[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ห้องสมุด => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 13 เมษายน 2555 11:13:35



หัวข้อ: พระราชพินัยกรรม (ฉบับพิสดาร) ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 13 เมษายน 2555 11:13:35
.


(http://www.hcc-school.com/itwork/web/rut/img/b6.jpg)
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ  พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว


พระราชพินัยกรรม (ฉบับพิสดาร) ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖


คุณลักษณะของพินัยกรรมโดยทั่วไปมักเป็นเรื่องการมอบสมบัติหรือแบ่งสันปันส่วนทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่ทายาท รวมทั้งการจัดสรรตำแหน่งทายาทเป็นกรณีส่วนใหญ่

แม้แต่ในหนังสือพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓  ได้บัญญัติคำ “พินัยกรรม”  ไว้ว่าหมายถึง “หนังสือสำคัญที่ทำไว้ก่อนตายเพื่อมอบมรดก”  

อย่างไรก็ตามได้เกิดมีพินัยกรรมที่ค่อนข้างประหลาดขึ้นมาฉบับหนึ่ง ซึ่งในชั้นแรกมิได้ระบุถึงเรื่องการแบ่งมอบสมบัติมรดกให้แก่ผู้ใดไว้เลย   คงระบุแต่เพียงการจัดพิธีศพเท่านั้น  ดังที่ปรากฏในเรื่องราวพระราชพินัยกรรมของล้นเกล้าฯ  รัชกาลที่ ๖   ที่จะนำเสนอดังนี้

หลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๒๔๕๓   สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร    ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ บรมราชาภิเศกเป็นพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธฯ  พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว   พระมหากษัตริย์ลำดับพระองค์ที่ 6  แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์       ในขณะนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุ ๓๐ พรรษา และยังไม่ทรงมีพระชายาหรือหม่อมห้ามมาก่อน        ในขณะที่พระราชอนุชาส่วนใหญ่ทรงมีพระชายากันเกือบทุกพระองค์แล้ว     พระองค์ยังทรงดำรงพระองค์เป็นโสดอยู่ตลอดมา เนื่องจากทรงหมกมุ่นเอาจริงเอาจังอยู่กับพระราชกิจเป็นเนืองนิตย์มาแต่ครั้งขณะทรงศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ     ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะใช้เวลาในช่วงต้นรัชกาลปฏิบัติพระราชกิจในราชการแผ่นดินให้ลุล่วงไปด้วยดีเสียก่อน   ด้วยในระยะเวลานั้นเป็นระยะที่พระองค์ทรงเริ่มปรับปรุงการปกครองบ้านเมืองขนานใหญ่ตามแบบอย่างวิธีบริหารราชการแผ่นดินของยุโรป   เนื่องจากภัยของจักรวรรดินิยมกำลังใกล้บ้านเมืองเข้ามาทุกที  ทรงทราบดีว่าชาติมหาอำนาจในยุโรปได้บุกรุกเอาดินแดนในทวีปเอเชียซึ่งอยู่ใกล้ชิดติดกับดินแดนไทยไปเป็นประเทศเมืองขึ้น   ถ้าหากว่าภาวะของบ้านเมืองยังอยู่ในลักษณะนี้ต่อไป  ก็น่ากลัวอันตรายว่าจะไม่พ้นอำนาจการรุกรานนั้น    โดยทรงลืมตระหนักไปว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่พระองค์จะต้องมีองค์รัชทายาทสืบราชบัลลังก์ต่อไป   แต่กว่าจะทรงนึกขึ้นได้วันเวลาก็ได้ผ่านล่วงเลยมาถึงตอนปลายรัชกาลเสียแล้ว

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระโรคภายในมาแต่ยังทรงพระเยาว์  พระสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง  ทรงรู้ว่าคงมีพระชนม์ชีพอยู่ได้ไม่นานนัก ดังนั้น ในเวลาต่อมาจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้จัดทำพระราชพินัยกรรมขึ้นไว้ฉบับหนึ่งเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๓   ภายหลังครองราชย์สมบัติได้ ๑๐ ปีเศษ   และมีพระชนมายุได้ ๔๐ พรรษา   ก่อนเวลาสวรรคตเพียง ๕ ปี   ในขณะนั้นพระองค์เสด็จประทับ ณ พระราชวังพญาไทหรือโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในปัจจุบัน  มีผู้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท  คือ
       - มหาเสวกเอก เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี  (ม.ร.ว. ปุ้ม  มาลากุล)   เสนาบดีกระทรวงวัง
       - จางวางเอกและพลโทพระยาประสิทธิ์ศุภการ   (ม.ล.เฟื้อ  พึ่งบุญ)   ผู้สำเร็จราชการมหาดเล็กและสมุหราชองครักษ์
       - จางวางโทพระยาอนิรุทธเทวา  (ม,ล.ฟื้น  พึ่งบุญ)  อธิบดีกรมมหาดเล็ก
       - จางวางโทพระยาสุจริตธำรง  (โถ  สุจริตกุล)   อธิบดีกรมชาวที่
       - จางวางตรีพระยาราชสาสน์โสภณ (สะอาด  ชูโต) ราชเลขานุการในพระองค์

พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า...เวลานี้ข้าพเจ้ากำลังมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์  จึงขอสั่งข้อความไว้ดังต่อไปนี้
        ๑.  ถ้าข้าพเจ้าสวรรคตลง ณ แห่งหนึ่งแห่งใด นอกจากในพระบรมมหาราชวังให้อัญเชิญพระบรมศพโดยเงียบ ๆ เข้าไปยังพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน  ให้จัดการสรงน้ำพระบรมศพในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน และจึงให้เชิญไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
        ๒. ในเวลาที่ตั้งพระบรมศพที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และในเวลาอื่น ๆ ต่อไปนี้ตลอด   ห้ามมิให้มีนางร้องไห้  ถ้าผู้ใดรักใคร่ข้าพเจ้าจริง  ปรารถนาจะร้องไห้ ก็ให้ร้องไห้จริง ๆ เถิด อย่าร้องอย่างเล่นละครเลย *
        ๓. ในการทำบุญ ๗ วัน    ทุก ๆ ๗ วัน ไปจนถึงงานพระเมรุ  ขอให้นิมนต์พระซึ่งข้าพเจ้าได้เคยชอบพอมาเทศน์   อย่าได้นิมนต์ตามยศ   และนอกนั้นก็ให้นิมนต์พระมหาเปรียญที่มีท่าทางจะเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาต่อไป
        ๔. งานพระเมรุ  ขอให้กำหนดภายหลังวันสวรรคตโดยเร็ววันที่สุดที่จะทำได้   ถ้าจะได้ภายในฤดูแล้งแห่งปีสวรรคตแล้วก็ยิ่งดี  เพราะการไว้พระบรมศพนาน ๆ  เป็นการสิ้นเปลืองเปล่า ๆ
        ๕. ในการทำบุญ ๗ วัน เมื่อไว้พระบรมศพก็ดี และในงานพระเมรุก็ดี ขอให้จัดการทำพิธีกงเต็ก**   ถ้าไม่มีใครศรัทธาทำให้   ข้าพเจ้าขอให้ทายาทของข้าพเจ้าหานักพรตอานัมนิกาย  จีนนิกาย  มาทำให้ข้าพเจ้า
        ๖. ส่วนงานพระเมรุ  ขอให้ทางวังตัดกำหนดการลงให้น้อย  คือตัวพระเมรุให้ปลูกด้วยถาวรวัตถุ  ใช้วัตถุนั้นเองเป็นพลับพลาทรงธรรม
        ๗. ก่อนที่จะยกพระบรมศพไปสู่พระเมรุ  ให้มีงานศราทธพรต*** ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทวันเดียว
        ๘. ญาติวงศ์ของข้าพเจ้าและข้าราชการกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ ถ้ามีความปรารถนาจะทำบุญให้ข้าพเจ้า ก็ให้ทำเสียให้เสร็จในขณะที่ตั้งพระบรมศพอยู่ก่อนงานพระเมรุ  ส่วนงานพระเมรุขอให้เป็นงานหลวงอย่างเดียว
        ๙. สังเค็ต****  ขอให้จัดของที่จะเป็นประโยชน์สำหรับพระสงฆ์ที่จะได้รับไป และให้เลือกพระสงฆ์ที่จะได้สังเค็ตนั้น ให้เลือกพระองค์ที่จะใช้สังเค็ตจริง ๆ จะไม่เอาไปขาย
       ๑๐. ส่วนของแจก ขอให้เลือกเป็นหนังสือ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเนื่องด้วยกิจการที่ข้าพเจ้าได้ทำเป็นประโยชน์มาแล้วแก่แผ่นดิน  อีกอย่างหนึ่งขอให้เป็นหนังสือที่จะเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา
       ๑๑. ในการแห่พระบรมศพ ตั้งแต่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทไปถึงวัดพระเชตุพน  ให้ใช้พระยานมาศตามประเพณี  จากวัดพระเชตุพนไปพระเมรุ  ขอให้จัดรถเสียใหม่เป็นรถปืนใหญ่บรรทุกพระบรมศพ เพราะข้าพเจ้าเป็นทหาร อยากจะใคร่เดินทางในระยะที่สุดนี้อย่างทหาร
       ๑๒. ในขบวนแห่นี้ นอกจากทหาร  ขอให้จัดมีเสือป่าและลูกเสือให้สมทบกระบวนด้วย  แลขอให้นักเรียนโรงเรียนพระบรมราชูปถัมภ์*****ได้เข้ากระบวนด้วย
       ๑๓. การโยนโปรย ขอให้งดไม่ต้องมีทุกระยะ  และพระโกศขอให้ใช้เจ้าหน้าที่กรมภูษามาลา
       ๑๔. การอ่านพระอภิธรรมนำพระบรมศพ   ถ้าสิ้นสมเด็จพระมหาสมณะกรมพระยาวชิรญาณวโรรส และพระวรวงศ์เธอกรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์ไปแล้ว   ขอให้นิมนต์พระญาณวราภรณ์ (ม.ร.ว.ชื่น)  วัดบวรนิเวศน์  หรือพระราชสุธี (อุปโม)  วัดราชาธิวาส  แต่ถ้าแม้ท่านทั้งสองนี้ จะนำไม่ได้ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งแล้ว  จึงให้นิมนต์พระราชาคณะผู้ทรงสมณศักดิ์สูงกว่ารูปใด ๆ ในคณะธรรมยุติกนิกาย
         ๑๕. ในการถวายพระเพลิง  เมื่อแตรทหารบกบรรเลงเพลงสรรเสริญบารมีจบแล้ว  ขอให้รวมแตรสั้นเป่าเพลงสัญญาณนอน
         ๑๖. ส่วนงานพระบรมอัฐิ  ขอให้ทำตามระเบียบที่เคยทำมาแล้วเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง
๑๗. พระอังคาร ขอให้บรรจุใต้ฐานพระพุทธชินสีห์ในวัดบวรนิเวศวิหารส่วนหนึ่ง  อีกส่วนหนึ่งขอให้กันเอาไว้ไปบรรจุใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์  ที่พระปฐมเจดีย์ในโอกาสอันเหมาะซึ่งไม่ติดต่อกับงานพระเมรุ

พระบรมราชโองการนี้  ได้กระทำไว้เป็น ๓ ฉบับ ความต้องกัน  พระราชทานให้เสนาบดีกระทรวงวังรักษาไว้ฉบับหนึ่ง  ผู้สำเร็จราชการมหาดเล็กรักษาไว้ฉบับหนึ่ง  ราชเลขาธิการรักษาไว้ฉบับหนึ่ง  และทรงกำชับเจ้าหน้าที่ทั้งสามนี้ให้นำความกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินที่จะได้เสด็จขึ้นเสวยสืบสันตติวงศ์ เพื่อได้ทรงทราบพระราชประสงค์นี้โดยตลอดถ้วนถี่
                                (พระปรมาภิไธย)  ราม วชิราวุธ ปร.  ได้ตรวจถูกต้องกับต้นฉบับเดิมแล้ว
                                (ลงชื่อ)  พระยาราชสาส์นโสภณ




(http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/c/cf/Rama6consort.jpg)  (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/95/95/images/suwattana/Suwattana1Wiki.jpg)
พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ 6 มีพระกำเนิดเป็นสามัญชนในสกุลอภัยวงศ์ ประสูติเมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2448  มีพระนามเดิมว่า เครือแก้ว อภัยวงศ์ (ติ๋ว อภัยวงศ์)


ตอนปลายรัชกาลเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๘   ก่อนที่พระองค์จะเสด็จสวรรคตเพียงไม่กี่เดือน  ในขณะนั้นพระนางเจ้าสุวัทนา  พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ ๖ ทรงมีพระครรภ์แก่แล้ว  จึงได้ทรงเรียกนำพระราชพินัยกรรมฉบับดังกล่าวมาเพิ่มเติมในส่วนเกี่ยวกับพระราชมรดกไว้ดังนี้  

ถ้าพระองค์ได้พระราชโอรส ให้ทรงได้รับพระราชทานวังพญาไท  และพระราชวังสนามจันทร์ที่จังหวัดนครปฐมเป็นพระราชมรดก  และให้ทรงได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ต่อไป  ในขณะที่ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะอยู่นั้นได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา (รัชกาลที่ ๗ ในเวลาต่อมา) ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  แต่ถ้าทรงได้พระราชธิดา ก็ได้ขอให้สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินที่ได้สืบสันตติวงศ์ต่อ ๆ ไป ทรงพระมหากรุณาถวายการเลี้ยงดูตามพระเกียรติของสมเด็จเจ้าฟ้าต่อไป

