[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน => ข้อความที่เริ่มโดย: sometime ที่ 01 กรกฎาคม 2553 10:15:01



หัวข้อ: จิ๊บ ๆ ลองอ่านดูก่อนน่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 01 กรกฎาคม 2553 10:15:01
(http://www.taklong.com/pictpost/t/90182IMG0053.jpg)

http://www.fungdham.com/download/song/allhits/20.wma

(http://lh6.ggpht.com/_AYFPNs1xf64/TBr_4TvayfI/AAAAAAAABD0/ny96kFM6Zak/1276500000.gif)



ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นดาบ 2 คม เสมอ หากไม่ได้มีการโยนิโสมนสิการให้ดี หรือทำปัญญาให้รอบ
การศึกษามากไม่ว่าจะเป็นพระ และฆารวาส ทั้งทางโลก และทางธรรม การศึกษาทางโลกมาก เช่น การศึกษาที่สูงมาก ๆ เป็นต้นดาบคมแรกที่ดีมาก คือ ผู้นั้นสามารถใช้ความรู้ความสามารถในการเรียนที่สูง ๆ มานั้นสมมติถึงขั้น ดร.มาปรับใช้ในหน้าที่การงานการปฏิบัติสัมมาอาชีพให้ทั้งองค์กรและตนเองบรรลุผลสำเร็จ เป็นที่ปราบปลื้มของเพื่อนร่วมงานและครอบครัว บุคคลที่แวดล้อมจะรู้สึกว่าคน ๆ นี้มีประโยชน์มากช้ความรู้ที่เรียนมาให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไม่เสียปล่าว รู้จักใช้ปรับใช้หลักการที่เรียนมาสูง ๆ มาใช้ในทางปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดาบคมที่สองที่เป็นด้านตรงกันข้าม คือ ผู้ที่เรียนสูงแบบนั้นมามีความรู้มากแต่ไม่สามารถใช้วิชาความรู้ให้เข้ากับการปฏิบัติหน้าที่การงานของตนพวกเราคงเคยเจอไหมครับดร.บางท่านที่เราพยายามสื่อสารถามอะไรง่าย ๆ แต่พอท่านตอบแล้ว เราไม่เข้าใจเลย งงเป็นไก่ตาแตกถามธรรมดาตรง ๆ ง่าย ๆ ท่านยกตอบ diff นู่นนี่ยกmodel ต่าง ๆ มาเยอะมาก ตอบเสร็จเรางงเลยบางครั้งก็มีความรู้สึกว่าคุยกับท่านนี้ยากจังเค้าคงเรียนเก่งเกินไปจนคนธรรมดาอย่างไรฟังไม่เข้าใจไปต่อไม่เป็นเลยเป็นต้นคนนั้นเลยหันมาถามกับคนที่จบวุฒิรองลงมา ปรากฏว่าเข้าใจดี เป็นต้น บางท่านก็ไม่สามารถนำความรู้สูง ๆ มาใช้กับหน้าที่การปฏิบัติในงานประจำได้ ก็ปฏิบัติไปตามความคุ้นเคยเดิม ๆ จนบางท่านอาจรู้สึกว่า ความรู้ที่เรียนมาเสียดายจัง รู้สึกเบื่อที่เราจบสูง ๆ มาแต่ต้องมาทำงาน admin เป็นต้น ทั้งนี้ + ทั้งนั้นทั้ง 2 แบบ ไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไรเพียงแต่ต่างกันตรงที่ คนแรก สามารถใช้ความรู้ที่เรียนมาปรับสภาพให้เข้ากับการปฏิบัติงานได้ด้วยความราบ รื่น อีกคนไม่สามารถใช้ความรู้ที่เรียนมาปรับสภาพให้เข้ากับการปฏิบัติงาน
ได้ด้วยความราบรื่นเป็นต้น




หัวข้อ: Re: จิ๊บ ๆ ลองอ่านดูก่อนน่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 01 กรกฎาคม 2553 10:21:32
(http://www.taklong.com/pictpost/t/90182IMG0053.jpg)

(http://lh6.ggpht.com/_AYFPNs1xf64/TBr_4TvayfI/AAAAAAAABD0/ny96kFM6Zak/1276500000.gif)


