หัวข้อ: ๐๐๐ ...เด็ก... วัด... ๐๐๐ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 30 มิถุนายน 2553 16:39:42 (http://1.bp.blogspot.com/_Mv-MUWO8aZ4/SLdYUiY93tI/AAAAAAAAADA/TFbWOPBe6Zg/s320/logo05.jpg) ภาพจาก: iamaox.blogspot.com/2008/08/design-logo.html ๐๐๐ ...เด็ก... วัด... ๐๐๐ (http://i203.photobucket.com/albums/aa26/formypolar/kaowang2.jpg) http://www.ladyinter.com/forum_posts.asp?TID=490&PN=7 (http://www.ladyinter.com/forum_posts.asp?TID=490&PN=7) "พ่อหนูเคยบอกว่า วัดต้องพึ่งคน คนต้องพึ่งวัด แต่แรกหนูก็ไม่ได้สนใจคำพูดนี้เท่าไรนัก ฟังแล้วก็ลืมไปตั้งนานแล้ว แม่เคยชวนไปทำบุญที่วัดหนูไม่เคยไปด้วยเลยสักครั้งเพราะส่วนใหญ่แม่จะไปทำบุญที่วัดในตอนเช้าวันหยุดซึ่งหนูอยากนอนตื่นสาย และอีกอย่างหนูไม่อยากไปนั่งพับเพียบพนมมือฟังพระสวด หนูคิดว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ วัดดูเหมือนเป็นสิ่งโบราณเป็นกิจกรรมของผู้สูงอายุ จะแต่งตัวไปวัดก็ต้องสุภาพเรียบร้อย เอาไว้ตอนหนูแก่ก่อนค่อยไปวัดก็ได้ ตอนนี้อายุหนูยังน้อยอยากทำอะไรตามวัยของหนู อยากแต่งตัวสวย ๆ ฟังเพลง ดูคอนเสิร์ต สนุกสนานเร้าใจดี มีสิ่งแปลกใหม่เข้ามาทุกวัน ไม่นานมานี้หนูจำเป็นต้องไปวัดเพราะคุณปู่เสียชีวิต หนูรักคุณปู่มาก คืนแรกหนูนั่งฟังพระสวดฟังไปสัปหงกไปเพราะง่วงนอนแต่หนูก็ต้องทนฟังจนจบจับใจความอะไรไม่ได้เลยยกมือพนมทำท่าให้สุภาพที่สุดเท่านั้น คืนต่อมาหนูไปไหว้ศพคุณปู่ก่อนฟังพระสวดไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรทำให้หนูฉุกใจคิดขึ้นมาก่อนที่คุณปู่จะเสียชีวิตท่านมาวัดนี้เป็นประจำเลย บางครั้งก็มาทำบุญ บางครั้งก็มายืมของวัดเอาไปจัดงานทำบุญที่บ้าน พระที่วัดส่วนใหญ่จะรู้จักคุ้นเคยกับคุณปู่ของหนูดี พอคุณปู่เสียชีวิตพระหลายรูปเสียใจกับการเสียชีวิตของคุณปู่ พระที่คุ้นเคยกับคุณปู่ช่วยเป็นธุระจัดการงานให้กับคุณปู่ด้วย หนูจึงเริ่มเข้าใจคำพูดของพ่อที่ว่าวัดต้องพึ่งคน คนต้องพึ่งวัด คำพูดของพ่อเป็นความจริงแท้แน่นอนขึ้นมาแล้ว หนูเสียใจที่คุณปู่จากไป แต่ดูเหมือนการจากไปของคุณปู่ทำให้หนูเข้าใจและเห็นความสำคัญของวัดขึ้นมาได้ หนูยกให้เป็นความดีของคุณปู่ที่แม้ท่านจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ก็ยังดลใจให้หลานของคุณปู่ได้เข้าใจสิ่งดีงามเหล่านี้ขึ้นมา ตลอดงานศพคุณปู่หนูได้เรียนรู้ว่าวัดไม่ใช่สิ่งที่น่าเบื่อหน่ายอย่างที่คิดไว้ และวัดจะต้องเป็นที่พึ่งของเราแม้เมื่อวาระสุดท้ายของทุกคนมาถึงเช่นเดียวกับคุณปู่ การที่หนูไปวัดด้วยความจำเป็นครั้งนั้น ทำให้หนูมีความรู้สึกที่ดีกับวัดมากกว่าที่เคยเป็น อีกอย่างหนึ่งก็คือพ่อกับแม่จะไปทำบุญให้คุณปู่ที่วัดบ่อยขึ้นหนูก็จะไปด้วย ได้ยินพระเทศน์ สวดพระธรรมบ่อยเข้าทำให้หนูคุ้นเคย บางครั้งขณะที่รอคุณพ่อคุณแม่ได้เดินดูสิ่งต่าง