ในเวลาต่อมาปรากฏว่า พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีได้ถวายการประสูติพระราชธิดา เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ เวลา ๑๒ นาฬิกา ๕๐ นาที  ก่อนที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ จะเสด็จสวรรคตเพียง ๑ วัน  ณ พระที่นั่งเทพสถานพิลาสในพระบรมมหาราชวัง   เจ้าพระยารามราฆพ  ผู้สำเร็จราชการมหาดเล็ก  ได้อัญเชิญพระราชธิดาไปเข้าเฝ้าแล้วทูลว่าประสูติแล้วเป็นหญิง  พระเจ้าอยู่หัวทรงนิ่งอยู่ชั่วครู่หนึ่ง  ทรงมีพระราชดำรัสด้วยพระสุรเสียงอันแผ่วเบาด้วยความเหนื่อยอ่อนว่า  “ก็ดีเหมือนกัน  มิน่าเล่าได้ยินเสียงพิณพาทย์ประโคม ไม่ได้ยินเสียงปืน”  (ถ้าปืนใหญ่ยิงสลุตแสดงว่าประสูติพระราชโอรส)   ทรงลูบพระเศียรและพระอุระพระราชธิดาด้วยความรักและสงสาร แล้วทรงสะอื้นน้ำพระเนตรไหลลงสู่พระปรางทั้งสองข้าง  รุ่งขึ้นวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘   เมื่ออัญเชิญพระราชธิดามาให้ทอดพระเนตรอีกครั้งหนึ่ง  พระองค์ก็มีพระราชดำรัสไม่ได้เสียแล้ว  และต่อมาในคืนนั้นเองพระองค์ก็ได้เสด็จสวรรคตเมื่อเวลา ๑ นาฬิกา ๔๕ นาที ณ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมานภายในพระบรมมหาราชวัง  ในขณะมีพระชนมายุได้ ๔๕ พรรษา  เสวยราชสมบัติได้ ๑๕ ปี

บรรดาเหล่าข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ก็ได้สนองพระเดชพระคุณตามพระราชพินัยกรรมของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ครบถ้วนตามพระราชประสงค์ทุกประการ.  


(http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRG4kWSG9NIb7AtQ2jtw2X6xz-WvRSyaPjPt4eMaEAJAv2oVycZ8bbGUng)


* ขบวนนางร้องไห้ :  พระราชพิธีเก่าแก่มีมีแต่โบราณจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕   มีการเกณฑ์บรรดานางในขับกล่อมโหยหวนด้วยอาการเศร้าโศก  เพื่อถวายพระเกียรติยศในงานพระบรมศพ   (จึงถือว่าได้ถูกยกเลิกโดยปริยายในสมัยรัชกาลที่ ๖)
**กงเต๊ก : การที่ลูกหลานทำบุญกุศลทั้งทำแทนตัวผู้ตายและทำให้ผู้ตายด้วย เพื่อให้ผู้ตายได้กุศลผลบุญมากพอที่จะไปขึ้นสวรรค์    
***ศราทธพรต : พิธีทำบุญให้แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว
****สังเค็ด : ทานวัตถุมีตู้พระธรรม โต๊ะหมู่เป็นต้น ที่เจ้าภาพจัดถวายแก่สงฆ์หรือภิกษุผู้เทศน์หรือชักบังสุกุลในเวลาปลงศพ เรียกว่าเครื่องสังเค็ด

*****รัชกาลที่ ๖ เป็นพระมหากษัตริย์แห่งพระราชวงศ์จักรีพระองค์แรกที่ไม่มีวัดประจำรัชกาล แต่ได้ทรงมีการการสถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวง หรือวชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบัน ขึ้นแทน ด้วยทรงพระราชดำริว่าพระอารามนั้นมีมากแล้ว



รวบรวมเรียบเรียง โดยกิมเล้ง : http://www.sookjai.com (http://www.sookjai.com)

ที่มาข้อมูล  
-วารสารความรู้คือประทีป : ผู้พิมพ์ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด, ๒๕๓๙
-ประวัติศาสตร์ ๖ แผ่นดิน : สำนักพิมพ์ฐานบุ๊คส์, ๒๕๕๔
-พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ : บริษัท นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่น, ๒๕๔๖
http://wikipedia.org








.




.