ฉันใดก็ฉันนั้นการปฏิบัติธรรมก็เช่นกันการเรียนธรรมมากการศึกษาธรรมมามาก หากเราใช้ประโยชน์เป็นการเรียน+การศึกษาธรรมจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมได้ แต่จะต่างตรงที่ว่าผู้เรียนวิชาทางโลกหรือทำงานทางโลก ต้องใช้ความคิด ใช้สมอง ใช้สังขารความปรุงแต่งอยู่มาก ใช้ให้เกิดประโยชน์ เค้าถึงว่าผู้มีสมองดีและขยันขันแข็งไม่ย่อท้อ มักจะทำงานทางโลกได้ดี ส่วนผู้ปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมนั้นปฏิบัติที่จิต ต้องใช้จิตนำสังขารความปรุงแต่ง หรือความคิด เพราะผลจากการปฏิบัติอธรรมนั้นก็คือ จิตที่พ้นกิเลสตามขั้น ตามภูมิ ไม่ใช่ความคิด หรือสังขารพ้นกิเลส ดังนั้น สิ่งที่เราเรียนมามาก หรือเรียนสูง ๆ เวลาปฏิบัติธรรม หากเรามีสติตามจิตไม่ทัน พอปฏิบัติไป ความปรุงแต่งในการเรียนจากความจำต่างๆ จะเข้ามาวิพากวิจารย์จิตตนเองหรือการปฏิบัติของตนเอง ตามความเคยชินแล้ว แล้วกิเลสจะแทรกอยู่ในความปรุงแต่งตรงนั้นแหละจะหลอกจิตให้หลงอยู่ในสังขาร ความคิดเรื่อย ๆ เป็นต้นพอแทรกปั๊บ จิตจะน้อมใจเชื่อตามความเคยชินที่เรียนมากจำมากการปฏิบัติธรรมจึงติดอยู่แค่วงสังขารความปรุงแต่ง ไม่เข้าถึงตัวจิตสักที หากเห็นความปรุงแต่งมากขึ้นๆ ความปรุงแต่งจะดับไป ๆ กลายเป็นความว่าง จิตว่างไปแท้จริงจิตไม่ได้ว่างหรอกครับ เพราะความว่างนั้นเป็นอารมณ์ว่าง ก็คือ เป็นเจตสิกที่ว่าว่างมาแทนความปรุงแต่งที่วุ่น ๆ นั่นเอง ผู้ปฏิบัติธรรมลึกลงไประดับกลาง ๆ มักจะติดอารมณ์ความรู้สึกที่ว่าง ๆ สบาย ๆ อีกจะรู้สึกว่าจิตนี้ละเอียดขึ้น คราวนี้บางท่านก็อาจจะเทียบลึก ๆ ในจิตแล้วก็ติดสัญญาลึก ๆ ว่าเอาชัด ๆ เลยนะครับ เอ๊ะ ! เรานี้ ปฏิบัติธรรมถึงขั้นในแล้ว บรรลุธรรมหรือยัง เพราะในจิตมันว่างจังเลย อารมณ์อะไรกระทบมาก็เข้าไม่ถึงจิต ๆ แต่ผู้นั้นหารู้ไม่ว่าแม้ความรู้สึกว่าเราว่าง ๆ หรือมีความรู้สึกลึก ๆ ว่าเราไปไกลแล้ว ๆ ไม่ใช่ปุถุชนแล้ว ๆ นี่ก็เป็นอารมณ์สังขารหรือความปรุงแต่งนึงที่กิเลสในจิตหลอกไว้อยู่ แต่ผู้นั้นอาจไม่สนใจจะดูเพราะมีความรู้สึกลึก ๆ ว่า เราอยู่ขั้นใดขั้นหนึ่ง เป็นต้นหลักการแก้ไข ไม่ยากเลยหากถือหลักที่ว่า อย่าใส่ใจอะไรมากกว่าใส่ใจจิตตนเองผู้ปฏิบัติธรรมต้องเป็นผู้ซื่อสัตย์กับใจตัวเองอย่าน้อมใจเชื่ออะไรง่าย ๆ จิตติดอะไร ให้สังเกตเห็นให้จงได้ แล้วมันจะแก้ไข
ได้ง่าย ไม่อย่างนั้น ปฏิบัติจนตายก็ยังไม่รู้ว่าจิตติดอะไร เพราะจิตไม่อยากดูตัวเอง อาจจะกลัวลึก ๆ ว่าจิตจะเห็นสิ่งที่จิตติดเองก็ได้เป็นต้น