ๆ ในวัดบ้าง ก็ดีเหมือนกันทำให้จิตใจหนูสงบขึ้นโดยไม่ต้องฝึกฝนอะไระเลยหนูเริ่มแปลกใจตัวเองที่ความคิดเกี่ยวกับวัดของหนูเปลี่ยนไปและจิตใจของหนูมีการคิดใคร่ครวญมากขึ้นกว่าที่เคยเป็น อาจเป็นเพราะสิ่งที่หนูได้ยินได้ฟังมาจากพระแบบตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้างสอนให้หนูมีสติ มีปัญญาขึ้นมาแล้วก็ได้ แม้หนูจะยังคงชอบดูหนัง ฟังเพลง ดูคอนเสิร์ต แต่หนูก็ไม่เมินเฉยกับวัดเหมือนแต่ก่อน พอมาถึงงานสงกรานต์คุณพ่อคุณแม่ชวนไปงานสงกรานต์ที่วัดหนูจึงไปด้วยความเต็มใจ หลังจากทำบุญกระดูกให้คุณปู่แล้วได้ไปสรงน้ำพระพระ แล้วก็เล่นสงกรานต์ สาดน้ำกันในวัดทางวัดจัดงานดีกว่าที่หนูเคยคิดไว้อย่างหน้ามือเป็นหลังมือเลย มีกลุ่มชาวบ้านแต่งตัวใส่เสื้อสีลายสวย ตีกลองยาวครึกครื้น โฆษกวัดประกาศขอให้ทุกคนเล่นสงกรานต์อย่างสุภาพ ทุกคนก็ปฏิบัติตาม มีกรรมการวัด กรรมการชุมชนคอยดูแลความเรียบร้อย และนำน้ำมาให้ประชาชนได้เล่นอย่างสนุกสนาน ไม่มีการกระทบกระทั่งกันเลยต่างกับคอนเสิร์ตหนึ่งที่หนูไปดูมีการตีกันจนหนูเริ่มกลัว หนูได้ไปเที่ยวงานวัดครั้งแรกในชีวิตของหนู และตั้งแต่นั้นมาหนูจะไปงานวัดกับคุณพ่อบ้างคุณแม่บ้างบ่อยขึ้น พ่อพาไปงานวัดในต่างจังหวัดไกล ๆ หลายครั้งหนูคิดว่างานวัดเป็นสิ่งแปลกใหม่ของหนู บรรยากาศงานวัดแตกต่างไปอีกแบบหนึ่ง แม้เหตุผลในการไปวัดของหนูจะอยู่ที่ความสนุกสนาน ชอบบรรยากาศของงานวัดตอนกลางคืน แต่แล้วหนูก็ต้องแปลกใจที่หนูได้เข้าใจวัดเข้าใจศาสนามากขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปรับเอามาตอนไหนเมื่อไหร่เหมือนกับคุณพ่อเคยบอกว่าวัดเป็นศูนย์แห่งการรวมใจ วัดเป็นแหล่งพำนักของพระและเป็นสถานศึกษาธรรมะของพระและประชาชน ทุกศาสนาล้วนสอนให้คนเป็นคนดี เป็นที่ขัดเกาจิตใจให้ไปในเส้นทางที่ดี สนองต่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ชาวบ้านไม่อาจปล่อยให้วัดอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้การเหลียวแล และสูญสิ้นซึ่งศรัทธาอันดีงามของบรรพบุรุษ ไม่แน่ใจว่าคุณพ่อเคยพูดให้ฟังหรือเคยได้ยินมาจากวัด แต่มันได้เข้าไปในจิตใจของหนูแล้ว สืบเนื่องจากการเริ่มต้นเข้าวัดของหนูนั่นเอง หนูจึงอยากบอกทุกคนว่าทุกวันนี้สังคมเปลี่ยนแปลงไป คนรุ่นใหม่อย่างพวกหนูไม่ค่อยได้สนใจวัด ถ้าคุณพ่อคุณแม่พาลูกไปวัด บ้างไม่ต้องรอจนกว่าจำเป็นต้องไปแบบหนู จะทำให้เด็ก ๆ ได้ใช้โอกาสรับรู้สิ่งที่ดีงามจากวัด และจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองได้โดยไม่ต้องสอนสั่ง อีกอย่างหนึ่งหนูได้เห็นศรัทธาของประชาชนที่มีต่อวัดแล้วไม่อยากปล่อยให้เป็นเรื่องของคนแก่แบบที่หนูเคยคิด อยากให้ทุกครอบครัวลองพาลูกหลานไปวัดกันบ้างนะคะ" ^ ^ ^ ......