หัวข้อ: คติกถาและอรรถกถาคติกถา เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 06 กรกฎาคม 2553 09:14:51 (http://lh3.ggpht.com/_AYFPNs1xf64/S_5Cge0TPrI/AAAAAAAAA_s/5XKOKn-K_2w/P525005-1.jpg) http://www.fungdham.com/download/song/allhits/23.wma (:LOVE:)อรรถกถาคติกถา (:LOVE:) บัดนี้การพรรณนาความตามลำดับที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งคติกถาอันพระสารีบุตรเถระแสดง ถึงเหตุสมบัติอันเป็นเหตุแห่งการเกิดวิโมข์นั้นกล่าวไว้แล้วแม้ฌานก็จะไม่เกิดขึ้นแม้แก่ผู้เป็นทุเหตุกปฏิสนธิเพราะพระบาลีว่า ๑ นตฺถิ ฌานํ อปญฺญสฺส ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญาก็วิโมกข์จะเกิดได้อย่างไร ขุ. ธ. เล่ม ๒๕ - ข้อ ๓๕ ในบทเหล่านั้นบทว่า คติสมฺปตฺติยา คติสมบัติ คือ คติสมบัติอันได้แก่มนุษย์และเทพในบรรดาคติ ๕ คือ นรก - กำเนิดเดียรัจฉาน เปรตวิสัย มนุษย์และเทพ. ด้วยบทนี้แลท่านปฏิเสธคติวิบัติ ๓ ข้างต้น. สมบัติแห่งคติ ชื่อว่าคติสมบัติ. ท่านอธิบายว่า สุคติ. อนึ่ง ขันธ์ทั้งหลายพร้อมกับโอกาส ชื่อว่าคติ. และในคติ ๕ ท่านถือเอาแม้อสุรกาย ด้วยศัพท์ว่า เปตติวิสัย บทว่า เทวา ได้แก กามาวจรเทพ ๖ และพรหมทั้งหลาย. แม้อสูรท่านก็สงเคราะห์ศัพท์ว่า เทว. บทว่า ญาณสมฺปยุตฺเต ในกรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ คือในขณะปฎิสนธิสัมปยุตด้วยญาณ จริงอยู่ แม้ขณะก็พึงทราบว่า ท่านกล่าวด้วยโวหารนั้นนั่นเเอง เพราะประกอบด้วยญาณสัมปยุต บทว่า กตีนํ เหตูนํ แห่งเหตุเท่าไร คือ แห่งเหตุเท่าไรในบรรดาอโลภเหคุ อโทสเหตุและอโมหเหตุ บทว่า อุปฺปตฺติ คือการเกิด อนึ่งเพราะแม้เกิดในตระกูลศูทรก็เป็นติเหตุกะได้ ฉะนั้นคำถามแรกจึงหมายถึงติเหตุกะเหล่านั้นและเพราะคนมีบุญมากโดยมากเกิดในตระกูลมหาศาล ๓ ตระกูล ฉะนั้นคำถามจึงมี ๓ อย่าง ด้วยสามารถแห่งตระกูล ๓ เหล่านั้น แต่ท่านย่อปาฐะไว้ ชื่อว่า มหาสาลา เพราะมีสมบัติมาก. อธิบายว่า มีเรือนใหญ่ มีสมบัติมาก อีกอย่างหนึ่ง ควรกล่าวว่า มหาสารา เพราะมีทรัพย์มาก ท่านกล่าวว่า มหาสาลา เพราะแปลง ร อักษรเป็น ล อักษร. ชื่อว่า ขตฺติยมหาสาลา เพราะเป็นกษัตริย์มหาศาล หรือมหาศาลในกษัตริย์ แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ในบทนั้นกษัตริย์ใดเก็บทรัพย์อย่างต่ำ ๑๐๐ โกฏิไว้ที่พระราชมณเฑียรใช้จ่ายกหาปณะวันละ ๒๐ อัมพณะกษัตริย์นี้ชื่อว่ากษัตริย์มหาศาล หัวข้อ: Re: คติกถาและอรรถกถาคติกถา เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 06 กรกฎาคม 2553 09:20:36 (http://lh3.ggpht.com/_AYFPNs1xf64/S_5Cge0TPrI/AAAAAAAAA_s/5XKOKn-K_2w/P525005-1.jpg) พราหมณ์ใดเก็บทรัพย์อย่างต่ำ ๘๐ โกฏิไว้ที่เรือน ใช้จ่ายกหาปณะวันละ ๑๐ อัมพณะ พราหมณ์นี้ชื่อว่าพราหมณมหาศาล คหบดีใดเก็บทรัพย์อย่างต่ำ ๔๐ โกฏิไว้ที่เรือน ใช้จ่ายกหาปณะวันละ ๕ อัมพณะ คหบดีนี้ชื่อว่าคหบดีมหาศาล. เพราะเทพชั้นรูปาวจร และเทพชั้นอรูปาวจรเป็นติเหตุกะโดยส่วนเดียว ท่านจึงไม่กล่าวว่า ญาณสมฺปยุตฺเต ในกรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ. แต่ในมนุษย์ทั้งหลาย เพราะมีทุเหตุกะและอเหตุกะ และในเทพชั้นกามาวจรที่เหลือเพราะมีทุเหตุกะ ท่านจึงกล่าว ญาณสมฺปยุตฺเต. อนึ่งกามาวจรเทพทั้งหลายในที่นี้ ชื่อว่าเทวา เพราะเพลิดเพลินด้วยความยินดีในกามคุณ ๕ และรุ่งเรืองด้วยรัศมีแห่งร่างกาย. รูปาวจรพรหมทั้งหลาย ชื่อว่าเทวา เพราะเพลิดเพลินด้วยความยินดีในฌาน และรุ่งเรืองด้วยรัศมีแห่งร่างกาย. อรูปาวจรพรหมทั้งหลาย ชื่อว่าเทวา เพราะเพลิดเพลินด้วยความยินดีในฌาน และรุ่งเรืองด้วยรุ่งเรืองแห่งฌาน. บทว่า กุสลกมฺมสฺส ชวนกฺขเณ ในขณะแล่นไปแห่งกุศลกรรม คือในขณะแล่นไปแห่งกุศลกรรมอันเป็นติเหตุกกามาวจรอันยังติเหตุกปฏิสนธิให้ เกิดในอดีตชาติ ๗ วาระ ด้วยอำนาจการเกิดบ่อย ๆ ในชวนวิถีจิต ความว่า ในกาลอันเป็นไป. บทว่า ตโย เหตู กุสลา เหตุ ๓ ประการเป็นกุศล คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นกุศลเหตุ. บทว่า ตสฺมึ ขเณ ชาตเจตนาย แห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น คือแห่งกุศลเจตนาที่เกิดในขณะดังกล่าวแล้วนั้น. บทว่า สหชาตปจฺจยา โหนฺติ เป็นสหชาตปัจจัย คือเมื่อเกิดย่อมเป็นอุปการะโดยความเกิดร่วมกัน. บทว่า เตน วุจฺจติ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าว คือกล่าวด้วยความเป็นสหชาตปัจจัยนั้นนั่นแล. บทว่า กุสลมูลปจฺจยาปิ สงฺขารา แม้เพราะกุศลมูลเป็นปัจจัยก็เกิดสังขาร ท่านกล่าวโดยนัยแห่งปัจจยาการอันเป็นไปในขณะจิตดวงเดียว. อนึ่งพึงทราบว่า ท่านสงเคราะห์เจตสิกทั้งหมดอันสงเคราะห์ด้วยสังขารขันธ์ในบทนั้นด้วยพหุจตนะว่า สงฺขารา สังขารทั้งหลาย. ท่านกล่าวว่า กุสลมูลานิ บ้าง แม้เพราะเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารด้วย อปิศัพท์. บทว่า นิกฺกนฺติกฺขเณ ในขณะความพอใจแห่งสังขาร อันเกิดขึ้นในกรรมที่ปรากฏเฉพาะหน้าเพื่อให้วิบากของตน ในกรรมนิมิตหรือในคตินิมิตอันปรากฏด้วยกรรมที่ปรากฏแล้วอย่างนั้น. บทว่า นิกนฺติ ความพอใจ คือ ความใคร่ ความปรารถนา. จริงอยู่ เพราะใกล้จะตายมีจิตวุ่นวายด้วยโมหะ ความพอใจย่อมเกิดขึ้น แม้ในจ่ายแห่งอเวจีมหานรก ส่วนในนิมิตที่เหลือจะเป็นอย่างไร. บทว่า เทฺว เหตู เหตุ ๒ ประการ คือ โลภะ โมหะเป็นอกุศลเหตุ ส่วนความพอใจในภพปรารภขันธสันดานของตนเพียงออกไปจากภวังควิถี อันเป็นไปแล้วในลำดับแห่งปฏิสนธิ ย่อมเกิดขึ้นแม้แก่สังขารทั้งปวง. บทมีอาทิอย่างนี้ว่า ๒ ก็หรือว่า อกุศลธรรมไม่เคยเกิดขึ้นแก่บุคคลใด ในภูมิใด กุศลธรรมทั้งหลายก็ไม่เคยเกิดแก่บุคคลนั้น ในภูมินั้นหรือ? มีคำตอบว่า ใช่ ดังนี้ท่านกล่าวหมายถึงความพอใจนี้นั่นแล (:LOVE:)จาก.......อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค (:LOVE:) |