หัวข้อ: Re: จิ๊บ ๆ ลองอ่านดูก่อนน่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 01 กรกฎาคม 2553 10:25:30
(http://www.taklong.com/pictpost/t/90182IMG0053.jpg)


(http://lh6.ggpht.com/_AYFPNs1xf64/TBr_4TvayfI/AAAAAAAABD0/ny96kFM6Zak/1276500000.gif)


ครูบาอาจารย์ บางท่านจึงบอกว่า การเรียนทางธรรมมามากมากเวลาจะปฏิบัติทางจิตจริง ๆ ให้ยกความรู้นั้นไว้ก่อนให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติในจิตให้แข็งแรง จนจิตช่วยเหลือตัวเองได้จากนั้นความรู้ที่เราได้ศึกษามาจะประสานกันได้อย่างกลมกลืน
ผมชอบ เทียบสอนตัวเองว่า กิเลส เปรียบเหมือนไวรัสในอากาศ ท่านทั้งหลายจะตีความว่าอย่างไรไวรัส นี้เรามองไม่เห็นหรอกอย่างตัวเราแต่ละคน ๆ สมมติมีคนมาถามว่าวันนี้ เป็นอย่างไรบ้างเราตอบว่าสบายดีร่างกายแข็งแรงดี ไม่เป็นอะไรความรู้สึกเราว่าอย่างนั้นแต่แท้จริงแล้วในตัวคนเราแต่ละคนจะมีสักกี่คนกล้า guarantee ว่าตัวเองร่างกายแข็งแรง 100% ไม่ได้เป็นโรคใด ๆ เลยวันนี้อาจจะมีไวรัสอะไรเข้ามาในร่างกายเรา แล้วฝังตัวเพื่อเป็นโรคอะไรบางอย่างเช่นง่าย ๆ ที่สุดเลยครับ โรคหวัด เราคาดการณ์ได้ไหมว่าตั้งแต่นี้ไปเราจะเป็นโรคหวัดตอนไหนไม่ได้เลยแต่รู้เหตุเช่น ตากฝนบ่อย ๆ หรืออยู่กลางแดดแรง ๆ มีสิทธิ์จะเป็นแต่พอมันเป็นปั๊บเรามีรู้ว่าเราเป็นหลังจากที่เชื้อมันฟักตัวในร่างกายไปแล้ว ชาวโลกส่วนใหญ่ตายด้วยโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1 มีใครที่จะเห็นไหมครับว่ามะเร็งในร่างกายแต่ละคนมันเริ่มเกิดตอนไหนหากใครรู้คงรักษามันได้ไม่ยากอันนี้ไม่รู้เลยหมอก็คาดการณ์ไม่ได้ มีแต่อาจบอกว่า ให้ตรวจร่างกายประจำปีบ่อย ๆ ตรวจให้ละเอียด ๆ จึงจะรักษาโรคได้ทันเวลาไวรัสในอากาศนี้ร้ายแรงนัก
เข้าสู่ร่างกายคนเราทุกคนตอนไหนก็ได้ ทำให้เราเป็นโรคตอนไหนก็ได้แต่เราไม่เคยรู้ตัวเลย
ฉันใดก็ฉันนั้น กิเลสในใจคนยิ่งร้ายแรงกว่าไวรัสนั้น 100 เท่า 1,000 เท่า เพราะมันกัดกร่อนจิตใจอยู่แทบทุกขณะจิต กระดุกกระดิกใจแว็บนึงกิเลสเกิดขึ้นแล้ว รวดเร็วปานสายฟ้าฟาด รวดเร็วลึกซึ้งและแยบยลยิ่งกว่าไวรัสในอากาศเสียอีก ยาทางธรรมของพระพุทธองค์ทรงประธานให้แล้ว เบื้องต้น เพียงให้มีสติอยู่บ่อยๆ ไว้ก่อน มีสติอยู่บ่อยๆ หลังจากนั้นความแยบคาย หรือปัญญาต่าง ๆ จะเริ่มเกิดขึ้นหากสติมีไม่ไว้แล้วโดนกิเลสเหยียบย่ำหมด ให้มีกำลังใจฮึดสู้เข้าไว้ อย่าย่อท้อเด็ดขาด ให้มีความเข้มแข็งในใจตั้งเป้าหมายมั่นในการชำระกิเลส เมื่อเรามีกำลังในอนาคตต่อไปทำไมพระองค์จึงทรงให้เรามีสติ เพราะสติ เป็นเหมือนปากประตูและทางเดินเบิกทางไปเรื่อย ๆ ให้เราค่อย ๆ หยิบใช้อาวุธมาต่อสู้กับกิเลส ผมก็ปฏิบัติธรรมมาแบบนี้ตอนแรก ๆ สติไม่ไหวเลยโดนกิเลสเหยียบย่ำอย่างสุดขีด แต่กำลังใจก็สู้ไม่ถอยเช่นกันพระพุทธองค์ทรงบอก กิเลส 1,500 ตัณหา 108 นั้นจริง ๆ เลย ตอนปฏิบัติธรรมใหม่ ๆ กิเลสเหมือนจะเป็นล้านห้าด้วยซ้ำอะไรก็ไม่รู้มาเต็มไปหมดทางธรรมมีเพียงสติกับกำลังใจ 2 ตัว ปัญญาอะไร
ยังไม่เกิดทั้งนั้น พอสติเริ่มมีบ่อย ๆ ขึ้นกิเลสสังขารความปรุงแต่งต่าง ๆ เริ่มน้อยลง ๆ จิตจะเป็นสมาธิได้อย่างเป็นสุขและสบายใจด้วยความเหนื่อย
อ่อนจึงขอประคองสมาธิในจิตนั้นไว้ก่อน แต่โดยนิสัยผมชอบสังเกต เมื่อจิตเริ่มจะติดในสมาธิ มันก็จะหาวิธีแก้ของมัน พอเริ่มลืมตาอ้าปากได้
ก็ปฏิบัติพิจารณาเห็นจิต และอารมณ์ที่มันเกิดขึ้นในใจได้มากขึ้น จิตมาสังเกตเองว่า กิเลสที่มันแทรกอยู่ในอารมณ์ ในจิต นี่มันมีรากฐานมาจากไหนตอนนั้นกำลังวังชาในทางธรรมเริ่มมีมากขึ้น ปัญญาที่ไม่เคยเห็นๆ ก็เห็นแสงรำไรๆ มาแล้วเมื่อปัญญาเริ่มมาบ้างไม่มากก็น้อยปัญญานี้เปรียบเหมือนบันไดขั้นที่ 5 ในอินทรีย์ 5 เป็นอาวุธร้ายแรงสุด ๆ ประนึง(ดาบเจได)มีความรู้สึกแข็งขันขยันมั่นเพียร ดูกิเลสในใจไปเรื่อย ๆ เวลากิเลสขาดชั่วคราว
หรือขาดจากใจไปเลยมันก็เห็นและก็ไม่ได้สงสัยเอามาเป็นอารมณ์อะไรก็ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ดังนั้นฆารวาสอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ นี่ไม่เหลือบากหว่าแรงในการปฏิบัติธรรมเลยครับตั้งหน้าตั้งตาไม่ย่อท้ออย่าให้กิเลสในจิตที่มันแทรกอาศัยตามสังขาร หลอกเราตามความเคยชินอารมณ์ทั้งหลายจะมีมากมายขนาดไหน หากเราใช้ให้เป็น อารมณ์สังขารเหล่านั้น ก็กลายมาเป็นอารมณ์ทางธรรม หรืออารมณ์วิปัสสนาได้เรื่อย ๆ สติปัญญามีอยู่ด้วยกันทุกคน หากใช้ให้เป็น มันก็ใช้แก้ไขกิเลสในใจได้ทั้งนั้น หากเราสนใจจะแก้เราไม่ติดเราไม่ถือทิฏฐิ เป็นต้น