บทความข้างต้นเขียนโดยวัยรุ่นที่รู้จักคุ้นเคยกับผมมานาน เคยนำเรียงความสมัยเมื่อเธอเป็นนักเรียนชั้นประถมมาเสนอในเว็บไซต์ให้อ่านจนผู้อ่านหลายคนแสดงความชื่นชมมาแล้ว ตอนนี้เธอโตขึ้นบ้างจากความคุ้นเคยที่เธอมักปรึกษาหารือในเรื่องต่าง ๆ ผม เคยเล่าเรื่องการเป็นเด็กวัดให้เธอฟังดูเหมือนเธอจะสนใจ จึงขอให้เธอเขียนความรู้สึกจริง ๆ เกี่ยวกับวัดให้ผมได้รับรู้บ้าง ผมอ่านแล้วมีความรู้สึกว่าความรู้สึกของเด็กคนหนึ่งสามารถนำรอยต่อมาบรรจบรวมกับความคิดของผมได้ จึงหยิบยกมาให้ท่านได้อ่านกัน (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/477/15477/images/tour/DSC08591.JPG) ภาพจาก: www.oknation.net/blog/kingyo/2007/11/21/entry-1 (http://www.oknation.net/blog/kingyo/2007/11/21/entry-1) ด้วยที่เป็นเด็กบ้านนอกผมจึงชอบงานวัดมาตั้งแต่สมัยเด็ก การได้ไปวัดเมื่อมีงานบุญ หรือเมื่อวัดจัดงานประจำปี หรือแม้แต่มีหนังขายยามาฉายที่ลานวัด ได้บรรยากาศที่ยากต่อการสรรสร้างขึ้น วิถีชีวิตเหล่านี้ช่วยส่งเสริมให้วัดกับชาวบ้านเข้ากันได้ พึ่งพาอาศัยซึงกันและกัน ก่อกำเนิดศรัทธาที่ชาวบ้านมีต่อวัดและพระพุทธศาสนาสืบต่อไป และยังเป็นศูนย์รวมของชุมชมได้เป็นอย่างดี งานวัดที่ติดตามาแต่เด็ก ๆ นอกจากไปปิดทองกราบพระ ทำบุญกันแล้ว จะมีฉายหนังกลางแปลง แสดงลิเก มีดนตรีลูกทุ่งมาปิดวิกประกวดร้องเพลงเพื่อนบ้านบางคนได้เกิดเป็นนักร้องที่เวทีงานวัดก็มี หนุ่มสาวมักจะชอบนั่งชิงช้าสวรรค์ เด็ก ๆ เห็นม้าหมุนต่างขอเงินพ่อแม่ขึ้นไปนั่ง รถไต่ถัง ละครลิง มีมาแสดงกัน สาวน้อยตกน้ำมีสาวหน้าแฉล้มนุ่งสั้นนั่งกระมิดกระเมี้ยนอยู่บนคานปากขอบถังที่มีน้ำ หนุ่ม ๆ ซื้อลูกบอลมาปาไปที่แป้นกลม ๆ ซึ่งต่อกับสลักไปยังคานที่สาวเธอนั่ง เมื่อผู้ใดปาบอลถูกแป้นสลักจะหลุดคานที่เธอนั่งจะแยกจากสลักเธอจะตกไปในในถึงน้ำจนตัวเปียกแล้วก็ขึ้นมาใหม่ ตอนเด็กก็ไม่คิดอะไรสนุกดี พอโตขึ้นเกิดความสงสารที่เธอต้องตกน้ำลงไป จึงพยายามคิดไปว่าเป็นอาชีพของเธอ แต่ก็ไม่เคยปาบอลสักครั้ง มุมหนึ่งของลานวัดจะจัดตั้งเสาน้ำมันมีรางวัลล่อใจเป็นเงินปักไว้เป็นระยะตามความสูง ส่วนที่ปลายเสาจะเป็นรางวัลใหญ่ ใครที่มีความสามารถปีนป่ายเอาไปได้ก็เชิญตามสะดวกนับว่าเป็นการส่งเสริมให้มีการออกกำลังกายและกล้าแสดงออกต่อหน้าฝูงชนประการหนึ่ง นอกจากนี้งานวัดยังมีการโชว์สิ่งประหลาดหายากไม่ว่าจะเป็น บ้านผีสิง คนสองหัว เมียงู ประชันเรียกลูกค้ากัน ร้านยิงปืนจุกก็อก ร้านโยนห่วง อีกอย่างที่มักจะมีมิได้ขาดคือร้านขายของเล่น การออกร้านเสี่ยงโชครับรางวัลมีอยู่ทั่วไป การละเล่นโป๊งเหน่งมีเป็นบางปีถ้ามีปีใดนับว่าเป็นที่ครึกครื้นทีเดียว เดินชมงานกันจนเมื่อยก็หลบนั่งตามร้านขายอาหารมีทั้งร้านเล็กร้านใหญ่ ตามแต่ใจจะเลือก งานวัดนับว่าเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจประการหนึ่งซึ่งมีมาเนิ่นนานมาแล้วโดยไม่ต้องเข้าใจหลักเศรษฐศาสตร์ ปัจจุบันนี้งานวัดในกรุงเทพ ฯ เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก หลายแห่งเหมือนยกเอาตลาดนัดไปไว้ที่นั่น บรรยากาศไม่เหมือนกับที่อยากเห็น ถึงกลับกลายเป็นสิ่งที่ต้องเสาะหากันว่าวัดไหนจัดงานได้บรรยากาศแบบที่ต้องการ "งานภูเขาทอง" เป็นงานใหญ่ใน กทม. ที่รักษาความเป็นงานวัดไว้ได้อย่างเหนียวแน่นแห่งหนึ่ง ปีใดหากมีโอกาสและอยากสัมผัสงานวัดในกรุงเทพมหานคร ขอแนะนำให้ไป แล้วอย่าลืมเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ (http://board.palungjit.com/customavatars/avatar256823_1.gif) ส่งท้ายขอเสนอบทกวีเกี่ยวกับงานวัดให้อ่าน ผู้แต่งใช้นามว่า กวีศรีภูเก็ต ......โฆษณาประกาศก้อง........บริเวณ เชิญเที่ยวไม่กะเกณฑ์.............พี่น้อง ได้บุญละบาปเบน...................ไกลอื่น สนุกร่วมเพื่อนพ้อง.................วัด-บ้านคืนเคียง .....กราบพระในโบสถ์เบื้อง.....บูชา อธิษฐานใจพา........................สว่างน้อม ปริสุทธิ์สะอาดปรา-................กฎแก่...ใจเฮย บริจาคทานพรั่งพร้อม............สืบสร้างศาสนา .......เดินเที่ยวชมออกร้าน........วางขาย คนต่างมามากมาย...................แลกซื้อ ของใช้ต่างเรียงราย................หลายอย่าง ยิ้มทักเสียงพูดอื้อ....................เลี่ยงแล้วดูแสดง ........ชิงช้าสวรรค์แกว่งล้อ......หมุนวน เก่าแต่แรกที่คน........................ก่อนรู้ ไต่ถังรถหายหน......................ใดบอก สาวตกน้ำหาญสู้......................ห่างสิ้นคนชม ......ขายของเด็กเล่นร้าน...........แปลกไป บางอย่างพัฒนาไว...................ยุคนี้ พลาสติกมากกว่าไหน................เขาผลิต เครื่องประดับบ่งชี้...................แบบเสื้อทันสมัย .....ร้านยิงปืนเด็กนั้น................ยังมี บั๊มรถไฟฟ้ารี..........................รี่หน้า เพลงเร้าเร่งเต้นชี-...................วาสั่น เดินรอบเหนื่อยแรงล้า.............กลับบ้านเสียที …………………. บทร้องขอ ใคร่ขอเชิญชวนท่านที่นับถือพุทธศาสนาไปวัดแม้จะไม่ได้ไปฟังธรรมก็ตามที ลองดูนะครับ ไปวัดเพื่อความสนุกสนาน หรือความแปลกใหม่ก็ได้ เผื่อว่าการได้ไปเที่ยววัด จะทำให้วันหนึ่งท่านอยากนั่งฟังพระแสดงธรรมขึ้นมาก็ถือว่าเป็นกุศลที่เกิดจากตัวท่านเอง (:88:) http://www.9anant.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=39497&Ntype=3 (http://www.9anant.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=39497&Ntype=3) (:LOVE:) ufoatkaokala11.com/ หัวข้อ: Re: ๐๐๐ ...เด็ก... วัด... ๐๐๐ เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 30 มิถุนายน 2553 17:16:47 (:LOVE:) (:LOVE:) (:LOVE:) (:LOVE:)สาธุ.....สาธุ....สาธุ....อนุโมทนา พี่ แป๋ม (:LOVE:) (:LOVE:)วัดต้องพึ่งคน คนต้องพึ่งวัด (:LOVE:) (http://www.taklong.com/pictpost/t/109123IMG0037.jpg) |