[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ => ข้อความที่เริ่มโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 13 มิถุนายน 2555 23:55:59



หัวข้อ: ตายแล้วไม่สูญ ตายแล้วไปไหน โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
เริ่มหัวข้อโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 13 มิถุนายน 2555 23:55:59
ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน

(http://gallery.palungjit.com/data/574/user6556_pic423_1213027133.jpg)

...ความจริง ตายแล้วไม่สูญ และ ตายแล้วไปไหน นี้ไม่น่าจะเป็นที่ข้องใจของท่านเลย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วอย่างละเอียด เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ทางที่ไปก็มี 5สายคือ

1) อบายภูมิ ได้แก่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน

2) เป็นมนุษย์

3) เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์

4) เกิดพรหม

5) ไปพระนิพพาน

ท่านตายแล้วไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกเหตุที่จะเกิดไว้ครบถ้วนตามกฎของกรรมคือการกระทำ ได้แก่ความประพฤติดีหรือชั่วในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง กฎของกรรมหรือความประพฤติดีหรือชั่วในสมัยเป็นมนุษย์นี้เอง กฎของกรรมหรือความประพฤติชั่วที่จะพาไปเกิดในที่ใดที่หนึ่ง ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ 5 ทางนั้น ท่านว่าไว้อย่างนี้
แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ
แดนสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นนั้น เป็นผลจากความประพฤติชั่วคือก่อกรรมทำเข็ญในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฎใหญ่ๆ ไว้5 ประการคือ

1)   เป็นคนมีใจโหดร้าย ชอบข่มเหงรังแก เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อนโดยเข้าใจผิดว่าเป็นความดี หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ 1

2)   มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนุญาต หรือฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ 2

3)   ใจเร็ว ได้มีจิตใจไม่เคารพรักของคนอื่น ชอบลอบชู้ บุตร ภรรยาและธิดาสามี ของคนอื่นด้วยความเมาในกามคุณ หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ 3

4)   พูดปด ได้แก่พูดไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อหวังทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา หมายถึง ละเมิดศีลข้อที่ 4

5)   ชอบทำตนเป็นหมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมดความรู้สึกด้วนน้ำเมา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ 5

กรรม คือ ความประพฤติในกฎ 5 ประการนี้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้วไปสู่อบายภูมิมีตกนรกเป็นต้น

แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์
แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องกรรมบถ 10 หรือที่รู้กันง่ายๆ ก็คือ เป็นคนมีศีล 5 ประจำได้แก่

1)   เป็นคนมีเมตตาปราณีคนและสัตว์เสมอด้วยรักตนเอง

2)   ไม่มือไว คือเคารพสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอื่น ไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน ในเมื่อเจ้าตัวไม่อนุญาตด้วยความเต็มใจ

3)   ไม่ใจเร็ว ละเมิดรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามีของบบุคลอื่น

4)   ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระตรงต่อความเป็นจริง

5)   ทำตนเป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือเป็นคนมีความรับรู้ความดีความชั่ว

ตามกฎแห่งกรรม ไม่ปล่อยใจเลื่อยลอยด้วยน้ำเมาต่างๆ
ท่านที่ทรงความดี 5 อย่างนี้ได้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้ว มีสิทธิ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ได้
แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์
แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มาก แต่เมื่อสรุปกล่าวโดยย่อมี 2 อย่างคือ

1)   เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำชั่วในที่สถาน

2)   เกรงผลของชั่ว จะทำให้เกิดความเดือดร้อน

3)   เหตุ 2 ประการนี้ เป็นผลทำให้ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า

แดนที่สี่ ได้แก่พรหมโลก
แดนเกิดสายที่สี่ ได้พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดคนละแดนกัน พรหมท่านว่าศักดิ์ดีกว่าเทวดา และมีชั้นภูมิสูงกว่า มีอำนาจมากกว่า มีความสุขดีกว่า ความสวยสดงดงามก็ดีกว่าเทวดา แต่พรหมไม่มีเพศหญิงเพศชาย ทั้งนี้เพราะพรหมไม่มีการครองคู่ อยู่โดดเดี่ยวอย่างสงฆ์ตามวัดคือไม่มีภรรยาสามี ท่านว่ามีความสุขสงัด ท่านที่จะเป็นพรหมได้ท่านว่าต้องเป็นนักกรรมฐานและมีอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตาย อารมณ์จิตเป็นฌานที่เรียกว่าเข้า ฌานตาย




แดนสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน
แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน นักปราชญ์ สมัยนี้ถือ นิพพานสูญ กันเป็นประเพณีไปแล้ว ขอบอกย่อๆว่า คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ 10 อย่างคือ

1) ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่างๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้สึกเสมอว่าจะต้องตายและความพลัดพรากได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อความตายมาถึงหรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก

2) ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตต้องทำลายตนเองในเมื่อกาลเวลามาถึง ไม่มีสภาพเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีก็คุ้มครองให้มีความสุขใจ ใครทำชั่ว ความชั่วก็บัลดาลให้มีความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ

3) รักษาศีลมั่นคง ดำรงอยู่ในศีลเป็นปกติ

4) ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากจิตใจ ด้วยอำนาจความรู้จริง รู้ว่าความเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตนเพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ

5) มีจิตใจไปด้วยความเมตตราปรานี ไม่โกรธไม่จองล้างของผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่คลายจากความเมตตา

6) ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนรูปฌานได้นี้ เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้

7) ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ ยังไม่ใช่ทางสิ้นทุกข์

8) มีอารมณ์เป็นปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนต่อสัตว์ ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่

9) ไม่ถือตน ทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของธรรมดาที่จะต้องตายจะต้องสลายไป และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวเมื่อเข้าสังคมสมาคมใดๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมนั้น ๆเป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด ทำตนพอเหมาะพอสมควรแก่สมาคมนั้นๆ เรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะเบ่งบารมีทับใคร

10) ตัดความรักความพอใจในโลกีย์วิสัยให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระในอุโบสถ พระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงพระนิพพานต้องยิ้มได้อย่างพระพุทธใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะมันเป็นธรรมดามันหนีได้ไล่ไม่พ้น เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็พบอาการอย่างนี้อยู่ ก็สบายใจ ความตายมาถึงไม่สะดุ้งหวาดกลัวเพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย มีอารมณ์เป็นปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์หรือบุคคลอื่น เท่านี้ก็ไปพระนิพพานได้

เมื่อพูดกันมาถึงทางหรือแดนเป็นที่ไป เมื่อตายแล้วว่ามี 5 ทาง ท่านอาจจะยังสงสัยว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น จะมีทางใดพิสูจน์ความจริงได้บ้างว่า คำสอนนั้นตรงต่อความเป็นจริง เคยมีใครบ้างไหมที่ฟังแล้วและทำตามข้อวัตรปฏิบัติตาม ไม่ใช่เรียนแล้วเอามาคุยอวดกัน ต้องเรียนแบบไทย ฝรั่งเขาสงสัยอะไรเขาค้นคว้า หาความจริงว่ามีหรือไม่เพียงใด สมัยนี้แม้แต่ดวงจันทร์ที่ทุกคนคิดว่าเกินวิสัย แต่ฝรั่งเขาไปดูจนได้เพราะเขาเรียนด้วยปฎิบัติด้วย ที่ว่าเรียนแบบไทยเพราะคนไทยมีบุญ ทุกอย่างไม่ต้องลงทุนคอยดูฝรั่งฝรั่งแสดงก็พอใจได้เปรียบกว่าฝรั่งมาก แต่ทว่าเนื้อแท้ เราก็รู้เพียงเขาไม่ใช่เราเห็นเอง

เรื่องของ การตายแล้วไม่สูญ และ ตายแล้วไปไหน ก็เหมือนกัน ถ้าเรียนกันแบบอ่านหนังสือหรือที่อ่านจำได้แล้วเอาเบ่งบารมีกัน ก็ไม่ต้องอะไรกับคนนอนฝันหาความจริงไม่ใคร่ได้ ถ้าจะพบความจริงบ้างก็ต้องบังเอิญจริงๆ หลักการปฏิบัติเพิ่งรู้ว่าตายไปแล้วไหน ท่านสอนไว้ในหลักสูตรวิชชาสาม ท่านให้เจริญสมาธิ เจริญกสิณ กองใดกองหนึ่ง หรือเอากสิณเฉพาะเพื่อทิพจักขุญาณ ท่านให้ใช้เตโชกสิณเพ่งไฟ หรือ อาโลกสิณ เพ่งแสงสว่าง หรือโอตทากสิณเพ่ง จนสมาธิถึงขั้นอารมณ์เริ่มเป็นทิพย์คือถึงอุปจารฌาณแล้วถือนิมิตกสิณเป็นสำคัญเป็นสำคัญฝึกดูสวรรค์ นรก และพรหมโลก ถ้าทรงวิปัสสนาญาณด้วย ก็พิสูจน์พระนิพพานด้วยได้ การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องฟังแล้วปฎิบัติตตาม ท่านจึงจะหมดข้อสงสัยเพราะท่านรู้เองเห็นเอง แต่ถ้าฟังกันแล้วแต่ไม่ทำตาม ความหวังที่ตั้งใจต้องล้มเหลวแน่เพราะเป็นเสือกระดาษจะกัดใครตายได้ เวลานี้มีผู้ฝึกมโนมยิทธิเพื่อพิสูจน์คำสอนของสมเด็จขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสว่า ตายแล้วไม่สูญ แดนอบายภูมิ แดนสวรรค์ นั้นมีจริง เขาฝึกกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จำนวนมาก ต่อไปขอนำเรื่องราวของที่ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ แล้วได้ไปพบเห็นในแดนต่างๆ ว่ามีอะไรบ้าง เพื่อเป็นตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้ทราบตามความเป็นจริงว่า ตายแล้วไม่สูญ

คัดลอกจากหนังสือ ตายแล้วไม่สูญ ตายแล้วไปไหน
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