หัวข้อ: Re: จิ๊บ ๆ ลองอ่านดูก่อนน่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 01 กรกฎาคม 2553 10:29:09
(http://www.taklong.com/pictpost/t/90182IMG0053.jpg)

(http://lh6.ggpht.com/_AYFPNs1xf64/TBr_4TvayfI/AAAAAAAABD0/ny96kFM6Zak/1276500000.gif)


ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ ตลอดจนพรสาวกอรหันต์ต่าง ๆ ก็เทศน์สอนประชาชนหรือเดียร์ถีย์จนบรรลุมรรคผลนิพพานมากมายก่ายกองตอนนั้น มีประชาชนรู้จักศาสนาพุทธกันไหมไม่เลยหลายคนหลายกลุ่มไม่ได้ตั้งใจจะมาฟังธรรมเล๊ย ศาสนาพุทธเป็นอย่างไรไม่ทราบ พระไตรปิฎกมีอย่างไรไม่ทราบ พระองค์ทรงสอนอะไรไม่ทราบเราจะได้ทราบวันนี้แหละเพราะเป็นวันแรกที่เราจะฟังธรรมจากพระองค์หรือพระสาวก
อรหันต์ต่าง ๆ เป็นต้น พอคนเหล่านั้นไปรวมกันที่ศาลา พระพุทธองค์บ้าง หรือพระอรหันต์ผู้เชี่ยวชาญ ท่านก็เทศน์ ให้ดูความจริงที่เป็นปรมัถในกาย
ในจิต เดี๋ยวนั้นเลย ว่า อย่างนี้รูป คือประกอบด้วยธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นมหาภูตรูป อะไร ตอนนั้น ผู้ฟังธรรมเข้าใจด้วยหัวใจจริง ๆ อย่างนี้เรียกว่าเวทนา คือ อารมณ์ ความรู้สึกต่าง ๆ ในใจอย่างนี้เรียกว่าสัญญา คือ ความจำได้บ้าง ความพรึบในจิตที่เคยชินว่าอันนั้นจะเรียกว่าอะไร พอปรุงแต่งว่าเรียกว่าอะไร อันนั้นเป็นอย่างไร อันนี้เป็นอย่างไร อันนี้เป็นสังขารวิญญาณ คือ สภาพรู้ รู้ในขันธ์ 4 ข้างบน เกิดขึ้นปนกันไปปนกันมา ท่านก็ถาม
ต่อว่า พวกนี้แต่ละขันธ์ ๆ แต่ละธรรมชาติ ๆ นี้เป็นอย่างไรท่านถามจิตใจคนฟังว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยง จิตผู้ฟังตอบแล้ววาจาตอบตามว่าไม่เที่ยงพระเจ้าข้า สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นสุข หรือเป็นทุกข์เล่า จิตเค้าหล่านั้นเข้าใจและตอบโดยวาจาว่า เป็นทุกข์พระเจ้าข้า หากสิ่งเหล่านั้น ไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดาแล้ว ควรหรือไม่ที่จะยึดมั่นถือมั่นว่า สิ่งนั้นเป็นไปตามอำนาจการบังคับบัญชาว่า นั่นเป็นเรา นั่นเป็นของเรา นั่นอยู่ใต้อำนาจการบังคบบัญชาของเรา จิตท่านเหล่านั้นเข้าใจและตอบออกมาว่าไม่เป็น ไม่มีความเป็นเรา ไม่มีของเราพระเจ้าข้าตอนนี้แสงปัญญาอันแก่กล้าอยู่ที่จิตท่านเหล่านั้นเต็มเปี่ยมท่านก็ถามต่อว่า เมื่อสิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ควรหรือที่จะยึดถือสิ่งเหล่านั้นไว้ หรือควรปล่อยวางโดยประการทั้งปวงให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ หรือดเรื่องของมันควรปล่อยวางพระเจ้าข้า พอจิตเข้าใจถึงเนื้อในของจิตจริง ๆ ว่าควรปล่อยวางปั๊บ
จิตก็ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 หรือสิ่งทั้งปวงนั้นทันที พระองค์ก็ทรงกล่าวต่อไปว่า จิตเธอทั้งหลายได้ปล่อยวางอุปทานความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 และแล้วเธอก็ทราบด้วยปัญญาของตน ณ ที่นี้แล้วว่า ชาติสิ้นแล้ว ภพสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นที่ยิ่งกว่านี้ไม่มีอีกต่อไปดังนี้




หัวข้อ: Re: จิ๊บ ๆ ลองอ่านดูก่อนน่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 01 กรกฎาคม 2553 10:32:10
(http://www.taklong.com/pictpost/t/90182IMG0053.jpg)


(http://lh6.ggpht.com/_AYFPNs1xf64/TBr_4TvayfI/AAAAAAAABD0/ny96kFM6Zak/1276500000.gif)


ในสมัยพุทธกาลท่านจึงเรียนรู้ตามหลักความจริงในกายในจิต ในอารมณ์กันจริง ๆ ไม่ได้ผ่านการเรียนมากมายอะไรเลยหรือแทบไม่
เรียนเลยด้วยซ้ำท่านสอนให้เห็นสภาวะเดี๋ยวนั้น ก็รู้เดี๋ยวนั้น แก้ปัญหาในจิตได้เดี๋ยวนั้น หลุดพ้นเดี๋ยวนั้นทีเดียวสำหรับผู้มีอินทรีย์ แก่กล้า หรือขิปปาภิญญา เป็นต้นผมเข้าใจว่าสมัยนี้ผู้ที่มีอินทรีย์แก่กล้าแบบนี้ก็มีนะครับ เพียงแต่ยังไม่รู้จักตัวเองยังไม่พบธรรมที่แก้ปัญหาในจิตได้โดยตรงและ
สำคัญที่สุด คือ ไม่สนใจจะแก้กิเลสในใจครับ เหล่านี้ผมก็เอามาเตือนตัวเองด้วย และเอามาเล่าให้ฟังเฉย ๆ ครับ
ทุกวันนี้ ผมก็เหมือนเดิมตอนเดินไปห้องน้ำเมื่อกี๊เจอบางสิ่งบางอย่างที่น่าพอใจ จิตสังเกตเห็นอารมณ์พอใจเกิดขึ้นเองแล้วก็ดับไปเองที่ผิวหนังข้างนอก ไม่ได้ตั้งใจให้มันดับมันก็ดับเอง เมื่อกี๊ไปคุยเรื่องขึ้น airport link ไปสนามบินกับน้อง ๆ ก็เห็นอารมณ์ รับรู้ มีความรู้สึก ตอนนี้มาก็จบแล้ว อารมณ์ทั้งปวงเกิดขึ้นแล้วดับไป ก็แค่นั้น ไม่ได้เข้าถึงจิตนั้นเลยครับถ้าเป็นแต่ก่อน ๆ นี้ไม่ได้เลย ๆ ความทุกข์ทางใจกำเริบมากก็เหมือนเดิมชักชวนให้มาปฏิบัติธรรมกันเถิดอยากฝากข้อความสั้น ๆ ไว้ว่าอย่าสนใจอะไรมากมายกว่าสนใจจิตตัวเอง
หากจะมีใครบอกว่าของจริงนิ่งเป็นใบ้พูดไม่ได้อะไรอย่างนี้ผมก็ไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไร เพราะพุทธองค์พระสาวกทั้งหลายมาจนถึงพุทธบริษัทรุ่นเรานี้
ก็คงต้องอาศัยการถ่ายทอดธรรมะโดยการพูดจากันหากรู้แล้วไม่พูดอะไร ๆ เลยก็ไม่รู้ว่าจะสื่อสารหรือเผยแพร่พระพุทธศาสนากันอย่างไรพูดมากก็อาจจะเป็นการติดสังขารก็ไม่รู้ว่าจะสื่อสารกันอย่างไรเอาเป็นคำกลาง ๆ แล้วกันน่ะ หลวงตามหาบัวท่านว่าพูดเสียบ้างไม่ใช่คุย



..............................THE END..............................

http://forums.212cafe.com/boxser/ (http://forums.212cafe.com/boxser/)



หัวข้อ: Re: จิ๊บ ๆ ลองอ่านดูก่อนน่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 01 กรกฎาคม 2553 12:03:45

(http://www.nungning.com/webboard/images_subject/200912301849351.jpg)

 (:88:)  (:88:)  (:88:)