ ช่วงกลางวันจึงยาวกว่ากลางคืน
ส่วนประเทศในแถบซีกโลกใต้จะตรงกันข้าม ช่วงเวลากลางวันสั้นกว่ากลางคืน  วิเคราะห์ผิดพลาดประการใด...ขออภัยเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้



(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0747.jpg)
ที่เมืองคานส์ :  ภาพถ่ายบริเวณมุมอาคารสถานที่จัดเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (le Festival de Cannes)
เป็นเทศกาลภาพยนตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก  มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1946  หรือ พ.ศ. 2489
อาคารสถานที่อยู่ติดกับชายฝั่งทะเล  อากาศดี และภูมิทัศน์สวยงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่ง    



(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0748.jpg)
ประธานาธิบดี จอร์จ ปอมปิดู Georges Pompidou (รูปปั้นนะ ไม่ใช่คนที่ยืน)
ในยุคสมัยประธานาธิบดีจอร์จ ปอมปิดู (Georges Pompidou) ฝรั่งเศสมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจสูงมาก
มีการดำเนินการก่อตั้งประชาคมยุโรป  และนับเป็นครั้งแรกที่จะให้จัดตั่้งองค์การตลาดร่วมยุโรป  ให้มีระบบเงินตราที่สอดคล้องกัน
โดยการตั้งระบบ Serpent ขึ้นเมื่อ 10 เมษายน ค.ศ. 1972 หรือ พ.ศ. 2515  



(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0749.jpg)(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0750.jpg)

(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0756.jpg)

บริเวณสถานที่จัดแสดงภาพยนต์เมืองคานส์


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0751.jpg)

คนขวามือผู้บังคับบัญชา  ปลดเกษียณจากราชการแล้ว  ป่านนี้คงนอนอยู่บ้านอย่างเพลิดเพลินและมีความสุข



(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0759.jpg)

บอกแล้วไง...ฝรั่งชอบใช้รถยนต์คันเล็ก...เขาคงมีเหตุผลน่ะ


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0760.jpg)

กำลังจะมุ่งหน้าสู่เมือง Nice  ที่ขึ้นชื่อว่าราชินีแห่งริเวียร่า
สถานที่ตากอากาศระดับโลก ริมฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียน ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างใฝ่ฝันมาเยือน
แต่...เชื่อหรือไม่สู้ทะเลบ้านเราไม่ได้  ชายหาดเรียบริมฝั่งทะเล เขานำทรายมาถมเป็นหาดทรายเทียม
เพราะฝั่งทะเลแถวนั้นมีสภาพพื้นที่เป็นหิน เหมือนกับหัวหินบ้านเราเด๊ะ!



(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0761.jpg)
ที่เมืองนีซ  Nice  แทนที่พวกเราจะไปเดินเรียบริมฝั่งทะเล  กลับเลือกเข้าเมืองหาซื้อของ


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0757.jpg)
กำลังมุ่งหน้าสู่เมืองมิลาน เมืองใหญ่อันดับ 2  ของประเทศอิตาลี
ชาวอิตาลีเรียกว่า "Milano"  เป็นมหานครแห่งแฟชั่น


(http://www.sookjai.com/external/sookjai-lavender/IMG_0772.jpg)
โรงแรมที่คณะเราพักในนครปารีส


หัวข้อ: Re: กิมเล้งลุยต่างแดน ภาค 1 เรื่องเล่าจากฝรั่งเศส...ลุยทุ่งลาเวนเดอร์
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 11 พฤษภาคม 2555 23:27:54
อ้างถึง

ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวก....เจ้าหน้าที่จราจรที่พบเห็นโดยมากมักเป็นผุู้หญิง


ตำรวจจราจรฟรั่งเศสทำงานกันไม่เป็น

ถ้ามาอยู่เมืองไทย จับแค่หมวกกันน๊อคอย่างเดียวก็รวยแล้ว !!

 ;D ;D ;D